ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Love PaRalleL

    ลำดับตอนที่ #3 : :PaRalleL 2:

    • อัปเดตล่าสุด 15 ธ.ค. 58


     

     

     

    CHAPTER 2

                   

                    “เฮ้ย! นั่นมันส่วนของผมนะหัวหน้า!!!”

     

                    ฉันเป็นคนจ่ายเงินนะ มาหวงเจ้าของเงินแบบนี้ได้ไง!”

     

                    ก็อยากเลี้ยงเองนี่ ไม่ต้องมาทวงบุญคุณเลยนะมาดามฮิวงะ

     

                    เดี๋ยวเอ็งจะโดนมิใช่น้อย... คุยด้วยแล้วปวดกบาลวะ ไปรับไอ้ฟุริดีกว่า!!!”

     

                    เสียงโวกเวกโวยวายเรียกสติของผมให้กลับคืนมา เปลือกตาที่หนังอึ้งค่อยๆปรือขึ้น รู้สึกปวดหัวแถมร่างกายมันร้อนรุ่มแปลกๆ พยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่แขนกลับไม่มีแรงเลยสักนิดเดียว เลยจำใจต้องนอนอยู่แบบนั้น ผมหันมองไปรอบๆก็ถึงกลับขมวดคิ้วเพราะไม่มีความคุ้นเคยกับสถานที่นี้

     

                    ที่นี่ที่ไหน....

     

                    ห้องขนาดใหญ่ที่ผมนอนอยู่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำซะส่วนใหญ่ จนทำให้บรรยากาศมันดูมืดมนไม่ใช่น้อย ชั้นที่ตั้งอยู่มุมห้องถูกอัดแน่นไปด้วยหนังสือจนมันรามลงมากองอยู่บนพื้นพรม อีกมุมมีโต๊ะสำหรับวางคอมพิวเตอร์สองตัวโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งตัวและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกต่างๆซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

                    แต่ที่ทำให้ผมสะดุดตามากที่สุดเห็นทีจะเป็นตุ๊กตารูปร่างคล้ายตัวคนที่ถูกตะปูตอกติดกับผนังเอาไว้ มีอักขระสีแดงสดเขียนเป็นวงอยู่รอบๆ มันดูน่ากลัวจนผมรู้สึกได้ มองเผินๆห้องนี้มันก็เหมือนห้องธรรมดาๆ แต่ที่มันไม่ธรรมดาคือความรู้สึก รอบห้องถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่น่าขนลุก

     

                    ตื่นแล้วหรอ!” ความสงสัยของผมถูกพับเก็บทันทีเมื่อเสียงสดใสของใครบางคนดังขึ้นพร้อมๆกับร่างโปร่งที่เดินมาก้มหน้ามองผม

     

                    หลับไปตั้งสองวันเต็มๆ ฉันนึกว่าจะต้องได้เอาไปเผาแล้วซะอีก!” คนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรก่อนจะเอื้อมฝ่ามือมาจับหน้าผากของผม

     

                    ใคร...

     

                    ฉันชื่อคิเสะ เรียวตะนะ เรียกว่าอะไรก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ... คุโรโกะ เท็ตสึยะคุง!” คิ้วของผมขมวดกันเป็นปมด้วยความสงสัย

     

                    ทำไมถึงรู้ชื่อผมได้ล่ะ...

     

                    หิวมั้ย!” มือที่จับหน้าผากผมถูกชักกลับ รอยยิ้มที่สดใสถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง

     

                    ห้องนี้เป็นของคนๆนี้งั้นหรอ... ห้องที่มืดมนแบบนี้น่ะหรอ?

                   

                    ไม่ใช่ห้องฉันหรอก... คงอึดอัดสินะ ก็ไม่แปลกหรอก แต่จะให้ไปอยู่ห้องฉันหรือห้องหัวหน้าก็กลัวจะโดนกองเอกสารทับตาย เลยจำเป็นต้องให้มาอยู่ห้องนี้ชั่วคราวไปก่อนเพราะเจ้าของห้องมันไม่อยู่!”

                    คิ้วที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งพันกันเข้าไปใหญ่ ร่างโปร่งตรงหน้าเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรเลยส่งยิ้มมาให้อย่างอารมณ์ดี

     

                    อ่านความคิดได้หรอครับ...!” ผมถามออกไปตรงๆ ร่างโปร่งก็ดูจะไม่ได้ขัดใจที่จะตอบแต่กลับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

     

                    ไม่ใช่แค่ความคิดหรอกนะ ^^”

     

                    หมายความว่ายังไง...

