คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : :PaRalleL 5:
CHATER 5
[HYUUGA PART]
06.00 น.
ถ้าบอกว่าจนตอนนี้ผมยังไม่ได้นอนพวกคุณจะเชื่อมั้ย
เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะเป็นห่วงน่ะสิ ห่วงสภาพจิตใจคิเสะ ห่วงทั้งคุโรโกะที่จะพาไปพบคุณมิโดริมะ
ห่วงทั้งฟุริที่ป่านนี้ยังไม่ยอมลืมตามาคุยกัน
ตอนนี้มันห่วงไปหมดจนหลับไม่ลงเลยสักนิดเดียว
“ฮึ่ย!!!” ด้วยความหงุดหงิดเลยขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงแล้วลุกพรวดขึ้นจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
ก่อนจะเปิดมันออก และสิ่งแรกที่เห็นภาพถ่ายที่แปะไว้กับประตูตู้
มันเป็นภาพถ่ายภาพแรกและภาพเดียวที่ถ่ายกันครบสามคน
จำได้ว่าตอนนั้นไม่มีภารกิจเลยยกพลไปเที่ยวทะเลกัน ซึ่งในขณะที่ผมกับคิเสะเล่นกันที่ชายหาด
ฟุริก็เอาแต่นอนหมกอยู่แต่ในบ้านพักทั้งวันเดือดร้อนถึงผมที่ต้องไปลากมันออกมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
แล้วกว่าจะลากมันออกมาได้นี่ลำบากแทบตาย
นึกถึงความหลังดีๆแล้วก็ยิ้มออก
สงสัยจบงานนี้เมื่อไรต้องไปฉลองกันหน่อยแล้วแหะ ถือโอกาสต้อนรับเด็กใหม่ด้วย
“เฮ่อ~~~!”
ผมระบายยิ้มออกมาอย่างภูมิใจในความคิดของตัวเองก่อนจะคว้าผ้าขุนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสบายตัวในชุดใหม่เตรียมพร้อมจะไปนอกบ้าน
เพื่อความมั่นใจเลยมายืนจ้องตัวเองในกระจก
ผมเปิดประตูเดินออกมาจากห้องหันซ้ายแลขวาทุกอย่างเงียบสนิทจนผมคิดว่ามันยังไม่มีใครตื่น
แต่ก็ต้องคิดใหม่เมื่อมีเสียงดังมาจากในครัว ลองเดินเข้าไปดูก็เจอคิเสะกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาโดยมีคุโรโกะยืนดูอยู่ข้างๆอย่างใจจดใจจ่อ
“ตื่นเร็วกันจังวะ!”
ผมยืนกอดอกมองสองฉันน้อง คุโรโกะหันมายิ้มพร้อมกับโค้งน้อยๆให้
ผมจึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้
“อรุณสวัสดิ์หัวหน้า!”
เสียงทักห้วนๆดังมาจากคิเสะที่สายตายังไม่ละไปจากหม้อตรงหน้า
“ทำอะไรกัน?”
ผมเดินไปชะโงกหน้าดูใกล้ๆ กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกจนพยาธิในท้องตื่นตัวเลยทีเดียว
“น้ำลายจะไหลใส่หมอข้าวต้มอยู่แล้วหัวหน้า!” คิเสะหันมาค้อน
ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นกระดกแก้หิว
“กาแฟชงให้แล้วนะครับ
วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา!” คุโรโกะหันมาพูดอย่างนอบน้อม
บ่องตรงว่าไม่ชินครับ... อยู่กะไอ้สองหน่อนั่นมาตั้งหลายปีมันไม่เคยสุภาพกับผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนผมชักเริ่มสงสัยในตัวเองว่าเป็นหัวหน้าหรือเพื่อนพวกมันกันแน่ -_-
“ขอบใจมาก!” ผมยกยิ้มก่อนจะเดินออกมานั่งรออยู่ที่โซฟาพลางยกแก้วกาแฟอุ่นๆขึ้นมาจิบ
มือคว้ารีโมทมากดเปิดทีวีดูข่าวตอนเช้าซะหน่อยหลังจากที่ไม่ได้ดูมาหลายวัน
ไม่รู้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
“เฮ่อ~~~!”
ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับข่าวที่มีแต่อาชญากรรมทั้งนั้นเลยกดปิดมันซะเลย
ก่อนจะเบนสายตาไปทางประตูห้องที่ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของจะเปิดออกมาเลย
เข้าไปดูมันซะหน่อยดีกว่า...
