คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : :PaRalleL 6:
CHAPTER 6
22.30 น.
ผมนั่งอ่านข้อมูลรายละเอียดต่างๆทั้งในใบเอกสารและคอมของคิเสะคุงอยู่บนโซฟา
มีบ้างที่ผมไม่เข้าใจก็มีคิเสะคุงคอยอธิบายและชี้แจงอยู่ข้างๆ ในขณะที่คุณฮิวงะนอนดูทีวีอยู่บนโซฟาตัวยาวอีกตัว
มีแต่เรื่องเลวร้ายทั้งนั้นที่ถูกบันทึกไว้ในเอกสาร
จนผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำภารกิจนี้ได้รึป่าว เพราะถ้าพลาดไม่ใช่แค่ผมจะเจ็บ
แต่ทั้งคิเสะคุงและคุณฮิวงะก็อาจจะเจ็บไปด้วย และถึงจะรอดจากการโดนฝ่ายศัตรูฆ่า
กลับมาก็อาจจะโดนคุณซึงโฮทำโทษอยู่ดี
มีแค่ทางเลือกเดียวคือต้องทำให้สำเร็จ....
“มันหายไปไหนของมันวะเนี่ย!” จู่ๆคุณฮิวงะก็โพลงขึ้นมาเสียงดังก่อนจะกดรีโมทปิดทีวีอย่างหัวเสีย
ผมสีดำถูกขยี้จนยุ่งเหยิงก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว
หมายถึงฟุริฮาตะคุงสินะ...
“จะไปไหน!” คิเสะคุงถามขึ้นเมื่อเห็นคุณฮิวงะเดินไปคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนเคาวเตอร์
“ออกไปตามฟุรินะสิ
ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก โทรไปก็ปิดเครื่อง ป่านนี้โดนลากไปฆ่าแล้วมั้ง!”
“นั่นปากหรอน่ะ!
โคคิจจิโตแล้วนะ อาจจะอยากไปเที่ยวบ้างไรบ้าง
เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละน่า” คิเสะคุงทำหน้าเอื่อมๆแล้วหันกลับมาสนใจกระดาษในมือต่อ
คุณฮิวงะฟึดฟัดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินกระแทกเท้าตึงตังมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม
แถมทำหน้าบูดเหมือนลูกสาวที่โดนแม่ไม่ให้ออกไปเที่ยวไม่มีผิด
“ถ้ามันเป็นอะไรไปฉันจะฆ่าแก” คุณฮิวงะจ้องหน้าคิเสะคุงทีเล่นทีจริงแต่คนถูกจ้องกลับยกยิ้มน้อยๆแล้วหันหน้าไปมอง
“ถ้ามันกระจอกขนาดนั้นคงอยู่ไม่ถึงตอนนี้หรอกนะหัวหน้า!”
คุณฮิวงะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอนราบบนโซฟา
ผมกับคิเสะคุงก็หันมาอ่านข้อมูลต่ออย่างตั้งใจ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแต่พอมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงโทรศัพท์ของคิเสะคุงดังขึ้นมา
คนตัวเล็กรีบคว้ามือถือแล้ววิ่งเข้าไปในห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว
ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนโทรทำไมคิเสะคุงถึงต้องแอบคุยขนาดนั้นด้วย
หรือว่าจะเป็นแฟน...
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆออกไปแล้วเอนตัวลงนอนกับโซฟา
หันไปมองอีกฝั่งก็เห็นคุณฮิวงะนอนหลับพลิ้วอย่างมีความสุขไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ผมถอนหายใจหนักอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะหลับตาลง
นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ทำงานที่มันหนักสมองขนาดนี้
แถมยังมีอะไรหลายๆอย่างคอยกดดันอีกต่างหาก มันเหนื่อยใช่เล่นเลยแหะ
แต่ถ้ามองอีกมุมมันก็มีความสุขนะที่ได้หลุดพ้นจากวงจรบัดซบในอดีต
‘มีความสุขมากเลยหรอ....
หึหึหึ!’
ผมลืมตาโพลงเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงเย็นๆที่เหมือนกับผมดังขึ้นในโสตประสาท
หัวใจเต้นรัวมองซ้ายหันขวาอย่างตื่นตระหนก เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นมาตามใบหน้า
‘สุขซะให้พอ เพราะต่อจากนี้นายจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป....
หึหึหึ’
เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงดังระงมอยู่ในโสตประสาทจนต้องยกมือขึ้นปิดหู
“ไม่นะ!”
ผมหลับตาปรี๋เมื่อเสียงหัวเราะมันดังขึ้นเรื่อยๆจนเหมือนมันมาดังอยู่ข้างหู
สมองปวดหนึบๆราวกับมีคนเอามือมาบีบ สัมผัสอุ่นๆที่ฝ่าทั้งสองข้างที่ปิดหูอยู่ทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอถอยหลังจนแนบกับผนักโซฟาพลางก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
“ออกไปจากชีวิตฉันสักที!!!” ผมตวาดลั่น มือไม้สั่นไปหมด
ฝ่ามือที่บีบมือของผมอยู่ถูกคลายออกก่อนที่ร่างของผมจะถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน
“ปล่อยฉัน!!!” ผมรัวมือทุบอกใครก็ตามที่กอดผมอยู่ตอนนี้อย่างแรง
“ตั้งสติดีๆสิ
นี่ฉันเองนะ ฮิวงะไง!”
น้ำเสียงอ่อนโยนของคนที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหูพร้อมๆกับข้อมือที่ถูกรวบ
ผมหยุดดิ้นแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา
“ลืมตาสิ เป็นอะไรไป!”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะเงยหน้ามองบุคคลที่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด
ใบหน้าสวยส่งยิ้มมาให้ผมอย่างอ่อนโยน
มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับคนๆหนึ่งที่ผมโหนหามาตลอด
แม่...
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าลงก่อนที่อ้อมกอดจะถูกคลาย ฝ่ามือเรียวเอื้อมมาลูบหัวผมเบาๆ
“เขาคนนั้นแผลงฤทธิ์อีกแล้วหรอ!” ผมเงยหน้ามองคุณฮิวงะที่ยังคงยิ้มมาให้
ไม่รู้จะตอบยังไงก็ได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ
“ทำไมไม่ลองปล่อยออกมาล่ะ!”
“ไม่ได้หรอกครับ
เพราะผมจะคุมมันไม่อยู่!” ผมตอบเสียงแผ่วเบา
“งั้นหรอ
แต่ถ้าฉันเป็นนายฉันจะลองปล่อยมันออกมานะ
เพราะถ้าเอาแต่เก็บไว้นานๆไปยังไงมันก็ต้องมาออกมาอยู่ดี สู้ปล่อยมันออกมาตอนนี้แล้วหาทางควบคุมมันแต่เนิ่นๆ
ดีกว่าปล่อยให้มันออกมาเองแล้วเราไม่รู้วิธีจัดการ แบบไหนมันดีกว่ากันล่ะนายว่า!”
มันก็ถูกอย่างที่คุณฮิวงะว่าล่ะนะ
แต่ผมกลัวน่ะสิ กลัวว่าถ้ามันออกมาแล้วผมจะคุมมันไม่ได้
กลัวว่ามันจะไปทำร้ายใครเข้า
“อย่าลืมซินายไม่ได้อยู่คนเดียว
อย่างน้อยตอนนี้ข้างๆนายก็มีฉัน
ถ้ามันออกมาแล้วนายคุมไม่อยู่จริงๆฉันจะเป็นคนลากสตินายกลับมาเอง!” รอยยิ้มที่สดใสของคุณฮิวงะทำให้ผมอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณมากนะครับ!” ผมยิ้มตอบ ก่อนจะโดนฝ่ามือเรียวขยี้หัวจนยุ่งเหยิงพร้อมกับเสียงห้าวๆของคุณฮิวงะที่กระโดดไปนั่งหัวเราะอยู่ที่เดิมพลางชี้มาที่หัวผม
“หน้านายโคตรจี้เลยวะ
ฮ่าๆๆ”
“อย่าหัวเราะสิครับ” ผมจับหมอนที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาปาใส่คุณฮิวงะที่ยังไม่หยุดหัวเราะสักทีก่อนจะรีบจัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่
“อ้าว! คิเสะไปไหนมาวะ แล้วทำไมทำหน้าเป็นพะยูนขาดน้ำแบบนั้นล่ะ!” คุณฮิวงะทักขึ้นขณะเช็ดน้ำใสๆที่ปริ่มอยู่ตรงหางตาออก
พลางจ้องไปที่ร่างเล็กที่เดินมานั่งลงที่โซฟาข้างผม
“ป่าวหรอก” คิเสะคุงตอบนิ่งๆ
ใบหน้าหวานที่เคยสดใสตอนนี้กลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดจนผมสงสัย
มันอาจจะเกี่ยวกับโทรศัพท์ที่โทรเขามาก็ได้เพราะก่อนหน้านี้คิเสะคุงยังปกติอยู่เลยแท้ๆ
ปัง!!!
