ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Love PaRalleL

    ลำดับตอนที่ #6 : :PaRalleL 5:

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 58


     

     

     

    กปัดออกด้วยฝ่าขาวๆของคุณฮิมชานเผยให้เห็นใบหน้าที่CHATER 5

     

    [HYUUGA PART]

     

                    06.00 น.

                    ถ้าบอกว่าจนตอนนี้ผมยังไม่ได้นอนพวกคุณจะเชื่อมั้ย เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะเป็นห่วงน่ะสิ ห่วงสภาพจิตใจคิเสะ ห่วงทั้งคุโรโกะที่จะพาไปพบคุณมิโดริมะ ห่วงทั้งฟุริที่ป่านนี้ยังไม่ยอมลืมตามาคุยกัน ตอนนี้มันห่วงไปหมดจนหลับไม่ลงเลยสักนิดเดียว

     

                    “ฮึ่ย!!!” ด้วยความหงุดหงิดเลยขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงแล้วลุกพรวดขึ้นจากเตียงมายืนบิดขี้เกียจอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเปิดมันออก และสิ่งแรกที่เห็นภาพถ่ายที่แปะไว้กับประตูตู้

     

                    มันเป็นภาพถ่ายภาพแรกและภาพเดียวที่ถ่ายกันครบสามคน จำได้ว่าตอนนั้นไม่มีภารกิจเลยยกพลไปเที่ยวทะเลกัน ซึ่งในขณะที่ผมกับคิเสะเล่นกันที่ชายหาด ฟุริก็เอาแต่นอนหมกอยู่แต่ในบ้านพักทั้งวันเดือดร้อนถึงผมที่ต้องไปลากมันออกมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วกว่าจะลากมันออกมาได้นี่ลำบากแทบตาย

                   

                    นึกถึงความหลังดีๆแล้วก็ยิ้มออก สงสัยจบงานนี้เมื่อไรต้องไปฉลองกันหน่อยแล้วแหะ ถือโอกาสต้อนรับเด็กใหม่ด้วย

     

                    “เฮ่อ~~~!” ผมระบายยิ้มออกมาอย่างภูมิใจในความคิดของตัวเองก่อนจะคว้าผ้าขุนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

     

                    ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสบายตัวในชุดใหม่เตรียมพร้อมจะไปนอกบ้าน เพื่อความมั่นใจเลยมายืนจ้องตัวเองในกระจก

     

                    ผมเปิดประตูเดินออกมาจากห้องหันซ้ายแลขวาทุกอย่างเงียบสนิทจนผมคิดว่ามันยังไม่มีใครตื่น แต่ก็ต้องคิดใหม่เมื่อมีเสียงดังมาจากในครัว ลองเดินเข้าไปดูก็เจอคิเสะกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาโดยมีคุโรโกะยืนดูอยู่ข้างๆอย่างใจจดใจจ่อ

     

                    “ตื่นเร็วกันจังวะ!” ผมยืนกอดอกมองสองฉันน้อง คุโรโกะหันมายิ้มพร้อมกับโค้งน้อยๆให้ ผมจึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้

     

                    “อรุณสวัสดิ์หัวหน้า!” เสียงทักห้วนๆดังมาจากคิเสะที่สายตายังไม่ละไปจากหม้อตรงหน้า

     

                    “ทำอะไรกัน?” ผมเดินไปชะโงกหน้าดูใกล้ๆ กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกจนพยาธิในท้องตื่นตัวเลยทีเดียว

     

                    “น้ำลายจะไหลใส่หมอข้าวต้มอยู่แล้วหัวหน้า!” คิเสะหันมาค้อน ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นกระดกแก้หิว

     

                    “กาแฟชงให้แล้วนะครับ วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา!” คุโรโกะหันมาพูดอย่างนอบน้อม

     

                    บ่องตรงว่าไม่ชินครับ... อยู่กะไอ้สองหน่อนั่นมาตั้งหลายปีมันไม่เคยสุภาพกับผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนผมชักเริ่มสงสัยในตัวเองว่าเป็นหัวหน้าหรือเพื่อนพวกมันกันแน่ -_-

     

                    “ขอบใจมาก!” ผมยกยิ้มก่อนจะเดินออกมานั่งรออยู่ที่โซฟาพลางยกแก้วกาแฟอุ่นๆขึ้นมาจิบ มือคว้ารีโมทมากดเปิดทีวีดูข่าวตอนเช้าซะหน่อยหลังจากที่ไม่ได้ดูมาหลายวัน ไม่รู้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

     

                    “เฮ่อ~~~!” ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับข่าวที่มีแต่อาชญากรรมทั้งนั้นเลยกดปิดมันซะเลย ก่อนจะเบนสายตาไปทางประตูห้องที่ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของจะเปิดออกมาเลย

     

                    เข้าไปดูมันซะหน่อยดีกว่า...

