คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : :PaRalleL 8:
Chapter
8
กระสับกระสาย กังวลใจ เป็นห่วง
ความรู้สึกตอนนี้ของผมมันปะปนกันไปหมดจนผมแทบอยากจะวิ่งออกไปตามทั้งสองคนนั้นเดี๋ยวนี้เลย
แต่ติดอยู่ที่ว่าคุณทาคาโอะที่สั่งให้ผมอยู่เฉยๆ ซึ่งผมก็คงต้องทำตาม
เพราะอย่างน้อยเค้าก็ถือว่าเป็นหัวหน้าชั่วคราวของผม
"เป็นอะไรหรอครับ
หน้าเครียดเชียว" บุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น ผมเลยเงยหัวมองใบหน้าขาวที่มีแววเป็นห่วงอยู่น้อยๆ
อ่า... ผมลืมไปเลยว่ายังมีคนๆนี้อยู่ด้วย
"ป่าวครับ ไม่มีอะไร" ผมยิ้มแห้งๆส่งให้พี่ฮิมุโระ
ซึ่งดูจากสายตาแล้วพี่เค้าก็คงไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
"อร่อยมั้ย" ผมที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กระดกหัวขึ้นมองหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างมึนๆ
"ครับ?"
"เล็บที่กัดอยู่น่ะ
อร่อยมั้ย ^^"
ผมรีบชักมือเก็บอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าเผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บตามนิสัยที่เวลาเครียดมากๆจะทำแบบนี้โดยไม่รู้ตัว
"เรานี่ก็แปลก
สั่งเค้กมาให้กินดันไม่กิน ไปกินเล็บตัวเองซะงั้น ฮ่าๆ" ผู้ชายหน้าหวานตรงหน้าผมหัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดี
ผมก็อยากจะยิ้มตามนะ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ผมเครียดโคตรๆเลยอ่ะ
"ขอโทษครับ"
ได้แต่นั่งก้มหน้าแบบเดิมจนหัวแทบจะจมเข้าไปในโต๊ะแล้ว
"พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเราสักหน่อยนี่
เด็กน้อยเอ้ย!"
มือเอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆ
ก่อนจะกลับไปตักเค้กบราวนี่ของตัวเองเข้าปาก
แปลกแหะ พึ่งจะรู้จักกันแท้ๆ
แต่เค้าทำเหมือนรู้จักผมมานาน เหมือนเราสนิทกันจนเล่น
หัวได้เลย
นี่สินะที่เค้าเรียกว่ามนุษยสัมพันธ์ดี
น่าอิจฉานิดๆแหะ...
"ว่าแต่ทำไมพี่เธอไปนานจังล่ะ"
...ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วตูจะตรัสรู้มั้ยครับ
ทำไมไม่ถามกูเกิลดูล่ะ
"สงสัยจะยังไม่เสร็จธุระมั้งครับ"
ผมตอบเรียบๆ ก่อนจะดูดวานิลาเช็คในแก้วที่มันแทบจะละลายจนหมดเข้าปากช้าๆ
ในใจก็คิดไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
และกำลังจะเกิดต่อจากนี้ซึ้งมันจะออกมาดีหรือไม่ดีก็อาจทราบได้
ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่ทำแบบนี้?
"เธอได้ยินข่าวที่ว่ามีพ่อประกาศตามหาลูกที่หนีออกจากบ้านมั้ย?"