เสียงกระแทกประตูเข้ามาอย่างดังทำให้ผมสะดุ้งโหยงหลุดออกจากวงจรความคิดอย่างรวดเร็ว
สายตาสามคู่จับจ้องไปยังร่างที่กำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าประตูก่อนจะเดินเข้ามาเงียบๆอย่างไม่คิดจะทักทายใครเลยสักคนเดียว
“ไปไหนมา?” เสียงของคุณฮิวงะทำให้ร่างที่กำลังเดินไปที่ประตูห้องของตัวเองชะงักฝีเท้า
“ไม่เกี่ยวกับคุณ...” ตอบเรียบๆโดยที่ไม่หันหน้ามามองก่อนจะเปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไปทันที คุณฮิวงะทำท่าจะลุกตามไปแต่โดนคิเสะคุงห้ามไว้ซะก่อน
“มันอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีก็ได้
ปล่อยมันอยู่คนเดียวเหอะหัวหน้า!”
เย็นชาเกินไปรึป่าว...
คนอื่นเขาอุตส่าเป็นห่วงแท้ๆเลย
แต่ดันทำเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกของใครแบบนั้นมันน่าโมโหชะมัดเลย
“เฮ่อ” คุณฮิวงะถอนหายใจหนักๆก่อนจะเดินเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเองเงียบๆ
ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับคิเสะคุงสองคน
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวจนผมเริ่มจะอึดอัด
เลยเบนเป้าหมายไปทางเอกสารที่อ่านค้างไว้ก่อนหน้าขึ้นมาอ่านต่อ ในขณะที่คิเสะคุงเอาแต่นั่งมองโทรศัพท์ในมือนิ่งๆ
“คิเสะคุงไปนอนก่อนก็ได้นะครับ
สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
ผมพูดแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบ คิเสะคุงหันมามองหน้าผมยิ้มๆ
มันเป็นยิ้มที่เหมือนจะสดใสแต่มันกับแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กๆ
“งั้นหรอ!” คิเสะคุงหลุบตาลงต่ำ
“มีอะไรรึป่าวครับ” ผมถามออกไปตรง คิเสะคุงยกยิ้มก่อนจะหันมาตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า
แค่เหนื่อยๆน่ะ สงสัยนอนไม่พอล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ!”
พูดจบก็หัวเราะแห้งๆก่อนจะยืนบิดขี้เกียจ
“งั้นฉันไปนอนก่อนนะ
นายเองก็อย่าฝืนล่ะ พรุ่งนี้ยังมีงานสำคัญรออยู่!”
“อ่านนี่จบก็ไปอาบน้ำนอนแล้วล่ะครับ” ผมชูกระดาษที่อยู่ในมือขึ้น คิเสะคุงก้มลงขยี้หัวผมเบาๆก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้องไป
ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะว่าคิเสะคุงกำลังเศร้า
แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเท่านั้นเอง รู้สึกไม่ค่อยดีเลยนะที่เห็นคิเสะคุงเป็นแบบนั้น
ผมเองก็อยากจะช่วยอะไรได้บ้างเหมือนกัน เพราะคิเสะคุงช่วยผมไว้ตั้งหลายอย่างในขณะที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย
ได้แต่นั่งมองคิเสะคุงทุกข์ใจอยู่เงียบๆเท่านั้น
.........................................................................
