ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Love PaRalleL

    ลำดับตอนที่ #5 : :PaRalleL 4:

    • อัปเดตล่าสุด 15 ธ.ค. 58



     

     

    CHAPTER 4

     

                    “ทำไมมีรอยตีนประทับอยู่บนเอกสารได้... ตอบสิ!

     

                    หัวหน้านั่งจ้องผมตาเขม็งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม นี่ถ้าไม่ติดว่าผมยอมเสี่ยงไปขโมยข้อมูลสำคัญเพื่องานล่ะก็ ผมคงโดนหัวหน้าจับเหวี่ยงลงตึกไปนานล่ะ ไม่มัวมานั่งแผ่รังสีอัมหิตอยู่แบบนี้หรอก

     

                    “ก็... ระหว่างทางมันมีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ!” ผมส่งยิ้มแห้งๆไปให้หัวหน้า แต่ในใจแถมจะระเบิดอยู่รอมร่อเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ไม่กี่ช่วงโมงก่อน

    .

    .

    .

    .

    .

     

                    ผมยืนอ่านเอกสารสำคัญในมืออย่างละเอียด มือแทบจะกำกระดาษในมือขาดเพราะงานชั่วๆของพวกมันที่ทำเหมือนมนุษย์เป็นแค่ของเล่นให้พวกมันซื้อขายกันได้ง่ายขนาดนี้ และอะไรอีกหลายๆอย่างที่มันทำกับองค์กรใหญ่ของผม ไม่แปลกเลยทำไมคุณมิโดริมะถึงคิดจะถอนรากถอนโคนพวกมัน

     

                    ผมยืนฮึดฮัดอยู่สักพักพยายามจะทำให้อารมณ์เย็นลง ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นไปตามทางออกแคบๆที่ปลายทางออกไปสู่ลานจอกรถด้านหลัง

     

                    เงินก็มีเป็นกองไม่มีปัญญาทำทางออกให้มันใหญ่กว่านี้รึไงวะ...

     

                    ผมกรนด่าในใจอย่างหมั่นไส้ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพอนาจรของชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนนัวเนียกันอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายฟ้าอายดิน

     

                    “เฮ่อ~~~!” ผมถอนหายใจหนักอย่างเอือมระอา เพราะงี้ไงผมถึงได้เกลียดการมาสถานที่เริงรมแบบนี้

     

                    บ่นไปก็เท่านั้นแหละ ผมค่อยๆเดินย่องๆเข้าไปเรื่อยๆ พยายามทำตัวให้เป็นอากาศธาตุที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเบ้ปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าช่องว่างที่ผมต้องเดินผ่านมันหดเหลือนิดเดียว แอบส่งสายตาอาฆาตให้คู่รักที่กำลังดูดดื่มก่อนจะค่อยๆแทรกตัวผ่านมาช้าๆ

     

                    “เฮ้ย!!!” ผมร้องลั่นอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆไอ้ตัวผู้มันก็ถอยหลังมาชนผมเต็มๆจนกระเด็นไปติดผนังอีกฝั่ง แต่สิ่งที่เจ็บใจที่สุดคือเอกสารสำคัญที่อยู่ในมือดันล่วงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น มิหนำซ้ำไอ้เวรนั่นยังตามมาเหยียบซ้ำจนเป็นรอยตีนมันอีกต่างหาก

     

                    “ชิบหาย!!!” ผมก้มลงไปเก็บขึ้นมาปัดๆอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่รอยตีนนั่นก็ไม่หายไปแม้แต่นิดเดียว ผมลุกขึ้นยืนแล้วหันขวับไปหาไอ้เวรนั่นอยากเคียดแค้น รู้สึกมันจะไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปแถมยังมีอารมณ์ไปนัวเนียกันต่ออย่างเมามัน

     

                    “งานกู!!!” ด้วยความโมโหเลยพ่นคำหยาบออกไปเต็มๆ และเพราะความลืมตัวมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่าตีนงานๆยันโครมเข้าที่สะโพกของไอ้เวรนั่นอย่างจังจนมันกระเด็นล้มกลิ้งลงไปจูบพื้นอย่างดูดดื่ม

     

                    “โอ้ย! เชี่ยเอ้ย!!!” มันร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ ชะนีที่มัวแต่ยืนเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปช่วยมันอย่างรวดเร็วก่อนหันมาส่งสายตาไม่พอใจใส่ผม

     