"ที่ว่าทะเลาะกับพ่ออย่างหนักน่ะหรอ
ชื่ออะไรนะฉันจำไม่ได้"
บทสนทนาของพนักงานสาวในร้านที่กำลังซุบซิบกันอยู่ใกล้ๆทำให้ผมเลิกคิ้วสงสัย
เพราะมันคล้ายๆเรื่องของผม แต่ผมอาจจะคิดมากไปเองล่ะมั้ง พ่อจะตามหาผมไปเพื่ออะไรล่ะ
ในเมื่อผมพยายามจะฆ่านังเด็กผีนั่นเชียวนะ
"นั่นไงๆ
ข่าวมาพอดีเลย"
ผมกำลังจะเลิกสนใจแต่เสียงใสๆของสาวพนักงานทำให้ผมหันควับไปมองจอสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่กับผนังร้านทันที
โทรทัศน์เครื่องหรูกำลังฉายภาพของผู้ชายคนหนึ่ง
คนที่ผมไม่เคยลืม คนที่ผมคิดถึงมาตลอด
เขากำลังให้สัมพาษท์นักข่าสาวด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้าจนผมใจหาย
"เท็ตสึยะ ตอนนี้ลูกอยู่ไหน
พ่อเป็นห่วงมากนะ กลับมาหาพ่อนะลูก พ่อขอโทษทุกเรื่องที่ผ่านมา
พ่อรู้แล้วว่าถ้าไม่มีลูกพ่ออยู่ไม่ได้จริงๆ ลูกคือสิ่งสุดท้ายที่พ่อเหลืออยู่นะเท็ตสึยะ
พ่อขอโทษ..."
หัวใจที่ตายด้านของผมกระตุกวูบกับประโยคบอกเล่านั้น
ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมจ้องใบหน้าที่อ่อนล้าผ่านจอสี่เหลี่ยม
แต่ดวงตาที่แดงก่ำและหยดน้ำสีใสที่คลออยู่ในดวงตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อนั้นผมกลับเห็นชัดเจน
มันทำให้หัวใจของผมบีบแรงจนปวดหนึบ อยากจะเข้าไปกอดแล้วบอกว่าอย่างร้องไห้
แต่ตอนนี้ผมคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมมาไกลเกินกว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
...ผมขอโทษ ผมรักพ่อนะ...
"คุโรโกะคุง..."
เสียงเรียกเบาๆทำให้ผมหลุดออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ผมค่อยๆหันหน้ามามองช้าๆ คนตรงหน้าผมขมวดคิ้วยุ่ง มือขวาของเขายกขึ้นมาแตะแก้มผมเบาๆ
"อย่าร้องไห้..." ผมปัดมือพี่ฮิมุโระออกแล้วก้มหน้านิ่ง
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน
ผมรู้แค่ว่าตอนนี้มันตื้อไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ
"เด็กที่ว่าน่ะ เธอสินะ คุโรโกะคุง..."
ผมสะดุ้งเล็กๆกลับคำถามของคนตรงหน้า จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะให้บอกตรงๆก็คงไม่ได้อีก ผมเลยได้แต่ก้มหน้าปิดปากเงียบ
"..........."
ความเงียบเข้าปกคลุมเราของคนจนผมอึดอัด ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้
อยากจะลุกหนีออกไปให้พ้นๆ ไม่อยากจะเจอหน้าใคร
"ไม่เป็นไรนะ..."
สัมผัสที่ศีรษะทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง คนตรงหน้าผมกำลังยิ้ม
มันเป็นยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสในขณะที่มือก็ลูบหัวผมไปมาเบาๆเหมือนกำลังปลอบโยน
"พี่จะไม่ถามอะไรแล้วล่ะนะ
ไม่ต้องห่วง" ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออก เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์เครื่องหรูที่คิเสะคุงซื้อให้ดังขึ้นพอดี
"ครับ?" ผมกดรับทั้งๆที่ไม่ได้ดูว่าใครโทรมา
[คุโรโกจจิอยู่ไหน!] เสียงคิเสะคุงสวนขึ้นมาด้วยความร้อนรนจนผมตกใจ
"ผมมาหาอะไรกินน่ะครับ
ว่าแต่คิเสะคุงปลอดภัยดีนะ"
[ช่างหัวฉันเถอะ ว่าแต่เรานั่นแหละหายไปไหนห๊ะ
คนอื่นเค้าเป็นห่วงแทบแย่นึกว่าโดนลากไปฆ่าแล้วซะอีก!!!] ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ
ฟังแล้วคิเสะคุงคงจะปลอดภัยดีแถมกำลังโมโหซะด้วยแหะ
"ขอโทษครับ
จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ" ผมกดวางสายทันทีที่พูดจบ ก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคน
เขายกยิ้มน้อยๆเหมือนจะรู้ว่าผมต้องการจะบอกว่าอะไร
"จะกลับแล้วสินะ
งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง" พี่ฮิมุโระทำท่าจะลุกขึ้นผมเลยรีบร้องห้ามเอาไว้
"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง ผมเดินไปเองได้ครับ"
ผมฝืนยิ้ม พี่ฮิมุโระเงียบไปสักพักก่อนจะนั่งลงที่เดิม
ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรหรอกนะ
แค่กลัวว่าถ้าคิเสะคุงกับคุณทาคาโอะเห็นจะเป็นเรื่องเอา เพราะผมดันไปไหนกับคนแปลกหน้า
เลยคิดว่ากลับเองน่าจะดีกว่า
"งั้นก็...