แก็ก~~ แก็ก~~
เสียงอะไรบางอย่างที่ดังเข้ามาในโสตประสาททำให้ร่างที่นอนหลับพลิ้มอยู่บนเตียงได้สติ
เปลือกตาสีมุกค่อยๆปรือขึ้นช้าๆก่อนจะมองไปรอบๆห้องที่มีแสงสลัวๆจากพระอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าส่องเข้ามาตามร่องม่าน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปทั่วห้องก่อนจะพบกับร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงโซฟามุมห้อง
“ทำอะไรน่ะ?” ฮิวงะถามเหมือนเห็นชัดๆว่าคนๆนั้นคือใครก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมองผู้ใต้บัญชาของตัวเองที่ยังไม่ยอมเปิดปากตอบ
“ฟุริ...?” เสียงเรียกที่เพิ่มระดับขึ้นทำให้อีกคนถึงกับถอนหายใจ
ค่อยๆหันกลับมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แก้ว...”
เจ้าตัวพูดนิ่งๆก่อนจะชี้ไปที่แก้วสีดำที่ยังมีร่องรอยการใช้งานเป็นคราบติดอยู่แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวไว้ที่หูยกขึ้นมาแล้วจ้องไปที่หัวหน้าของตัวเอง
“....ของผม!” เขาพูดเรียบๆ คนถูกมองถึงกับยิ้มแห้งๆเพราะตอบอะไรไม่ถูก
“คือว่า...
ฉันหาแก้วตัวเองไม่เจออ่ะนะ เลย...!”
“ซื้อให้ใหม่ด้วย...!” ฮิวงะพูดยังไม่ทันจบก็โดนอีกฝ่ายตัดบททันทีก่อนจะเดินดุ่มๆออกจากห้องไป
ในใจกะจะเรียกเอาไว้เพื่อจะขอโทษ แต่เขารู้ดีว่าเด็กที่เกลียดการใช้ของร่วมกับคนอื่นแบบฟุริไม่มีทางฟังแน่นอน
เลยได้แต่นั่งปลงตกในความผิดพลาดของตัวเองอยู่บนเตียงเพียงลำพัง
05.31 น.
เหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องก็ต้องแปลกใจ
เพราะปกติเวลาเช้าขนาดนี้ไม่น่าจะมีใครตื่นยิ่งเป็นฟุริยิ่งแล้วใหญ่
รายนั้นตื่นทีไม่ต่ำกว่าสิบโมง แต่วันนี้กับตื่นก่อนชาวบ้านเค้าเลย
มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
คิดมากไปรึป่าววะ...
“หาว~~~!” หาวไปทีหนึ่งแล้วเอนหลังลงนอนต่อ
นอนคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยแล้วเผลอตัวหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่เสียงฟ้าร้องแล่นแปลบเข้ามาในหูเลยจำใจต้องลุกขึ้น
นั่งเกาหัวอยู่สักพักแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าคว้าเอาผ้าขนหนูออกมา
“ทำไมมันเบลอๆวะช่วงนี้” พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านพร้อมๆกับประตูกระจกเลื่อนที่เชื่อมระหว่างระเบียงห้อง
แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆสีเทาและหยาดฝนที่ไม่รู้ตกลงมาตั้งแต่ตอนไหน
“ฝนตกหน้าหนาวหรอเนี่ย
ทำไมไม่เป็นหิมะวะ... อิฝนบ้าทีอยากให้ตกดันไม่ตก” ฮิวงะบ่นอุบอิบอย่างหัวเสียก่อนจะก้าวถอยหลังเพื่อปิดประตูกระจก
พรึบ!