                    “แกทำอะไรของแกเนี่ย!!!” ยัยนั่นลุกขึ้นมาทำท่าจะเข้ามาหาเรื่อง ฝ่ามือเรียวยกขึ้นหมายจะฟาดหน้าผมแต่ผมคว้าไว้ได้อย่างสบายๆ จ้องกลับไปอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มันเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อผมออกแรงบีบข้อมือมันอย่าแรงจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกรอบ

     

                    “ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเสือก!” ผมพูดเสียงเย็นก่อนจะสะบัดข้อมือมันทิ้ง ยัยนั่นมองหน้าผมเลิ่กลักก่อนจะวิ่งหนีไปปล่อยให้ผัวมันนอนโอดโอยอยู่บนพื้นคนเดียว

     

                    ช่างเป็นเมียที่ดีจริงๆ...      

     

                    “ทำอะไรวะ อยากตายรึไงห๊ะ!!!” มันลุกขึ้นมาได้ก็หันมาหาเรื่องผมทันที

     

                    “แล้วแกล่ะทำอะไร อยากตายมากใช่มั้ย!!!

     

                    “แล้วฉันไปทำอะไรตอนไหนวะ อย่ามากล่าวหากันลอยๆนะเว้ย!” มันเถียงกลับ ดวงตาเยิ้มๆของมันเหมือนคนเมาไม่มีผิด

     

                    “แกแหกตาดูรอยตีนแกดิเนี่ย ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอีกหรอ!” ผมยกเอกสารที่อยู่ในมือขึ้นมาจ่อหน้ามันก่อนจะฟาดใส่หัวมันไปทีหนึ่ง

     

                    “ รู้ได้ไงว่ารอยตีนฉัน ตรวจดีดีเอ็นเอแล้วรึไง!

     

                    “ไม่ได้ตรวจ แต่ถ้าจะตรวจก็ได้นะ แกถอดรองเท้าของแกออกมาแล้วลองเอามันทาบหน้าตัวเองดูสิ แล้วฉันจะดูให้ว่ามันเหมือนกันรึป่าว!” ผมยกยิ้มกวนประสาท

     

                    “ทาบหน้านายแทนได้มั้ยล่ะ หน้าขาวๆอย่างนายน่าจะมองง่ายกว่า!

     

                    “ฉันว่าเปลี่ยนเป็นยัดปากแกดีกว่ามั้ย เลี้ยงไว้กี่ตัวล่ะหมาในปากน่ะ!

     

                    “แหม่! พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ ผู้ชายบ้าอะไรปากจัดชะมัด ตุ๊ดป่ะเนี่ย!

     

                    “ตัวเองผิดแล้วยังจะมาปากดีอีกรึไง เดี๋ยวตำหน้าแหก!!!” มันยกยิ้มอย่างกวนประสาทแล้วค่อยๆก้าวเข้ามาหาผม

     

                    “รู้ได้ไงว่าปากดี... ลองชิมแล้วหรอ!” มันยิ้มกรุ่มกริ่ม ขาก็ก้าวเข้ามาหาผมไม่หยุด

                   

                    “ถอยออกไปเลยถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” ผมสั่งเสียงเย็นแต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านสักนิดเดียว

     

                    “ดื้อ สวย ดุ... สเป็คเลย หึหึ!” มันทำหน้าโคตรหื่นขณะมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนผมขนลุกเกรียวทั้งตัว

     

                    “สเป็คบ้านแกสิ!!!” ผมตะโกนใส่หน้ามันก่อนเตรียมตัวจะหันหลังวิ่ง แต่มันก็ดันมือไวคว้าเอาฮูดของผมก่อนจะดึงกลับไปอย่างแรงจนหงายหลังลงไปอยู่ในอ้อมกอดของมัน

     

                    “ปล่อยเลยนะเว้ย!!!” ผมออกแรงดิ้นอย่าเอาเป็นเอาตายในขณะที่มือของมันก็รัดแน่นขึ้น

     

                    “ฉันยังไม่ได้ชำระแค้นที่นายถีบผมสะโพกแทบปลิวเมื่อกี้เลย!” มันกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่โคตรหื่น

     

                    ได้ แกเล่นผิดคนแล้วล่ะ หึหึ...

     

                    ผมหยุดดิ้นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลับตานับหนึ่งถึงสามในใจแล้วพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับมัน มันดูจะงงไม่น้อยกลับการกระทำที่เปลี่ยนไปของผม…!