ระวังตัวด้วยนะ"
ผมโค้งน้อยๆก่อนจะเดินออกมา
รู้สึกตะหงิดๆกับคำบอกลาของพี่ฮิมุโระชอบกล แต่ช่างเหอะ ตอนนี้ผมต้องรีบไปให้เร็วที่สุด
………………………………………………………………
ฮิมุโระมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่วิ่งออกไปจากร้านนิ่งๆก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย
ถึงจะพึ่งเจอกันแต่เขากับถูกชะตากับเด็กคนนั้นแต่ในความรู้สึกฟุริดูที่มีให้มันกับแฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
มันทั้งสงสัย ระแวง จนแอบรู้สึกไม่ดีนิดๆ จนเจ้าตัวสับสนไปหมด
“โอ! ไอ้เราก็นึกว่าหนีไปตายที่ไหน
ที่แท้มาหาหนุ่มน้อยนี่เองน้า” เสียงที่ติดจะเบื่อๆของใครบางคนดังขึ้นก่อนที่ตัวโตๆจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาฝั่งตรงข้าม
มือขาวๆเอื้อมมาคว้าแก้วกาแฟจากมืออีกฝ่ายอย่างไม่ใยดีใบหน้าเรียบๆที่มองมา
“แหวะ! ขมตายชัก
กินเข้าไปได้ไงเนี่ยมุโรจิน” ใบหน้าเบื่อโลกเหยเกด้วยความขมก่อนจะเอาแก้วกาแฟยัดใส่มือคืนอีกฝ่าย
“ก็ฉันไม่ได้สั่งมาให้นายกินนี่
เจ้าโย่ง!” ไม่ว่าป่าว
มือเอื้อมมาดีดหน้าผากคนตัวโตแรงๆหนึ่งทีจนอีกฝ่ายร้องน้อยๆด้วยความเจ็บ
ก่อนจะยู่หน้า
“ฉีกโบท็อกใส่สมองรึไง
ทำไมมันถึงไม่มีรอยหยัก แค่จำชื่อมุราซากิบาระเนี่ยมันยากตรงหนายยยยย!” มือใหญ่จิ้มแรงๆไปที่หัวทุยของอีกคนอย่างหมั่นไส้ก่อนจะโดดกลับมานั่งที่เดิม
“เอาไว้นายเตี้ยกว่าฉันเมื่อไรจะเรียกมุราซากิบาระ
ล่ะกันนะ ^^” พูดจบก็ยกยิ้มกวนประสาทจนคนตัวใหญ่เบ้ปากใส่
ก่อนหันไปกวักมือเรียกพนักงานสาวประจำร้าน
“รับอะไรดีค่ะ^^”
พนักงานสาวยิ้มหวานให้มุราซากิบาระน้อยๆ
แล้วหันหน้าไปฉีกยิ้มกว้างอวดขี้ฟันให้ฮิมุโระแทน
“คนจะสั่งอยู่นี่คร้าบ”
มุราซากิบาระถอนหายใจมองหน้าฮิมุโระอย่างเซ็งๆ
“ค่ะ รับอะไรดีคะ”
เธอหันมายิ้ม
“เอาโกโก้ปั่น เค้กช็อคโกแลต
เค้กบราวนี่ ช็อคบอล การ์โตร์เมอแรงค์ เลเยอร์เค้กด้วย” พนักงานจิ้มๆไปที่เครื่องรับเมนูก่อนจะโค้งน้อยๆแล้วหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากแทน
มุราซากิบาระก็ได้แต่นั่งเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
“ไม่เอา ไม่หึงดิ”
ฮิมุโระยกยิ้มกวนประสาทก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมสีม่วงนุ่นสลวยอย่างหมั่นเคี้ยว
“หึงอะไรเล่า
แค่รำคาญเฉยๆ” มุราซากิบาระแยกเคี้ยวใส่
ก่อนจะปัดมือที่ขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงออกอย่างแรงแต่อีกคนก็เอาแต่หัวเราะร่างด้วยความสนุกที่ได้แกล้งคนตัวใหญ่
“คนมันหล่ออ่ะนะ
ช่วยไม่ได้”
“หลงตัวเองจริงๆเลยนะมุโระจิน”
มุราซากิบาระส่ายหัวน้อยๆเลิกสนใจคนที่เอาแต่ยิ้มหน้าบานแล้วล่วงโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาจิ้มเล่นแทน
ส่วนคนถูกเมินก็เท้าคางมองใบหน้าของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หูคนใหม่นิ่งๆ
ใช่แล้ว...
