คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : :PaRalleL 2:
CHAPTER
2
“เฮ้ย! นั่นมันส่วนของผมนะหัวหน้า!!!”
“ฉันเป็นคนจ่ายเงินนะ
มาหวงเจ้าของเงินแบบนี้ได้ไง!”
“ก็อยากเลี้ยงเองนี่
ไม่ต้องมาทวงบุญคุณเลยนะมาดามฮิวงะ”
“เดี๋ยวเอ็งจะโดนมิใช่น้อย...
คุยด้วยแล้วปวดกบาลวะ ไปรับไอ้ฟุริดีกว่า!!!”
เสียงโวกเวกโวยวายเรียกสติของผมให้กลับคืนมา
เปลือกตาที่หนังอึ้งค่อยๆปรือขึ้น รู้สึกปวดหัวแถมร่างกายมันร้อนรุ่มแปลกๆ
พยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่แขนกลับไม่มีแรงเลยสักนิดเดียว เลยจำใจต้องนอนอยู่แบบนั้น
ผมหันมองไปรอบๆก็ถึงกลับขมวดคิ้วเพราะไม่มีความคุ้นเคยกับสถานที่นี้
ที่นี่ที่ไหน....
ห้องขนาดใหญ่ที่ผมนอนอยู่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำซะส่วนใหญ่
จนทำให้บรรยากาศมันดูมืดมนไม่ใช่น้อย
ชั้นที่ตั้งอยู่มุมห้องถูกอัดแน่นไปด้วยหนังสือจนมันรามลงมากองอยู่บนพื้นพรม
อีกมุมมีโต๊ะสำหรับวางคอมพิวเตอร์สองตัวโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งตัวและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกต่างๆซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ที่ทำให้ผมสะดุดตามากที่สุดเห็นทีจะเป็นตุ๊กตารูปร่างคล้ายตัวคนที่ถูกตะปูตอกติดกับผนังเอาไว้
มีอักขระสีแดงสดเขียนเป็นวงอยู่รอบๆ มันดูน่ากลัวจนผมรู้สึกได้ มองเผินๆห้องนี้มันก็เหมือนห้องธรรมดาๆ
แต่ที่มันไม่ธรรมดาคือความรู้สึก รอบห้องถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่น่าขนลุก
“ตื่นแล้วหรอ!” ความสงสัยของผมถูกพับเก็บทันทีเมื่อเสียงสดใสของใครบางคนดังขึ้นพร้อมๆกับร่างโปร่งที่เดินมาก้มหน้ามองผม
“หลับไปตั้งสองวันเต็มๆ
ฉันนึกว่าจะต้องได้เอาไปเผาแล้วซะอีก!”
คนตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรก่อนจะเอื้อมฝ่ามือมาจับหน้าผากของผม
ใคร...
“ฉันชื่อคิเสะ เรียวตะนะ
เรียกว่าอะไรก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ... คุโรโกะ เท็ตสึยะคุง!” คิ้วของผมขมวดกันเป็นปมด้วยความสงสัย
ทำไมถึงรู้ชื่อผมได้ล่ะ...
“หิวมั้ย!” มือที่จับหน้าผากผมถูกชักกลับ รอยยิ้มที่สดใสถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง
ห้องนี้เป็นของคนๆนี้งั้นหรอ... ห้องที่มืดมนแบบนี้น่ะหรอ?
“ไม่ใช่ห้องฉันหรอก... คงอึดอัดสินะ ก็ไม่แปลกหรอก แต่จะให้ไปอยู่ห้องฉันหรือห้องหัวหน้าก็กลัวจะโดนกองเอกสารทับตาย
เลยจำเป็นต้องให้มาอยู่ห้องนี้ชั่วคราวไปก่อนเพราะเจ้าของห้องมันไม่อยู่!”
คิ้วที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งพันกันเข้าไปใหญ่
ร่างโปร่งตรงหน้าเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรเลยส่งยิ้มมาให้อย่างอารมณ์ดี
“อ่านความคิดได้หรอครับ...!” ผมถามออกไปตรงๆ ร่างโปร่งก็ดูจะไม่ได้ขัดใจที่จะตอบแต่กลับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไม่ใช่แค่ความคิดหรอกนะ
^^”
หมายความว่ายังไง...