     

                    “จะแก้แค้นฉันหรอ!” ผมฝืนยิ้มให้ยั่วยวนที่สุดเท่าที่ในชีวิตนี้เคยทำมา ก่อนจะวาดแขนโอบรอบคอของมัน

     

                    “ทำไม กลัวรึไง!” มันพูดเสียงกระเส้าก่อนจะโอบรั้งเอวของผมเอาไว้

     

                    อยากจะบอกว่าโคตรรังเกียจเล้ยยยยยย >[]<

     

                    “คนอย่างฉันไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วล่ะ!” ผมดันร่างสูงจนติดกำแพงก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามใบหน้านั้นอย่างเบามือ

     

                    หมอนี่คิดจะยั่วกันรึไง

     

                    เสียงในใจแล่นผ่านเข้าสมองพร้อมๆกับสายตาหวานเยิ้มที่มองมา ผมจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง มือที่โอบรั้งเอวไว้ปล่อยออกข้างหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นจับมือของผมที่เริ่มไล้ลงมาจนถึงต้นคอ

     

                    “นายนี่ดูดีๆก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกันนะ!” ผมเขย่งปลายเท้าให้เท่าความสูงของอีกคนก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหู

     

                    “นายเองก็คงเป็นพวกคาสโนว่าสินะ บังเอิญฉันก็ชอบซะด้วยสิ!” ผมแกล้งเบาลมใส่หูมันอย่างสนุกปาก มือที่รั้งเอวผมอยู่เผลอบีบแรงขึ้นจนผมตกใจแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้

     

                    เหยดแม่ม! กูจะไม่ทน!!!’

     

                    ถ้ามองด้วยตาไอ้หมอนี่มันก็ยังปกติอยู่ แต่ใครจะรู้บ้างว่าในใจมันกรีดร้องดังขนาดไหน อยากจะขำให้ฟันเหยินเหมือนหัวหน้าแต่ทำไม่ได้ ปกติผมจะปิดกั้นจิตใจตัวเองไม่ให้ได้ยินเสียงอะไรเพราะผมไม่ค่อยชอบอ่านใจใครหรอก แต่คราวนี้สนุกเว่อวะครับ ฮ่าๆๆๆ

     

                    “ปากนายสีสวยดีนะ!” ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากนั่นอย่างช้าๆ จนปลายจมูกแทบจะชนกัน

                   

                    “แต่เสียใจ... ฉันเกลียดแกไอ้เวรเอ้ยยยยย!!!” ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปตะโกนใส่หูมันอย่างดังก่อนจะใช้เข่ากระแทกลูกชายมันจังๆจนมันหน้าเขียวทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยความจุก

     

                    “แกเล่นผิดคนแล้วเว้ย ฮ่าฮ่าๆ” ผมหัวเราะร่าเมื่อเป็นผู้กุมชัยชนะ ก่อนจะเดินไปเตะมันซ้ำอีกทีหนึ่ง

     

                    “นี่สำหรับงานของฉันที่แกเหยียบ!” และซ้ำไปอีกทีเน้นๆตรงที่เดิม “และนี่สำหรับที่แกทำหน้าหื่นใสฉัน!

     

                    “ไอ้... ตัวแสบ!” มันชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่อง

     

                    “ฉันไม่ได้ชื่อตัวแสบ ฉันชื่อคิเสะ เรียวตะ จำใส่สมองกวงๆของนายไว้ด้วย!” ผมเชิดหน้าใส่มันก่อนจะเดินหนีออกมา

     

                    “อาโอมิเนะ ไดกิ นายจำชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ แค้นนี้ต้องชำระ แกเจอฉันแน่ไอ้หน้าตุ๊ดดดด!!!” เสียงโวยวายไล่หลังมาอย่างบ้าคลั่ง แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะสนใจ... ไดกิหรอ ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย!

    .

    .

    .

    .