พวกเขาเองก็เป็นคนของโลกเบื้องหลัง มองเผินๆเหมือนจะเป็นแค่เด็กธรรมดาๆไม่มีพิษภัย
แต่ใครจะรู้ว่าที่จริงแล้วทั้งคู่เป็นถึงนักฆ่ามีอันดับขององค์กรที่มีชื่อว่า ‘โครนอส’ หนึ่งในสามมหาอำนาจของโลกเบื้องหลัง
ส่วนหน้าที่ก็คงไม่ต้องสงสัย ขึ้นชื่อว่านักฆ่า มันก็ต้องฆ่า
ฆ่าคนที่เป็นศัตรูขององค์กร และทำทุกอย่างตามคำสั่ง
ฮิมุโระก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกปลูกฝังเรื่องการฆ่ามาตั้งแต่เด็ก
ถูกฝึกให้จับอาวุธแทนของเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ถูกสั่งสอน ถูกปลูกฝั่งต่างๆนาๆ
ถูกทรมานจนเกิดจิตใจที่ด้านชาต่อการฆ่าฟัน ซึ่งมันต่างจากคนตัวสูงที่กำลังนั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ตอนนี้
เขาไม่ได้ถูกฝึก ไม่ได้ถูกจับยัดความคิดเรื่องการฆ่าใส่สมอง เขาสามารถเรื่องรู้ทุกอย่างได้ด้วยดวงตาและสัญชาตญาณ
และที่สำคัญ เขาไม่เคยลังเลที่จะฆ่าใคร เพราะทุกอย่างคือเรื่องสนุกสำหรับคนคนหนึ่ง
“นี่...”ฮิมุโระเปิดปากพูดหลังจากนั่งเงียบๆมองคนตัวสูงเล่นเกมพลางล้วงจนมห่อใหญ่ที่ติดมือมาเข้าปากอยู่นานสองนาน
“หืม?” มุราซากิบาระล่ะสายตาจากจอโทรศัพท์แล้วเงยหน้ามองคู่หูตัวเอง
“เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่... ฉันเจอคนของ ‘วาสท์เนซ’ ด้วย” ฮิมุโระทำหน้าเครียดมองหน้าอีกฝ่าย
“หรอ...
บังเอิญดีเนอะ ฉันก็เจอคนของวอลันเทียร์เหมือนกัน...” มุราซากิบาระวางโทรศัพท์ลงก่อนจะท้าวคางมองหน้าฮิมุโระกลับ
เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานสาวยกของมาเสิร์ฟพอดี มุราซากิบาระหันไปพยักหน้ารับ
เธอโค้งตอบแล้วยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินจากไป
“แปลกแหะ
ที่จู่ๆคนของสามมหาอำอาจจะบังเอิญมาเจอกันแบบนี้...” ฮิมุโระบอก
“มันก็มีอยู่หลายกรณีอ่ะนะ
อาจจะแค่บังเอิญหรืออาจจะมีเป้าหมายเดียวกันก็ได้ ตัวอย่างเช่น...” มุราซากิบาระค่อยๆหันหน้าออกไปนอกร้านที่เริ่มมีพนักงานของบริษัทแถวๆนั้นออกมาพักกลางวัน
“กำจัดไอ้แก๊งกระจอกๆนั่นสินะ!”