คิดได้ดังนั้นก็เดินตรงดิ่งไปยังประตูก่อนจะเปิดออกช้าๆ
ภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวๆจากร่องผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทส่องในเห็นเพียงรางๆเท่านั้น
ด้วยสายตาที่มองเห็นได้ดีในความมืดของผมแทบจะไม่เป็นปัญหาเลย
เดินตรงไปยังเตียงที่ตั้งอยู่มุมห้องอย่างแผ่วเบา
ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิมทุกประการแม้กระทั่งร่างที่นอนอยู่บนเตียง
ฟุริมันยังคงนอนอยู่ท่าเดิมเหมือนตอนที่ผมแบกมันเข้ามานอนเมื่อสองวันก่อน
ปากซีดๆของมันเริ่มจะมีสีขึ้นมาบ้างแล้ว อีกไม่นานก็คงจะตื่นแล้วสินะ
“แกจะขี้เซาไปไหนเนี่ย
รีบๆตื่นขึ้นมารับรู้เหตุการณ์ภายนอกบ้างก็ได้นะ ไม่ใช่อยู่แต่ในฝัน!”
ผมนั่งลงบนพื้นข้างเตียงก่อนจะใช้มือเอื้อมไปลูบหัวไอ้เด็กขี้เซาเบาๆ
ฟุริฮาตะ โคคิ... เป็นเด็กคนแรกที่ผมช่วยไว้ก่อนจะเจอคิเสะ
จำได้ว่าวันนั้นผมมีภารกิจที่ต้องไปกำจัดแก๊งชั่วๆแก๊งหนึ่งเพียงคนเดียว
ระหว่างทางดันไปเจอบ้านหลังหนึ่งที่เอะอะโวยวายอยู่ทั้งๆที่ตอนนั้นมันเกือบจะตีหนึ่งแล้วแท้ๆ
ด้วยความอยากรู้หรือจะเรียกว่าเสือกก็ได้ผมเลยเนียนๆจอดรถดู
เห็นชายหญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้านด้วยความโมโหพร้อมๆกับฉุดกระชากลากถูเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมาด้วย
ผมบอกตามตรงว่าโคตรตกใจเมื่อเห็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อตบเข้าเต็มๆที่ข้างแก้มของเด็กตัวเล็กแถมยังตามไปกระชากผมแล้วโวยวายอะไรก็ไม่รู้ผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เปิดกระจกรถ
แต่เด็กคนนั้นแทบจะไม่ร้องหรือปริปากพูดเลยสักนิดเดียวทั้งที่ถูกกระทำรุนแรงขนาดนั้น
ผมอดทนรอจนพ่อแม่ของเด็กเข้าบ้านโดยทิ้งร่างเล็กให้ยืนอยู่เพียงลำพังในความมืดและความหนาวเหน็บภายนอก
ก่อนจะลงไปหาอย่างแผ่วเบา
ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำดำเขียวจนน่าสงสาร
ผมเลยถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วคลุมให้ ใบหน้าที่ก้มต่ำของเด็กคนนั้นค่อยๆเงยขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่เรียกได้เต็มปากว่าไร้อารมณ์
ไม่มีอาการหวาดกลัว
มีแต่นัยน์ตาสีแดงฉานที่ท่อประการอยู่ในความมืดด้วยความเคียดแค้น วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
เลยตัดสินใจพามาด้วยเพราะเด็กแบบนี้อยู่ในโลกปกติไม่ได้หรอก เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนแต่กับเดินจับชายเสื้อของผมแน่นแล้วเดินตามมาเงียบๆ
ผมบอกให้เด็กคนนั้นอยู่ในรถเพราะผมต้องไปทำภารกิจก่อน
และเมื่อกลับมาอีกทีมันทำให้ผมรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่ผมคิดจริงๆ ร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่เป็นหนึ่งในแก๊งนอนจมกองเลือกอยู่อย่างน่าสยดสยอง
หน้าอกข้างซ้ายถูกคว้านและฉีกกระชากด้วยของมีคมจนเนื้อสดๆหลุดลุ่ยโดยมีร่างเล็กยืนอยู่ข้างๆในมือที่เปรอะไปด้วยเลือดถือมีดซึ่งผมจำได้ว่าเอาเก็บไว้ในกระเป๋า
“มัน... จะฆ่า... ผม!”