     

                    “แกเตะไข่มันแล้ววิ่งหนีออกมาว่างั้น” หัวหน้านั่งขัดสมาธิมองหน้าผมนิ่ง

     

                    “ก็อย่างที่เล่าแหละ!” ผมเล่าเรื่องที่ผมเจอนายอาโอมิเนะนั่นให้หัวหน้าฟัง โดยจงใจตัดตอนที่ผมยั่วมันออกไปซะ ถ้าหัวหน้ารู้มีหวังโดนล้อยันแก่ตายแน่ๆ

     

                    “เออก็ดีที่ไม่โดนมันลากไปปล้ำ เรื่องรอยตีนนี่จะถือว่ายกโทษให้ล่ะกัน!” หัวหน้ายกแผ่นกระดาษที่มีรอยตีนขึ้นมาก่อนจะเอนกายลงไปนอนราบกับโซฟาแล้วอ่านมันอย่างตั้งใจ

     

                    ผมเองก็จัดแจงเปิดคอมขึ้นมาอ่านข้อมูลใหม่ที่พึ่งได้มาอย่างขะมักเขม้นตรวจทานว่ามันคือข้อมูลจริงรึป่าวพรุ่งนี้จะได้เอาเข้าสำนักงานไปให้คุณมิโดริมะดู

     

                    แอ็ด!!!

                    เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากผมและหัวหน้า เลยหันไปยิ้มให้คนที่พึ่งเดินออกมาจากห้อง

     

                    “ดึกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกหรอ?” ผมถามขณะมองอีกฝ่ายที่เดินเข้าไปในครัวก่อนจะออกมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ

     

                    “พอดีหิวน้ำเลยออกมากินน่ะครับ” คุโรโกจจิยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดีก่อนจะมานั่งลงข้างๆ

     

                    ทำอะไรอยู่หรอครับ? คนเป็นตัวเล็กถามอย่างสงสัย

     

                    เรียบเรียงข้อมูลอยู่น่ะ!” คุโรโกจจิพยักหน้าหงึกหงักสายตาจับจ้องจอคอมอย่างสนอกสนใจ

     

                    คุโรโกะ...!”  ทั้งผมและคนข้างๆต่างพากันหันมองหัวหน้าเป็นตาเดียวเมื่อเสียงห้าวๆเรียกขึ้นมา

                   

                    วันนี้ฉันคุยกับคุณมิโดริมะเรื่องนายแล้วนะ!” หัวหน้าลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้าคนที่อายุน้อยกว่า

     

                    เค้าว่าไงหรอครับ!”  คุโรโกจจิถามเสียงสั่น คงจะยังไม่ชินกลับหัวหน้าแหะ

     

                    เค้าบอกมาว่าให้ฉันพานายไปพบเค้าหน่อยเค้าอยากเห็นหน้า พรุ่งนี้เลยกะว่าจะพานายเข้าสำนักงานด้วยกันเลย สะดวกมั้ย!”

     

                    “ครับ สะดวกครับ คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆ มันมีอะไรน่าดีใจด้วยหรอที่ได้มาทำงานมืดแบบนี้

     

                    แล้วโคคิจจิล่ะหัวหน้า มันยังไม่ตื่นมาสองวันแล้วนะ!” ผมหันไปถามหัวหน้าที่เอนตัวลงนอนท่าเดิม

     

                    เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็ตื่นเชื่อดิ มันไม่เคยหลับเกินสามวันหรอก!” หัวหน้าพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปอ่านแผ่นกระดาษในมือต่อ

     

                    เออคือว่า... คนที่ชื่อฟุริเค้าไม่เป็นไรแน่หรอครับ  ไม่พาไปหาหมอหรอ? คุโรโกจจิถามขึ้น มองหน้าผมสลับกับหัวหน้าไปมา

     

                    มันไม่ใช่โรคที่หมอรักษาได้น่ะ แล้วตัวมันเองก็เกลียดโรงบาลจะตายชัก ถ้าตื่นมาเห็นว่าตัวเองนอนอนาจอยู่ในโรงบาล มีหวังโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแน่!” หัวหน้าตอบแต่สายตาก็ไม่ล่ะไปจากเอกสารในมือ

     

                    “นายไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ” หัวหน้าหันมาบอกคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ คุโรโกจจิยิ้มตอบแล้วยอมลุกเดินไปอย่างว่าง่าย

     

                    “หัวหน้า... ผมว่าผมมีลางสังหรณ์แปลกๆอ่ะ” หัวหน้าหันมาย่นคิ้วใส่ผม

     

                    “นี่นอกจากแกจะมองเห็นจิตใจได้ แกยังมองเห็นอนาคตอีกหรอวะ โคตรเมพเลยวะ นี่คนหรือซุปเปอร์ไซย่าวะ... ไหนแกลองพูดว่า คิเสะรู้ คิเสะสัมผัสได้แบบในรายการคนอวดหมีดิ แม่งใช่อ่ะ ฮ่าๆๆๆ” พูดจบก็หัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร

     

                    ตูรู้สึกอยากฆ่าหัวหน้าตัวเองตะหงิดๆ -_-

     