     

                    คิดได้ดังนั้นก็เดินตรงดิ่งไปยังประตูก่อนจะเปิดออกช้าๆ ภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวๆจากร่องผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทส่องในเห็นเพียงรางๆเท่านั้น ด้วยสายตาที่มองเห็นได้ดีในความมืดของผมแทบจะไม่เป็นปัญหาเลย เดินตรงไปยังเตียงที่ตั้งอยู่มุมห้องอย่างแผ่วเบา

     

                    ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิมทุกประการแม้กระทั่งร่างที่นอนอยู่บนเตียง ฟุริมันยังคงนอนอยู่ท่าเดิมเหมือนตอนที่ผมแบกมันเข้ามานอนเมื่อสองวันก่อน ปากซีดๆของมันเริ่มจะมีสีขึ้นมาบ้างแล้ว อีกไม่นานก็คงจะตื่นแล้วสินะ

     

                    “แกจะขี้เซาไปไหนเนี่ย รีบๆตื่นขึ้นมารับรู้เหตุการณ์ภายนอกบ้างก็ได้นะ ไม่ใช่อยู่แต่ในฝัน!” ผมนั่งลงบนพื้นข้างเตียงก่อนจะใช้มือเอื้อมไปลูบหัวไอ้เด็กขี้เซาเบาๆ

     

                    ฟุริฮาตะ โคคิ... เป็นเด็กคนแรกที่ผมช่วยไว้ก่อนจะเจอคิเสะ จำได้ว่าวันนั้นผมมีภารกิจที่ต้องไปกำจัดแก๊งชั่วๆแก๊งหนึ่งเพียงคนเดียว ระหว่างทางดันไปเจอบ้านหลังหนึ่งที่เอะอะโวยวายอยู่ทั้งๆที่ตอนนั้นมันเกือบจะตีหนึ่งแล้วแท้ๆ ด้วยความอยากรู้หรือจะเรียกว่าเสือกก็ได้ผมเลยเนียนๆจอดรถดู เห็นชายหญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้านด้วยความโมโหพร้อมๆกับฉุดกระชากลากถูเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมาด้วย

                   

                    ผมบอกตามตรงว่าโคตรตกใจเมื่อเห็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อตบเข้าเต็มๆที่ข้างแก้มของเด็กตัวเล็กแถมยังตามไปกระชากผมแล้วโวยวายอะไรก็ไม่รู้ผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เปิดกระจกรถ แต่เด็กคนนั้นแทบจะไม่ร้องหรือปริปากพูดเลยสักนิดเดียวทั้งที่ถูกกระทำรุนแรงขนาดนั้น ผมอดทนรอจนพ่อแม่ของเด็กเข้าบ้านโดยทิ้งร่างเล็กให้ยืนอยู่เพียงลำพังในความมืดและความหนาวเหน็บภายนอก ก่อนจะลงไปหาอย่างแผ่วเบา

     

                    ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำดำเขียวจนน่าสงสาร ผมเลยถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วคลุมให้ ใบหน้าที่ก้มต่ำของเด็กคนนั้นค่อยๆเงยขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่เรียกได้เต็มปากว่าไร้อารมณ์ ไม่มีอาการหวาดกลัว มีแต่นัยน์ตาสีแดงฉานที่ท่อประการอยู่ในความมืดด้วยความเคียดแค้น วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ เลยตัดสินใจพามาด้วยเพราะเด็กแบบนี้อยู่ในโลกปกติไม่ได้หรอก เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนแต่กับเดินจับชายเสื้อของผมแน่นแล้วเดินตามมาเงียบๆ

     

                    ผมบอกให้เด็กคนนั้นอยู่ในรถเพราะผมต้องไปทำภารกิจก่อน และเมื่อกลับมาอีกทีมันทำให้ผมรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่ผมคิดจริงๆ ร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่เป็นหนึ่งในแก๊งนอนจมกองเลือกอยู่อย่างน่าสยดสยอง หน้าอกข้างซ้ายถูกคว้านและฉีกกระชากด้วยของมีคมจนเนื้อสดๆหลุดลุ่ยโดยมีร่างเล็กยืนอยู่ข้างๆในมือที่เปรอะไปด้วยเลือดถือมีดซึ่งผมจำได้ว่าเอาเก็บไว้ในกระเป๋า

     

                    “มัน... จะฆ่า... ผม!