มือที่กำลังจะเลื่อนประตูหยุดชะงักค้าง
เมื่อจู่ๆกระแสลมที่เคยนิ่งสงบพัดโหมเข้ามาอย่างกะทันหันจนเอกสารต่างๆที่อยู่ในห้องปลิวกระจัดกระจายเต็มไปหมด
ตัวหนังสือก็เลอะเทอะไปหมดด้วยละอองน้ำฝนที่สาดกระเซ็นเข้ามา แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ไม่สามารถเรียกความสนใจของได้อีกแล้วในตอนนี้
“นี่มัน...!” ฮิวงะขนลุกซู่ไปทั้งตัวซึ่งไม่ใช่เพราะอากาศเย็น แต่เพราะสิ่งที่ปะปนมากับสายฝนต่างหาก
เขายกมือขึ้นปาดของเหลวข้นๆที่ติดอยู่ข้างแก้ม
แทบจะไม่ต้องดูก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งนี้คืออะไร
เพราะกลิ่นคาวที่ลอยมาแตะจมูกมันฟ้องอยู่เห็นๆ
“เลือด!” เขาเลิกคิ้วอย่างสงสัย
ก่อนที่จะวิ่งออกไปเกาะขอบระเบียงหันซ้ายแลขวาเพื่อหาที่มาของหยดเลือดปริศนา
แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ยังปกติ แล้วเลือดหยดนี้เป็นของใครกันล่ะ...?
เพล้ง!!!
เสียงบางอย่างตกกระแทกพื้นดังมาจากนอกห้อง
มันเรียกความสนใจของชายหนุ่มที่กำลังยืนงงกับชีวิตคนนี้ แล้วที่สำคัญที่สุดเพนท์เฮ้าส์นี้นอกจากเขาและอีกสองคนที่อยู่ในห้องแล้ว
ยังเหลือใครอีกคนซึ่งตอนนี้อยู่นอกห้องเพียงลำพัง
ฟุริ...!
ร่างกายไปไวกว่าความคิด
เขาแทบอยากจะพังประตูออกมาจากห้อง สมองแทบจะไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากอยากจะเห็นหน้าทื่อๆเป็นผีตายซากของลูกน้องตัวเอง
“ฟุริ!!!” ฮิวงะถลาเข้าไปในห้องนั่งเล่น หันซ้ายแลขวาแต่กับว่างเปล่าไร้เงาของคน
“ไอ้บ้าเอ้ยหายไปไหนเอาตอนนี้เนี่ย!!!”
เขาสบถขึ้นมาอย่างร้อนรน ก่อนจะวิ่งไปยังห้องครัว
หัวใจของเขากระตุกวูบเมื่อไปถึงห้องครัวแล้วพบว่ามันว่างเปล่า
จะมีก็แต่เศษแก้วที่ตกแตก
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาตกใจจนหน้าซีดได้เท่ารอยเลือดที่หยดอยู่รอบๆและมันก็ตรงไปที่หน้าประตูห้องน้ำก่อนที่จะหายไป
เขาวิ่งเข้าไปเปิดทันทีด้วยใจที่หวังจะเจอลูกน้องหน้านิ่งอยู่ในนั้น
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเพราะในนั้นว่างเปล่าอีกเช่นเคย ทั้งในห้องนอนของเจ้าตัวและห้องของไอ้ยูก็ไม่มี
ฮิวงะร้อนใจจนเข่าแทบจะทรุดลงกับพื้น
ตอนนี้สมองมันตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง ไม่รู้จะทำยังไง
เลยฟาดแข่งเตะถังขยะที่อยู่ไม่ไกลกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างแรง
“เป็นบ้าอะไร...!” เสียงเรียบๆที่คุ้นหูดังขึ้นที่หน้าประตูห้องครัว เขาเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้านิ่งๆที่กำลังส่งสายเคืองๆมาให้
แต่เขาไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้ กระโจนออกไปคว้าตัวฟุริเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว
“ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรู้สึกอยากกอดแกขนาดนี้มาก่อนเลย!” ส่วนคนโดนกอดก็ถึงกับสตั๊น ข้าวของที่ถือติดมือมาด้วยล่วงกราวลงพื้น
“!!!”
โดยไม่ทันได้ตั้งตัวหมัดงามๆอัดเข้าท้องอย่างจังจนลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น
ทั้งจุกและเจ็บจนร้องไม่ออกได้แต่นอนพะงาบๆเป็นปลาขาดน้ำกับพื้น
“ประสาท...!” เสียงหักนิ้วดังเข้าหูของเขาเป็นสัญญาณบอกว่าเขาคนนี้คงหงุดหงิดอย่างแน่นอน
คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง...!!!