นั่นเป็นประโยคแรกและประโยคเดียวก่อนที่ผมจะพาเขาไปหาคุณมิโดริมะแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
ซึ่งดันถูกจับแยกกับฟุริโดยไม่ทราบสาเหตุ
เด็กคนนั้นเองก็เริ่มมีท่าทีขัดขืนอย่างเห็นได้ชัดพยายามจะวิ่งเข้ามาหาผมแต่ถูกคุณมิโดริมะจับเอาไว้
มันเป็นเวลาสามวันที่ผมไม่ได้เจอฟุริ
และเมื่อมาเจอกันอีกทีกับได้มาแต่ร่างที่ไร้สติพร้อมกับสัญลักษณ์อะไรแปลกๆที่หัวไหล่ซ้ายซึ่งมารู้ที่หลังว่ามันคือวูดูก็ตอนที่ฟุริได้ทำภารกิจแรก
ตอนนั้นผมโมโหจนแทบอยากจะเอาปืนไปยิงคุณมิโดริมะให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูแลเด็กคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เจ็ดปีแล้ว
ครั้งนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้
ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมคนเดียว ถ้าวันนั้นไม่พาไปหาคุณมิโดริมะ ฟุริก็ไม่ต้องมาเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้หรอก...
“ฉันขอโทษนะ...!”
แล้วครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งที่ล้านได้แล้วมั้งที่ผมเอาแต่พูดขอโทษโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
ได้แต่คอยมานั่งอยู่ข้างๆเวลาหลับโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลย
ผมฟุบหน้าลงกับผืนเตียงอย่างอ่อนล้าปล่อยเวลาให้ผ่านไป
“คุณ... ฮิว... งะ!” เสียงลอยๆเหมือนคนละเมอดังขึ้นพร้อมๆกับสัมผัสแผ่วเบาที่หัวของผม
พอเงยหน้ามองก็พบกับดวงตาปรือๆที่กำลังมองผมอยู่
ผมรีบเด้งตัวขึ้นด้วยความตกใจปนดีใจนิดๆแล้วคว้าฝ่ามือที่จับหัวผมอยู่มากุมไว้
“คิเสะโว้ยยยยยยยย!!!!!”
ผมแหกปากลั่นอย่างดีใจจนโดนคนขี้เซาคว้าเอาหมอนที่อยู่ข้างๆตัวขึ้นมาฟาดหน้าผมอย่างจังจนแทบหงายหลังตกเตียง
แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของอีกคน
มีแรงทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้แสดงว่าหายดีแล้วแน่ๆ...
“อะไรๆ เกิดอะไรขึ้นหัวหน้า!!!” คิเสะวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
ก่อนที่มันจะตาโตหนักกว่าเก่าเมื่อเห็นร่างที่นอนขมวดคิ้วยุ่งอยู่บนเตียง
“โคคิจจิ!!!”
มันแหกปากลั่นไม่ต่างจากผมเลยสักนิดก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปกอดรัดร่างฟุริอย่างแนบแน่นจนแทบจะโดนฝ่าตีนงามๆของคนป่วยยันตกเตียงมาอีกคนซึ่งปกติมันน่าจะเป็นแบบนั้น
แต่วันนี้มันกลับนอนนิ่งให้กอดเฉยเลย และเมื่อผมเห็นแบบนั้นแล้วผมจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ
“ตื่นได้สักทีนะแก
ให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงกันแทบตาย!!” ผมทิ้งตัวลงไปกอดด้วยอีกคน
ในใจก็คิดว่าอีกไม่เกินสามวิคงจะโดนถีบออกมาแน่ๆ
“...?!”
แต่ผิดคาดครับผม เจ้าตัวกับเอื้อมมือมากอดตอบทั้งผมและคิเสะเงียบๆ
บ้าไปแล้ว หลับนานจนสมองกลับแน่ๆ
หรือไม่ก็ตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่ ต้องใช่แน่ๆ ผมเผลอหลับไปแน่ๆเลย...
“อึดอัด...!”
แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีร่างที่โดนกอดก็เริ่มกลับมาเป็นคนเดิม น้ำเสียงเย็นๆถูกส่งเข้าหูของผมกับคิเสะชัดเจนจนต้องรีบคลายอ้อมกอดออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจ้าตัวพยายามยันตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบากจนผมกับคิเสะต้องรีบเข้าไปช่วยพยุง
“ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง
หัวหน้าออกไปข้างนอกเหอะ!” คิเสะหันมาบอก ผมเลยพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องมา
วันนี้กะจะเข้าสำนักงานแต่เช้าแท้ๆ
แต่ช่างหัวมันเถอะ....
.
.
.
.
.
[KUROKO PART]
หลังจากที่คิเสะคุงรีบวิ่งเข้าไปในห้องที่คุณฮิวงะตะโกนเรียก
ผมก็เลยต้องทำต่อจากที่คิเสะคุงทำค้างไว้คือตักข้าวต้นใส่ถ้วยแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะตามจำนวนคน
ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วน้ำมาวางแล้วเทน้ำเย็นใส่ ระหว่างนั้นคุณฮิวงะก็เดิมเข้ามาพอดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“มีอะไรกันหรอครับ
เรียกซะดังเชียว!” ผมถามขณะเดินเอาน้ำไปเก็บไว้ในตู้เย็นตามเดิม
“ฟุริมันตื่นแล้วน่ะ!”