     

                    นั่นเป็นประโยคแรกและประโยคเดียวก่อนที่ผมจะพาเขาไปหาคุณมิโดริมะแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งดันถูกจับแยกกับฟุริโดยไม่ทราบสาเหตุ เด็กคนนั้นเองก็เริ่มมีท่าทีขัดขืนอย่างเห็นได้ชัดพยายามจะวิ่งเข้ามาหาผมแต่ถูกคุณมิโดริมะจับเอาไว้

     

                    มันเป็นเวลาสามวันที่ผมไม่ได้เจอฟุริ และเมื่อมาเจอกันอีกทีกับได้มาแต่ร่างที่ไร้สติพร้อมกับสัญลักษณ์อะไรแปลกๆที่หัวไหล่ซ้ายซึ่งมารู้ที่หลังว่ามันคือวูดูก็ตอนที่ฟุริได้ทำภารกิจแรก ตอนนั้นผมโมโหจนแทบอยากจะเอาปืนไปยิงคุณมิโดริมะให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูแลเด็กคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ

     

                    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เจ็ดปีแล้ว ครั้งนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมคนเดียว ถ้าวันนั้นไม่พาไปหาคุณมิโดริมะ ฟุริก็ไม่ต้องมาเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้หรอก...

     

                    “ฉันขอโทษนะ...!” แล้วครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งที่ล้านได้แล้วมั้งที่ผมเอาแต่พูดขอโทษโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่คอยมานั่งอยู่ข้างๆเวลาหลับโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลย ผมฟุบหน้าลงกับผืนเตียงอย่างอ่อนล้าปล่อยเวลาให้ผ่านไป

     

                    “คุณ... ฮิว... งะ!” เสียงลอยๆเหมือนคนละเมอดังขึ้นพร้อมๆกับสัมผัสแผ่วเบาที่หัวของผม พอเงยหน้ามองก็พบกับดวงตาปรือๆที่กำลังมองผมอยู่ ผมรีบเด้งตัวขึ้นด้วยความตกใจปนดีใจนิดๆแล้วคว้าฝ่ามือที่จับหัวผมอยู่มากุมไว้

     

                    “คิเสะโว้ยยยยยยยย!!!!!” ผมแหกปากลั่นอย่างดีใจจนโดนคนขี้เซาคว้าเอาหมอนที่อยู่ข้างๆตัวขึ้นมาฟาดหน้าผมอย่างจังจนแทบหงายหลังตกเตียง แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของอีกคน

     

                    มีแรงทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้แสดงว่าหายดีแล้วแน่ๆ...

     

                    “อะไรๆ เกิดอะไรขึ้นหัวหน้า!!!” คิเสะวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่มันจะตาโตหนักกว่าเก่าเมื่อเห็นร่างที่นอนขมวดคิ้วยุ่งอยู่บนเตียง

     

                    “โคคิจจิ!!!” มันแหกปากลั่นไม่ต่างจากผมเลยสักนิดก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปกอดรัดร่างฟุริอย่างแนบแน่นจนแทบจะโดนฝ่าตีนงามๆของคนป่วยยันตกเตียงมาอีกคนซึ่งปกติมันน่าจะเป็นแบบนั้น แต่วันนี้มันกลับนอนนิ่งให้กอดเฉยเลย และเมื่อผมเห็นแบบนั้นแล้วผมจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ

     

                    “ตื่นได้สักทีนะแก ให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงกันแทบตาย!!” ผมทิ้งตัวลงไปกอดด้วยอีกคน ในใจก็คิดว่าอีกไม่เกินสามวิคงจะโดนถีบออกมาแน่ๆ

     

                    “...?!” แต่ผิดคาดครับผม เจ้าตัวกับเอื้อมมือมากอดตอบทั้งผมและคิเสะเงียบๆ

     

                    บ้าไปแล้ว หลับนานจนสมองกลับแน่ๆ หรือไม่ก็ตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่ ต้องใช่แน่ๆ ผมเผลอหลับไปแน่ๆเลย...

     

                    “อึดอัด...!” แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีร่างที่โดนกอดก็เริ่มกลับมาเป็นคนเดิม น้ำเสียงเย็นๆถูกส่งเข้าหูของผมกับคิเสะชัดเจนจนต้องรีบคลายอ้อมกอดออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

     

                    เจ้าตัวพยายามยันตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบากจนผมกับคิเสะต้องรีบเข้าไปช่วยพยุง

     

                    “ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง หัวหน้าออกไปข้างนอกเหอะ!” คิเสะหันมาบอก ผมเลยพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องมา

     

                    วันนี้กะจะเข้าสำนักงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ช่างหัวมันเถอะ....

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    [KUROKO PART]

     

                    หลังจากที่คิเสะคุงรีบวิ่งเข้าไปในห้องที่คุณฮิวงะตะโกนเรียก ผมก็เลยต้องทำต่อจากที่คิเสะคุงทำค้างไว้คือตักข้าวต้นใส่ถ้วยแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะตามจำนวนคน ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วน้ำมาวางแล้วเทน้ำเย็นใส่ ระหว่างนั้นคุณฮิวงะก็เดิมเข้ามาพอดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     

                    “มีอะไรกันหรอครับ เรียกซะดังเชียว!” ผมถามขณะเดินเอาน้ำไปเก็บไว้ในตู้เย็นตามเดิม

     

                    “ฟุริมันตื่นแล้วน่ะ!