     

                    “ไม่ต้องทำหน้างงหรอกน่า ลุกไปกินข้าวกินปลาได้แล้วเดี๋ยวก็ได้เผากันจริงๆหรอก!” คำพูดทีเล่นทีจริงกับรอยยิ้มจริงใจที่ส่งมา ทำให้ผมคลายความตึงเครียดเมื่อสักครู่ลง ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นคิเสะที่ยืนดูอยู่เลยเข้ามาช่วยพยุง

     

                    เอาเข้าจริงๆดูหน้าเพลียกว่าผมซะอีกนะ แถวผิวที่ขาวจนเกือบซีดของคนๆนี้มันยิ่งทำให้ดูเหมือนไม่เคยออกแดดเลยหรือไม่ก็เป็นคนขี้โรคยังไงยังงั้น

     

                    จะวิจารณ์อีกนานมั้ย ขอโทษนะที่ฉันหน้าเพลียน่ะ แถมวันๆหมกอยู่แต่กับกองเอกสารในแล็บ คงจะได้ออกไปไหนหรอก แต่เห็นอย่างนี้ฉันแข็งแรงนะจะบอกให้ผมลืมไปสนิทว่าคนๆนี้อ่านความคิดออก ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป

     

                    คิเสะคุงพยุงผมออกจากห้องมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น บอกให้ผมรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวไปทำข้าวต้มมาให้ ผมเลยมองสำรวจนู่นนี่ไปพลางๆ

     

                    ถ้าจะให้เดานะ ที่นี่คงเป็นคอนโดหรืออะไรสักอย่างที่หรูมากๆ ดูจากเฟอร์นิเจอร์หรือแม้แต่ของตกแต่งต่างๆดูจะมีราคาไม่น้อย ผมลุกเดินไปที่กระจกใสบานใหญ่มันทำให้คำตอบกระจ่างชัดขึ้นมา วิวของเมืองใหญ่ยามค่ำคืนเบื้องล่างช่างสวยเหลือเกิน จากที่อยู่ตอนนี้คงไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรือสามสิบชั้นเป็นแน่

     

                    สวยใช่มั้ยล่ะ หัวหน้าเป็นคนเลือกห้องนี้เองเลยนะ เห็นบอกว่าทิวทัศน์ที่สวยงามจะทำให้หัวใจที่ด้ามชาหลอมละลายลงได้น่ะ!” คิเสะคุงพูดพลางเดินมาวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะหน้าโซฟา

     

                    หัวใจที่ด้านชา... ของใครหรอครับ? ผมเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวเดิม แล้วหันไปมองคิเสะคุงที่นั่งอยู่อีกตัว

     

                    อีกสักพักคงมา หัวหน้ากำลังไปรับกลับ!” ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะตักข้าวต้มในชามเข้าปากทีละนิดๆ

                   

     

                    ผมใช้เวลาไปกลับการกินข้าวต้มทั้งชามเกือบครึ่งชั่วโมง ส่วนคิเสะคุงก็ยกโน๊ตบุ๊คออกมาทำอะไรสักอย่างดูท่าทางเคร่งเครียดน่าดู เกิดความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ผมเลยลุกเดินจะเอาชามไปเก็บแต่โดนคิเสะคุงสั่งให้นั่งลง ชามในมือถูกแย่งไป ร่างโปร่งเดินหายไปหลังเคาเตอร์สักพักก็เดินออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ

     

                    กินซะ จะได้หาย!” แก้วขนาดเล็กที่บรรจุยาสามเม็ดถูกยื่นให้ ผมรับมันมาก่อนจะกระดกลงคอรวดเดียว

     

                    คือว่า... ขอถามไรหน่อยได้มั้ยครับ!” ผมเอ่ยทำลายความเงียบที่เริ่มคุกคามเข้ามา คิเสะคุงเงยหน้าจากหน้าจอเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ

     

                    ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงหรอครับ ก่อนจะหลับไปจำได้ว่า... เสียงหัวเราะน้อยๆของคิเสะคุงขัดขึ้นมาจนผมขมวดคิ้ว มันมีอะไรน่าขำรึไง

     

                    ก็อย่างที่นายจำได้นั่นแหละ ฉันเป็นคนฉีดยาสลบให้นายเอง

     

                    งั้นสามคนที่ได้ยินเสียงตอนนั้นก็...

