คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :PaRalleL 3:
CHAPTER 3
[KISE PART]
“แล้วคิเสะคุงล่ะครับ?”
“ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ
วันนี้กะจะโต้รุ่ง ไม่ต้องห่วงหรอกไปนอนเถอะ!”
หลังจากที่ผมพูดจบ
เจ้าตัวก็ขานรับน้อยๆแล้วเดินเข้าห้องไป ผมยังอดห่วงไม่ได้กลัวจะไปสะดุดกองแฟ้มในห้องล้มหัวฟาดพื้นตายคาที่ขึ้นมาขี้เกียจเก็บศพ
แล้วอีกอย่างเอกสารก็สำคัญทั้งนั้นถ้าเสียหายขึ้นมา
มีหวังโดนหัวหน้าผู้เลอโฉมสวดยับแน่
เอาล่ะ! ผมจะขอแนะนำตัวสักหน่อยนะ
อุตส่ามีบทเป็นของตัวเองสักที... อะแฮ่มๆ ผมชื่อคิเสะ เรียวตะ อายุปีนี้ก็พึ่งจะสิบเก้าหมาดๆ
เป็นมันสมองของหน่วยย่อยนี้ งานที่มีก็หนักกว่าชาวบ้านเค้า สังเกตได้จากกองเอกสารในห้องนั่นที่มีไม่ต่ำกว่าสิบกอง
สักวันสมองของผมต้องฟ่อแน่ๆเนื่องจากการโดนใช้งานที่หนักเกินไป
บางคนอาจจะสงสัยว่างานที่พวกผมทำมันคืองานอะไร
จะตอบให้หายสงสัยเลยล่ะกัน...
งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืองานขององค์กรมืดที่มือกฎหมายในโลกเบื้องหน้าไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็เหมือนมันเป็นอีกโลกที่แบ่งแยกออกมา
และแน่นอนในเมื่อไม่มีกฎหมายมันก็ย่อมโหดร้ายเป็นธรรมดา คนที่จะอยู่รอดเลยต้องเก่งและฉลาด
รู้จักเอาตัวรอด และที่สำคัญต้องใจแข็ง เพราะถ้าเราไม่เป็นผู้ล่า เราจะโดนล่าซะเอง
สิ่งสำคัญในโลกมืดก็มีแค่เงินและอำอาจ
หน้าที่ของพวกผมก็แค่สนองนีดให้พวกระดับสูง คอยก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งเหมือนเบี้ยในกระดาน
กำจัดทุกคนที่เป็นเสี้ยนหนามหรือท้าทายอำนาจของบอสใหญ่
และสิ่งที่ได้ตอบแทนหลังจากทำภารกิจแต่ละครั้งสำเร็จคือเงินที่มีค่าไม่ต่ำกว่าหกหลัก
หน่วยย่อยที่สองของผมถือว่าเป็นหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดในองค์กร
เพราะอะไรน่ะหรอ คำตอบง่ายๆ ก็เพราะเป็นหน่วยที่อายุน้อยที่สุดไง มากสุดก็หัวหน้าที่อายุพึ่งจะยี่สิบห้าเอง
ในขณะที่หน่วยอื่นเค้าปาเข้าไปสามสิบแล้ว แล้วอีกอย่างหน่วยผมมันแหล่งรวมความเป็นที่สุด
อาทิเช่น อายุน้อยสุด ฉลาดที่สุด ใจดีที่สุด ไม่ปกติที่สุด และที่สำคัญหน้าตาดีที่สุดด้วย
ในโลกเบื้องหลังพวกผมอยู่ในนามของปีศาจไร้เงาที่ออกล่าเหยื่อยามค่ำคืน
แต่ในโลกเบื้องหน้าพวกผมก็เป็นแค่เด็กมหาลัยธรรมดาๆที่มันดันโดดเด่นกว่าคนอื่น
ด้วยความที่อยู่คอนโดหรูมีผู้ปกครองอย่างฮิวงะจุนเปคอยขับรถสปอร์ตราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้านมาคอยรับส่งทุกวัน
เลยกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นไปโดยปริยาย
“เมื่อยเว้ย” ผมบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะเอนกายนอนราบไปกลับโซฟาตัวยาวด้วยความเหนื่อยล้า
หันไปมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่ามันพึ่งจะตีสองกว่าๆเอง
ครืด!!! ครืด!!! ครืด!!!