“ไม่ต้องทำหน้างงหรอกน่า
ลุกไปกินข้าวกินปลาได้แล้วเดี๋ยวก็ได้เผากันจริงๆหรอก!”
คำพูดทีเล่นทีจริงกับรอยยิ้มจริงใจที่ส่งมา ทำให้ผมคลายความตึงเครียดเมื่อสักครู่ลง
ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นคิเสะที่ยืนดูอยู่เลยเข้ามาช่วยพยุง
เอาเข้าจริงๆดูหน้าเพลียกว่าผมซะอีกนะ
แถวผิวที่ขาวจนเกือบซีดของคนๆนี้มันยิ่งทำให้ดูเหมือนไม่เคยออกแดดเลยหรือไม่ก็เป็นคนขี้โรคยังไงยังงั้น
“จะวิจารณ์อีกนานมั้ย
ขอโทษนะที่ฉันหน้าเพลียน่ะ แถมวันๆหมกอยู่แต่กับกองเอกสารในแล็บ
คงจะได้ออกไปไหนหรอก แต่เห็นอย่างนี้ฉันแข็งแรงนะจะบอกให้” ผมลืมไปสนิทว่าคนๆนี้อ่านความคิดออก
ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป
คิเสะคุงพยุงผมออกจากห้องมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
บอกให้ผมรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวไปทำข้าวต้มมาให้ ผมเลยมองสำรวจนู่นนี่ไปพลางๆ
ถ้าจะให้เดานะ
ที่นี่คงเป็นคอนโดหรืออะไรสักอย่างที่หรูมากๆ ดูจากเฟอร์นิเจอร์หรือแม้แต่ของตกแต่งต่างๆดูจะมีราคาไม่น้อย
ผมลุกเดินไปที่กระจกใสบานใหญ่มันทำให้คำตอบกระจ่างชัดขึ้นมา
วิวของเมืองใหญ่ยามค่ำคืนเบื้องล่างช่างสวยเหลือเกิน
จากที่อยู่ตอนนี้คงไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรือสามสิบชั้นเป็นแน่
“สวยใช่มั้ยล่ะ
หัวหน้าเป็นคนเลือกห้องนี้เองเลยนะ เห็นบอกว่าทิวทัศน์ที่สวยงามจะทำให้หัวใจที่ด้ามชาหลอมละลายลงได้น่ะ!”
คิเสะคุงพูดพลางเดินมาวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะหน้าโซฟา
“หัวใจที่ด้านชา...
ของใครหรอครับ?” ผมเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวเดิม แล้วหันไปมองคิเสะคุงที่นั่งอยู่อีกตัว
“อีกสักพักคงมา
หัวหน้ากำลังไปรับกลับ!” ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะตักข้าวต้มในชามเข้าปากทีละนิดๆ
ผมใช้เวลาไปกลับการกินข้าวต้มทั้งชามเกือบครึ่งชั่วโมง
ส่วนคิเสะคุงก็ยกโน๊ตบุ๊คออกมาทำอะไรสักอย่างดูท่าทางเคร่งเครียดน่าดู
เกิดความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง ผมเลยลุกเดินจะเอาชามไปเก็บแต่โดนคิเสะคุงสั่งให้นั่งลง
ชามในมือถูกแย่งไป ร่างโปร่งเดินหายไปหลังเคาเตอร์สักพักก็เดินออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือ
“กินซะ จะได้หาย!” แก้วขนาดเล็กที่บรรจุยาสามเม็ดถูกยื่นให้ ผมรับมันมาก่อนจะกระดกลงคอรวดเดียว
“คือว่า... ขอถามไรหน่อยได้มั้ยครับ!” ผมเอ่ยทำลายความเงียบที่เริ่มคุกคามเข้ามา คิเสะคุงเงยหน้าจากหน้าจอเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไงหรอครับ
ก่อนจะหลับไปจำได้ว่า...” เสียงหัวเราะน้อยๆของคิเสะคุงขัดขึ้นมาจนผมขมวดคิ้ว
มันมีอะไรน่าขำรึไง
“ก็อย่างที่นายจำได้นั่นแหละ
ฉันเป็นคนฉีดยาสลบให้นายเอง”
“งั้นสามคนที่ได้ยินเสียงตอนนั้นก็...”