     

                    หนึ่งในนั้นก็ฉันเองแหละ!” คิเสะคุงตอบอย่างไม่คิดจะปิดบัง ผมตาเบิกโพลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันหรือสองวันก่อนผมก็จำไม่ได้ แต่ที่ตราตรึงอยู่ในใจคือเสียงร้องที่โหนหวนของผู้ชานคนนั้น

     

                    คุณฆ่าผู้ชายคนนั้นหรอครับ!”

     

                    “ไม่ใช่ฉันหรอก! ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือในส่วนของการลบล้าง หน้าที่ของฉันคือสืบค้นข้อมูลวางแผนและคอยสนับสนุนเท่านั้น!” คิเสะคุงพูดไปยิ้มไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ

     

                    พวกคิเสะคุงทำงานอะไรหรอครับ!”

     

                    การที่อยากรู้มากไปมันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ ยิ่งเป็นคนของโลกเบื้องหน้าอย่างนายยิ่งแล้วใหญ่ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิดของคิเสะคุงทำให้ผมถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก นี่ผมคงจะสอดรู้มากไปจริงๆแหะ

     

                    ผมนั่งมองคิเสะคุงทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าคอมเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยใดๆทั้งสิ้น จู่ๆสมองผมก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อภาพของพ่อตีกับขึ้นมาในสมอง ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ จะกำลังตามหาผมอยู่รึป่าว แต่คงไม่หรอกมั้ง บางทีการที่ผมหายไปสักคนมันอาจจะดีก็ได้ยังไงผมมันก็แค่ส่วนเกินอยู่แล้ว จะหายไปไหนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

     

                    ติ๊งต่อง~~~ ติ๊งต่อง~~~

                    ขณะที่สมองกำลังฟุ้งซ่านเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่โดนเสียงของคนที่นั่งอยู่หน้าคอมดุเอาเลยต้องนั่งลงไปที่เดิม ก่อนคิเสะคุงจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกกว้างๆให้ร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา บนหลังยังแบกร่างของใครอีกคนติดมาด้วย

     

                    เป็นอะไรมากรึป่าวหัวหน้า!” คิเสะคุงดูจะเป็นห่วงเอามากๆ เดินก้มมองร่างที่แบกอยู่บนหลังด้วยความพยายาม

     

                    คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็แค่หลับไปเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ!”

                    ผมมองตามทั้งสามคนหายเข้าไปในห้องที่ผมเคยนอนอยู่ก่อนหน้านั้น บานประตูที่ปิดสนิทนานพอสมควรกว่ามันจะเปิดออกอีกครั้ง ร่างของคนทั้งสองเดินออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

                   

                    ข้างๆคิเสะคุงคือผู้ชายตัวสวมแว่น ผิวในส่วนที่ไม่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวปกปิดเนียนใสราวกับผู้หญิงเผลอๆอาจจะดีกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก ร่างสูงโปรง ผมดำสนิทตัดสั้นเข้ากลับใบหน้าได้เป็นอย่างดี

     

     

                    อ้าว! ตื่นเมื่อไรเนี่ยเรา!” ผมสะดุ้งเล็กน้อยรีบถอนสายตาจากใบหน้าของผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

     

                    หัวหน้าออกไปได้สักพักก็ตื่นแล้ว!” คิเสะคุงตอบแทนผมที่ยังตั้งสติไม่ได้ คนร่างโปร่งหันมายิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน

     

                    นี่หัวหน้าฉันเองชื่อฮิวงะ หรือจะเรียกมาดามฮิวงะก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ คิเสะคุงหัวเราะรัวก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ตบเข้าให้จนหน้าทิ่มเลยที่เดียว ผมก็อดขำตามไม่ได้ ไม่แปลกเลยทำไมคิเสะคุงถึงเรียกแบบนั้น ถึงเสียงจะห้าวๆแต่นิสัยที่ดูเหมือนจะขี้วีนขี้บ่นแล้วนับว่าเหมือนผู้หญิงมาก

     

                    “ผมชื่อคุโรโกะ เท็ตสึยะครับ ผมโค้งหัวน้อยๆเป็นการเคารพ อีกคนโค้งตอบก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว

     

                    มันบอกฉันหมดแล้วล่ะ ลำแขนขาวเกี่ยวคอคิเสะคุงที่ยืนอยู่ข้างหลังโซฟา ด้วยความที่ยังไม่ได้ตั้งตัวร่างโปร่งเลยกลิ้งลงมาข้างหน้าอย่างแรง ลุกขึ้นมาได้ก็หันไปโวยวายใส่หัวหน้าตัวเองสียงดัง

     

                    ผมหันไปขมวดคิ้วใส่คิเสะคุงอย่างสงสัยว่าเค้าบอกอะไรคนๆนี้ไปบ้าง คิเสะคุงยักไหล่ตอบน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจจอคอมต่ออย่างไม่ใส่ใจ

     

                    คิดดีแล้วหรอที่หนีออกมา!” คุณฮิวงะถามหน้านิ่ง ผมก้มหน้าลงก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ

     

                    ถ้าขืนอยู่มีหวังได้ฆ่าใครตายจริงๆแน่ๆ...

     

                    แล้วต่อจากนี้จะเอาไง วางแผนไว้แล้วหรอว่าจะไปอยู่ที่ไหน!” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

     

                    ตอนออกมาไม่ได้คิดอะไรเลยสักอย่าง ในสมองมีแต่คำว่าต้องไปจากที่นี่ก็เท่านั้น

     

                    ขอดูหน่อยสิ...!” ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ของวัน

     

                    อะไรหรอครับ...!”

     

                    “Jekyll and Hyde... อีกด้านหนึ่งของตัวนายไง

     

                    อีกด้าน... หมายถึงผมอีกคนน่ะหรอ ผมที่เคยคิดจะฆ่าคนน่ะหรอ

     

                    ไม่ครับ...!” ผมพึมพำเบาๆ

     

                    ถ้ามันออกมา ผมก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมอาจจะเผลอลงมือทำร้ายคนพวกนี้ แล้วถ้าเกิดพลั้งมือฆ่าขึ้นมาจะทำยังไง แบบนั้นน่ะผมไม่ต้องการหรอก ผมไม่อยากฆ่าใคร

     

                    ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าเทียบกับคนที่นี่แล้วนายน่ะแค่ปลาซิวปลาสร้อย ทำอันตรายพวกเราไม่ได้หรอก... เนอะมาดาม!” คิเสะคุงยิ้มให้ผมก่อนจะเบนสายตาไปทางผู้ชายที่นั่งทำหน้าเหมือนจะกระโดดงับหัวคิเสะคุงอยู่รอมร่อ

     

                    ก็ไม่แน่หรอกนะ แต่ถ้าเกิดอาละวาดขึ้นมาจริงๆ ฉันจะจับแกมัดไว้กับเสาแล้วให้เด็กนี่ฆ่าแกคนแรกเลยคอยดู!” นิ้วเรียวชี้หน้าผู้ใต้บัญชาอย่างทีเล่นทีจริง คิเสะคุงยักไหล่น้อยๆอย่างไม่ใส่ใจ

                   

                    แล้วเรื่องอะไรจะอยู่ให้จับละครับคุณหัวหน้าคนสวย!” รอยยิ้มที่กวนประสาทที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากคนๆนี้มันไปกระตุกต่อมความอดทนอีกคน คุณฮิวงะกระโดดข้ามฟากหมายจะคว้าคอคิเสะคุง แต่ร่างกายโปร่งและเพรียวลมก็กระโดดหลบได้อย่างสวยงาม ไปยืนแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่หน้าเคาเตอร์

     

                    แกมาให้ฉันเตะซะดีๆ ไม่งั้นลูกรักของแกได้บินลงตึกแน่!” ไม่พูดเปล่า มือขาวๆคว้าเอาโน๊ตบุ๊คของคิเสะคุงขึ้นมาจนอีกคนถึงกับหน้าเหวอเดินคอตกมาหาอย่างจนใจ

     

                    ผมนั่งมองทั้งสองตะลุมบอลกันนิ่งๆ มีหลายครั้งที่ผมเผลอยิ้มตามในความเป็นกันเองของคนทั้งสอง ทั้งๆที่ต่างสถานะแต่ดูเหมือนไม่ใช่แบบนั้นเลย เหมือนเป็นเพื่อนกันซะมากกว่า การกระทำบางอย่างมันอาจจะดูรุนแรงไปสักหน่อยสำหรับร่างผอมๆของคิเสะคุง แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านราวกับเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว

     

                    คิเสะคุงดูจะห่างจากผมแค่ไม่กี่ปีเผลอๆอาจจะแค่ปีเดียวด้วยซ้ำ แต่อิสระในการใช้ชีวิตของเค้ามันทำให้ผมอิจฉาไม่น้อย ผมเองก็เคยฝันอยากจะออกมาเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกับทำอะไรไม่ได้เลย แถมยังต้องให้คนแปลกหน้าช่วยอีกต่างหาก น่าสมเพชชะมัดเลย

     

                    ปัง!!!

                    ผมสะดุ้งเฮือกหลุดออกมาจากวงจรความคิดของตัวเอง รวมทั้งอีกสองคนที่กำลังไล่เตะกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็หยุดชะงักค้างทันทีที่เสียงกระแทกประตูอย่างแรงดังขึ้นมา

     

                    เมื่อโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาสามคู่จับจ้องไปยังหน้าประตูห้องที่มีร่างของใครบางคนยืนเกาะขอบประตูอยู่ท่าทางเหมือนคนเมาไม่มีผิด เส้นผมสีน้ำตาลเปกปิดใบหน้าจนมองแทบไม่เห็น

     

                    โคคิจจิ!!!” คิเสะคุงรีบถลาเข้าไปช่วยประคองร่างที่ทำท่าจะล้มก่อนจะพยุงพาเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยว ก่อนจะวิ่งไปหลังเคาเตอร์แล้วกลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำ เส้นผมที่ปิดใบหน้าถูกปัดออกด้วยฝ่าขาวๆของคุณฮิวงะเผยให้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำจนรามไปถึงใบหู ดวงตาปรือจนแทบจะปิด

     

                    มีแรงลุกขึ้นมาได้นี่คงไม่ต้องห่วงแล้วมั้ง!” คุณฮิวงะพูดขึ้นขณะมองคิเสะคุงที่กำลังใช้ผ้าเช็ดตามเนื้อตัวของคนเมา แต่ผมว่าสภาพเค้าน่าเป็นห่วงสุดๆไปเลยนะ

     

                    หัวหน้าโกหกผมใช่มั้ย!” คิเสะคุงเงยหน้าขึ้นมอง สายตาที่เรียบนิ่งแปลกไปจากทุกที

     

                    เฮ่อ! นี่แกโกหกฉันรึป่าวเนี่ยที่บอกว่าฉันเป็นคนที่แกมองไม่เห็นจิตใจ ฉันโกหกแกทีไรก็โดนแกจับได้ทุกที คุณฮิวงะถอนหายใจก่อนจะนั่งลงไปบนพื้นพรมข้างๆคิเสะคุง

     

                    มีคนเคยบอกหัวหน้ามั้ย ว่าหัวหน้าโกหกได้โคตรไม่เนียนเลย!” คุณฮิวงะยักไหล่ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวคนที่ตาปรือจนใกล้จะหลับอยู่บนโซฟา

     

                    สภาพมันไม่น่าจะเป็นหนักขนาดนี้...!” คิเสะคุงพูดเสียงเครียด

     

                    แกพูดผิดรึป่าว... สภาพมันไม่น่าจะยืนได้ด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาก็หลับยาวไม่ได้สติ ครั้งนี้มันยืนได้นี่ก็ถือว่าเก่งแล้ว!”

     

                    แล้วสรุปมันไปโดนอะไรมา... ไม่ใช่แค่วูดูใช่มั้ย!”

     

                    ผมคิ้วกระตุกทันที่ ภาพของตุ๊กตาที่ถูกตะปูตอกลอยเข้ามาในหัว...

     

                    ที่ผมเคยได้ยินมาว่าตุ๊กตาวูดูมันคือไสยศาสตร์ชนิดหนึ่งที่จะผูกวิญญาณของคนไว้กับตุ๊กตา คนที่เป็นเหยื่อจะไม่สามารถต่อต้านหรือขัดขื่นได้ ไม่มีทางแก้ นอกจากจะตายแล้วเกิดใหม่

     

                    กลิ่นอายแปลกๆที่รู้สึกได้ในห้องนั้นมันคือแบบนี้เองสินะ...