ได้แต่คิดในใจเพราะถ้าขืนพูดออกไปตรงๆมีหวังโดนลูกน้องหน้านิ่งคนนี้ฆ่าตายแน่...
ฮิวงะค่อยๆดันตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยความจุกที่ยังคงเหลืออยู่
ลุกมานั่งพิงผนังมองเด็กหนุ่มที่กำลังใช้ไม้กวาดกวาดเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้นอย่างยากลำบาก
เขาพึ่งจะเห็นว่าที่มือของเด็กหนุ่มมีพาสเตอร์แปะเอาไว้
ทันใดนั้นสมองก็ประมวลผลทันทีเลยว่าเลือดที่อยู่บนพื้นต้องมาจากการที่เขาโดนแก้วบาดขณะเก็บเศษแก้วแน่ๆ
แล้วไอ้ที่หายไปก็คงไปทำแผลกับไปเอาอุปกรณ์มาทำความสะอาดแหงๆ ดันคิดไปว่ามีศัตรูบุกเข้ามาฆ่าซะอีก
“มานี่เดี๋ยวทำเอง!” ฮิวงะลุกเดินเข้าไปคว้าไม้กวาดจากมือของฟุริแล้วดันตัวเขาออกไปห่างๆ
“ไม่ต้องยุ่ง...” เขาแย่งไม้กวาดคืนแล้วจัดการดันหลังของหัวหน้าตัวเองออกไปจากห้องครัว
“ไม่ดื้อสักวันมันจะตายใช่มั้ยเนี่ย!”
“=*=”
แล้วสงครามประสาทเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีใครยอมใคร จ้องเขม็งจนหน้าแทบทะลุ
“ชิ!” ฟุริเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหว
เขาเหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในมือใส่หัวหน้าของตัวเองแล้วเดินกระแทกเท้าตึงตังออกจากห้องครัวไป
“ดื้อชะมัด” ฮิวงะเกาหัวแกร็กๆ
ก่อนจะเก็บกวาดทุกอย่างที่เด็กหนุ่มเป็นคนทำเอาไว้ให้เรียบร้อย
.
.
.
.
.
.
[KUROKO
PART]
ปัง!!!
เสียงกระแทกประตูเข้ามาอย่างแรงทำให้ผมสะดุ้งตื่นทันที
ลุกขึ้นมาหันซ้ายแลขวาก็เห็นคุณฮิวงะวิ่งวุ่นเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง
เจ้าตัวไม่เปิดโอกาสให้ผมถามอะไรเดินดุ่มๆออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วจนผมงงเป็นไก่ตาแตก
“อะไร” ผมเกาหัวแกรกๆก่อนจะหันไปมองคนข้างๆตัวที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง
นึกแปลกใจปกติคิเสะคุงไม่เคยตื่นสายนี่น่า แล้วทำไมวันนี้ยังไม่ตื่นอีก
ผมปล่อยให้คนหน้าหวานนอนต่อไปส่วนตัวเองก็เดินมาคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปแบบมึนๆ
ใช้เวลาแค่ครึ่งช่วงโมงก็เดินออกมาพร้อมกับชุดใหม่ที่พร้อมจะทำงานในวันนี้
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ผมทักคิเสะคุงที่นั่งสะลึมสะลือเหมือนคนยังไม่ตื่นอยู่บนเตียง คิเสะคุงยิ้มแห้งๆขณะขยี้ตาตัวเองไปมา
“เดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะครับ” เมื่อจัดการตัวเองเสร็จก็หันไปบอกอีกคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน คิเสะคุงพยักหน้าให้น้อยๆผมเลยเดินออกจากห้องมา
ที่โซฟาปรากฏร่างของคนที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอตอนเช้าๆแบบนี้
ผมเลยเดินเลี่ยงไปที่ห้องครัวที่มีคุณฮิวงะกำลังชงกาแฟอยู่
“อรุณสวัสด์ครับ” ผมโค้งให้น้อยๆก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบกล่องนมสดขึ้นมาเจาะดื่ม
“เมื่อเช้าหาอะไรหรอครับ!” ผมถาม คุณฮิวงะหันมายิ้มให้ผม
“หาของสำคัญน่ะ
แต่ตอนนี้เจอแล้วล่ะ.... เออว่าแต่คิเสะล่ะ!”