     

                    ฟุริ... ผู้ชายคนนั้นน่ะหรอ!

     

                    “งั้นหรอครับ!

     

                    “ช่วยตักให้อีกถ้วยได้มั้ย เผื่อฟุริมันจะหิว ไม่ได้กินไรมาสองวันล่ะ!” คุณฮิวงะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากในสายตาสองผม

     

                    “ได้ครับ!” ผมพยักหน้ารับแล้วจัดการตามที่สั่งให้เสร็จแล้วร้อยก่อนจะเดินมาลงที่โซฟารอคิเสะคุงกับ เอ่อ... จะเรียกว่าไรดีล่ะ คุณหรอ... หรือฉันดี ผมไม่ได้สนิทอะไรกับเค้าคนนั้นเลยสักนิดแค่คุยกันยังไม่เคยเลย!

     

                    “เจ้าชายนิทราเสด็จแล้ว!!!” เสียงสดใสของคิเสะคุงดังขึ้น ผมหันไปมองก็พบกับคิเสะคุงที่เดินจูงมือใครอีกมา

     

                    ร่างที่เตี้ยกว่าคิเสะคุงอยู่ในชุดโทนสีดำ เสื้อฮูดแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ ใบหน้าดูไร้อารมณ์จนไม่น่าเข้าใกล้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองผมเล็กๆก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ท่าทางไม่เป็นมิตรเอาซะเลยแหะ...

     

                    “ไปกินข้าวกัน” คุณฮิวงะหันมาชวน ผมยิ้มให้น้อยๆก่อนจะลุกเดินตามไป

     

                    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด คิเสะคุงกับคุณฮิวงะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่างจากผมกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่เอาแต่เงียบกริบ สายตาที่เย็นชาเหลือบมองผมจนทำตัวไม่ถูกได้แต่นั่งตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเกร็งๆ

     

                    “จริงสิ! ลืมแนะนำเด็กใหม่ให้รู้จัก!” จู่ๆคิเสะคุงก็หันมาพูดจนผมถึงกับสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองคิเสะคุงที่กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริ

     

                    “แกจำเด็กคนนี้ได้ใช่มั้ย เขาชื่อคุโรโกะ เท็ตสึยะ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยเรา!” ผมหันไปสบสายตาที่ไร้อารมณ์ของคนตรงหน้า ฝืนยิ้มแห้งๆแล้วโค้งหัวเพื่อเป็นการเคารพ

     

                    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ!

     

                    “.....” ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้น มีแต่สายตาที่มองมานิ่งๆ

     

                    “ส่วนนายก็คงรู้จักแล้ว มันชื่อฟุริฮาตะ โคคิ เรียกมันว่าฟุริฮาตะคุงก็ได้!” ผมพยักหน้ารับแล้วก้มลงมองชามข้าวตัวเอง

     

                    “ถอนตัวยังทันนะ…!” เสียงเย็นถูกส่งเข้าหูผมจนต้องเงยหน้ามองคนพูด ใบหน้ากับแววตาที่เรียบนิ่งเองก็มองผมอย่างไม่ว่าตา

     

                    “ไม่ครับ ผมตัดสินใจไปแล้ว” ใช่... ผมตันสินใจไปแล้ว และจะไม่มีวันถอยหลังกลับแน่นอน

     

                    “อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน...” พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องครัวทันที ผมได้แต่กำหมันแน่น รู้สึกไม่ชอบคนๆนี้ชอบกล ไอ้สายตาที่เรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ได้มันทำให้ผมหงุดหงิดได้ไม่น้อยเลย

     

                    “มันก็แบบนี้แหละน่า เมื่อก่อนฉันก็โดนเหมือนกัน อย่าไปถือสาเลยนะกินข้าวต่อเถอะ!” ผมพยักหน้า พยายามทำใจให้เย็นที่สุดเท่าที่จะเย็นได้แล้วตักข้าวต้มในถ้วยกินต่อไป

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

                    บรรยากาศในรถเวลานี้เงียบกริบมีแต่เสียงเพลงที่เปิดคลอเอาไว้ คิเสะคุงที่นั่งอยู่ข้างๆผมหลับไปตั้งนานแล้วส่วนฟุริฮาตะคุงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับก็เอาหูฟังเสียบหูแล้วหลับไปตั้งแต่รถออกจากคอนโดได้ไม่กี่กิโลด้วยซ้ำ เหลือแค่ผมกับคุณฮิวงะเท่านั้น

     

                    “อยู่กันไปเดี๋ยวก็ชิน!” จู่ๆคูณฮิวงะก็พูดขึ้นมา                                   

     

                    “ครับ?”

