ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF-SJ] LoVE-Able [KyuHyuk & HaeEun]

    ลำดับตอนที่ #11 : [[8]] HaeEun :: "ขอ"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 264
      0
      20 ก.พ. 57

    ฟิคเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลง ขอ ของ lomosonic

    อยากให้ทุกคนได้ดูเอ็มวีนี้พร้อมกับฟังเพลงนี้จริงๆค่ะ >> http://www.youtube.com/watch?v=tUuqWFExZgY

     

     

     

     

    มันนานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน

     

    2 ปี หรือ มากกว่านั้น................................

     

    เรากลับมาเจอกันเพราะความบังเอิญ หรือ ความตั้งใจ......ของเรา

     

    .////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ผมไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี้  เขาที่อยู่ในร้านไอติมใกล้ๆมหาวิทยาลัย เขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ตัวที่เขาเคยนั่งกับผมเมื่อ 2 ปีก่อน ผมเกิดความลังเลที่จะเข้าไปทัก หรือ ถอยออกจากร้านไป แต่ความคิดที่อยากจะออกจากร้านมันก็หมดจากหัวไปเมื่อสายตาของเขาหันมาพบกับสายตาของผม

     

    ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มของผมถึงกว้างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งขาที่ก้าวเดินไปยังโต๊ะตัวนั้น เขาที่ตอนแรกที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ อ้าแขนออก เหมือนกับผมที่กางแขนเข้าไปหาเขา แล้วเราโผเข้าหากันและกัน

     

    ผมไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาผมถึงไหล ผมไม่รู้ว่าน้ำตานี่คือน้ำตาแห่งความสุข หรือ ความคิดถึงมากกว่ากัน

     

    ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกเหมือนผมรึเปล่าตอนนี้

     

    แต่ที่รู้อ้อมกอดของเขายังคงให้ความอบอุ่นให้กับผมเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน

     

    “ทำไมมานั่งร้านนี้” ประโยคแรกที่ออกจากปากของผม หลังจากที่ผมได้กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ ตัวเดิมกับที่ผมเคยมานั่งกับเขาทุกวันในช่วง 2 ปีก่อน

     

    “ก็..................คิดถึง เลยอยากกลับมา” เขาพูดพร้อมมอบรอยยิ้มอันอบอุ่นให้แก่ผม “แล้ว...ฮยอกแจละ ทำไมถึงมาร้านนี้”

     

    “แค่ผ่านมาแถวนนี้เลยแวะมา ปกติที่ทำงานเราอยู่คนละฝั่งเมืองคงไม่มีโอกาสมาบ่อยๆ หรอก”

     

    “ทำไมไม่ขับรถมาล่ะ ถ้าขับรถก็ไม่เกิน ครึ่งชม.หรอก”

     

    “เราขับเป็นที่ไหนละ 5555 นายก็รู้ว่าเราขับไม่เป็น”

     

    “ก็เมื่อก่อนฮยอกเคยบอกไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าเรียนจบแล้วจะหัดขับรถเอง”

     

    “......นั่นสิเนอะตอนนั้น เราบอกเอาไว้หนิว่าจะหัดขับรถให้ทงเฮนั่งบ้าง..... จำได้ป่ะ เมื่อก่อนเวลาเราจะไปไหนเราต้องให้ทงเฮขับรถไปให้ทุกทีเลย ตั้งแต่ส่งกลับหอ ยัน ไปเที่ยวที่นามิ คิดแล้วก็ฮาดีเนอะ”

     

    “เอ่ออ ใช่ ขับโคตรจะเหนื่อยเลย ทริปเกาะนามิอ่ะ ทางก็สุดๆ แถมตอนนั้นเพิ่งได้ใบขับขี่มา เราขับโคตรจะเสียวเลย กลัวขับไปไม่ถึง”

     

    “แหมมมมมม แล้วตอนนั้นทำเป็นแน่นะ บอกว่ามั่นใจฝีมือเราได้ ถึงเราจะเพิ่งได้ใบขับขี่ แต่เราขับเก่งมาก”

     

    “จะไม่ขับเก่งได้ไง ถ้าไม่เก่งคงหลงแล้วก็คงไม่ถึงนามิ แต่นี่เราขับหลงไปหลงมาแล้วยังโผล่ไปนามิได้ ก็ต้องเรียกว่าเก่งแล้ว”

     

    “เอ่อๆๆ ยอมให้ก็ได้พ่อคนขับรถเก่งงงงงง” แล้วเสียงหัวเราะของพวกเราก็ดังพร้อมกัน นอกจากเสียงหัวเราะแล้ว ผมยังได้เห็นรอยยิ้มในตาของทงเฮ รอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานาน

     

    “สั่งอะไรกินดิ เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

     

    “ป๋าเฮจริงๆ  งั้นเราไม่เกรงใจแล้วนะ น้องครับรับออเดอร์หน่อยครับ” ผมสั่ง ไอติมวนิลาโซดา มันคือน้ำโซดาซ่าๆ กินคู่กับไอตินรสวนิลา  อีกหนึ่งเมนูโปรดที่ผมชอบเหลือเกิน  เมื่อผมสั่งเสร็จจึงเพิ่งสังเกตว่าทงเฮสั่งอะไรที่ไม่อยากเชื่อจนต้องถามออกไป

     

    “นายกินสตรอเบอร์รี่ มิลค์เชค ด้วยเหรอ แปลกโคตร ตอนนั้นชวนกี่ครั้ง กี่ครั้งก็ไม่เคยยอมกินสักที เป็นไงอร่อยไหม”

     

    “อร่อยดีไม่หวานเท่าที่เราคิด จริงเราควรจะลองตั้งนานแหละไม่น่าพลาดเลย เราควรที่จะลองก่อนที่จะตอบไม่เอาจริงๆ นั่นแหละ เสียดายว่ะ”

     

    “เสียดายทำไม อย่างน้อยตอนนี้นายก็ได้ลองแล้ว แถมถึงแม้ตอนนั้นนายไม่กินสตรอเบอร์รี่ มิลค์เชคแต่นายก็ได้ชิมเมนูอื่นๆเยอะแยะ”

     

    “5555+ ตอนนี้ถ้าเราเข้าร้านไหนแล้วมีสตรอเบอร์รี่ มิลค์เชค เราต้องสั่งไว้ก่อนเลยเป็นเมนูโปรดที่เราไม่อยากเปลี่ยนอีกแล้ว แต่ตอนนี้มันคงช้าไปแหละ มันช้าเกินไปถึงเพิ่งมารู้ว่าไอ้นี่อร่อยแค่ไหน มัวแต่ไปลองอันอื่นจนไม่เคยคิดที่จะดื่มมันพอจะหากินก็ยากแหละ เพราะน้อยร้านที่จะมี ถ้าตอนนั้นเรารู้เราคงมาสั่งเมนูนี้ที่ร้านนี้ทุกวัน”

     

    “ไอติมวนิลาโซดาได้แล้วค่ะ” เสียงพนักงานดังขึ้นขัดการสนทนาของเราสองคน

     

    “ว่าแต่ฮยอกแจล่ะไม่สั่ง สตรอเบอร์รี่ มิลค์เชคแล้วเหรอเราคิดว่ายังไงฮยอกก็ต้องสั่งเมนูนี่แท้ๆเลย ดูดิคิดว่าจะได้จ่ายถูกซะละ ฮยอกเล่นเลือกเมนูแพงเลย”

     

    “โธ่ ทำไมไม่บอกล่ะ ให้เราเลือกเมนูถูกๆ เราจะได้เลือกไง จริงๆ แล้วร้านนี้เขาดังไอติมโซดา แล้วก็นานแล้วที่ไม่ได้กินเลยอยากสั่ง”

     

    โอนึลโด คอดดา อูยอนฮี นอล บวัซซอ ......

     

    “เพลงนี้  Still you ไม่ได้ฟังนานแล้วเนอะ”

     

    “ฟังกี่ครั้งก็เพราะ เราก็ยังชอบ ทงเฮยังไม่เคยดีดกีตาร์เพลงนี้ให้เราฟังสักที  เสียดาย.....เนอะ ตอนนั้นเราไม่น่าทะเลาะกันเลย ถ้าไม่ทะเลาะกันเราคงได้ฟังทงเฮดีดเพลงนี้ไปแหละ ขอโทษะนะตอนนั้นเราไม่น่างี่เง่าเลย” แล้วภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ฉายเข้ามาที่หัวของผม ภาพในวันเกิดของผมตอนที่เราอยู่ปี 4 วันนั้น ผมกำลังจะเป่าเค้ก วันเกิด โดยที่ทงเฮสัญญาว่าหลังจากเป่าเค้กเสร็จจะเล่นกีตาร์เพลงนี้ให้ผมฟังเป็นของขวัญวันเกิด แต่เสียงโทรศัพทท์ของทงเฮดังขึ้นขัดซะก่อนแล้วคนที่โทรมาก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงของทงเฮ ผมโมโหมาก แต่ไม่ได้โมโหที่ผู้หญิงคนนั้นโทรมา แต่โมโหทงเฮที่กดรับ ทงเฮเอาแต่คุยไม่หยุดผมเลยทนไม่ไหวดึงโทรศัพท์ของทงเฮแล้วปาทิ้งเข้ากำแพง ทงเฮว่าผมว่าผมเป็นบ้าอะไร เขากำลังคุยเรื่องรายงานอยู่ แต่ผมก็ไม่พร้อมจะฟังเพราะผมรู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่เคยเป็นแค่เรื่องรายงาน ผมตะโกนพร้อมน้ำตาบอกว่าวันนี้วันเกิดผมขอแค่วันนี้ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แล้วทงเฮก็ออกจากห้องไปปล่อยผมไว้กับเค้กที่สุดท้ายก็ไม่กินแล้วก็กีตาร์ที่เขาไม่ได้ดีด.....

