คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : :PaRalleL 4:
CHAPTER 4
“ทำไมมีรอยตีนประทับอยู่บนเอกสารได้...
ตอบสิ!”
หัวหน้านั่งจ้องผมตาเขม็งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม
นี่ถ้าไม่ติดว่าผมยอมเสี่ยงไปขโมยข้อมูลสำคัญเพื่องานล่ะก็ ผมคงโดนหัวหน้าจับเหวี่ยงลงตึกไปนานล่ะ
ไม่มัวมานั่งแผ่รังสีอัมหิตอยู่แบบนี้หรอก
“ก็...
ระหว่างทางมันมีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ!” ผมส่งยิ้มแห้งๆไปให้หัวหน้า
แต่ในใจแถมจะระเบิดอยู่รอมร่อเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ไม่กี่ช่วงโมงก่อน
.
.
.
.
.
ผมยืนอ่านเอกสารสำคัญในมืออย่างละเอียด
มือแทบจะกำกระดาษในมือขาดเพราะงานชั่วๆของพวกมันที่ทำเหมือนมนุษย์เป็นแค่ของเล่นให้พวกมันซื้อขายกันได้ง่ายขนาดนี้
และอะไรอีกหลายๆอย่างที่มันทำกับองค์กรใหญ่ของผม ไม่แปลกเลยทำไมคุณมิโดริมะถึงคิดจะถอนรากถอนโคนพวกมัน
ผมยืนฮึดฮัดอยู่สักพักพยายามจะทำให้อารมณ์เย็นลง
ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นไปตามทางออกแคบๆที่ปลายทางออกไปสู่ลานจอกรถด้านหลัง
เงินก็มีเป็นกองไม่มีปัญญาทำทางออกให้มันใหญ่กว่านี้รึไงวะ...
ผมกรนด่าในใจอย่างหมั่นไส้ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพอนาจรของชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนนัวเนียกันอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายฟ้าอายดิน
“เฮ่อ~~~!” ผมถอนหายใจหนักอย่างเอือมระอา เพราะงี้ไงผมถึงได้เกลียดการมาสถานที่เริงรมแบบนี้
บ่นไปก็เท่านั้นแหละ ผมค่อยๆเดินย่องๆเข้าไปเรื่อยๆ
พยายามทำตัวให้เป็นอากาศธาตุที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเบ้ปากอย่างขัดใจเมื่อเห็นว่าช่องว่างที่ผมต้องเดินผ่านมันหดเหลือนิดเดียว
แอบส่งสายตาอาฆาตให้คู่รักที่กำลังดูดดื่มก่อนจะค่อยๆแทรกตัวผ่านมาช้าๆ
“เฮ้ย!!!” ผมร้องลั่นอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆไอ้ตัวผู้มันก็ถอยหลังมาชนผมเต็มๆจนกระเด็นไปติดผนังอีกฝั่ง
แต่สิ่งที่เจ็บใจที่สุดคือเอกสารสำคัญที่อยู่ในมือดันล่วงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น
มิหนำซ้ำไอ้เวรนั่นยังตามมาเหยียบซ้ำจนเป็นรอยตีนมันอีกต่างหาก
“ชิบหาย!!!” ผมก้มลงไปเก็บขึ้นมาปัดๆอย่างหมดอาลัยตายอยาก
แต่รอยตีนนั่นก็ไม่หายไปแม้แต่นิดเดียว ผมลุกขึ้นยืนแล้วหันขวับไปหาไอ้เวรนั่นอยากเคียดแค้น
รู้สึกมันจะไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปแถมยังมีอารมณ์ไปนัวเนียกันต่ออย่างเมามัน
“งานกู!!!” ด้วยความโมโหเลยพ่นคำหยาบออกไปเต็มๆ
และเพราะความลืมตัวมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฝ่าตีนงานๆยันโครมเข้าที่สะโพกของไอ้เวรนั่นอย่างจังจนมันกระเด็นล้มกลิ้งลงไปจูบพื้นอย่างดูดดื่ม
“โอ้ย!