     

                    “ฟุริน่ะมันเป็นพวกแสดงความรู้สึกไม่เป็นหรอกนะ มันเลยดูเหมือนจะเย็นชาแถมติดจะหยิ่งๆ แต่จริงๆแล้วมันใจดีนะ ที่มันพูดแบบนั้นเพราะมันเป็นห่วงนายเฉยๆ…!” คุณฮิวงะหยุดพูดแล้วเหลือบมองผมผ่านกระจกมองหลัง

     

                    “เมื่อก่อนคิเสะก็เป็นแบบนายเนี่ยแหละ คำพูดแต่ละคำของมันเจ็บจี๊ดกว่านี้ด้วยซ้ำ เล่นเอาซะคิเสะมันโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแทบจะกระโดดเอามีดไปปาดคอฟุริเลยล่ะ ตอนนั้นฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลย ต้องคอยมาห้ามทัพไอ้สองคนนี้ตลอด” คุณฮิวงะพูดยิ้มๆ

     

                    “แล้วทำไงถึงผ่านมาได้ล่ะครับ!” ผมถามอย่างสงสัย

     

                    “ก็ตอนทำภารกิจน่ะสิ ไม่รู้คิเสะมันไปทำอีกท่าไหนดันโดนจับเป็นตัวประกันซะงั้น แถมยังเกือบโดนลากไปฆ่าอีกต่างหาก ตอนนั้นฉันง่วนอยู่กับการกำจัดตัวบอสเลยแยกไปช่วยไม่ได้ ก็มีฟุรินี่แหละที่บุกป่าฝ่าดงตีนพร้อมลูกปืนไปช่วยมันออกมา สรุปคือวันนั้นคิเสะปลอดภัยแต่ฟุริเจ็บ!” ผมพยักหน้ารับรู้

     

                    “หลังจากนั้นคนที่คอยดูแลฟุริตลอดก็คิเสะเนี่ยแหละ มันค่อยๆจูนเข้าหากันทีละนิดๆ จนตอนนี้ก็อย่างที่เห็น เป็นเพื่อนที่เข้าใจกันดีมาก!” คุณฮิวงะยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวฟุริฮาตะคุงที่ยังหลับไม่รู้เรื่องไปมาอย่างสนุกมือ

     

                    ผมเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัวกับคนทั้งสอง... จะลองเชื่อดูสักครั้งล่ะกัน

     

                    ผมไม่รู้ว่านั่งคุยกับหัวหน้าไปนานเท่าไร เพราะหัวหน้าเล่าเรื่องนู่นเรื่องนี้ให้ฟังเยอะแยะเลย จนมารู้ตัวอีกทีรถก็เลี้ยวเข้ามาในลาดจอดรถชั้นใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ผมจัดการปลุกคิเสะคุงที่อยู่ข้างๆก่อนจะเปิดประตูลงมาจากรถ

     

                    “เดินใกล้ๆพวกเราไว้นะ” คุณฮิวงะหันมาสั่ง ผมจึงพยักหน้ารับแล้วเขยิบๆเข้าไปยืนใกล้ๆคิเสะคุง

     

                    คุณฮิวงะเดินนำไปคนแรกตามด้วยผมกับคิเสะคุงและฟุริฮาตะคุงเดินตามหลังมาเงียบๆ ผมเหลือบไปมองน้อยๆ ฮูดสีดำถูกดึงขึ้นมาคลุมหัว มือเดินล้วงกระเป๋าใส่หูฟังเดินอยู่ห่างๆ

     

                    ทำไมต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย…!

                   

                    “มันไม่ชอบสถานที่ที่คนเยอะๆน่ะ แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมองด้วย!” คิเสะคุงพูดขึ้นผมจึงพยักหน้าน้อยๆ

     

                    แต่ไอ้การที่ทำแบบนั้น ผมคิดว่ามันยิ่งทำให้คนมองหนักกว่าเก่าอีกนะ...