ฟุริ... ผู้ชายคนนั้นน่ะหรอ!
“งั้นหรอครับ!”
“ช่วยตักให้อีกถ้วยได้มั้ย เผื่อฟุริมันจะหิว
ไม่ได้กินไรมาสองวันล่ะ!” คุณฮิวงะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากในสายตาสองผม
“ได้ครับ!” ผมพยักหน้ารับแล้วจัดการตามที่สั่งให้เสร็จแล้วร้อยก่อนจะเดินมาลงที่โซฟารอคิเสะคุงกับ
เอ่อ... จะเรียกว่าไรดีล่ะ คุณหรอ... หรือฉันดี ผมไม่ได้สนิทอะไรกับเค้าคนนั้นเลยสักนิดแค่คุยกันยังไม่เคยเลย!
“เจ้าชายนิทราเสด็จแล้ว!!!”
เสียงสดใสของคิเสะคุงดังขึ้น ผมหันไปมองก็พบกับคิเสะคุงที่เดินจูงมือใครอีกมา
ร่างที่เตี้ยกว่าคิเสะคุงอยู่ในชุดโทนสีดำ
เสื้อฮูดแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ
ใบหน้าดูไร้อารมณ์จนไม่น่าเข้าใกล้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองผมเล็กๆก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
ท่าทางไม่เป็นมิตรเอาซะเลยแหะ...
“ไปกินข้าวกัน” คุณฮิวงะหันมาชวน ผมยิ้มให้น้อยๆก่อนจะลุกเดินตามไป
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด
คิเสะคุงกับคุณฮิวงะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่างจากผมกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่เงียบกริบ
สายตาที่เย็นชาเหลือบมองผมจนทำตัวไม่ถูกได้แต่นั่งตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเกร็งๆ
“จริงสิ!
ลืมแนะนำเด็กใหม่ให้รู้จัก!” จู่ๆคิเสะคุงก็หันมาพูดจนผมถึงกับสะดุ้ง
รีบเงยหน้ามองคิเสะคุงที่กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริ
“แกจำเด็กคนนี้ได้ใช่มั้ย เขาชื่อคุโรโกะ
เท็ตสึยะ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยเรา!” ผมหันไปสบสายตาที่ไร้อารมณ์ของคนตรงหน้า
ฝืนยิ้มแห้งๆแล้วโค้งหัวเพื่อเป็นการเคารพ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”
“.....”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้น มีแต่สายตาที่มองมานิ่งๆ
“ส่วนนายก็คงรู้จักแล้ว มันชื่อฟุริฮาตะ
โคคิ เรียกมันว่าฟุริฮาตะคุงก็ได้!” ผมพยักหน้ารับแล้วก้มลงมองชามข้าวตัวเอง
“ถอนตัวยังทันนะ…!”
เสียงเย็นถูกส่งเข้าหูผมจนต้องเงยหน้ามองคนพูด ใบหน้ากับแววตาที่เรียบนิ่งเองก็มองผมอย่างไม่ว่าตา
“ไม่ครับ ผมตัดสินใจไปแล้ว”
ใช่... ผมตันสินใจไปแล้ว และจะไม่มีวันถอยหลังกลับแน่นอน
“อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน...”
พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องครัวทันที ผมได้แต่กำหมันแน่น
รู้สึกไม่ชอบคนๆนี้ชอบกล ไอ้สายตาที่เรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ได้มันทำให้ผมหงุดหงิดได้ไม่น้อยเลย
“มันก็แบบนี้แหละน่า เมื่อก่อนฉันก็โดนเหมือนกัน
อย่าไปถือสาเลยนะกินข้าวต่อเถอะ!” ผมพยักหน้า
พยายามทำใจให้เย็นที่สุดเท่าที่จะเย็นได้แล้วตักข้าวต้มในถ้วยกินต่อไป
.
.
.
.
.
บรรยากาศในรถเวลานี้เงียบกริบมีแต่เสียงเพลงที่เปิดคลอเอาไว้
คิเสะคุงที่นั่งอยู่ข้างๆผมหลับไปตั้งนานแล้วส่วนฟุริฮาตะคุงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับก็เอาหูฟังเสียบหูแล้วหลับไปตั้งแต่รถออกจากคอนโดได้ไม่กี่กิโลด้วยซ้ำ
เหลือแค่ผมกับคุณฮิวงะเท่านั้น
“อยู่กันไปเดี๋ยวก็ชิน!”