     

    “ไม่หรอกคนที่งี่เง่า คือเราต่างหาก”  

     

    “ไม่หรอก เราต่างหากวันนั้นนายแค่คุยแต่เรื่องรายงานแต่เราคิดมากไป สรุปเรางี่เง่ากว่า”

     

    “พอเหอะ สรุปพวกเราคงงี่เง่าพอๆกันแหละ 5555”

     

    “เอ่อจริง ถ้าเราไม่งี่เง่าพอกันเราคงไม่ทะเลาะกันเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้หรอก”

     

    ตอนนี้เป็นไงบ้าง

     

    ก็เรื่อยๆ สบายๆ ทำงานหนักไปหน่อยแต่ก็โอเค แล้วทงเฮล่ะเป็นไงกิจการร้านอาหารเริ่ดไปเลยอ่ะดิ

     

    ไม่หรอกก็ธรรมดา ลูกค้าก็มีเรื่อยๆ

     

    เฮ้ยๆ ดูน้องผู้หญิง 2 คนนั้นดิ เจ๋งไปเลย

     

    เจ๋งยังไง

     

    ก็เมื่อกี้น้องเขาป้อนไอติมกินอ่ะ ไม่แคร์สื่อเลย

     

    เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้

     

    ไม่หรอกถ้าเป็นเพื่อนกันเขาไม่จับมือกันตลอดเวลาหรอก

     

    เห็นแล้วคิดถึงตัวเองตอนนั้น ตอนที่เราอยากจะจับมือฮยอกครั้งแรกเราตื่นเต้นมากๆเลย กลัวโดนฮยอกด่า หรือ ไม่ก็สะบัดมือเราทิ้ง วันนั้นที่พอเรากล้าจับไป แล้วฮยอกไม่ว่าอะไร เรานี่โคตรเขิน

     

    วันนั้นอยากบอกว่าเราทั้งตกใจทั้งเขินเลยแหละ จริงๆ ตอนนั้นเราก็มีความสุขดีนะถึงจะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็มีความทรงจำดีๆ ที่นึกแล้วก็ยังอยากยิ้มให้กับมัน

     

    ........นั่นสินะ….”

     

    ผมตัดสินใจเปิดโทรศัพท์ หลังจากที่ปิดมาตลอดครึ่งวัน โทรศัพย์ยังบูทเครื่องไม่ทันดี เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น เสียงพิเศษที่ตั้งไว้ให้กับคนคนเดียว คนที่เป็นต้นเหตุให้ผมมาร้านนี้

     

    “ฮัลโหลนายอยู่ไหนเนี่ยฉันเป็นห่วงนะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย รู้รึเปล่าว่าเป็นห่วงแค่ไหน ขอโทษที่ทำให้คิดมาก แต่กลับมาคุยกันเคลียร์กันก่อนนะฮยอกแจฉันขอโทษ” เสียงที่เป็นห่วงผมและร้อนรนพอกัน ทำให้ผมยิ้มออก

     

    “กำลังจะกลับแล้ว อยู่แถวมหาลัย ทำกับข้าวไว้ให้ด้วยนะจะกลับไปกิน”

     

    “รีบกลับมาเลยเดี๋ยวนี้”

     

    “รู้แล้วน่า” ผมว่างสายพร้อมหันหน้าไปมองผู้ชายที่ยังคงมองผมอย่างอ่อนโยน

     

    “ขอบคุณนะทงเฮ ขอบคุณและก็ขอโทษ ฉันไปก่อนนะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”

     

    ทงเฮยังคงยิ้มมาให้ผมรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ

     