     

                    คุณฮิวงะพาเดินเข้ามาในตัวตึกที่ดูเผินๆเหมือนตึกของบริษัททั่วๆไป มีพนักงานเดินกันเผ่นผ่านบางคนก็อยู่ในห้อง ทุกคนต่างทำงานอย่างขะมักเขม้นไม่มีอะไรผิดปกติที่ดูเหมือนจะเป็นงานของโลกมืดเลย

     

                    “มันเป็นแค่ธุรกิจฉากหน้าน่ะ พนักงานตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นยี่สิบไม่รู้เบื้องหลังหรอก แค่ทำงานไปตามปกติอยู่ในโลกเบื้องหน้าเท่านั้นแหละ ตั้งแต่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจนถึงสี่สิบถึงจะเป็นคนของโลกมืดจริงๆ!” คิเสะคุงอธิบาย นี่หน่อยผมก็จะได้เข้าออกที่นี่เพื่อรับภารกิจสินะ

                   

                    คุณฮิวงะกดลิฟท์ไปยังชั้นบนสุด ประตูปิดช้าๆก่อนจะเลื่อนขึ้น ไฟสี่แดงส่องไปตามเลขชั้นทีละชั้นๆจนมันมาถึงชั้นสุดท้าย คุณฮิวงะก้าวออกไปทันทีที่มันเปิดออก ผมรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วก่อนนี้

     

                    “ฮิวง จุนเป หัวหน้าหน่วยย่อยที่สองมาตามที่นัดไว้!” คุณฮิวงะบอกพนักงานสาวสวยที่นั่งอยู่ที่เคาวเตอร์ นายพยักหน้ารับก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์

     

                    “เชิญเข้าไปได้คะ” นายพูดจบคุณฮิวงะก็เดินไปทันที

     

                    ระหว่างที่เดินอยู่นั้นแทบทุกคนที่เดินผ่านหันมามองหน้าผมเป็นตาเดียว อาจจะเพราะไม่คุ้นหน้าผมก็ได้ แต่อีกสักหน่อยก็คงจะได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้วล่ะ

     

                   

                    พอเดินมาจนสุดทางเดินก็เจอกับประตูบานใหญ่ที่สลักหลายสวยงามแปลกตา แสดงให้เห็นว่าห้องนี้มีเจ้าของที่น่าจะมีอำนาจพอตัว คุณฮิวงะหันมามองหน้าผมน้อยๆก่อนจะลงมือเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป

     

                    ภายในห้องดูหรูหราสมกับฐานะของบอสใหญ่จริงๆ ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ถ้าเอาจำนวนเงินมารวมกันคงซื้อเฟอร์รารี่ได้หลายคันเลยทีเดียว

     

                    “คุณมิโดริมะ” คุณฮิวงะเรียก ร่างสูงโปรงที่ยืนดูวิวของเมืองใหญ่ที่หน้ากระจกใสบานใหญ่อยู่ในชุดสูทสีดำค่อยๆหันหน้ามาก่อนจะยกยิ้ม หน้าตาก็ถือว่าดีแถมดูๆแล้วอายุยังไม่น่าถึงสามสิบด้วยซ้ำ คนๆนี้น่ะหรอบอสใหญ่

     

                    “ยังทำหน้าเครียดเหมือนเดินเลยนะฮิวงะ!” คุณฮิวงะก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป

     

                    “นั่งก่อนสิ!” คุณฮิวงะกับฉันอยู่โค้งตอบผมเลยทำตาม คิเสะคุงจูงมือผมไปนั่งลงบนโซฟากลางห้อง ต่างจากอีกคนที่ยืนกอดอกพิงประตูทำหน้าเรียบตึงมองบอสตัวเอง

     

                    “ไง! หายดีแล้วหรอ” คุณมิโดริมะยกยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่แปลกจนผมรู้สึกได้

     

                    “ก็ยังไม่ตายล่ะกัน!” ฟุริฮาตะคุงตอบกลับ เสี้ยววินาทีที่ผมเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลของฟุริฮาตะคุงเปลี่ยนเป็นสีแดงวูบไหวก่อนที่มันจะหายไป

     

    “เย็นชากับบอสมันไม่ดีนะ เดี๋ยวจะโดนลงโทษเอา!” คุณมิโดริมะก็ยังคงยิ้มแต่มันเป็น

    ยิ้มที่แฝงไม่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ บรรยากาศที่อยู่โดยรอบสองคนนั้นดูแปลกๆชอบกล

                   

                    ผมหันไปมองฟุริฮาตะคุงที่เคยยืนกอดอกมองหน้าด้วยสายตาเย็นชา แต่ตอนนี้กับหลุบตาลงต่ำมือที่เคยกอดอกยกกุมหัวไหล่ซ้ายตัวเองแน่น ริมฝีปากเม้นเข้าหากัน มือกำแน่นเหมือนกำลังพยายามฝืนอะไรบางอย่าง

     

                    “เข้าเรื่องดีกว่าครับคุณมิโดริมะ...!!!” คุณฮิวงะที่เงียบมานานโผงขึ้นมาเสียงดัง คุณมิโดริมะละสายตาจากฟุริฮาตะคุงแล้วเบนมาทางผมแทน

     

                    “เด็กคนนี้สินะ!” เค้าค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนผมทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่มือของผมจะถูกจับขึ้นข้างหนึ่ง สายตาที่เรียบนิ่งจ้องลึกเข้ามาในตาของผมเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