                    “ทำไมต้องทำหน้าเป็นหมาป่วยแบบนั้นด้วยวะ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง ขำๆน่าคลายเครียด!” หัวหน้ากระโดดข้ามฟากมานั่งลงข้างๆผมก่อนจะยกแขนคล้องคอแล้วโยกไปโยกมาอย่างสนุกสนาน

     

                    “แล้วลางสังหรณ์อะไรไหนลองบอกมาดิ!” หัวหน้าถาม แขนก็ยังไม่ยอมเอาออกไปจากคอสักที ผมยู่หน้าน้อยๆก่อนจะบอก

     

                    “ก็ความรู้สึกมันเหมือน... งานนี้จะไม่ได้จบลงง่ายๆ มันตะหงิดๆแปลกๆ ใจมันโหวงๆเหมือนกำลังจะเสียอะไรไปเลยอ่ะ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันแหละ!” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวหน้าเลยดันหัวผมลงไปซบกับไหล่ของตัวเองแล้วโยกไปโยกมาเหมือนเวลาพ่อแม่ปลอบเด็กเล็กๆไม่มีผิด

     

                    “คิดมากน่า... แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เสียอะไรฉันก็ยอมหมด แต่ฉันจะไม่ยอมเสียแกกับฟุริแน่นอน... รวมถึงคุโรโกะด้วย!” ผมถึงกับยิ้มออก ไม่คิดไม่ฝันว่าหัวหน้าจะพูดอะไรที่มีสาระเป็นด้วย

     

                    “ถ้าโคคิจจิมันรู้ว่าหัวหน้ารักมันขนาดไหนมันคงดีใจตายเลย!

     

                    “ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น... เฮ่อ! เมื่อยเว้ย ไปนอนดีกว่า!” พูดจบก็ลุกบิดขี้เกียจสองสามทีแล้วหันมามองหน้าผม

     

                    “แกก็ไปนอนเลยไป ไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้วนี่!” ผมพยักหน้ารับน้อยๆ หัวหน้าเลยเดินตรงดิ่งเข้าห้องตัวเองไป

     

                    ผมนั่งคิดนู่นคิดนี่อยู่สักพัก ภาพของคาซามัตสึก็ลอยเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรอยยิ้มที่สดใส ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่น ฝ่ามือคอยลูบหัวที่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ และน้ำเสียงสั่นเครือที่แอบบอกรักผมในใจ แค่คิดหัวใจข้างซ้ายก็เจ็บแปลบขึ้นมาแล้ว

     

                    “บ้าชะมัด!

                    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คาซามัตสึเข้ามามีอิทธิพลกับใจผมมากขนาดนี้ ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับหมอนั่นมันทำให้ผมสนุกมาก แต่ยังไงงานก็คืองาน แล้วอีกอย่างผมไม่สามารถมีความรักได้ตราบใดที่ยังอยู่ในองค์กรนี้

     

                    ผมควรจะรีบตัดความสัมพันธ์นี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้แล้วจะเจ็บทั้งคู่...

     

                    เมื่อคิดได้ดังนั้นมือก็คว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ ชั่งใจอยู่สักพักแล้วกดโทรออก เสียงสัญญาณดังอยู่นานมากแล้วมันก็ตัดไป ลองโทรอีกรอบผลก็เป็นเหมือนเดิม

     

                    สงสัยจะทำงานอยู่...

     

                    “เฮ่อ~~~!” ผมถอดหายใจยาวๆก่อนจะเอนตัวลงนอน ในหัวมีความคิดมากมายวนเวียนตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

     

                    ถ้าผมบอกเลิกแล้วคาซามัตสึไม่ยอมผมจะทำยังไง ทุกคนที่ผมคบมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อหมดประโยชน์แล้วตัดก็คือตัด ไม่ได้มานั่งห่วงอีกฝ่ายว่าจะรู้สึกยังไง แต่สำหรับคาซามัตสึมันไม่ใช่ ผมห่วงเค้า ผมกลัวเค้าจะต้องเจ็บปวด ผมกลัวเค้าจะต้องมาเสียน้ำตาให้กับคนเห็นแก่ตัวแบบผม

     

                    ฉันมันเลวมากเลยสินะ... คาซามัตสึ!