เชี่ยเอ้ย!!!” มันร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ
ชะนีที่มัวแต่ยืนเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปช่วยมันอย่างรวดเร็วก่อนหันมาส่งสายตาไม่พอใจใส่ผม
“แกทำอะไรของแกเนี่ย!!!” ยัยนั่นลุกขึ้นมาทำท่าจะเข้ามาหาเรื่อง ฝ่ามือเรียวยกขึ้นหมายจะฟาดหน้าผมแต่ผมคว้าไว้ได้อย่างสบายๆ
จ้องกลับไปอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มันเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อผมออกแรงบีบข้อมือมันอย่าแรงจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกรอบ
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเสือก!” ผมพูดเสียงเย็นก่อนจะสะบัดข้อมือมันทิ้ง
ยัยนั่นมองหน้าผมเลิ่กลักก่อนจะวิ่งหนีไปปล่อยให้ผัวมันนอนโอดโอยอยู่บนพื้นคนเดียว
ช่างเป็นเมียที่ดีจริงๆ...
“ทำอะไรวะ อยากตายรึไงห๊ะ!!!”
มันลุกขึ้นมาได้ก็หันมาหาเรื่องผมทันที
“แล้วแกล่ะทำอะไร อยากตายมากใช่มั้ย!!!”
“แล้วฉันไปทำอะไรตอนไหนวะ
อย่ามากล่าวหากันลอยๆนะเว้ย!” มันเถียงกลับ ดวงตาเยิ้มๆของมันเหมือนคนเมาไม่มีผิด
“แกแหกตาดูรอยตีนแกดิเนี่ย
ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอีกหรอ!” ผมยกเอกสารที่อยู่ในมือขึ้นมาจ่อหน้ามันก่อนจะฟาดใส่หัวมันไปทีหนึ่ง
“ รู้ได้ไงว่ารอยตีนฉัน
ตรวจดีดีเอ็นเอแล้วรึไง!”
“ไม่ได้ตรวจ
แต่ถ้าจะตรวจก็ได้นะ แกถอดรองเท้าของแกออกมาแล้วลองเอามันทาบหน้าตัวเองดูสิ แล้วฉันจะดูให้ว่ามันเหมือนกันรึป่าว!” ผมยกยิ้มกวนประสาท
“ทาบหน้านายแทนได้มั้ยล่ะ
หน้าขาวๆอย่างนายน่าจะมองง่ายกว่า!”
“ฉันว่าเปลี่ยนเป็นยัดปากแกดีกว่ามั้ย
เลี้ยงไว้กี่ตัวล่ะหมาในปากน่ะ!”
“แหม่! พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ
ผู้ชายบ้าอะไรปากจัดชะมัด ตุ๊ดป่ะเนี่ย!”
“ตัวเองผิดแล้วยังจะมาปากดีอีกรึไง
เดี๋ยวตำหน้าแหก!!!” มันยกยิ้มอย่างกวนประสาทแล้วค่อยๆก้าวเข้ามาหาผม
“รู้ได้ไงว่าปากดี...
ลองชิมแล้วหรอ!” มันยิ้มกรุ่มกริ่ม ขาก็ก้าวเข้ามาหาผมไม่หยุด
“ถอยออกไปเลยถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” ผมสั่งเสียงเย็นแต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านสักนิดเดียว
“ดื้อ สวย ดุ... สเป็คเลย
หึหึ!” มันทำหน้าโคตรหื่นขณะมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนผมขนลุกเกรียวทั้งตัว
“สเป็คบ้านแกสิ!!!” ผมตะโกนใส่หน้ามันก่อนเตรียมตัวจะหันหลังวิ่ง
แต่มันก็ดันมือไวคว้าเอาฮูดของผมก่อนจะดึงกลับไปอย่างแรงจนหงายหลังลงไปอยู่ในอ้อมกอดของมัน
“ปล่อยเลยนะเว้ย!!!” ผมออกแรงดิ้นอย่าเอาเป็นเอาตายในขณะที่มือของมันก็รัดแน่นขึ้น
“ฉันยังไม่ได้ชำระแค้นที่นายถีบผมสะโพกแทบปลิวเมื่อกี้เลย!”
มันกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่โคตรหื่น
ได้ แกเล่นผิดคนแล้วล่ะ หึหึ...
ผมหยุดดิ้นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หลับตานับหนึ่งถึงสามในใจแล้วพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้ากับมัน มันดูจะงงไม่น้อยกลับการกระทำที่เปลี่ยนไปของผม…!