กำลังจะพักสายตาไอ้โทรศัพท์เครื่องหรูก็ดันกะแดะสั่นขึ้นมา
ด้วยความหงุดหงิดเลยคว้ามากดรับสายแบบไม่ได้ดูเลยว่าใครเป็นคนโทรมา
ใครมันโทรมาตอนตีสองวะ...
“อะไร!!!” ผมกรอกเสียงใส่ปลายสายอย่างไม่พอใจ
ก่อนจะเด้งตัวขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อเสียงของใครบางคนตอบกลับมา
[ฉันโทรมากวนเวลานอนรึป่าว!]
อยากจะบอกว่าโคตรกวนเลยครับ
แต่ก็ทำไม่ได้เพราะคนที่โทรมาเป็นถึงแฟนของผมเอง... ใช่!
คุณอ่านไม่ผิดหรอก คนๆนี้คือแฟนของผมเอง
“ป่าวๆ ไม่กวนหรอก ฉันยังไม่ได้นอนเลย
โทรมามีไรหรอ!” ผมหัวเราะแห้งๆตอบกลับไป
[คิดถึงน่ะ ทำอะไรอยู่หรอ]
ตีกอล์ฟอยู่มั้งถามมาได้ นี่มันตีสองนะเว้ย - -
“ดูหนังอยู่น่ะ แล้วนี่ยังไม่นอนอีกหรอ
ดึกแล้วนะ!”
[ยังไม่เลิกงานเลย
แค่แว็บมาเข้าห้องน้ำเลยโทรหาได้น่ะ เดี๋ยวก็กลับไปทำงานต่อแล้วล่ะ]
“หรอ... เออนี่คาซามัตสึ”
ปากเรียกคนในสายแต่สายตาของผมจับจ้องหน้าจอคอมเป็นประกาย
[ว่าไงหรอ]
“พรุ่งนี้ฉันจะไปหาที่ทำงานนะ
ผับเปิดกี่โมงหรอ”
[เปิดสองทุ่มน่ะ
จะมาจริงๆหรอ ให้ฉันไปรับมั้ย]
ปลายสายดูจะดีใจไม่น้อยฟังจากน้ำเสียงที่ตื่นเต้นแบบนั้น
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวฉันไปเอง ฉันไปช้าน่ะ
เดี๋ยวนายเสียเวลางาน!”
[อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจัง...
อ่ะ! ฉันไปทำงานก่อนนะ คิดถึงนะ พรุ่งนี้เจอกัน!] พูดเองเออเองเสร็จสรรพก็วางสายไปโดยไม่รอให้ผมพูดอะไรเลยสักคำเดียว
คาซามัตสึ... คือแฟนผมก็จริงอยู่
แต่แค่ในนามเท่านั้นแหละ ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเค้าทั้งนั้น
ที่ยอมคบก็เพราะมีประโยชน์ต่อการทำงานของผมก็เท่านั้น เค้าเป็นบาริสต้าอยู่ที่ผับที่ผมต้องไปสืบข้อมูลคำคัญ...
ข้อมูลของเป้าหมายรายต่อไป
เห็นว่าพวกมันเป็นแค่แก็งค์มาเฟียเล็กๆที่พยายามจะแทรกซึมเข้ามาทำลายองค์กรของผมอย่างเนียนๆ
แต่ขอโทษนะ มันยังไม่เนียนพอที่จะหลอกคนฉลาดๆอย่างคุณมิโดริมะบอสใหญ่ขององค์กรผม
เลยมีคำสั่งลงมาให้ถอนรากถอนโคนทั้งแก๊งไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว
ที่เห็นผมก้มหน้าก้มตาอยู่แต่กับโน๊ตบุ๊คก็เพราะกำลังพยายามแฮ็คฐานข้อมูลของผับนั้นอยู่
ได้ข้อมูลมาน้อยนิดแต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าระบบฐานข้อมูลของผับหรูนั้นเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายใหญ่ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันใหญ่แค่ไหนเพราะติดไฟร์วอลเลยเจาะต่อไม่ได้
มันอาจจะใหญ่ถึงขนาดสาวไปถึงตัวบอสเลยก็เป็นได้ ผมเลยจะลงพื้นที่ไปขโมยข้อมูลมันตรงๆซะเลย
“โคคิจิจะหายทันมั้ยเนี่ย!” ผมพึมพำเบาๆกับตัวเองพลางนึกถึงสภาพของเพื่อนร่วมหน่วยที่ยังหลับไม่ได้สติ
อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาทำภารกิจแล้วแท้ๆ นี่คุณมิโดริมะคงไม่ได้คิดจะตัดกำลังของหน่วยผมใช่มั้ยเนี่ย