ฮิมุโระพูดเสริม ทั้งคู่ค่อยๆหันหน้ามาสบตากันก่อนจะยกยิ้ม
“กะอีแค่แก๊งเล็กๆ
แต่ดันกระตุกหนวดเสือตั้งสามตัวพร้อมกันแบบนี้ คงไม่ได้มีแผนอะไรหรอกน้า” มุราซากิบาระพูดอย่างสบายใจก่อนจะดูดโกโก้ปั่นที่สั่งมาเข้าปาก
แล้วเอาหลอดไปจ่อปากอีกคนเป็นเชิงว่าให้กินด้วยกัน ฮิมุโระที่ไม่อยากขัดใจเด็กดื้อก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วทำตามอย่างว่าง่าย
“น่าสนุกแหะ
ดีไม่ดีเราอาจจะได้เพื่อนต่างองค์กรก็ได้นะ
แบบร่วมมือกันถล่มไอ้แก๊งกระจอกนั่นให้เละไปเลยแบบเนี่ย คิดแล้วสนุก ว่าม่ะ”
ฮิมุโระที่นั่งยิ้มอยู่คนเดียวก็หันไปขอความเห็นอีกคนที่นั่งนิ่งมองตัวเองอยู่เงียบๆ
“เพื่อนหรอ...
สำหรับนักฆ่าอย่างเราคงไม่มีคำนั้นหรอกมั้ง
ในโลกของเราน่ะมันไว้ใจใครไม่ได้หรอกนะ... แม้แต่ตัวฉันเอง วันหนึ่งถ้าฉันคลั่งเมื่อไร
มุโระจินอาจจะโดนฆ่าเป็นคนแรกก็ได้นะ!” มุราซากิบาระมองหน้าคนตัวเล็กนิ่งๆ
อีกฝ่ายหุบยิ้มทันทีก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“ไม่หรอก... ถึงมนายจะชอบแกล้ง
หรือบางครั้งจะชอบบ่นชอบขี้เกียจ แต่ยังไงฉันก็เชื่อใจนายนะ เพราะฉันมีแค่นายนี่น่า
มีแค่นายที่คอยอยู่ข้างๆตลอดไม่ว่าฉันจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นไม่ว่านายจะเลวร้ายแค่ไหนฉันก็จะอยู่ข้างนาย
ไม่ว่านายจะชอบหรือไม่ก็ตาม ^_^” ฮิมุโระเดินอ้อมไปกอดคออีกคนที่ยังคงนั่งนิ่ง
ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คนหัวใหญ่เผลอขยี้กลุ่มผมนุ่มนั้นจนยุ่งเหยิงแล้วหัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจ
จนโดนคนตัวสูงตวัดสายตาดุๆมาให้
เด็กโข่งอย่างนายนี่มัน...
น่าแกล้งชะมัด!
...................................................................................
[KUROKO’S
PART]
20.34 น.
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
ทั้งผมคิเสะคุงและคุณทาคาโอะมานั่งรวมกันอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องเพื่อรอใครบางคนกลับมา
ซึ่งอันที่จริงกะจะไปเที่ยวกันตามที่นัดไว้เมื่อเช้าแต่รู้สึกตอนนี้คงไม่มีอารมณ์ไปทำอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่กลับมาจากที่นั่นก็เอาแต่ทำหน้าเครียดกันใหญ่เลย
“มีอะไรกันรึป่าวครับ!”
ผมถามออกไปอย่างเก้ๆกังๆหลังจากต้องทนสงสัยมานานแสนนาน จนตอนนี้จะไม่ทนครับบอกเลย
“เอาไว้รุ่นพี่ฮิวงะมาเมื่อไรค่อยพูดทีเดียวล่ะกันนะ”
คุณทาคาโอะหันมาตอบ ผมเลยได้แต่พยักหน้าเข้าใจ
ท่าทางจะเป็นเรื่องภารกิจแหง่ๆเลย...
แก็ก!
พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงจากประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของคนสองคนเดินเข้ามา
คุณฮิวงะดูจะเหนื่อยๆเดินมานั่งลงข้างๆคิเสะคุง ต่างจากอีกคนที่เอาแต่ล้วงกระเป๋าใส่หูฟังหน้าตาบอกบุญไม่รับเดินแบบไม่คิดจะทักทายใคร
จะมีก็แต่สายตาเย็นๆที่เหลือบมองมาที่คุณทาคาโอะน้อยๆแล้วหันกลับไปเปิดประตูเข้าห้องตัวเองอย่างไม่ใยดีทั้งที่คุณทาคาโอะก็ยิ้มให้แท้ๆ
“เฮ่อ~~~!” ผมแอบได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากคนที่โดนเมินอย่างคุณทาคาโอะเลยหันไปยิ้มให้
เหนื่อยใจแทนบอกเลย...
“จะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะเนี่ย!”
คุณฮิวงะพูดขึ้นก่อนจะคว้าคอคิเสะคุงที่นั่งอยู่ข้างๆมากอดแล้วขยี้หัวแรงๆจนโดนอีกคนโวยใส่
“ก็พอรู้ว่ารุ่นพี่ฮิวงะไม่ได้ไปกะเด็กพวกนี้ด้วยก็เลยรีบมาน่ะ
ไม่ได้บอกใครเลยเหมือนกัน” คุณทาคาโอะพูดไปยิ้มไปอย่างเป็นกันเอง
“แม้แต่คุณมิโดริมะก็ไม่ได้บอกหรอ...?”
คุณฮิวงะที่ยังกอดคอคิเสะคุงพร้อมลูบหัวเบาๆราวกับเป็นลูกแมวถามเรียบ
คนถูกถามถึงกลับหุบยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ
“นายนี่จริงๆเลยน้า
ดื้อชะมัด เหมือนเด็กบ้านนี้ไม่มีผิด” พูดจบมือขาวๆก็โขกหัวคนที่กอดคออยู่แรงๆจนเกือบจะโดนอีกคนสวนหมัดกลับแต่ยังดีที่หลบทัน
ไม่งั้นหน้าแหกนี่บอกเลย
คนที่นี่เค้าหยอกกันแรงนะครับ
= =
“แล้ววันนี้ได้ไรมาบ้าง
ไหนรายงานดิ!” แล้วจู่ๆหันมาทางนี้ทำไมครับ
“คือ... เอ่อ...”
ถ้าบอกว่าไม่ได้ทำไรเลยจะโดนฆ่าหมกโซฟามั้ย คิเสะคุงช่วยผมด้วย
ผมได้แต่นั่งใบ้กินหันไปสบตากับคิเสะคุง
แล้วดูเหมือนจะรู้ว่าผมจะสื่ออะไรเลยยกยิ้มเบาๆแล้วล้วงเอาแล็ปท็อปเครื่องเล็กพกพาสะดวกขึ้นมาเปิด
คลิกนู่นกดนี่อยู่สะพักแล้วหันหน้าจอไปให้คุณฮิวงะดู
“ผมไปแฮ็กเอาพิมพ์เขียวของตึกนั้นมาเรียบร้อยล่ะ
เพราะฉะนั้นเรื่องเส้นทางหายห่วง ข้อมูลเป้าหมายก็เรียบร้อย
ล็อคเป้าเรียบร้อยไม่ผิดตัว แล้วดูถ้าทางนั้นเองจะรู้ตัวแล้วด้วยว่าโดนหมายหัว
ดูจากการที่จ้างนักฆ่าฝีมือดีมาคุ้มกัน!” ผมนั่งฟังคิเสะคุงพูดเงียบๆ
คนที่เหลือก็ทำหน้าเครียดกันไปหมด
“กี่คน?” คุณฮิวงะถาม
“ถ้าไม่รวมที่มีอยู่ในแก็งก็ห้าคน!”
คุณทาคาโอะตอบ
“แล้วถ้ารวม?”
“ก็... สิบกว่าคน!”
“ทางเรามีสาม...
ถ้าตัดคิเสะที่เป็นฝ่ายข้อมูลก็เหลือสอง ซึ่งหนึ่งในสองก็ไม่มีประสบการณ์
ก็เท่ากับว่า...สิบต่อหนึ่ง” คุณฮิวงะหน้าเครียดขึ้นมาจนผมใจหาย
ก็จริงอยู่ที่ผมไม่มีประสบการณ์เลย
มันเท่ากับว่าทั้งหน่วยเหลือคุณฮิวงะคนเดียว จะทำไงดี เวลาแบบนี้ผมกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักอย่าง...