จู่ๆคูณฮิวงะก็พูดขึ้นมา
“ครับ?”
“ฟุริน่ะมันเป็นพวกแสดงความรู้สึกไม่เป็นหรอกนะ
มันเลยดูเหมือนจะเย็นชาแถมติดจะหยิ่งๆ แต่จริงๆแล้วมันใจดีนะ
ที่มันพูดแบบนั้นเพราะมันเป็นห่วงนายเฉยๆ…!” คุณฮิวงะหยุดพูดแล้วเหลือบมองผมผ่านกระจกมองหลัง
“เมื่อก่อนคิเสะก็เป็นแบบนายเนี่ยแหละ
คำพูดแต่ละคำของมันเจ็บจี๊ดกว่านี้ด้วยซ้ำ เล่นเอาซะคิเสะมันโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแทบจะกระโดดเอามีดไปปาดคอฟุริเลยล่ะ
ตอนนั้นฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลย ต้องคอยมาห้ามทัพไอ้สองคนนี้ตลอด” คุณฮิวงะพูดยิ้มๆ
“แล้วทำไงถึงผ่านมาได้ล่ะครับ!” ผมถามอย่างสงสัย
“ก็ตอนทำภารกิจน่ะสิ ไม่รู้คิเสะมันไปทำอีกท่าไหนดันโดนจับเป็นตัวประกันซะงั้น
แถมยังเกือบโดนลากไปฆ่าอีกต่างหาก ตอนนั้นฉันง่วนอยู่กับการกำจัดตัวบอสเลยแยกไปช่วยไม่ได้
ก็มีฟุรินี่แหละที่บุกป่าฝ่าดงตีนพร้อมลูกปืนไปช่วยมันออกมา สรุปคือวันนั้นคิเสะปลอดภัยแต่ฟุริเจ็บ!” ผมพยักหน้ารับรู้
“หลังจากนั้นคนที่คอยดูแลฟุริตลอดก็คิเสะเนี่ยแหละ
มันค่อยๆจูนเข้าหากันทีละนิดๆ จนตอนนี้ก็อย่างที่เห็น เป็นเพื่อนที่เข้าใจกันดีมาก!” คุณฮิวงะยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวฟุริฮาตะคุงที่ยังหลับไม่รู้เรื่องไปมาอย่างสนุกมือ
ผมเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัวกับคนทั้งสอง...
จะลองเชื่อดูสักครั้งล่ะกัน
ผมไม่รู้ว่านั่งคุยกับหัวหน้าไปนานเท่าไร
เพราะหัวหน้าเล่าเรื่องนู่นเรื่องนี้ให้ฟังเยอะแยะเลย
จนมารู้ตัวอีกทีรถก็เลี้ยวเข้ามาในลาดจอดรถชั้นใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ผมจัดการปลุกคิเสะคุงที่อยู่ข้างๆก่อนจะเปิดประตูลงมาจากรถ
“เดินใกล้ๆพวกเราไว้นะ” คุณฮิวงะหันมาสั่ง ผมจึงพยักหน้ารับแล้วเขยิบๆเข้าไปยืนใกล้ๆคิเสะคุง
คุณฮิวงะเดินนำไปคนแรกตามด้วยผมกับคิเสะคุงและฟุริฮาตะคุงเดินตามหลังมาเงียบๆ
ผมเหลือบไปมองน้อยๆ ฮูดสีดำถูกดึงขึ้นมาคลุมหัว
มือเดินล้วงกระเป๋าใส่หูฟังเดินอยู่ห่างๆ
ทำไมต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย…!
“มันไม่ชอบสถานที่ที่คนเยอะๆน่ะ
แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมองด้วย!” คิเสะคุงพูดขึ้นผมจึงพยักหน้าน้อยๆ
แต่ไอ้การที่ทำแบบนั้น ผมคิดว่ามันยิ่งทำให้คนมองหนักกว่าเก่าอีกนะ...