     

                    ‘Rrrrrrr…’

                    กำลังจะเคลิ้มหลับเสียงโทรศัพท์ก็แหกปากขึ้นมา ผมเอื้อมมือไปกดรับอย่างเหนื่อยอ่อน

     

                    “ฮัลโหล!” ผมกรอกเสียงงัวเงียใส่โทรศัพท์จนคนในสายถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

     

                    [โทรมามีอะไรหรอ!] ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาคือคาซามัตสึ

     

                    “อ้อ... เออ... ฉันโทรไปนี่เนอะ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ ทีแรกเตรียมใจไว้ซะดิบดี แต่เอาเข้าจริงๆดันทำอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง ไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหน

     

                    [เหงารึป่าว ปกติฉันต้องเป็นฝ่ายโทรนี่น่า] ผมถึงกับพูดไม่ออก ก็จริงอย่างที่หมอนี่พูด ตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยโทรหาเลยสักครั้งเดียว มีแต่คาซามัตสึที่โทรมา

     

                    “คือว่าคาซามัตสึ... !

     

                    [พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันมั้ย] ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบเสียงของคาซามัตสึก็แทรกขึ้นมาก่อน

     

                    “พรุ่งนี้ฉันไม่ว่างน่ะ วันอื่นได้มั้ย!

     

                    [ได้สิ... ไม่ว่านานแค่ไหน ฉันก็รอได้!] ประโยคหลังมันฟังดูเศร้ามากๆจนผมใจหาย

     

                    “ขอโทษนะ... คาซามัตสึ!

     

                    [ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ]

     

                    น้ำเสียงที่อ่อนโยนของคาซามัตสึมันทำให้ผมแทบอยากจะเอาปืนมายิงหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมได้แต่นั่งตาลอยออกไปนอกกระจกใสบานใหญ่ ไม่รู้ว่าคาซามัตสึวางไปตอนไหน รู้แค่ว่าตอนนี้ผมสติหลุดไปแล้ว

     

                    ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายอะไรมาแสดงความรู้สึกตอนนี้ได้ รู้แค่ว่ามันตึบจนได้แต่เอนกายนอนลงเงียบๆ ปล่อยให้แอร์เย็นๆดึงสติเข้าสู่ห้วงนินทราอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

     

    ...................................................................

     

                    อีกด้านหนึ่งของบานประตูที่คิดว่าเจ้าของคงหลับไปแล้ว กลับปรากฏร่างสูงโปรงของคนที่ได้ชื่อว่าหัวหน้ายืนพิงประตูอยู่อย่างเหนื่อยล้า บทสนทนาที่แทรกผ่านเข้ามาตามร่องประตูช่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนอยู่ในโสตประสาท นัยน์ตาอ่อนวูบไหวในความมืด

     

                    ฮิวงะเข้าใจความรู้สึกสับสนของคิเสะดี เพราะแต่ก่อนเค้าเองก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน คบกับใครเพียงแค่ผลประโยชน์ของงาน แต่สุดท้ายตัวเองดันเป็นฝ่ายที่เจ็บซะเอง

     

                    มือฝ่าเรียวค่อยๆเปิดประตูออกมาอย่างแผ่วเบา ภายนอกเงียบสนิท มีเพียงร่างบางที่นอนขดอยู่บนโซฟาด้วยความหนาว ฮิวงะใช้ผ้าห่มที่ติดมืออกมาคลุมให้จนถึงคอ

     

                    “เพราะแบบนี้ไง... ฉันถึงได้เตือนแกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง!” นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยหยดน้ำใสที่ปริ่มอยู่หางตาของคนเป็นน้องออกอย่างเบามือ

     

                    “แต่แกก็ยังเป็นแกอยู่วันยันค่ำ เป็นไอ้เด็กดื้อที่เอาแต่ใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยน...!” ฝ่ามือขาวลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มด้วยความอ่อนโยน ส่งยิ้มที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นไปให้ก่อนจะเดินจากมาเงียบๆ

     

                    ถึงจะไม่เคยแสดงออก แต่ความห่วงใยและความรักที่มีให้กันและกันมันมากมายจนบรรยายออกมาไม่ได้ ถึงแม้จะต่างที่มา ต่างสถานะ ต่างนิสัย แต่ก็เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และคอยประคับประคองกันมาจนถึงทุกวันนี้ ใครล้มก็ช่วยกันพยุง ใครเจ็บก็ช่วยกันรักษา ถึงแม้จะไม่พูดออกมาด้วยปาก แต่ที่รับรู้ได้คือ... หัวใจ!!!

     

     

     

    T H E M E
    ◈ B L & W H ◈
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×