“อย่าพึ่งพาคนอื่นเครียดดิหัวหน้า
ดูหน้าน้องด้วยจะร้องไห้อยู่แล้วนั่น!” คิเสะคุงชกเบาๆไปที่ต้นแขนของคุณฮิวงะก่อนจะเขยิบๆเข้ามากอดไหล่ผมไว้หล่วมๆเป็นเชิงปลอบใจ
ไม่ได้จะร้องไห้สักหน่อยนี่...
ผมคิดในใจ คิเสะคุงยิ้มน้อยๆก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ
“ที่จริงผมออกแนวหน้าก็ได้นะหัวหน้า”
คิเสะคุงหันไปบอก
“พอเลยแกน่ะ
นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะเว้ย!”
“ก็ใครบอกว่าใช่ล่ะ...
เออ มีอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอก!” คิเสะคุงเอื้อมมือไปคว้าแล็ปท็อปที่อยู่ตรงหน้าคุณฮิวงะมากดไล่หาไฟล์อะไรสักอย่างอยู่สักพักก่อนจะหันกลับไป
“ในไฟล์ข้อมูลที่ผมไปแฮ็กมาน่ะ
ไม่ได้มีแค่องค์กรเราที่มันเป็นหนอน!” คิเสะคุงใช้นิ้วจิ้มๆไปที่จอเป็นเชิงว่าให้ดูตรงนี้ก่อนจะไล่ลงไปเรื่อยๆ
“นี่มัน...”
คุณฮิวงะขมวดคิ้วจ้องไปที่จอสี่เหลี่ยมเล็กๆ
“ใช่...
ทั้งวอลันเทียร์ของเรา วาสท์เนซ และโครนอส รู้สึกมันจะเป็นหนอนให้ทั้งสามองค์กร
เอาข้อมูลขององค์กรหนึ่งมาขายให้อีกสององค์กร สลับกันไปมาจนยุ่งเหยิง!” คุณทาคาโอะอธิบาย
“ก็นั่นแหละ
พอเรื่องมันแดงขึ้นมาก็เลยโดนสามมหาอำนาจเพ่งเล็งพร้อมกัน
มันเลยกลายเป็นว่าไม่ได้มีแค่เราที่คิดลบล้างมัน... พูดแบบนี้พอจะเข้าใจมั้ย”
คิเสะคุงพูดเสริมก่อนจะหันมามองหน้าผม
ที่อธิบายมาทั้งหมด
แปลแบบรวบรัดก็เท่ากับว่าเราได้กำลังเสริมแบบฟรีๆสินะ...
“ปิ้งป่อง!
อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ เราจะได้กำลังเสริมแบบฟลุ๊คๆ
ซึ่งมีแต่พวกฝีมือดีทั้งนั้นจากแต่ละองค์กร” คิเสะคุงยกยิ้มแล้วขยี้หัวผม
“แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียนะ
ถึงจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ยังไงศัตรูก็คือศัตรู มีสิทธิ์จะโดนรอบกัดได้ทุกเมื่อ!”
คุณทาคาโอะพูดแทรกขึ้นมา
“เรื่องนั้นก็รู้อยู่แล้วล่ะ
แต่นักฆ่าอย่างเราก็มีจรรยาบรรณนะ ไม่ทำอะไรนอกเหนือภารกิจหรอก
อาจจะมีเขม่นกันบ้างเล็กน้อยตามประสา แต่เดี๋ยวค่อยไปซัดกันนอกรอบก็ได้”
คิเสะคุงพูดไปยิ้มไปเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แต่ผมว่าข้างในจริงๆแล้วต้องแอบเครียดบ้างล่ะ
แค่ไม่อยากแสดงออกให้คนอื่นเครียดหนักกว่าเดิมแค่นั้นแหละ
“ถ้าไม่มั่นใจ
จะดึงฟุริฮาตะคุงกลับมาร่วมภารกิจมั้ยล่ะ เดี๋ยวคุยกับมิโดริมะให้!” ทุกคนหันขวับกลับไปจ้องหน้าคุณทาคาโอะทันทีที่ประโยคก่อนหน้ามันลอยมาเข้าหู
“ได้หรอ!” คิเสะคุงยิ้มอย่างมีความหวัง สายตาเป็นประกาย
“ก็ไม่แน่ใจอ่ะนะ
แต่จะลองคุยให้!” คุณทาคาโอะยิ้ม มันเป็นยิ้มที่ทำให้ผมมีความหวังสุดๆ
อย่างน้อยก็ตอนนี้อ่ะนะ จะได้ไม่ได้ก็อยู่ที่คุณมิโดริมะแล้วล่ะ
ขอให้ได้ทีเถอะ...