ถึงจะมีหัวหน้าก็จริงแต่คนๆเดียวจะให้ไล่ฆ่าคนทั้งแก๊งนี่มันก็หนักเอาการเลยนะ
เห็นทีผมคงต้องออกแนวหน้าบ้างซะแล้ว
“เอาวะ ตายเป็นตาย!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นยืน
รู้สึกมีไฟอย่างบอกไม่ถูก เห็นผมเอาแต่ใช้สมองไม่ได้หมายความว่าผมจะสู้ไม่เป็นนะ
ไม่งั้นผมคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรอก แต่คุณมิโดริมะกับห้ามไม่ให้ผมสู้ซะงั้น
เหตุผลที่ให้ก็แค่บอกว่ามีพวกชอบใช้กำลังเยอะแล้วแค่เนี่ย
ผมเดินไปชงกาแฟในห้องครัวสักพักก่อนจะเดินออกมาประจำอยู่หน้าคอมตามเดิม
ลงมือเรียบเรียงข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดเอาให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายที่สุด
ก็อย่างที่บอกหน่วยผมมันมีแต่พวกชอบใช้กำลัง
พื้นที่ในสมองเลยไม่ค่อยมีที่วางสำหรับข้อมูลสักเท่าไร
ไปถึงที่หมายก็ซัดแหลกลูกเดียวเลยต้องมีผมไว้คอยซับพล็อตตลอดเวลา
ผมก้มหน้าก้มตาทำนู่นทำนี่ในคอมอย่างขะมักเขม้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หัวหน้าคนสวยเดินออกมาจากห้องนั่นแหละ
หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันหกโมงเช้าแล้ว ไม่แปลกที่จะไม่รู้ตัว ผมมันประเภทถ้าจมอยู่กับอะไรสักอย่างแล้วเหมือนถูกตัดออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ทำงานลืมวันลืมคืนอีกแล้วนะ
เดี๋ยวก็ช็อคตายคาคอมหรอก!” หัวหน้าพูดขึ้นขณะที่เดินผ่านผม ฝ่ามือขาวๆขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงก่อนจะเดินหายวับเข้าไปในครัว
ถ้าผมไม่ทำแล้วไอ้หน้าไหนมันจะทำวะครับ...
คำตอบคือไม่มีไง ตูเลยต้องนั่งทำงานงกๆอยู่คนเดียวในขณะที่คนอื่นนอนอย่างสบายใจเชิบ
แต่บ่นไปก็เท่านั้น เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เข้าหูหมาทะลุหูควายป่าวๆ = =
“จะไปไหนแต่เช้า!”
เมื่อบ่นเองจนพอใจก็หันไปถามหัวหน้าที่พึ่งสังเกตว่าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
เดินถือแก้วกาแฟมานั่งลงที่โซฟา
“คุณมิโดริมะเรียกน่ะสิ
ไม่รู้จะมีภารกิจอีกรึป่าว” เมื่อได้ยินคำว่าภารกิจผมถึงกับคิ้วกระตุกทันที
“จะบ้าหรอ งานนี้ยังไม่ทันได้จัดการเลย
คุณมิโดริมะคงไม่ให้งานซ้อนหรอกมั้ง” ผมจัดการบันทึกงานทุกอย่างที่ทำทั้งคืนก่อนจะปิดคอม
แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอย่างเมื่อยล้า
“แกก็พักบ้างเถอะเดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะซวยเอา!”
“รู้แล้วน่า!” ผมนอนเอามือก่ายหน้าผาก
สงสัยเรื่องที่จะไปผับคืนนี้คงต้องเก็บเป็นความลับซะแล้ว
ถ้าขืนบอกมีหวังโดนห้ามแน่ๆ หัวหน้ายิ่งชอบเป็นห่วงจนเกินเหตุซะด้วยสิ
“แกมีอะไรจะบอกฉันรึป่าว!” ผมเบนสายตาไปทางหัวหน้าที่นั่งจิบกาแฟมองผมอยู่อย่างหวาดๆ
นี่คงไม่ได้แอบฟังผมคุยกับคาซามัตสึหรอกนะ เอ๊ะ!