คุณฮิวงะพาเดินเข้ามาในตัวตึกที่ดูเผินๆเหมือนตึกของบริษัททั่วๆไป
มีพนักงานเดินกันเผ่นผ่านบางคนก็อยู่ในห้อง ทุกคนต่างทำงานอย่างขะมักเขม้นไม่มีอะไรผิดปกติที่ดูเหมือนจะเป็นงานของโลกมืดเลย
“มันเป็นแค่ธุรกิจฉากหน้าน่ะ
พนักงานตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นยี่สิบไม่รู้เบื้องหลังหรอก
แค่ทำงานไปตามปกติอยู่ในโลกเบื้องหน้าเท่านั้นแหละ ตั้งแต่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจนถึงสี่สิบถึงจะเป็นคนของโลกมืดจริงๆ!” คิเสะคุงอธิบาย
นี่หน่อยผมก็จะได้เข้าออกที่นี่เพื่อรับภารกิจสินะ
คุณฮิวงะกดลิฟท์ไปยังชั้นบนสุด
ประตูปิดช้าๆก่อนจะเลื่อนขึ้น
ไฟสี่แดงส่องไปตามเลขชั้นทีละชั้นๆจนมันมาถึงชั้นสุดท้าย คุณฮิวงะก้าวออกไปทันทีที่มันเปิดออก
ผมรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วก่อนนี้
“ฮิวง จุนเป หัวหน้าหน่วยย่อยที่สองมาตามที่นัดไว้!” คุณฮิวงะบอกพนักงานสาวสวยที่นั่งอยู่ที่เคาวเตอร์
นายพยักหน้ารับก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์
“เชิญเข้าไปได้คะ” นายพูดจบคุณฮิวงะก็เดินไปทันที
ระหว่างที่เดินอยู่นั้นแทบทุกคนที่เดินผ่านหันมามองหน้าผมเป็นตาเดียว
อาจจะเพราะไม่คุ้นหน้าผมก็ได้ แต่อีกสักหน่อยก็คงจะได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้วล่ะ
พอเดินมาจนสุดทางเดินก็เจอกับประตูบานใหญ่ที่สลักหลายสวยงามแปลกตา
แสดงให้เห็นว่าห้องนี้มีเจ้าของที่น่าจะมีอำนาจพอตัว คุณฮิวงะหันมามองหน้าผมน้อยๆก่อนจะลงมือเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป
ภายในห้องดูหรูหราสมกับฐานะของบอสใหญ่จริงๆ
ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ถ้าเอาจำนวนเงินมารวมกันคงซื้อเฟอร์รารี่ได้หลายคันเลยทีเดียว
“คุณมิโดริมะ” คุณฮิวงะเรียก
ร่างสูงโปรงที่ยืนดูวิวของเมืองใหญ่ที่หน้ากระจกใสบานใหญ่อยู่ในชุดสูทสีดำค่อยๆหันหน้ามาก่อนจะยกยิ้ม
หน้าตาก็ถือว่าดีแถมดูๆแล้วอายุยังไม่น่าถึงสามสิบด้วยซ้ำ คนๆนี้น่ะหรอบอสใหญ่
“ยังทำหน้าเครียดเหมือนเดินเลยนะฮิวงะ!” คุณฮิวงะก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป
“นั่งก่อนสิ!” คุณฮิวงะกับฉันอยู่โค้งตอบผมเลยทำตาม
คิเสะคุงจูงมือผมไปนั่งลงบนโซฟากลางห้อง
ต่างจากอีกคนที่ยืนกอดอกพิงประตูทำหน้าเรียบตึงมองบอสตัวเอง
“ไง!
หายดีแล้วหรอ” คุณมิโดริมะยกยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่แปลกจนผมรู้สึกได้
“ก็ยังไม่ตายล่ะกัน!” ฟุริฮาตะคุงตอบกลับ
เสี้ยววินาทีที่ผมเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลของฟุริฮาตะคุงเปลี่ยนเป็นสีแดงวูบไหวก่อนที่มันจะหายไป
“เย็นชากับบอสมันไม่ดีนะ
เดี๋ยวจะโดนลงโทษเอา!” คุณมิโดริมะก็ยังคงยิ้มแต่มันเป็น
ยิ้มที่แฝงไม่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
บรรยากาศที่อยู่โดยรอบสองคนนั้นดูแปลกๆชอบกล
ผมหันไปมองฟุริฮาตะคุงที่เคยยืนกอดอกมองหน้าด้วยสายตาเย็นชา
แต่ตอนนี้กับหลุบตาลงต่ำมือที่เคยกอดอกยกกุมหัวไหล่ซ้ายตัวเองแน่น ริมฝีปากเม้นเข้าหากัน
มือกำแน่นเหมือนกำลังพยายามฝืนอะไรบางอย่าง
“เข้าเรื่องดีกว่าครับคุณมิโดริมะ...!!!” คุณฮิวงะที่เงียบมานานโผงขึ้นมาเสียงดัง
คุณมิโดริมะละสายตาจากฟุริฮาตะคุงแล้วเบนมาทางผมแทน
“เด็กคนนี้สินะ!”