“หนึ่งในนั้นก็ฉันเองแหละ!” คิเสะคุงตอบอย่างไม่คิดจะปิดบัง ผมตาเบิกโพลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันหรือสองวันก่อนผมก็จำไม่ได้
แต่ที่ตราตรึงอยู่ในใจคือเสียงร้องที่โหนหวนของผู้ชานคนนั้น
“คุณฆ่าผู้ชายคนนั้นหรอครับ!”
“ไม่ใช่ฉันหรอก! ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือในส่วนของการลบล้าง หน้าที่ของฉันคือสืบค้นข้อมูลวางแผนและคอยสนับสนุนเท่านั้น!”
คิเสะคุงพูดไปยิ้มไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“พวกคิเสะคุงทำงานอะไรหรอครับ!”
“การที่อยากรู้มากไปมันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ
ยิ่งเป็นคนของโลกเบื้องหน้าอย่างนายยิ่งแล้วใหญ่”
รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิดของคิเสะคุงทำให้ผมถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก
นี่ผมคงจะสอดรู้มากไปจริงๆแหะ
ผมนั่งมองคิเสะคุงทำอะไรสักอย่างอยู่หน้าคอมเงียบๆ
ไม่มีการพูดคุยใดๆทั้งสิ้น จู่ๆสมองผมก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อภาพของพ่อตีกับขึ้นมาในสมอง
ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ จะกำลังตามหาผมอยู่รึป่าว แต่คงไม่หรอกมั้ง บางทีการที่ผมหายไปสักคนมันอาจจะดีก็ได้ยังไงผมมันก็แค่ส่วนเกินอยู่แล้ว
จะหายไปไหนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก
ติ๊งต่อง~~~ ติ๊งต่อง~~~
ขณะที่สมองกำลังฟุ้งซ่านเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น
ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่โดนเสียงของคนที่นั่งอยู่หน้าคอมดุเอาเลยต้องนั่งลงไปที่เดิม
ก่อนคิเสะคุงจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกกว้างๆให้ร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
บนหลังยังแบกร่างของใครอีกคนติดมาด้วย
“เป็นอะไรมากรึป่าวหัวหน้า!” คิเสะคุงดูจะเป็นห่วงเอามากๆ
เดินก้มมองร่างที่แบกอยู่บนหลังด้วยความพยายาม
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ก็แค่หลับไปเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ!”
ผมมองตามทั้งสามคนหายเข้าไปในห้องที่ผมเคยนอนอยู่ก่อนหน้านั้น
บานประตูที่ปิดสนิทนานพอสมควรกว่ามันจะเปิดออกอีกครั้ง
ร่างของคนทั้งสองเดินออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
ข้างๆคิเสะคุงคือผู้ชายตัวสวมแว่น
ผิวในส่วนที่ไม่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวปกปิดเนียนใสราวกับผู้หญิงเผลอๆอาจจะดีกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก
ร่างสูงโปรง ผมดำสนิทตัดสั้นเข้ากลับใบหน้าได้เป็นอย่างดี
“อ้าว! ตื่นเมื่อไรเนี่ยเรา!” ผมสะดุ้งเล็กน้อยรีบถอนสายตาจากใบหน้าของผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“หัวหน้าออกไปได้สักพักก็ตื่นแล้ว!” คิเสะคุงตอบแทนผมที่ยังตั้งสติไม่ได้ คนร่างโปร่งหันมายิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน
“นี่หัวหน้าฉันเองชื่อฮิวงะ
หรือจะเรียกมาดามฮิวงะก็ได้นะ ฮ่าๆๆๆ” คิเสะคุงหัวเราะรัวก่อนจะโดนฝ่ามืออรหันต์ตบเข้าให้จนหน้าทิ่มเลยที่เดียว
ผมก็อดขำตามไม่ได้ ไม่แปลกเลยทำไมคิเสะคุงถึงเรียกแบบนั้น ถึงเสียงจะห้าวๆแต่นิสัยที่ดูเหมือนจะขี้วีนขี้บ่นแล้วนับว่าเหมือนผู้หญิงมาก
“ผมชื่อคุโรโกะ
เท็ตสึยะครับ” ผมโค้งหัวน้อยๆเป็นการเคารพ
อีกคนโค้งตอบก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว
“มันบอกฉันหมดแล้วล่ะ” ลำแขนขาวเกี่ยวคอคิเสะคุงที่ยืนอยู่ข้างหลังโซฟา ด้วยความที่ยังไม่ได้ตั้งตัวร่างโปร่งเลยกลิ้งลงมาข้างหน้าอย่างแรง
ลุกขึ้นมาได้ก็หันไปโวยวายใส่หัวหน้าตัวเองสียงดัง
ผมหันไปขมวดคิ้วใส่คิเสะคุงอย่างสงสัยว่าเค้าบอกอะไรคนๆนี้ไปบ้าง
คิเสะคุงยักไหล่ตอบน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปสนใจจอคอมต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“คิดดีแล้วหรอที่หนีออกมา!” คุณฮิวงะถามหน้านิ่ง ผมก้มหน้าลงก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ
ถ้าขืนอยู่มีหวังได้ฆ่าใครตายจริงๆแน่ๆ...