หรือหัวหน้าจะอ่านใจคนอื่นได้แบบผม
“จะว่ามีก็มีน่ะนะ... เรื่องของคุโรโกจจิน่ะ!”
แถไปเรื่อยครับผม
“จะถามว่าทำไมฉันถึงตกลงงั้นสิ!” ผมพยักหน้ารับ
หัวหน้าถอนหายใจน้อยๆก่อนจะวางแก้วกาแฟลง
“คงจะเหมือนที่ฉันช่วยแกกะฟุรินั่นแหละมั้ง...!” หัวหน้ายกยิ้ม มันเป็นยิ้มที่อ่อนโยนมากๆจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“แววตาของเด็กคนนั้นน่ะ บางครั้งก็แข็งกร้าวเหมือนจะเกลียดชังทุกสิ่งบนโลก
แต่ลึกๆแล้วก็หวั่นไหวและเจ็บปวด พยายามจะทำตัวให้ปกติที่สุดเพื่อกักเก็บความรู้สึกต่างๆมากมายไว้ข้างในเพียงคนเดียวเหมือนแกกับฟุริ
แต่ดีที่แกสองคนยังมีฉัน แต่เด็กคนนั้นไม่มีใครเลย แกก็เห็นไม่ใช่หรอ... ฉันอยากยื่นมือไปให้เด็กคนนั้น
ถึงแม้ทางที่ฉันจะพาเค้าเดินมามันมืดมิดแค่ไหนก็เถอะ”
มันก็จริงอย่างหัวหน้าพูดนะ
มองเผินๆเหมือนคุโรโกะจะปกติดี แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น
สิ่งที่ผมมองเห็นในใจของเด็กคนนั้นมันมากมายจนเจ้าตัวเผลอไปสร้างตัวตนอีกด้านจากความรู้สึกเหล่านั้นซึ่งน้อยคนนักที่จะเป็น
ซึ่งผมบังเอิญไปเจอเข้า อีกด้านของเด็กคนนั้นท่าทางจะร้ายกาจใช่ย่อยเลยล่ะ
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ดูแลสองคนนั้นด้วยล่ะกัน
เดี๋ยวขากลับซื้อขนมมาฝากนะ!” พูดจบก็ลุกพรวดจากโซฟาแล้วเดินหนีไปทันทีโดยไม่รอให้ผมเถียงกลับเลยสักคำ
แถมยังวิ่งกลับมาเอาตีนขาวๆเขี่ยผมซะเกือบกลิ้งตกโซฟาอีกต่างหาก
นี่ถ้าไม่ติดคำว่าหัวหน้านะ...
ตูจะเอาแก้วกาแฟฟาดหัวให้เลือดอาบเลย = =
“จะกลับตอนไหนอ่ะ!” ผมลุกขึ้นตะโกนถามคนที่กำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าประตู
“ไม่รู้ดิ ทำไม จะหนีเที่ยวหรอ!” ผมล่ะเกลียดคนรู้ทัน
แต่อันที่จริงก็ไม่ได้ไปเที่ยวหรอก ไปทำงานต่างหาก
“พอดีคาซามัตสึโทรมาชวนไปกินข้าวน่ะ!”
หัวหน้าเบ้ปากใส่ผม
“หน้าอย่างแกรักใครจริงๆจังๆเป็นด้วยรึไงห๊ะ
ฉันเห็นแกเขี่ยทิ้งไปไม่รู้กี่คนล่ะ หรือว่าคนนี้แกเอาจริง!”
ทำไมต้องทำหน้าเอือมระอาซะเต็มประดาแบบนั้นด้วยฟะ = =
“ก็คงจริงมั้ง...!” ผมตอบก่อนจะยักไหล่น้อยๆแล้วกลับลงไปนอนที่เดิม
“ไม่ใช่แค่คนๆนั้นจะเจ็บ
ตัวแกเองก็จะเจ็บไปด้วย เล่นกับความรู้สึกของคนมันไม่สนุกหรอกนะ...” หัวหน้าหยุดพูดพร้อมๆกับเสียงเปิดประตูดังขึ้น
“...ถึงมันจะเป็นงานก็เถอะ!”
ผมลืมตาโพลงเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาทันที
หันไปมองที่หน้าประตูก็พบแค่ความว่างเปล่ากับบานประตูที่แง้มปิดพอดี
หัวหน้ารู้อยู่แล้วงั้นหรอ..
.
.
.
.
.
08.31 น.