    “ตอนนั้นเราคงใช้อารมณ์กันมากเกินไป ฟังกันน้อยเกินไป  แต่ตอนนั้นเรารักทงเฮจริงๆ นะ ดูแลความรักของทงเฮดีๆนะ ดูแลตัวเองด้วย อย่าดื่มเยอะ อย่าสูบบุหรี่จัดล่ะรู้ไหม” แล้วผมก็หันหลังเดินออกมา ทิ้งผู้ชายคนนั้นที่ผมเคยรักเขามากๆ ถึงวันนี้ผมอาจจะรักเขาได้ไม่เหมือนวันนั้น แต่ผมก็ยังคงอยากจะขอให้เขามีแต่ความสุข ถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็ตาม

     

    ทงเฮตะโกนบอกก่อนที่ผมจะออกจากร้านว่า

     

    “เราขอโทษนะ”

     

    ผมยิ้มให้กับตัวเองแล้วเดินออกจากร้าน เดินไปตามทางที่มันควรจะเป็น ทางที่ผมและเขาต่างเลือกเดิน

     

    .////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    Donghae Part

     

    ความรักของผมเดินจากไปแล้ว เขาบอกให้ผมดูแลความรักของผมให้ดี ผมเกือบอยากจะบอกเขาว่า ความรักของผม ถึงผมอยากจะดูแลแค่ไหนเขาคงไม่ต้องการอีกแล้ว ความรักของผมคือ คุณ  ได้โปรดให้โอกาสคนโง่ๆ คนนี้อีกสักครั้ง แต่ผมก็ไม่พูดออกไป เพราะ ถ้าผมพูดไปผมคงไปไอ้โง่ที่เห็นแก่ตัวที่สุด

     

    เมื่อก่อนผมมีโอกาสมากมายที่จะแก้ไข แต่ผมกลับมองผ่าน

     

    เขาให้อภัยผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

    ถึงผมจะเผลอไปกับใครเขาก็ยังให้อภัย

     

    ถึงผมจะให้เวลาเขาน้อยแค่ไหนแต่เขาก็มักจะยิ้มกลับมา

     

    ผมยังจำวันนั้นที่จับมือเขาได้ และ จำวันสุดท้ายที่ผมสะบัดมือเขาทิ้งอย่างไร้เยื้อไย้ได้เช่นกัน เขาขอร้องให้ผมอย่าไป ข้อร้องทั้งน้ำตานองหน้า จับมือผมไว้ แต่ผมไม่สนใจผมยังคงถอนมือผมออกจากการเกาะกุมของเขา เขาบอกกับผมว่าถ้านายไปครั้งนี้ ผมจะไม่มีวันได้เจอเขาอีก เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะรั้งผม วันนั้นผมได้แต่คิดว่า ไม่จริงหรอกสุดท้ายเขาก็จะยืนรอผมอยู่ที่เดิม รักผมเหมือนเดิม ให้อภัยผมเหมือนเดิม

     

    แต่ผมคิดผิด................

     

    ไม่มีเขาที่คอยเกาะกุมมือผมไว้

     

    ไม่มีเขาที่คอยฟังผมเล่นกีตาร์

     

    ไม่มีเขาที่มอบรอยยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

     

    ไม่มีเขาที่นั่งรอผมที่ร้านนี้อีกต่อไป

     

    ไม่มีเขาที่จะคอยฟังคำบอกรักของผม

     

    และ............

     

    ไม่มีเขาที่รักผมอีกแล้ว

     

    ผมไม่โทษเขาที่เดินจากไป

     

    ผมโทษตัวเองที่ตอนนั้นดูแลเขาไม่พอ

    รักเขาไม่พอ

     

    มันคงจะจริงที่เรามักจะรู้ค่าของสิ่งที่เสียไปเหมือนตอนที่มันไม่อยู่แล้ว

     

    ถ้าผมสามารถย้อนเวลาไปได้ผมจะไม่ทำให้เขาเสียใจแม้แต่นิดเดียว

     

    ผมคงไม่สามารถบอกรักเขาได้

     

    ผมคงไม่สามารถขอร้องให้เขากลับมาได้

     

     

    แต่....................................................

     

     

     

     

    ผมอยากจะ ขอ ให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขาสุดหัวใจ

     

     

     

     **** คนอยากเขียน TALK ****

    ไม่ได้แต่งฟิคมานานโข
    ฟิคอาจจะดูป่วงๆไปบ้าง
    ต้องขออภัยในความป่วงๆๆ ของมันด้วยจ้า

    ^___^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×