“แล้วต่อจากนี้จะเอาไง
วางแผนไว้แล้วหรอว่าจะไปอยู่ที่ไหน!” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
ตอนออกมาไม่ได้คิดอะไรเลยสักอย่าง
ในสมองมีแต่คำว่าต้องไปจากที่นี่ก็เท่านั้น
“ขอดูหน่อยสิ...!” ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้วเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ของวัน
“อะไรหรอครับ...!”
“Jekyll and Hyde...
อีกด้านหนึ่งของตัวนายไง”
อีกด้าน... หมายถึงผมอีกคนน่ะหรอ
ผมที่เคยคิดจะฆ่าคนน่ะหรอ
“ไม่ครับ...!” ผมพึมพำเบาๆ
ถ้ามันออกมา ผมก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้
ผมอาจจะเผลอลงมือทำร้ายคนพวกนี้ แล้วถ้าเกิดพลั้งมือฆ่าขึ้นมาจะทำยังไง แบบนั้นน่ะผมไม่ต้องการหรอก
ผมไม่อยากฆ่าใคร
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าเทียบกับคนที่นี่แล้วนายน่ะแค่ปลาซิวปลาสร้อย
ทำอันตรายพวกเราไม่ได้หรอก... เนอะมาดาม!” คิเสะคุงยิ้มให้ผมก่อนจะเบนสายตาไปทางผู้ชายที่นั่งทำหน้าเหมือนจะกระโดดงับหัวคิเสะคุงอยู่รอมร่อ
“ก็ไม่แน่หรอกนะ แต่ถ้าเกิดอาละวาดขึ้นมาจริงๆ
ฉันจะจับแกมัดไว้กับเสาแล้วให้เด็กนี่ฆ่าแกคนแรกเลยคอยดู!” นิ้วเรียวชี้หน้าผู้ใต้บัญชาอย่างทีเล่นทีจริง
คิเสะคุงยักไหล่น้อยๆอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วเรื่องอะไรจะอยู่ให้จับละครับคุณหัวหน้าคนสวย!” รอยยิ้มที่กวนประสาทที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากคนๆนี้มันไปกระตุกต่อมความอดทนอีกคน
คุณฮิวงะกระโดดข้ามฟากหมายจะคว้าคอคิเสะคุง แต่ร่างกายโปร่งและเพรียวลมก็กระโดดหลบได้อย่างสวยงาม
ไปยืนแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่หน้าเคาเตอร์
“แกมาให้ฉันเตะซะดีๆ
ไม่งั้นลูกรักของแกได้บินลงตึกแน่!” ไม่พูดเปล่า มือขาวๆคว้าเอาโน๊ตบุ๊คของคิเสะคุงขึ้นมาจนอีกคนถึงกับหน้าเหวอเดินคอตกมาหาอย่างจนใจ
ผมนั่งมองทั้งสองตะลุมบอลกันนิ่งๆ
มีหลายครั้งที่ผมเผลอยิ้มตามในความเป็นกันเองของคนทั้งสอง
ทั้งๆที่ต่างสถานะแต่ดูเหมือนไม่ใช่แบบนั้นเลย เหมือนเป็นเพื่อนกันซะมากกว่า
การกระทำบางอย่างมันอาจจะดูรุนแรงไปสักหน่อยสำหรับร่างผอมๆของคิเสะคุง
แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านราวกับเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว
คิเสะคุงดูจะห่างจากผมแค่ไม่กี่ปีเผลอๆอาจจะแค่ปีเดียวด้วยซ้ำ
แต่อิสระในการใช้ชีวิตของเค้ามันทำให้ผมอิจฉาไม่น้อย ผมเองก็เคยฝันอยากจะออกมาเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง
แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกับทำอะไรไม่ได้เลย แถมยังต้องให้คนแปลกหน้าช่วยอีกต่างหาก
น่าสมเพชชะมัดเลย
ปัง!!!