     

                    ตอนไปรับเห็นคนที่ดูแลมันอยู่บอกว่า... โดนคุณมิโดริมะจับกรอกเหล้าน่ะ!”

     

                    ห๊ะ! ทั้งๆที่รู้ว่ามันแพ้แอลกลอฮอลเนี่ยนะ!!!” คิเสะคุงร้องลั่นจนคุณฮิวงะต้องเอามืออุดหูตัวเองไว้

     

                    แล้วแกจะโวยวายทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่ว่าคุณมิโดริมะเป็นคนยังไง!”

                    คุณฮิวงะทำหน้าเอื่อมๆก่อนจะลุกเดินอ้อมไปหลังโซฟา ใช้มือนวดครึงบริเวณขมับทั้งสองข้างของร่างที่เหมือนจะหลับไปแล้ว

     

                    ฝากแบกไปเก็บที่เดิมด้วยนะหัวหน้า!” คิเสะคุงบอกก่อนจะเดินถือกะละมังไปเก็บที่หลังเคาเตอร์ คุณฮิวงะเบ้ปากน้อยๆก่อนจะจัดการช้อนตัวขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไป

     

                    ฉันว่านายคงต้องนอนห้องฉันแล้วล่ะคืนนี้!” คิเสะคุงเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมก่อนจะเอนหัวพิงพนักโซฟาแล้วเอามือก่ายหน้าผาก

     

                    ตกใจรึป่าว!” คิเสะคุงถามเสียงเรียบ ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ

     

                    โลกของพวกฉันมันโหดร้ายเกินกว่าที่นายจะเข้าใจนะน่ะ มีแต่พวกไม่ธรรมดาทั้งนั้น แม้แต่หัวหน้าที่ดูจะปกติสุดก็ตามทีเถอะ

     

                    ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายทำอะไร แต่ทำไมนายถึงเลือกเดินทางนี้ล่ะ แล้วพ่อแม่นายไม่ว่าหรอครับ คิเสะคุงยกยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนผมเองยังรู้สึกได้เลย

     

                    ฉันโดนพ่อกับแม่เอามาทิ้งไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพล่าตั้งแต่สิบขวบ ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าชาวบ้านเลยโดนเด็กที่โตกว่าแกล้งประจำ กกำพล่าตั้งแต่สิบขวบย

    ้ล่ะ แล้วพ่อแม่พี่ไม่ว่าหรอตอนนั้นรู้ตัวแล้วล่ะว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง ด้วยความแค้นที่ฝังอกเลยเผลอซัดไอ้เด็กเปรตทั้งหลายซะปางตายก่อนจะหนีออกมา นึกแล้วขำนะ สภาพตอนนั้นเหมือนเด็กเร่ร่อนไม่มีผิดเลย... คิเสะคุงพูดไปยิ้มไป ผมที่นั่งฟังเงียบๆก็อดทีจะยิ้มตามไม่ได้

     

                    จำได้ว่าตอนนั้นใกล้จะตายเพราะพิษไข้ แต่แล้วจู่ๆก็มีนางฟ้าจุติพร้อมกับเด็กผู้ชายหน้าตาบอกบุญไม่รับที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าพาฉันมารักษาพร้อมกับเลี้ยงดูอย่างดี สอนสิ่งๆต่างๆให้จนฉันนับถือเค้าเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆเลยล่ะ ฉันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทดแทนบุญคุณของเค้า เลยตัดสินใจเข้ามาทำงานนี้

                    ดูเผินๆคิเสะคุงอาจจะชอบกวนประสาทคุณฮิวงะ แต่ในใจยังก็รักและเคารพเหมือนเป็นคนในครอบครัว พร้อมจะทำทุกอย่างให้ถ้ามันคือการทดแทนบุญคุณ คิเสะคุงนี่โชคดีแหะที่ยังมีคนให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่างกับเราที่ไม่มีอะไรเลย

     

                    “คิเสะคุง... ผมเรียกอย่างแผ่วเบา คนข้างๆขานรับในลำคอก่อนจะหันมามอง

     

                    คือ... ถ้าผมจะขอ... เข้าทำงานนี้ด้วยจะได้มั้ยครับ คิเสะคุงทำตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไป

     

                    หลังจากได้ฟังเรื่องราวของคิเสะคุง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งอดีตที่อัปยศทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วเริ่มต้นใหม่ ผมอยากจะเข้มแข็งได้แบบคิเสะคุง อยากจะอยู่กับคนที่เชื่อใจได้แบบคิเสะคุง ถึงแม้ว่าเส้นทางมันจะมืดมนเพียงใดผมก็ไม่กลัว

     

                    แต่ว่า....!”