เค้าค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่มือของผมจะถูกจับขึ้นข้างหนึ่ง
สายตาที่เรียบนิ่งจ้องลึกเข้ามาในตาของผมเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
“...Jekyll & Hyde... ความหลังใช้ได้นี่!” พูดจบก็ปล่อยมือผมแล้วถอยไปนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
“ฉันจะให้เข้าทำงานที่นี่ก็ได้นะ
แต่มีข้อแม้...!” ผมที่กำลังฉีกยิ้มกว้างหุบปากทันที
“จัดการงานนี้ให้ได้ ถ้าทำสำเร็จฉันจะให้เข้าหน่วยย่อยที่สองของฮิวงะ!” ผมหันไปมองหน้าคิเสะคุงกับคุณฮิวงะสลับกัน
ทั้งสองคนพยักหน้าให้ผม
“ได้ครับ ผมจะทำ!” ผมหันไปบอกชายหนุ่มที่กำลังยกยิ้มอย่างพอใจ
ผมจะถอยหลังกลับไม่ได้แล้วในตอนนี้
มีแต่ต้องเดินต่อไป ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมืดเพียงใด...
“ฮิวงะ คิเสะ และคุโรโกะ...
สามคนรับงานนี้ไป!” ทั้งผมคิเสะคุงและคุณฮิวงะถึงกับชะงัก
ทำไมมีแค่สาม แล้วฟุริฮาตะคุงล่ะ...
“คุณมิโดริมะ แล้วฟุริ...!” คุณฮิวงะกำลังจะท้วงแต่ก็โดนเสียงของบอสตัวเองขัดขึ้นมาซะก่อน
“ฉันไม่อนุญาตให้นายทำงานนี้...
เข้าใจมั้ย!” สายตาที่จ้องไปยังฟุริฮาตะคุงดูน่ากลัวจนผมขนลุก แต่อีกคนก็ไม่แพ้กัน
จ้องเขม็งกลับอย่างไม่เกรงกลัวแถมกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด
ก่อนที่จะหันหลังไปกระชากประตูแล้วเดินออกจากห้องทันที ตบท้ายตัวการกระแทกประตูปิดอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
“เป็นเด็กที่ทำให้ฉันอารมณ์เสียได้ตลอดเวลาจริงๆเลยนะ...
ฮิวงะ!” คุณมิโดริมะหันมาจ้องหน้าคุณฮิวงะ
“ขอโทษแทนด้วยนะครับ!”
“เอ่อ... คุณมิโดริมะครับ
นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ผมแฮ็คมาได้ครับ!” คิเสะคุงเปิดคอมของตัวเองก่อนจะหันหน้าจอไปให้ร่างสูงดู
ตลอดสามชั่วโมงที่ผมนั่งฟังรายละเอียดภารกิจและข้อมูลต่างๆ
ในหัวผมแทบจะไม่มีคำว่าอยู่เลยสักนิด มีแต่ฟุริฮาตะคุงที่บานนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
ไม่แน่ว่าเค้าอยากจะเกลียดผมแล้วก็ได้ที่ไปแย่งงานที่สมควรจะเป็นของฟุริฮาตะคุง
แต่ในเมื่อบอสใหญ่พูดแบบนั้นแล้วผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ
ขอให้งานนี้มันจบลงเร็วๆด้วยเถอะ...
.............................................................................................
ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่หน้ากระจกใสบานใหญ่
สายตาที่เรียบเฉยจ้องมองไปยังเมืองใหญ่ยามค่ำคืน
แสงสีที่สวยงามของมันดึงดูดพวกผีเสื้อกลางคืนให้ขยับปีกออกล่าเหยื่อ รอยยิ้มเยือกเย็นค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร
โผล่หัวออกมาสักทีสิ
ฉันรอฆ่าล้างโคตรเง้าพวกแกอยู่นะ......
ฝ่ามือหนาลูบไปตามจี้เงินรูปกางเขนอย่างเบามือ
ภาพทรงจำต่างๆมากมายไหลวนเวียนอยู่ในสมอง ความเคียดแค้นที่สะสมมาหลายปีถูกอัดแน่นอยู่ในหัวใจราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ไม่มีใครรู้เป้าหมายที่แท้จริงของบอสใหญ่แห่งองค์กรที่มีชื่อว่า ‘วอลันเทียร์’
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาภารกิจที่มอบหมายไปทุกอย่างดูเผินๆก็แค่การกำจัดเพื่อขยายอำนาจ
แต่ก็ไม่มีใครเคยเอะใจกับเป้าหมายแท้จริงบางอย่างที่แฝงไป
นอกเสียจากคนๆนั้นที่รู้ความจริงทุกอย่าง...