ผมสะดุ้งเฮือกหลุดออกมาจากวงจรความคิดของตัวเอง
รวมทั้งอีกสองคนที่กำลังไล่เตะกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็หยุดชะงักค้างทันทีที่เสียงกระแทกประตูอย่างแรงดังขึ้นมา
เมื่อโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาสามคู่จับจ้องไปยังหน้าประตูห้องที่มีร่างของใครบางคนยืนเกาะขอบประตูอยู่ท่าทางเหมือนคนเมาไม่มีผิด
เส้นผมสีน้ำตาลเปกปิดใบหน้าจนมองแทบไม่เห็น
“โคคิจจิ!!!” คิเสะคุงรีบถลาเข้าไปช่วยประคองร่างที่ทำท่าจะล้มก่อนจะพยุงพาเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยว
ก่อนจะวิ่งไปหลังเคาเตอร์แล้วกลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำ
เส้นผมที่ปิดใบหน้าถูกปัดออกด้วยฝ่าขาวๆของคุณฮิวงะเผยให้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำจนรามไปถึงใบหู
ดวงตาปรือจนแทบจะปิด
“มีแรงลุกขึ้นมาได้นี่คงไม่ต้องห่วงแล้วมั้ง!”
คุณฮิวงะพูดขึ้นขณะมองคิเสะคุงที่กำลังใช้ผ้าเช็ดตามเนื้อตัวของคนเมา
แต่ผมว่าสภาพเค้าน่าเป็นห่วงสุดๆไปเลยนะ
“หัวหน้าโกหกผมใช่มั้ย!” คิเสะคุงเงยหน้าขึ้นมอง สายตาที่เรียบนิ่งแปลกไปจากทุกที
“เฮ่อ! นี่แกโกหกฉันรึป่าวเนี่ยที่บอกว่าฉันเป็นคนที่แกมองไม่เห็นจิตใจ ฉันโกหกแกทีไรก็โดนแกจับได้ทุกที” คุณฮิวงะถอนหายใจก่อนจะนั่งลงไปบนพื้นพรมข้างๆคิเสะคุง
“มีคนเคยบอกหัวหน้ามั้ย
ว่าหัวหน้าโกหกได้โคตรไม่เนียนเลย!” คุณฮิวงะยักไหล่
ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวคนที่ตาปรือจนใกล้จะหลับอยู่บนโซฟา
“สภาพมันไม่น่าจะเป็นหนักขนาดนี้...!” คิเสะคุงพูดเสียงเครียด
“แกพูดผิดรึป่าว...
สภาพมันไม่น่าจะยืนได้ด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาก็หลับยาวไม่ได้สติ ครั้งนี้มันยืนได้นี่ก็ถือว่าเก่งแล้ว!”
“แล้วสรุปมันไปโดนอะไรมา...
ไม่ใช่แค่วูดูใช่มั้ย!”
ผมคิ้วกระตุกทันที่ ภาพของตุ๊กตาที่ถูกตะปูตอกลอยเข้ามาในหัว...
ที่ผมเคยได้ยินมาว่าตุ๊กตาวูดูมันคือไสยศาสตร์ชนิดหนึ่งที่จะผูกวิญญาณของคนไว้กับตุ๊กตา
คนที่เป็นเหยื่อจะไม่สามารถต่อต้านหรือขัดขื่นได้ ไม่มีทางแก้ นอกจากจะตายแล้วเกิดใหม่
กลิ่นอายแปลกๆที่รู้สึกได้ในห้องนั้นมันคือแบบนี้เองสินะ...