“จะแก้แค้นฉันหรอ!” ผมฝืนยิ้มให้ยั่วยวนที่สุดเท่าที่ในชีวิตนี้เคยทำมา
ก่อนจะวาดแขนโอบรอบคอของมัน
“ทำไม กลัวรึไง!” มันพูดเสียงกระเส้าก่อนจะโอบรั้งเอวของผมเอาไว้
อยากจะบอกว่าโคตรรังเกียจเล้ยยยยยย >[]<
“คนอย่างฉันไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วล่ะ!” ผมดันร่างสูงจนติดกำแพงก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามใบหน้านั้นอย่างเบามือ
‘หมอนี่คิดจะยั่วกันรึไง’
เสียงในใจแล่นผ่านเข้าสมองพร้อมๆกับสายตาหวานเยิ้มที่มองมา
ผมจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง
มือที่โอบรั้งเอวไว้ปล่อยออกข้างหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นจับมือของผมที่เริ่มไล้ลงมาจนถึงต้นคอ
“นายนี่ดูดีๆก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกันนะ!” ผมเขย่งปลายเท้าให้เท่าความสูงของอีกคนก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“นายเองก็คงเป็นพวกคาสโนว่าสินะ
บังเอิญฉันก็ชอบซะด้วยสิ!” ผมแกล้งเบาลมใส่หูมันอย่างสนุกปาก
มือที่รั้งเอวผมอยู่เผลอบีบแรงขึ้นจนผมตกใจแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้
‘เหยดแม่ม! กูจะไม่ทน!!!’
ถ้ามองด้วยตาไอ้หมอนี่มันก็ยังปกติอยู่
แต่ใครจะรู้บ้างว่าในใจมันกรีดร้องดังขนาดไหน อยากจะขำให้ฟันเหยินเหมือนหัวหน้าแต่ทำไม่ได้
ปกติผมจะปิดกั้นจิตใจตัวเองไม่ให้ได้ยินเสียงอะไรเพราะผมไม่ค่อยชอบอ่านใจใครหรอก
แต่คราวนี้สนุกเว่อวะครับ ฮ่าๆๆๆ
“ปากนายสีสวยดีนะ!” ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มน้อยๆ
ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากนั่นอย่างช้าๆ จนปลายจมูกแทบจะชนกัน
“แต่เสียใจ... ฉันเกลียดแกไอ้เวรเอ้ยยยยย!!!” ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปตะโกนใส่หูมันอย่างดังก่อนจะใช้เข่ากระแทกลูกชายมันจังๆจนมันหน้าเขียวทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยความจุก
“แกเล่นผิดคนแล้วเว้ย ฮ่าฮ่าๆ” ผมหัวเราะร่าเมื่อเป็นผู้กุมชัยชนะ
ก่อนจะเดินไปเตะมันซ้ำอีกทีหนึ่ง
“นี่สำหรับงานของฉันที่แกเหยียบ!” และซ้ำไปอีกทีเน้นๆตรงที่เดิม
“และนี่สำหรับที่แกทำหน้าหื่นใสฉัน!”
“ไอ้... ตัวแสบ!”
มันชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่อง
“ฉันไม่ได้ชื่อตัวแสบ
ฉันชื่อคิเสะ เรียวตะ จำใส่สมองกวงๆของนายไว้ด้วย!” ผมเชิดหน้าใส่มันก่อนจะเดินหนีออกมา
“อาโอมิเนะ ไดกิ นายจำชื่อนี้ไว้ให้ดีๆ
แค้นนี้ต้องชำระ แกเจอฉันแน่ไอ้หน้าตุ๊ดดดด!!!”
เสียงโวยวายไล่หลังมาอย่างบ้าคลั่ง แต่มีหรือที่คนอย่างผมจะสนใจ... ไดกิหรอ
ชาตินี้ขออย่าได้เจอกันอีกเลย!
.
.
.
.