คิเสะคุงหันมายิ้มให้ผมแล้วลูบหัวเบาๆ
ผมเลยยิ้มตอบน้อยๆ ก็มีแต่คนคนนี้ล่ะนะที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอยู่ตลอดเหมือนเวลาที่อยู่กับแม่ไม่ผิดเลย
มันทำให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาก็ได้คิเสะคุงที่ช่วยตลอด
คราวนี้ล่ะ เราจะต้องทำอะไรเพื่อคิเสะคุงบ้าง อย่างน้อยก็ในภารกิจ ไม่ต้องให้คิเสะคุงมาออกแนวหน้าล่ะนะ
“หมดเรื่องรายงานแล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อนเถอะนะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงลุย!” คุณทาคาโอะบอกยิ้มๆก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที
“จะไปไหนอ่ะ!”
คิเสะคุงหันไปถาม
“ก็กลับไง...
แต่อันที่จริงก็จะไปหาอะไรกินก่อนอ่ะนะ ฮ่ะๆ”
“นอนนี่ก็ได้นะ
เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน”
“ไม่เป็นไร ต้องไปทำงานที่ค้างต่อพอดีน่ะ
ไอ้คุณมิโดริมะของพวกเธอสั่งมาอ่ะนะ” คุณทาคาโอะเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายและกุญแจรถของตัวเองแล้วเดินไปที่ประตู
“แล้วเจอกันใหม่นะ!”
ฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ผมอย่างสดใสจนผมยังอดยิ้มตามไม่ได้
“แล้วเจอกันใหม่นะครับ
ขอบคุณสำหรับวันนี้!” ผมลุกขึ้นยืนแล้วโค้งน้อยๆให้เป็นการเคารพ
คุณทาคาโอะโบกมือลาแล้วเปิดประตูออกไปทันที
“ฉันเข้าห้องก่อนนะ
เมื่อยมาทั้งวันล่ะ พวกแกเองก็ไปอาบน้ำนอนเลยเดี๋ยวนี้ ไปๆ!” ไม่พูดป่าว ฝ่ามือขาวก็พยายามงัดคิเสะคุงที่นอนรวมเป็นเนื้อเดียวกับโซฟาให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากจนผมต้องไปช่วยอีกแรงถึงจะยอมลุกขึ้น
ถึงตัวจะโตกว่า
แต่นิสัยดูจะเด็กกว่าเราอีกแหะ...
“ได้ยินนะเฟ้ย = =!”
คิเสะคุงหันขวับมาคว้าคอผมก่อนจะขยี้หัวจนยุ่งเหยิงแล้วหัวเราะเยาะอย่างชอบอกชอบใจ
“พวกแกนี่น้า -_-”
คุณฮิวงะเกาหัวแกรกๆก่อนจะเดินแยกไปเข้าห้องตัวเอง ผมเลยเดินจูงมือคิเสะคุงเข้าห้องตัวเองบ้างเหมือนกัน
พรุ่งนี้แล้วสินะ
ตื่นเต้นชะมัด ขอให้ผ่านไปด้วยดีเถอะนะ...
TBC.......
----------------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าบุคคลสำคัญจะมีบทบาทแล้วหลังจากที่เงียบมาหลายตอน5555
เตรียมซื้อกรรไกรมาบูชาได้เลย อาจจะมีปะทะคารมกับชิวาว่าก็เป็นได้ หิหิ
ปล.รูปแหกมากกก55555555
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น