ผมหันหน้ามองนาฬิกาน้อยๆก่อนจะหันกลับมาสนใจจอสี่เหลี่ยมที่มีผู้ประกาศข่าวแสนสวยกำลังทำหน้าที่อยู่ข้างในอย่างขะมักเขม้น
กะจะนอนเอาแรงตั้งแต่ที่หัวหน้าออกไปแล้วซะหน่อยแต่กลับหลับไม่ลงเลยซะวินาทีเดียว
สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่การนั่งดูทีวีที่ไม่ค่อยจะมีอะไรดูนอกจากข่าว
ผมคว้ารีโมทมากดปิดอย่างเบื่อหน่าย
ก่อนจะเดินไปที่กระจกใสบานใหญ่ที่อยู่อีกฟากของห้องโถงกว้างเพื่อดูวิวยามเช้า
เสียงเปิดประตูทำให้ผมละความสนใจจากภาพเบื้องหน้าแล้วหันไปมองบุคคลที่เดินออกมาจากห้อง
“หิวรึป่าว เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กินมั้ย!” ผมส่งยิ้มให้คุโรโกจจิก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วยกมือขึ้นทาบหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ
‘เงียบจังแหะ
ยังไม่ตื่นกันหรอ...’
เสียงในใจที่ถูกส่งเข้าสมองมาโดยการสัมผัสร่างกายของคนตรงหน้า
ผมยกยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบคำถามที่เจ้าตัวพึมพำขึ้นในใจคนเดียว
“หัวหน้าออกไปตั้งแต่เช้าแล้วน่ะ
ส่วนโคคิจิคงไม่ตื่นง่ายๆหรอก!” อีกคนส่งยิ้มมาให้บางๆ ผมเลยดันหลังให้เจ้าตัวไปนั่งลงบนโซฟา
...โคคิจจิ???
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย เดี๋ยวฉันทำให้กิน!”
“ไม่ล่ะครับ ยังไม่หิวเท่าไรเลย!” คุโรโกจจิส่ายหัวไปมา
ผมพึ่งสังเกตว่าเด็กคนนี้ยังใส่ชุดเดิมที่ผมเป็นคนเปลี่ยนให้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว
ความคิดหนึ่งเลยผุดขึ้นมาบนหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมทิ้งให้อีกคนนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว
ส่วนตัวเองเดินมาเปิดประตูห้องของไอ้เพื่อนร่วมหน่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง
ตรงดิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อนั่นค้นนี่อยู่สักพักก่อนจะกลับมาด้วยชุดลำลองในมือ
“ไปอาบน้ำแต่งตัว
เดี๋ยวไปข้างนอกกับฉัน!” ผมจัดการยัดชุดที่ยืมมาจากตู้เสื้อผ้าฟุริใส่มือของคนตัวเล็ก เจ้าตัวยังดูงงๆแต่ก็ยอมลุกเดินไปอย่างว่าง่าย
ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับชุดใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม
เสื้อฮูดแขนยาวสีดำกับกางเกงขาสามส่วนสีดำดูเข้ากันดีมากๆกับผิวขาวๆของคุโรโกจจิ
แต่ติดอยู่ตรงผมเผ้าที่ยังยุ่งๆอยู่ผมเลยจักการหวีดีๆให้เข้าทรงอย่างชำนาญ
“แหล่มเลย!..
งั้นเราไปกันเถอะ” ผมยกนิ้วโป้งให้ผลงานของตัวเองก่อนจะคว้ามืออีกคนออกมาทันที
.
.
.
.
ผมเลี้ยวรถเข้ามาในลานจอดของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง
หาที่จอดที่พอเหมาะก่อนจะจัดการล็อครถแล้วเดินจูงมืออีกคนเข้ามาภายในตัวห้างทันที
“อยากได้ตัวไหนก็หยิบเอาเลยไม่ต้องเกรงใจ!” ผมสั่งอีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะกำลังเดินมายังร้านเสื้อผ้าเบรนด์ดัง
เจ้าตัวดูจะอึกอักไม่น้อยเลยทีเดียว
“แต่ว่านี่มันแพงมากเลยนะครับ” คนตัวเล็กชี้ไปที่ป้ายราคาที่ขึ้นหลักพัน
ผมเลยฉีกยิ้มกว้างเดินไปคล้องคอคนเป็นน้อง
“มากับเสี่ยจะกลัวอะไร
แค่นี้ไม่เดือดร้อนเงินในบัญชีหรอกน่า!”