“พึ่งตื่นตอนออกจากห้องมานี่เองครับ!”
“วันนี้มันแปลกวะ ฟุริที่เคยตื่นสายดันตื่นเช้า
ส่วนคิเสะที่เคยตื่นเช้าดันตื่นสายซะงั้น!” คุณฮิวงะเกาหัวก่อนจะเดินออกจากห้องครัว
ผมเลยเดินตามไป
คุณฮิวงะเดินไปนั่งลงข้างๆฟุริฮาตะคุงที่ใส่หูฟังนั่งชันเข่าทั้งสองข้างอยู่บนโซฟาก่อนจะกดเปิดทีวี
ผมเลยเลือกที่จะนั่งลงที่โซฟาอีกตัวที่ห่างออกมา ทำยังไงก็ไม่ชินสักทีกับไอ้บรรยากาศแปลกๆที่อยู่รอบตัวฟุริฮาตะคุง
ไหนจะไอ้คำพูดที่คอยเสียดแทงแถมสายตานิ่งเฉยนั่นอีก
“เตรียมตัวพร้อมรึยัง!” จู่ๆคุณฮิวงะก็ถามขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าก่อนจะยิ้มรับ
“พร้อมแล้วครับ ว่าแต่คุณฮิวงะกับคิเสะคุงจะไปด้วยรึป่าวครับ!”
“ก็....!”
“เกิดปอดแหกขึ้นมาแล้วรึไง...!”
น้ำเสียงราบเรียบดังแทรกขึ้นมา ทั้งผมและคุณฮิวงะเบนสายตาไปทางอีกบุคคลที่นั่งอยู่
เขาไม่ได้มองผม สายตายังคงจ้องไปที่โทศัพท์เครื่องหรูของตัวเอง
“ฉันต้องเข้าสำนักงานน่ะ
แต่เดี๋ยวคิเสะไปกับนายด้วย วันนี้แค่ไปล็อคเป้าหมายกับหาทางหนีทีไล่เฉยๆยังไม่ใช่ลงมือจริงๆ
นายไม่ต้องกังวลหรอกนะ แค่อย่าทำให้โดนจับได้ก็พอแล้ว!” คุณฮิวงะยิ้มให้ผม
จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นสายตาเย็นๆของฟุริฮาตะคุงก่อนที่เจ้าตัวจะลุกหนีไปนั่งอยู่ที่เคาวเตอร์คนเดียว
บางครั้งผมก็อยากจะถามไปตรงๆนะว่าข้องใจอะไรกับผมรึป่าว
ทำไมต้องทำเหมือนดูถูกอยู่ตลอดเวลาด้วย อยากรู้จังว่าคิเสะคุงได้ยินเสียงใจจิตใจขอคนๆนี้บ้างรึป่าว
เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่....
ติ๊งต่อง~~~ ติ๊งต่อง~~~
เสียงกริ่งดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดของตัวเอง
ก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ!” เสียงทักทางอย่างสดใสดังขึ้นเหนือหัว ผมเลยต้องเงยหน้ามอง
ผู้ชายตัวขาวผอมบาง
ความสูงไล่ๆกับคุณฮิวงะ
เขาใส่เสื้อยืดสีเทากางเกงขายาวสีดำสบายๆเหมือนเวลาอยู่บ้าน รอยยิ้มสดใสที่มาพร้อมกับลักยิ้มเล็กๆข้างแก้มทำให้คนตรงหน้าดูดีมาก
แถมยังหน้าตาหวานๆน่ารักๆนี่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย
ที่นี่มันแหล่งรวมคนหน้าตาดีใช่มั้ย....