     

                    “...Jekyll & Hyde... ความหลังใช้ได้นี่!” พูดจบก็ปล่อยมือผมแล้วถอยไปนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

     

                    “ฉันจะให้เข้าทำงานที่นี่ก็ได้นะ แต่มีข้อแม้...!” ผมที่กำลังฉีกยิ้มกว้างหุบปากทันที

     

                    “จัดการงานนี้ให้ได้ ถ้าทำสำเร็จฉันจะให้เข้าหน่วยย่อยที่สองของฮิวงะ!” ผมหันไปมองหน้าคิเสะคุงกับคุณฮิวงะสลับกัน ทั้งสองคนพยักหน้าให้ผม

     

                    “ได้ครับ ผมจะทำ!” ผมหันไปบอกชายหนุ่มที่กำลังยกยิ้มอย่างพอใจ

     

                    ผมจะถอยหลังกลับไม่ได้แล้วในตอนนี้ มีแต่ต้องเดินต่อไป ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมืดเพียงใด...

     

                    “ฮิวงะ คิเสะ และคุโรโกะ... สามคนรับงานนี้ไป!” ทั้งผมคิเสะคุงและคุณฮิวงะถึงกับชะงัก

     

                    ทำไมมีแค่สาม แล้วฟุริฮาตะคุงล่ะ...

     

                    “คุณมิโดริมะ แล้วฟุริ...!” คุณฮิวงะกำลังจะท้วงแต่ก็โดนเสียงของบอสตัวเองขัดขึ้นมาซะก่อน

     

                    “ฉันไม่อนุญาตให้นายทำงานนี้... เข้าใจมั้ย!” สายตาที่จ้องไปยังฟุริฮาตะคุงดูน่ากลัวจนผมขนลุก แต่อีกคนก็ไม่แพ้กัน จ้องเขม็งกลับอย่างไม่เกรงกลัวแถมกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด ก่อนที่จะหันหลังไปกระชากประตูแล้วเดินออกจากห้องทันที ตบท้ายตัวการกระแทกประตูปิดอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์

     

                    “เป็นเด็กที่ทำให้ฉันอารมณ์เสียได้ตลอดเวลาจริงๆเลยนะ... ฮิวงะ!” คุณมิโดริมะหันมาจ้องหน้าคุณฮิวงะ

     

                    “ขอโทษแทนด้วยนะครับ!

     

                    “เอ่อ... คุณมิโดริมะครับ นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ผมแฮ็คมาได้ครับ!” คิเสะคุงเปิดคอมของตัวเองก่อนจะหันหน้าจอไปให้ร่างสูงดู

     

                    ตลอดสามชั่วโมงที่ผมนั่งฟังรายละเอียดภารกิจและข้อมูลต่างๆ ในหัวผมแทบจะไม่มีคำว่าอยู่เลยสักนิด มีแต่ฟุริฮาตะคุงที่บานนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ไม่แน่ว่าเค้าอยากจะเกลียดผมแล้วก็ได้ที่ไปแย่งงานที่สมควรจะเป็นของฟุริฮาตะคุง แต่ในเมื่อบอสใหญ่พูดแบบนั้นแล้วผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ

     

                    ขอให้งานนี้มันจบลงเร็วๆด้วยเถอะ...

     

     

    .............................................................................................

     

     

                    ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่หน้ากระจกใสบานใหญ่ สายตาที่เรียบเฉยจ้องมองไปยังเมืองใหญ่ยามค่ำคืน แสงสีที่สวยงามของมันดึงดูดพวกผีเสื้อกลางคืนให้ขยับปีกออกล่าเหยื่อ รอยยิ้มเยือกเย็นค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร

     

                    โผล่หัวออกมาสักทีสิ ฉันรอฆ่าล้างโคตรเง้าพวกแกอยู่นะ......

     

                    ฝ่ามือหนาลูบไปตามจี้เงินรูปกางเขนอย่างเบามือ ภาพทรงจำต่างๆมากมายไหลวนเวียนอยู่ในสมอง ความเคียดแค้นที่สะสมมาหลายปีถูกอัดแน่นอยู่ในหัวใจราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

     

                    ไม่มีใครรู้เป้าหมายที่แท้จริงของบอสใหญ่แห่งองค์กรที่มีชื่อว่าวอลันเทียร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาภารกิจที่มอบหมายไปทุกอย่างดูเผินๆก็แค่การกำจัดเพื่อขยายอำนาจ แต่ก็ไม่มีใครเคยเอะใจกับเป้าหมายแท้จริงบางอย่างที่แฝงไป

     

                    นอกเสียจากคนๆนั้นที่รู้ความจริงทุกอย่าง...

     

                   

                    “มิโดริมะ...