     

                    ได้สิถ้านายต้องการ... เนอะเรียวตะคุง!” คิเสะคุงที่ทำท่าจะปฏิเสธถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของคุณฮิวงะ ใบหน้าขาวฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างจากผม

     

                    จริงๆหรอ ไม่ได้โกหกใช่มั้ยครับ ผมถามด้วยความดีใจจนโดนหนุ่มหน้าหวานกระโดดมาปิดปากไว้

                   

                    เบาๆดิ เดี๋ยวไอ้ฟุริมันตื่นขึ้นมาจะเป็นเรื่อง!” ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนที่มือเรียวจะยอมปล่อยปากผม

     

                    ผมยังไม่มั่นใจนะ แต่ขอไปเจรจากับคุณมิโดริมะก่อนล่ะกัน ผลมันจะออกมาเป็นไงก็เตรียมใจไว้ล่ะกัน!” พูดจบก็บิดขี้เกียจแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไปแบบไม่เหลียวหลัง

                   

                    ถ้าหัวหน้าพูดถึงขนาดนั้นฉันเองก็คงขัดไม่ได้ แต่ขอเตือนนะว่าทางนี้เดินมาแล้วจะถอยหลังกลับไม่ได้ คิเสะคุงพูดเสียงเรียบ ผมพยักหน้ารับรัวๆ

     

                    ไปนอนเหอะดึกแล้ว... ห้องฉันอยู่ทางนั้น อาจจะรกไปหน่อยนะระวังด้วยละกัน ห้ามแตะต้องอะไรก็ตามในห้องนะเพราะมันคือข้อมูลสำคัญทั้งนั้น!” คิเสะคุงพูดก่อนจะเปิดโน๊ตบุ๊คตัวเดิม

     

                    แล้วคิเสะคุงล่ะครับ?

     

                    ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ วันนี้กะจะโต้รุ่ง ไม่ต้องห่วงหรอกไปนอนเถอะ!” ผมขานรับเบาๆก่อนจะเดินมายังทิศทางที่คิเสะคุงบอก

     

                    มือจับลูกบิดก่อนจะค่อยๆเปิดออกแล้วเดินเข้าไป แต่ก้าวแรกก็ต้องสะดุดกับกองแฟ้มเอกสารต่างๆนาๆที่ขวางทางอยู่จนแทบจะล้มหน้าทิ่ม ผมเดินเลี่ยงไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงเตียงโดยสวัสดิภาพ

     

                    มองสำรวจไปรอบๆห้องที่ดูมีสีสันมากกว่าห้องที่เคยไปนอนก่อนหน้า กองแฟ้มและเอกสารต่างๆหลายสิบกองตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง คอมพิวเตอร์สามเครื่องตั้งอยู่กลางห้องที่เป็นพื้นพรม ของใช้ส่วนตัวถูกเก็บไว้อย่างค่อนข้างเป็นระเบียบต่างจากแฟ้มงานโดยสิ้นเชิง

     

                    สงสัยงานจะเยอะมากเลยแหะ....

     

                    ผมเอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แอร์ที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ทำให้ผมหนาวจนขนลุก ผ้าห่มที่ปลายเตียงถูกดึงขึ้นมาปิดจนถึงคอ ก่อนจะหลับตาลง ภาพของผู้หญิงที่คุณฮิวงะเรียกว่าฟุริกลับตีขึ้นมาในสมองอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                   

                    ถ้าคุณฮิวงะคือผู้ชายที่ขอยาสลบและคิเสะคุงคือคนที่ฉีด แล้วคนที่คุณฮิวงะแบกมาคนนั้นล่ะ... เป็นคนๆเดียวกับชุดคลุมสีดำในวันนั้นรึป่าว แล้วถ้าใช่... คนที่ฆ่าผู้ชายคนนั้น ก็คือคนที่ชื่อฟุรินั่นน่ะสิ

     

                    ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆนาๆออกไปจากหัว ความเย็นของแอร์ทำให้ผมผ่อนคลาย จนในที่สุดก็เผลอหลับไป


     

     

    T H E M E
    ◈ B L & W H ◈
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×