“มิโดริมะ...”
เสียงเรียกเล็กๆดังขึ้นพร้อมกับบานประตูห้องทำงานหรูที่เปิดออก
ร่างบางแทรกตัวเข้ามาก่อนจะปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยจับจ้องแผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องอย่างเงียบเชียบ
“ไม่มีมารยาทเหมือนเดิมเลยนะ...
ทาคาโอะ!”
สายตาคมตวัดมองบุคคลที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออุญาติอย่างเยือกเย็น
แต่คนถูกกล่าวถึงกับไม่สะทกสะท้ายเลยแม้แต่นิดเดียว
ยังคงยืนกอดอกพิงประตูมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว
“เมื่อไรจะหยุด...!” ริมฝีปากรูปกระจับเอ่ยเรียบ
“..........” ไม่มีคำพูดใดๆหลุดลอดออกมาจากปากของบอสใหญ่ มีเพียงเพียงสายตาเยือกเย็นของนักล่าที่พร้อมจะฉีกกระชากเหยื่อเท่านั้น
“ความแค้นส่วนตัว...
แต่ดันลากเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“..........”
“กี่ครั้งแล้วที่นายทำให้เด็กพวกนั้นเกือบตาย
กี่ครั้งแล้วที่นายสั่งให้เด็กพวกนั้นไปไล่ฆ่าคน ยังไม่พอใจอีกใช่มั้ย”
“ทาคาโอะ...” น้ำเสียงกดต่ำอย่างน่ากลัวพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“นายมันไม่มีหัวใจ
ไม่เคยแคร์ว่าคนอื่นจะเป็นยังไง นายมันเห็นแก่ตัว!”
“ทาคาโอะ คาซึนาริ!!!” ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนของร่างบางอย่างแรงก่อนจะกระชากเข้าหาตัว
แรงบีบที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ทำให้คนถูกกระทำถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด
แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดปากร้อง
“ทำไม! แทงใจดำรึไง รับความจริงไม่ได้ล่ะซิ”
ฝ่ามือหนาออกแรงบีบขึ้นเรื่อยๆ
สายตาแสดงออกถึงความโมโหอย่างเห็นได้ชัดจนเผลอผลักร่างผอมบางไปกระแทกกับผนังอย่างแรงจนทรุดฮวบลงกับพื้น
แววตาตัดพ้อจ้องมองร่างสูงอย่างแข็งกร้าว
“นายมันก็ดีแต่ใช้กำลัง
ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าคนอย่างนายมันมีดีอะไรทำไมยูกินะถึงหลงมาติดกับผู้ดีจอมปลอมอย่างนาย!”
ด้วยความเหลืออดฝ่ามือหนาของคนตัวสูงคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนก่อนจะออกแรงกระชากให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
และไม่ทันได้ตั้งตัวหมัดหนักๆก็พุ่งเข้ากระแทกใบหน้าหวานอย่างแรงจนหน้าหันล้มลงไปกองอยู่แทบเท้าก่อนจะตามลงไปกระชากกลุ่มผมนุ่นให้หน้าเชิดขึ้น
สายตาเห็นชาจ้องมองเลือดที่ซึมออกมาจากมุมปากก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเอาปากสกปรกๆของนายมาเรียกชื่อยูกินะ
แล้วอีกเป็นแค่คนอาศัยอย่าสะเออะมาสั่งสอนฉัน!” ผลักหัวออกอย่างไม่ใยดีก่อนจะลุกขึ้นยืน
จื่อเทากำหมัดแน่นอย่างเคียดแค้นแล้วค่อยๆยันตัวลุกขึ้น
“เชิญจมปลักอยู่กับอดีตของนายไปจนตายเถอะ!” ร่างบางพูดแต่ไม่คิดจะสบตาของบอสใหญ่เลยแม้แต่น้อย
เดินตรงดิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“แล้วก็หยุดลากคนอื่นให้ตกต่ำเหมือนนายสักที!” พูดจบก็กระแทกประตูปิดอย่างแรง
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ฝ่ามือที่กำแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าเนื้อด้วยโทสะที่พุ่งพล่าน เรียวขายาวเตะถังขยะเล็กที่วางอยู่อย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์
อวดดี ปากเก่ง ไม่เคยเกรงกลัว เป็นแค่คนอาศัยแต่ดันปีกกล้าขาแข็งกับฉัน
สงสัยคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด.....
TBC.....
-----------------------------------------------------
ฟุริกับมิโดจินเรื้องนี้สายโหดครับบอกเลย55555+
เม้นๆหน่อยน้าคร้าบบ
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น