“แกเตะไข่มันแล้ววิ่งหนีออกมาว่างั้น”
หัวหน้านั่งขัดสมาธิมองหน้าผมนิ่ง
“ก็อย่างที่เล่าแหละ!” ผมเล่าเรื่องที่ผมเจอนายอาโอมิเนะนั่นให้หัวหน้าฟัง
โดยจงใจตัดตอนที่ผมยั่วมันออกไปซะ ถ้าหัวหน้ารู้มีหวังโดนล้อยันแก่ตายแน่ๆ
“เออก็ดีที่ไม่โดนมันลากไปปล้ำ
เรื่องรอยตีนนี่จะถือว่ายกโทษให้ล่ะกัน!” หัวหน้ายกแผ่นกระดาษที่มีรอยตีนขึ้นมาก่อนจะเอนกายลงไปนอนราบกับโซฟาแล้วอ่านมันอย่างตั้งใจ
ผมเองก็จัดแจงเปิดคอมขึ้นมาอ่านข้อมูลใหม่ที่พึ่งได้มาอย่างขะมักเขม้นตรวจทานว่ามันคือข้อมูลจริงรึป่าวพรุ่งนี้จะได้เอาเข้าสำนักงานไปให้คุณมิโดริมะดู
แอ็ด!!!
เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากผมและหัวหน้า
เลยหันไปยิ้มให้คนที่พึ่งเดินออกมาจากห้อง
“ดึกแล้วนะ ยังไม่นอนอีกหรอ?” ผมถามขณะมองอีกฝ่ายที่เดินเข้าไปในครัวก่อนจะออกมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ
“พอดีหิวน้ำเลยออกมากินน่ะครับ” คุโรโกจจิยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดีก่อนจะมานั่งลงข้างๆ
“ทำอะไรอยู่หรอครับ?” คนเป็นตัวเล็กถามอย่างสงสัย
“เรียบเรียงข้อมูลอยู่น่ะ!” คุโรโกจจิพยักหน้าหงึกหงักสายตาจับจ้องจอคอมอย่างสนอกสนใจ
“คุโรโกะ...!” ทั้งผมและคนข้างๆต่างพากันหันมองหัวหน้าเป็นตาเดียวเมื่อเสียงห้าวๆเรียกขึ้นมา
“วันนี้ฉันคุยกับคุณมิโดริมะเรื่องนายแล้วนะ!” หัวหน้าลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้าคนที่อายุน้อยกว่า
“เค้าว่าไงหรอครับ!” คุโรโกจจิถามเสียงสั่น
คงจะยังไม่ชินกลับหัวหน้าแหะ
“เค้าบอกมาว่าให้ฉันพานายไปพบเค้าหน่อยเค้าอยากเห็นหน้า
พรุ่งนี้เลยกะว่าจะพานายเข้าสำนักงานด้วยกันเลย สะดวกมั้ย!”
“ครับ สะดวกครับ” คนตัวเล็กยกยิ้มน้อยๆ มันมีอะไรน่าดีใจด้วยหรอที่ได้มาทำงานมืดแบบนี้
“แล้วโคคิจจิล่ะหัวหน้า
มันยังไม่ตื่นมาสองวันแล้วนะ!” ผมหันไปถามหัวหน้าที่เอนตัวลงนอนท่าเดิม
“เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็ตื่นเชื่อดิ
มันไม่เคยหลับเกินสามวันหรอก!” หัวหน้าพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปอ่านแผ่นกระดาษในมือต่อ
“เออคือว่า... คนที่ชื่อฟุริเค้าไม่เป็นไรแน่หรอครับ
ไม่พาไปหาหมอหรอ?” คุโรโกจจิถามขึ้น
มองหน้าผมสลับกับหัวหน้าไปมา
“มันไม่ใช่โรคที่หมอรักษาได้น่ะ
แล้วตัวมันเองก็เกลียดโรงบาลจะตายชัก ถ้าตื่นมาเห็นว่าตัวเองนอนอนาจอยู่ในโรงบาล
มีหวังโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแน่!”
หัวหน้าตอบแต่สายตาก็ไม่ล่ะไปจากเอกสารในมือ
“นายไปนอนเถอะ
พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ” หัวหน้าหันมาบอกคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ คุโรโกจจิยิ้มตอบแล้วยอมลุกเดินไปอย่างว่าง่าย
“หัวหน้า... ผมว่าผมมีลางสังหรณ์แปลกๆอ่ะ”
หัวหน้าหันมาย่นคิ้วใส่ผม
“นี่นอกจากแกจะมองเห็นจิตใจได้
แกยังมองเห็นอนาคตอีกหรอวะ โคตรเมพเลยวะ นี่คนหรือซุปเปอร์ไซย่าวะ... ไหนแกลองพูดว่า
คิเสะรู้ คิเสะสัมผัสได้แบบในรายการคนอวดหมีดิ แม่งใช่อ่ะ ฮ่าๆๆๆ”
พูดจบก็หัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร
ตูรู้สึกอยากฆ่าหัวหน้าตัวเองตะหงิดๆ
-_-
“ทำไมต้องทำหน้าเป็นหมาป่วยแบบนั้นด้วยวะ
แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง ขำๆน่าคลายเครียด!” หัวหน้ากระโดดข้ามฟากมานั่งลงข้างๆผมก่อนจะยกแขนคล้องคอแล้วโยกไปโยกมาอย่างสนุกสนาน
“แล้วลางสังหรณ์อะไรไหนลองบอกมาดิ!” หัวหน้าถาม แขนก็ยังไม่ยอมเอาออกไปจากคอสักที ผมยู่หน้าน้อยๆก่อนจะบอก
“ก็ความรู้สึกมันเหมือน...