“ใครมาหรอ!” คุณฮิวงะโผล่มาเงียบๆจนผมถึงกับสะดุ้งเล็กๆ
“สวัสดีครับ ผมชื่อยูกิครับ
อยู่ชั่นล่างนี่เอง!” เขาโค้งน้อยๆผมจึงโค้งตอบ
“มีอะไรหรอครับ!” คุณฮิวงะถาม
“จะมาขอไม้กวาดกับที่ตักขยะคืนนะครับ
พอดีว่าต้องใช้เหมือนกัน!” พูดจบก็ฉีกยิ้ม
อยากจะถามเหลือเกินว่าชีวิตนี้เคยเศร้าเสียใจบ้างมั้ย
“ไม้กวาดหรอ?” คุณฮิวงะเลิกคิ้ว
“อันที่ฟุริฮาตะคุงยืมไปน่ะครับ!”
“อ้าวอันนั้นของคุณหรอ
ผมนึกว่าของที่บ้านซะอีก O.O?” คุณฮิวงะพูดจบก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านแล้วกลับมาพร้อมกับไม้กวาดด้ามสีฟ้ากับที่ตักขยะก่อนจะยื่นให้คุณฮงบิน
เมื่อได้ของที่ต้องการก็โค้งน้อยๆแล้วเตรียมตัวจะกลับห้องตัวเอง
“เดี๋ยวก่อน! คุณรู้จักฟุริได้ไง???” คุณฮิวงะถามขึ้น
อีกคนก็เลยหันมายิ้มให้
“พึ่งจะรู้จักเมื่อเช้านี่เองครับ
จู่ๆเขาก็มากดกริ่งห้องผม
เห็นทีแรกก็ตกใจนะนึกว่าจะมาหาเรื่องผมซะอีกที่แท้มายืมไม้กวาด ฮ่าๆๆ!” พูดไปก็ยิ้มไป
“แล้วคุณรู้ชื่อฟุริได้ไง???”
“ผมถามเขาน่ะครับ
เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านเลยจะทำความรู้จัก!”
“แล้วมันก็บอกเนี่ยนะ
มันที่แทบจะไม่ปริปากพูดกับใครเนี่ยนะ!” ไม่ใช่แค่คุณฮิวงะที่แปลกใจหรอกนะ
ผมเองก็โคตรแปลกใจเลยล่ะ
“ไง หวัดดีครับ!” คุณยูกิมองข้ามหัวทั้งผมและคุณฮิวงะไปทักใครอีกคน
ผมหันหลังกลับไปมองก็พบกับฟุริฮาตะคุงที่ยืนกอดอกมองอยู่น่ารักๆนี่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย
“...!” ไม่ตอบแต่พะหงกหัวรับน้อยๆ
แปลกมาก!
“โอ้ย!!! วันนี้มันวันไรวะเนี่ย ประสาทจะแดก!!!” คุณฮิวงะร้องขึ้นก่อนจะเดินหนีเข้าบ้านไป
เหลือแค่ผมกับอีกสองคนที่ยังยืมมองหน้ากันตาไม่กระพริบ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ
ชื่อไรหรอ!” เขาชี้มาทางผมก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“คุโรโกะ เท็ตสึยะครับ!”
“ตัวเล็กแหะ
อยู่ประถมหรอ!” เขาจะรู้มั้ยว่าที่พูดมามันจี้ใจผมเต็มๆเลย
“ฮ่าๆ!” ก็ได้แต่ฝืนหัวเราะแห้งกลับไป
“นายกลับไปได้แล้วไป!” ฟุริฮาตะคุงเดินมาบังหน้าผมไว้
ก่อนจะคว้าประตูปิดทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดลาเลยสักคำ
“.......” ฟุริฮาตะคุงเหลือบมองผมนิ่งๆแล้วเดินกลับเข้าไป
เมื่อกี้ฟุริฮาตะคุงทำเพราะจะปกป้องผมหรือว่ารำคาญผู้ชายคนนั้นกันแน่นะ
แต่ผมคงเข้าข้างตัวเองเกินไปหน่อยแล้วมั้ง อย่างฟุริฮาตะคุงน่ะนะจะปกป้องผม
ไม่มีทางซะล่ะ...
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น