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมขยับไปไหนผมเลยคว้ามือไปโซนเสื้อผ้าวัยรุ่น
จับตัวนู่นตัวนี้มาวัดเข้ากับร่างกายของอีกคนอย่างสนุกสนาน เห็นตัวไหนที่ตัวเองอยากได้ก็เอาด้วย
จ่ายเงินเสร็จก็เดินออกมาจากร้าน ถุงเสื้อผ้าในมือไม่ต่ำกว่าห้าถุง
ในแต่ละถุงมีเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่าสามชุด
เดินเข้าร้านนู่นออกร้านนี้ได้ของมาจนหนำใจก็หาร้านอาหารบรรยากาศดีๆอาหารอร่อยๆกินจนพุงกลางก่อนจะพาคุโรโกจจิไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นต่ออีกหลายที่
จนตะวันลับขอบฟ้าเลยจำเป็นต้องกลับบ้าน
“วันนี้สนุกป่าว!”
หลังจากช่วยกันหอบข้าวของต่างๆมากมายมาว่าไว้บนโต๊ะผมก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเมื่อยล้า
“สนุกมากเลยล่ะครับ ขอบคุณคิเสะคุงมากนะที่ซื้อของให้ตั้งเยอะแยะเลย!”
เด็กตรงหน้ายิ้มน้อยๆอย่างจริงใจ ผมเลยเอื้อมมือไปขยี้ผมอย่างสนุกมือ
‘Rrrrrr….’
จู่ๆโทรศัพท์เครื่องหรูก็แหกปากร้องขึ้นมาดังลั่นจนผมสะดุ้ง
ล้วงมือเข้าไปควานหาในกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะหยิบขึ้นมาดูรายชื่อก็พบว่าเป็นสายของคาซามัตสึ
ผมเลยหลบมายืนคุยอีกมุมให้ห่างจากคุโรโกจจิ
“ว่าไงหรอ”
[ออกมารึยังหรอ!]
ออก... ออกไปไหนวะ = =
“ออกไปไหนอ่ะ!” ผมเอียงคออย่างมึนๆ เหมือนกำลังลืมอะไรสักอย่างไปเสียสนิท
[อ้าว! ก็ไหนบอกวันนี้จะมาหาที่ผับไง]
ชิบหาย...
ลืมสนิทเลยครับ O[]O!!!
“อ้อๆ กำลังจะออกไปพอดีเลยล่ะ
ไว้เจอกันที่ผับนะ ฮ่าๆๆ” หัวเราะแห้งๆแก้เก้อก่อนจะตัดสายทิ้งไป หันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันสามทุ่มกว่าแล้วผมเลยรีบเดินไปคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าสะพายตรงดิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะออกไปทำธุระข้างนอก
ดึกๆถึงจะกลับ ถ้าหิวก็ทำกินเอานะอย่าทำครัวระเบิดล่ะ ฝากดูบ้านด้วยนะ ไปละ!”
สั่งเสร็จก็ใส่รองเท้าแล้วเปิดประตูออกมาทันที
กดลิฟท์ลงมาชั้นบีซึ่งเป็นลานจอดรถเดินตรงดิ่งไปยังรถสปอร์ตสีขาวสะอาดคู่ใจ
นั่งประจำที่คนขับก่อนจะบึ่งออกไปทันที
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงป้ายไฟของผับหรูก็เด่นหลาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ผมเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถที่เต็มไปด้วยรถราคาแพงของลูกค้าที่ดูก็รู้ว่ามีฐานะทั้งนั้น
จัดการกับรถตัวเองเสร็จก็เดินเข้าประตูผับไปทันทีและก็ไม่ลืมมองหาทางหนีเตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉินด้วย
“น้ำเปล่าแก้วหนึ่งครับ!” ผมตะโกนสั่งแข่งกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม
บาเทนเดอร์หนุ่มที่ดูก็รู้ว่าใครหันมายิ้มให้ผมก่อนจะส่งแก้วที่บรรจุน้ำเปล่ามาให้
“กินอะไรมารึยัง หิวรึป่าว!” คาซามัตสึก้มลงมาถาม
ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
“รำคาญเสียงรึป่าว
ไปนั่งในห้องวีไอพีมั้ย!” ผมมองไปตามมือที่คาซามัตสึชี้ ห้องวีไอพีที่ว่ามันอยู่ติดกับตรอกทางที่จะเข้าห้องทำงานพอดีซึ่งผมเล็งเอาไว้นานตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วล่ะ
“ก็เอาสิ นายหาอะไรมาให้ฉันกินหน่อยนะ!” ผมบอก
ก่อนที่คาซามัตสึจะหันไปสะกิดเพื่อนบาริสต้าอีกคนก่อนจะพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยินเพราะเพลงที่เปิดอยู่ในผับ
คาซามัตสึหันมายิ้มให้ผมแล้วเดินอ้อมออกมาจากหลังเคาเตอร์ก่อนจะพาเดินไปที่ห้องวีไอพี
ระหว่างทางผมแทบอยากจะเอาหมัดงามๆทะลวงลูกตาไอ้พวกผู้ชายหน้าม่อที่มองตามผมตาเป็นมัน
แถมยังมีผู้หญิงอีกที่คอยส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ บางคนก็ส่งเสียงหาเหวอะไรก็ไม่รู้
บางคนถึงขนาดเดิมมาคว้าเอวผมเลยก็มี แต่ยังดีที่คาซามัตสึช่วยไว้ได้ทันไม่งั้นผมอาจจะโดนลากไปไหนแล้วก็ได้
“ฉันว่าคราวหลังนายไม่ต้องมาดีกว่านะ!” ตูดถึงโซฟาปั๊ปเสียงห้วนๆติดจะไม่พอใจเล็กๆก็ดังขึ้นปุ๊ป ผมหันไปมองคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูอย่างมึนๆ
“ทำไมอ่ะ นายไม่อยากให้ฉันมาหาหรอ!”
“ไอ้อยากก็อยากอยู่
แต่ถ้ามาแล้วโดนพวกผีเสือกลางคืนทั้งหลายมันส่งสายตามาลวนลามแบบนี้ก็อย่ามาเลยดีกว่า
ฉันเป็นห่วง!” คาซามัตสึเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาทำให้ผมเกิดอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
สงสัยผมต้องรีบจัดการงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วซะแล้ว
ก่อนที่อะไรๆมันจะเกินเลยไปมากกว่านี้...
“ขออนุญาตครับ!”
เสียงเด็กเสริฟดังขึ้นจากหน้าประตูทำให้คาซามัตสึรีบเด้งตัวออกห่างจากผมทันที เขาส่งยิ้มให้ผมก่อนจะวางจานที่มีก้อนเค้กวางอยู่ด้านบน
โค้งน้อยๆแล้วเดินออกไปเงียบๆ
“ผับแบบนี้มีเค้กด้วยอ่อ!”
ผมถาม คาซามัตสึหัวเราะน้อยๆ
“ฉันซื้อมาไว้ให้นายเองแหละ
เห็นว่าชอบกินของหวานไม่ใช่หรอ!” ผมพยักหน้ารับก่อนจะฉีกยิ้มกว้างไปให้คาซามัตสึ
“งั้นเดี๋ยวฉันไปทำงานต่อนะ
เดี๋ยวจะแว็บมาหาบ่อยๆ” เดินมาโยกหัวผมเล่นอย่างสนุกมือก่อนจะส่งยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป
คาซามัตสึเป็นคนดีมาก ดีจนผมเริ่มมีความรู้สึกไม่อยากจะทำร้ายเค้าซะแล้ว
ผมไม่น่าตบปากรับคำที่เค้าขอเป็นแฟนเลย ผมไม่อยากเห็นเค้าเจ็บปวด... นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!
ผมสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดแปลกๆออกไปจากสมอง
ก่อนจะคว้าเอาโน๊ตบุ๊คที่ติดกระเป๋ามาเปิดเครื่องแล้วจัดการเชื่อต่อกับระบบเครือข่ายของผับ
ก่อนจะทำการแฮ็คอย่างระมัดระวัง กำแพงทุกอย่างของระบบเครือข่ายผมเจาะผ่านได้อย่างสบายๆแต่ก็มาติดที่เดิมเหมือนเมื่อวาน
“น่ารำคาญจริง!” ผมสถบอย่างหัวเสีย
ก่อนจะป้อนคำสั่งแคร็กรหัสผ่าน ผมนั่งจ้องตัวเลขแปดหลักที่หมุนวนอย่างลุ้นระทึกจนถึงตัวสุดท้าย
เสียงเตือนเมื่อทำกาแคร็กเสร็จสิ้น ผมยกยิ้มอย่างพอใจเริ่มเจาะลึกเข้าไปเรื่อยๆจนถึงระบบฐานข้อมูลของแก๊งมาเฟียกระจอกที่เป็นเป้าหมายต่อไป
“ระบบรักษาความปลอดภัยโคตรห่วยเลยวะ!” ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ ข้อมูลมากมายปรากฏต่อสายตา
ผมทำการดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดไว้ในคอมของผมก่อนจะนั่งขัดสมาธิพลางกินเค้กที่คาซามัตสึซื้อมาให้อย่างสบายใจขณะมองขีดสีเขียวที่เกือบจะโหลดเต็มแล้ว
แต่ข้อมูลที่ผมต้องการรู้สึกมันจะไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในฐานของมูลของแก๊ง
ถ้าเดาไม่ผิดมันน่าจะอยู่ในรูปแบบของลายลักษณ์อักษรซึ่งมันน่าจะอยู่ที่ผับนี้
เมื่อเห็นว่าโหลดเสร็จแล้วผมก็จัดการออกจากระบบ
ไม่ลืมลบร่อยรอยต่างๆที่จะทำให้ตามรอยผมได้จากเลขไอพีแอสเดรส
ก่อนจะปิดเครื่องแล้วเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม เป้าหมายต่อไปคือห้องทำงานที่อยู่ข้างๆ
ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครสนใจเลยค่อยๆย่องแล้วแทรกตัวเข้าไปทางตรอกเล็กๆ
เดินไปได้สักพักก็เจอประตูที่เขียนชัดเจนว่าห้ามเข้าแถมมันยังต้องใส่รหัสอีกต่างหาก
สงสัยจะมีของสำคัญแหะถึงได้ล็อคแน่นหนาขนาดนี้
“กระจอกจริงๆ!” ผมพึมพำก่อนจะล้วงเอาอุปกรณ์ที่ไว้ใช้แคร็กรหัสผ่านขึ้นมา
รอสักพักเลขแปดหลักก็ปรากฏขึ้น ผมรีบใส่รหัสแล้วแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ห้องทั้งห้องมืดสนิท ผมหยิบไฟฉายขนาดเล็กขึ้นมาคาบไว้ก่อนจะลงมือรื้อนู่นค้นนี่ไปทั่วห้อง
ผมไล่มองเอกสารต่างๆไปทั่วจนในที่สุดก็หาเจอ รีบทำทุกอย่างให้เป็นปกติแล้วซ้อนแผ่นเอกสารที่ต้องการไว้ในกระเป๋าก่อนจะรีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
“ไปไหนมา!”
พอเปิดประตูเข้ามาในห้องวีไอพีอีกครั้งก็พบกับคาซามัตสึที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไป... เข้าห้องน้ำมาน่ะ” ผมส่งยิ้มแห้งๆ
พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด คาซามัตสึมองผมนิ่งๆไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร
“คือ... ฉันกะว่าจะกลับแล้วน่ะ
พอดีพี่ฮิวงะโทรมาตามเมื่อตอนอยู่ในห้องน้ำ!” ผมไม่กล้าแม้แต่สบตาของคาซามัตสึ
ตัวของผมถูกดึงเข้าไปกอดอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก ผมเองก็ไม่ได้ขัดขืนเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังอยู่ในฐานะแฟนของเค้า
‘ฉันรักนายนะ’
เสียงในใจของคาซามัตสึที่ส่งผ่านมาทำให้ผมรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก
มันเจ็บที่อกข้างซ้ายแปลกๆ
“ให้ฉันไปส่งมั้ย!”
อ้อมกอดถูกคลายออก คาซามัตสึยิ้มให้ผมอย่างที่เคย
“ไม่เป็นไร ฉันเอารถมา
นายไปทำงานเถอะ!” ผมฝืนยิ้มให้เค้า คาซามัตสึลูบหัวผมเบาๆก่อนจะจูงมือพาเดินออกมาจากห้อง
ผมโบกมือลาคาซามัตสึก่อนจะเดินออกมาทางหลังร้าน
หันซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ล้วงเอาเอกสารมาตรวจดู
ได้เวลาจบเรื่องนี้สักที....
TBC....
------------------------------------------------------
กลิ่นมาม่าลอยมาแต่ไกล55555
เม้นๆหน่อยน้า เป็นกำลังใจ
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น