“ตอนไปรับเห็นคนที่ดูแลมันอยู่บอกว่า...
โดนคุณมิโดริมะจับกรอกเหล้าน่ะ!”
“ห๊ะ! ทั้งๆที่รู้ว่ามันแพ้แอลกลอฮอลเนี่ยนะ!!!” คิเสะคุงร้องลั่นจนคุณฮิวงะต้องเอามืออุดหูตัวเองไว้
“แล้วแกจะโวยวายทำไมเนี่ย
ก็รู้อยู่ว่าคุณมิโดริมะเป็นคนยังไง!”
คุณฮิวงะทำหน้าเอื่อมๆก่อนจะลุกเดินอ้อมไปหลังโซฟา
ใช้มือนวดครึงบริเวณขมับทั้งสองข้างของร่างที่เหมือนจะหลับไปแล้ว
“ฝากแบกไปเก็บที่เดิมด้วยนะหัวหน้า!” คิเสะคุงบอกก่อนจะเดินถือกะละมังไปเก็บที่หลังเคาเตอร์ คุณฮิวงะเบ้ปากน้อยๆก่อนจะจัดการช้อนตัวขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไป
“ฉันว่านายคงต้องนอนห้องฉันแล้วล่ะคืนนี้!” คิเสะคุงเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผมก่อนจะเอนหัวพิงพนักโซฟาแล้วเอามือก่ายหน้าผาก
“ตกใจรึป่าว!” คิเสะคุงถามเสียงเรียบ ผมพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“โลกของพวกฉันมันโหดร้ายเกินกว่าที่นายจะเข้าใจนะน่ะ
มีแต่พวกไม่ธรรมดาทั้งนั้น แม้แต่หัวหน้าที่ดูจะปกติสุดก็ตามทีเถอะ”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายทำอะไร
แต่ทำไมนายถึงเลือกเดินทางนี้ล่ะ แล้วพ่อแม่นายไม่ว่าหรอครับ” คิเสะคุงยกยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าจนผมเองยังรู้สึกได้เลย
“ฉันโดนพ่อกับแม่เอามาทิ้งไว้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพล่าตั้งแต่สิบขวบ ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าชาวบ้านเลยโดนเด็กที่โตกว่าแกล้งประจำ
ตอนนั้นรู้ตัวแล้วล่ะว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง
ด้วยความแค้นที่ฝังอกเลยเผลอซัดไอ้เด็กเปรตทั้งหลายซะปางตายก่อนจะหนีออกมา
นึกแล้วขำนะ สภาพตอนนั้นเหมือนเด็กเร่ร่อนไม่มีผิดเลย...” คิเสะคุงพูดไปยิ้มไป
ผมที่นั่งฟังเงียบๆก็อดทีจะยิ้มตามไม่ได้
“จำได้ว่าตอนนั้นใกล้จะตายเพราะพิษไข้
แต่แล้วจู่ๆก็มีนางฟ้าจุติพร้อมกับเด็กผู้ชายหน้าตาบอกบุญไม่รับที่ยืนอยู่ข้างๆ
หัวหน้าพาฉันมารักษาพร้อมกับเลี้ยงดูอย่างดี สอนสิ่งๆต่างๆให้จนฉันนับถือเค้าเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆเลยล่ะ
ฉันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทดแทนบุญคุณของเค้า เลยตัดสินใจเข้ามาทำงานนี้”
ดูเผินๆคิเสะคุงอาจจะชอบกวนประสาทคุณฮิวงะ
แต่ในใจยังก็รักและเคารพเหมือนเป็นคนในครอบครัว พร้อมจะทำทุกอย่างให้ถ้ามันคือการทดแทนบุญคุณ
คิเสะคุงนี่โชคดีแหะที่ยังมีคนให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ต่างกับเราที่ไม่มีอะไรเลย
“คิเสะคุง...” ผมเรียกอย่างแผ่วเบา คนข้างๆขานรับในลำคอก่อนจะหันมามอง
“คือ... ถ้าผมจะขอ...