งานนี้จะไม่ได้จบลงง่ายๆ มันตะหงิดๆแปลกๆ ใจมันโหวงๆเหมือนกำลังจะเสียอะไรไปเลยอ่ะ
ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันแหละ!” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวหน้าเลยดันหัวผมลงไปซบกับไหล่ของตัวเองแล้วโยกไปโยกมาเหมือนเวลาพ่อแม่ปลอบเด็กเล็กๆไม่มีผิด
“คิดมากน่า...
แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เสียอะไรฉันก็ยอมหมด แต่ฉันจะไม่ยอมเสียแกกับฟุริแน่นอน...
รวมถึงคุโรโกะด้วย!” ผมถึงกับยิ้มออก ไม่คิดไม่ฝันว่าหัวหน้าจะพูดอะไรที่มีสาระเป็นด้วย
“ถ้าโคคิจจิมันรู้ว่าหัวหน้ารักมันขนาดไหนมันคงดีใจตายเลย!”
“ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น... เฮ่อ! เมื่อยเว้ย
ไปนอนดีกว่า!” พูดจบก็ลุกบิดขี้เกียจสองสามทีแล้วหันมามองหน้าผม
“แกก็ไปนอนเลยไป
ไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้วนี่!” ผมพยักหน้ารับน้อยๆ
หัวหน้าเลยเดินตรงดิ่งเข้าห้องตัวเองไป
ผมนั่งคิดนู่นคิดนี่อยู่สักพัก
ภาพของคาซามัตสึก็ลอยเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรอยยิ้มที่สดใส ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่น
ฝ่ามือคอยลูบหัวที่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ และน้ำเสียงสั่นเครือที่แอบบอกรักผมในใจ
แค่คิดหัวใจข้างซ้ายก็เจ็บแปลบขึ้นมาแล้ว
“บ้าชะมัด!”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คาซามัตสึเข้ามามีอิทธิพลกับใจผมมากขนาดนี้
ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับหมอนั่นมันทำให้ผมสนุกมาก แต่ยังไงงานก็คืองาน
แล้วอีกอย่างผมไม่สามารถมีความรักได้ตราบใดที่ยังอยู่ในองค์กรนี้
ผมควรจะรีบตัดความสัมพันธ์นี้ให้เร็วที่สุด
ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้แล้วจะเจ็บทั้งคู่...
เมื่อคิดได้ดังนั้นมือก็คว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์
ชั่งใจอยู่สักพักแล้วกดโทรออก เสียงสัญญาณดังอยู่นานมากแล้วมันก็ตัดไป
ลองโทรอีกรอบผลก็เป็นเหมือนเดิม
สงสัยจะทำงานอยู่...
“เฮ่อ~~~!” ผมถอดหายใจยาวๆก่อนจะเอนตัวลงนอน
ในหัวมีความคิดมากมายวนเวียนตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
ถ้าผมบอกเลิกแล้วคาซามัตสึไม่ยอมผมจะทำยังไง
ทุกคนที่ผมคบมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อหมดประโยชน์แล้วตัดก็คือตัด
ไม่ได้มานั่งห่วงอีกฝ่ายว่าจะรู้สึกยังไง แต่สำหรับคาซามัตสึมันไม่ใช่ ผมห่วงเค้า ผมกลัวเค้าจะต้องเจ็บปวด
ผมกลัวเค้าจะต้องมาเสียน้ำตาให้กับคนเห็นแก่ตัวแบบผม
ฉันมันเลวมากเลยสินะ... คาซามัตสึ!