     

                    เสียงเรียกเล็กๆดังขึ้นพร้อมกับบานประตูห้องทำงานหรูที่เปิดออก ร่างบางแทรกตัวเข้ามาก่อนจะปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยจับจ้องแผ่นหลังกว้างของเจ้าของห้องอย่างเงียบเชียบ

     

                    ไม่มีมารยาทเหมือนเดิมเลยนะ... ทาคาโอะ!” สายตาคมตวัดมองบุคคลที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออุญาติอย่างเยือกเย็น แต่คนถูกกล่าวถึงกับไม่สะทกสะท้ายเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงยืนกอดอกพิงประตูมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว

     

                    เมื่อไรจะหยุด...!” ริมฝีปากรูปกระจับเอ่ยเรียบ

     

                    .......... ไม่มีคำพูดใดๆหลุดลอดออกมาจากปากของบอสใหญ่ มีเพียงเพียงสายตาเยือกเย็นของนักล่าที่พร้อมจะฉีกกระชากเหยื่อเท่านั้น

     

                    ความแค้นส่วนตัว... แต่ดันลากเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

     

                    ..........

     

                    กี่ครั้งแล้วที่นายทำให้เด็กพวกนั้นเกือบตาย กี่ครั้งแล้วที่นายสั่งให้เด็กพวกนั้นไปไล่ฆ่าคน ยังไม่พอใจอีกใช่มั้ย

     

                    ทาคาโอะ... น้ำเสียงกดต่ำอย่างน่ากลัวพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

     

                    นายมันไม่มีหัวใจ ไม่เคยแคร์ว่าคนอื่นจะเป็นยังไง นายมันเห็นแก่ตัว!”

     

                    “ทาคาโอะ คาซึนาริ!!!” ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ต้นแขนของร่างบางอย่างแรงก่อนจะกระชากเข้าหาตัว แรงบีบที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ทำให้คนถูกกระทำถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดปากร้อง

     

                    ทำไม! แทงใจดำรึไง รับความจริงไม่ได้ล่ะซิ

     

                    ฝ่ามือหนาออกแรงบีบขึ้นเรื่อยๆ สายตาแสดงออกถึงความโมโหอย่างเห็นได้ชัดจนเผลอผลักร่างผอมบางไปกระแทกกับผนังอย่างแรงจนทรุดฮวบลงกับพื้น แววตาตัดพ้อจ้องมองร่างสูงอย่างแข็งกร้าว

     

                    นายมันก็ดีแต่ใช้กำลัง ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าคนอย่างนายมันมีดีอะไรทำไมยูกินะถึงหลงมาติดกับผู้ดีจอมปลอมอย่างนาย!”

     

                    ด้วยความเหลืออดฝ่ามือหนาของคนตัวสูงคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนก่อนจะออกแรงกระชากให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ทันได้ตั้งตัวหมัดหนักๆก็พุ่งเข้ากระแทกใบหน้าหวานอย่างแรงจนหน้าหันล้มลงไปกองอยู่แทบเท้าก่อนจะตามลงไปกระชากกลุ่มผมนุ่นให้หน้าเชิดขึ้น สายตาเห็นชาจ้องมองเลือดที่ซึมออกมาจากมุมปากก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน

     

                    ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเอาปากสกปรกๆของนายมาเรียกชื่อยูกินะ แล้วอีกเป็นแค่คนอาศัยอย่าสะเออะมาสั่งสอนฉัน!” ผลักหัวออกอย่างไม่ใยดีก่อนจะลุกขึ้นยืน จื่อเทากำหมัดแน่นอย่างเคียดแค้นแล้วค่อยๆยันตัวลุกขึ้น

     

                    เชิญจมปลักอยู่กับอดีตของนายไปจนตายเถอะ!” ร่างบางพูดแต่ไม่คิดจะสบตาของบอสใหญ่เลยแม้แต่น้อย เดินตรงดิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

     

                    แล้วก็หยุดลากคนอื่นให้ตกต่ำเหมือนนายสักที!” พูดจบก็กระแทกประตูปิดอย่างแรง

     

                    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ฝ่ามือที่กำแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าเนื้อด้วยโทสะที่พุ่งพล่าน เรียวขายาวเตะถังขยะเล็กที่วางอยู่อย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์

     

                     อวดดี ปากเก่ง ไม่เคยเกรงกลัว เป็นแค่คนอาศัยแต่ดันปีกกล้าขาแข็งกับฉัน สงสัยคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด.....

    TBC.....

     

     

    -----------------------------------------------------

    ฟุริกับมิโดจินเรื้องนี้สายโหดครับบอกเลย55555+

    เม้นๆหน่อยน้าคร้าบบ

    T H E M E
    ◈ B L & W H ◈
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×