‘Rrrrrrr…’
กำลังจะเคลิ้มหลับเสียงโทรศัพท์ก็แหกปากขึ้นมา
ผมเอื้อมมือไปกดรับอย่างเหนื่อยอ่อน
“ฮัลโหล!” ผมกรอกเสียงงัวเงียใส่โทรศัพท์จนคนในสายถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
[โทรมามีอะไรหรอ!]
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาคือคาซามัตสึ
“อ้อ... เออ... ฉันโทรไปนี่เนอะ
ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ ทีแรกเตรียมใจไว้ซะดิบดี
แต่เอาเข้าจริงๆดันทำอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง ไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหน
[เหงารึป่าว ปกติฉันต้องเป็นฝ่ายโทรนี่น่า] ผมถึงกับพูดไม่ออก ก็จริงอย่างที่หมอนี่พูด ตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยโทรหาเลยสักครั้งเดียว
มีแต่คาซามัตสึที่โทรมา
“คือว่าคาซามัตสึ... !”
[พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันมั้ย]
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบเสียงของคาซามัตสึก็แทรกขึ้นมาก่อน
“พรุ่งนี้ฉันไม่ว่างน่ะ วันอื่นได้มั้ย!”
[ได้สิ...
ไม่ว่านานแค่ไหน ฉันก็รอได้!] ประโยคหลังมันฟังดูเศร้ามากๆจนผมใจหาย
“ขอโทษนะ... คาซามัตสึ!”
[ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ
ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ]
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของคาซามัตสึมันทำให้ผมแทบอยากจะเอาปืนมายิงหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป
ผมได้แต่นั่งตาลอยออกไปนอกกระจกใสบานใหญ่ ไม่รู้ว่าคาซามัตสึวางไปตอนไหน
รู้แค่ว่าตอนนี้ผมสติหลุดไปแล้ว
ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายอะไรมาแสดงความรู้สึกตอนนี้ได้
รู้แค่ว่ามันตึบจนได้แต่เอนกายนอนลงเงียบๆ
ปล่อยให้แอร์เย็นๆดึงสติเข้าสู่ห้วงนินทราอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
...................................................................
อีกด้านหนึ่งของบานประตูที่คิดว่าเจ้าของคงหลับไปแล้ว
กลับปรากฏร่างสูงโปรงของคนที่ได้ชื่อว่าหัวหน้ายืนพิงประตูอยู่อย่างเหนื่อยล้า
บทสนทนาที่แทรกผ่านเข้ามาตามร่องประตูช่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนอยู่ในโสตประสาท
นัยน์ตาอ่อนวูบไหวในความมืด
ฮิวงะเข้าใจความรู้สึกสับสนของคิเสะดี
เพราะแต่ก่อนเค้าเองก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน คบกับใครเพียงแค่ผลประโยชน์ของงาน
แต่สุดท้ายตัวเองดันเป็นฝ่ายที่เจ็บซะเอง
มือฝ่าเรียวค่อยๆเปิดประตูออกมาอย่างแผ่วเบา
ภายนอกเงียบสนิท มีเพียงร่างบางที่นอนขดอยู่บนโซฟาด้วยความหนาว ฮิวงะใช้ผ้าห่มที่ติดมืออกมาคลุมให้จนถึงคอ
“เพราะแบบนี้ไง... ฉันถึงได้เตือนแกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง!”
นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยหยดน้ำใสที่ปริ่มอยู่หางตาของคนเป็นน้องออกอย่างเบามือ
“แต่แกก็ยังเป็นแกอยู่วันยันค่ำ
เป็นไอ้เด็กดื้อที่เอาแต่ใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยน...!”
ฝ่ามือขาวลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มด้วยความอ่อนโยน
ส่งยิ้มที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นไปให้ก่อนจะเดินจากมาเงียบๆ
ถึงจะไม่เคยแสดงออก
แต่ความห่วงใยและความรักที่มีให้กันและกันมันมากมายจนบรรยายออกมาไม่ได้
ถึงแม้จะต่างที่มา ต่างสถานะ ต่างนิสัย แต่ก็เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และคอยประคับประคองกันมาจนถึงทุกวันนี้ ใครล้มก็ช่วยกันพยุง ใครเจ็บก็ช่วยกันรักษา
ถึงแม้จะไม่พูดออกมาด้วยปาก แต่ที่รับรู้ได้คือ... หัวใจ!!!
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น