เข้าทำงานนี้ด้วยจะได้มั้ยครับ” คิเสะคุงทำตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไป
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของคิเสะคุง
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งอดีตที่อัปยศทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วเริ่มต้นใหม่ ผมอยากจะเข้มแข็งได้แบบคิเสะคุง
อยากจะอยู่กับคนที่เชื่อใจได้แบบคิเสะคุง ถึงแม้ว่าเส้นทางมันจะมืดมนเพียงใดผมก็ไม่กลัว
“แต่ว่า....!”
“ได้สิถ้านายต้องการ...
เนอะเรียวตะคุง!” คิเสะคุงที่ทำท่าจะปฏิเสธถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของคุณฮิวงะ
ใบหน้าขาวฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างจากผม
“จริงๆหรอ
ไม่ได้โกหกใช่มั้ยครับ” ผมถามด้วยความดีใจจนโดนหนุ่มหน้าหวานกระโดดมาปิดปากไว้
“เบาๆดิ เดี๋ยวไอ้ฟุริมันตื่นขึ้นมาจะเป็นเรื่อง!” ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนที่มือเรียวจะยอมปล่อยปากผม
“ผมยังไม่มั่นใจนะ
แต่ขอไปเจรจากับคุณมิโดริมะก่อนล่ะกัน ผลมันจะออกมาเป็นไงก็เตรียมใจไว้ล่ะกัน!”
พูดจบก็บิดขี้เกียจแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไปแบบไม่เหลียวหลัง
“ถ้าหัวหน้าพูดถึงขนาดนั้นฉันเองก็คงขัดไม่ได้
แต่ขอเตือนนะว่าทางนี้เดินมาแล้วจะถอยหลังกลับไม่ได้” คิเสะคุงพูดเสียงเรียบ
ผมพยักหน้ารับรัวๆ
“ไปนอนเหอะดึกแล้ว...
ห้องฉันอยู่ทางนั้น อาจจะรกไปหน่อยนะระวังด้วยละกัน
ห้ามแตะต้องอะไรก็ตามในห้องนะเพราะมันคือข้อมูลสำคัญทั้งนั้น!” คิเสะคุงพูดก่อนจะเปิดโน๊ตบุ๊คตัวเดิม
“แล้วคิเสะคุงล่ะครับ?”
“ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ
วันนี้กะจะโต้รุ่ง ไม่ต้องห่วงหรอกไปนอนเถอะ!” ผมขานรับเบาๆก่อนจะเดินมายังทิศทางที่คิเสะคุงบอก
มือจับลูกบิดก่อนจะค่อยๆเปิดออกแล้วเดินเข้าไป
แต่ก้าวแรกก็ต้องสะดุดกับกองแฟ้มเอกสารต่างๆนาๆที่ขวางทางอยู่จนแทบจะล้มหน้าทิ่ม ผมเดินเลี่ยงไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงเตียงโดยสวัสดิภาพ
มองสำรวจไปรอบๆห้องที่ดูมีสีสันมากกว่าห้องที่เคยไปนอนก่อนหน้า
กองแฟ้มและเอกสารต่างๆหลายสิบกองตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง
คอมพิวเตอร์สามเครื่องตั้งอยู่กลางห้องที่เป็นพื้นพรม ของใช้ส่วนตัวถูกเก็บไว้อย่างค่อนข้างเป็นระเบียบต่างจากแฟ้มงานโดยสิ้นเชิง
สงสัยงานจะเยอะมากเลยแหะ....
ผมเอนตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม
แอร์ที่เปิดค้างไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ทำให้ผมหนาวจนขนลุก
ผ้าห่มที่ปลายเตียงถูกดึงขึ้นมาปิดจนถึงคอ ก่อนจะหลับตาลง ภาพของผู้หญิงที่คุณฮิวงะเรียกว่าฟุริกลับตีขึ้นมาในสมองอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ถ้าคุณฮิวงะคือผู้ชายที่ขอยาสลบและคิเสะคุงคือคนที่ฉีด
แล้วคนที่คุณฮิวงะแบกมาคนนั้นล่ะ... เป็นคนๆเดียวกับชุดคลุมสีดำในวันนั้นรึป่าว
แล้วถ้าใช่... คนที่ฆ่าผู้ชายคนนั้น ก็คือคนที่ชื่อฟุรินั่นน่ะสิ
ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆนาๆออกไปจากหัว ความเย็นของแอร์ทำให้ผมผ่อนคลาย จนในที่สุดก็เผลอหลับไป
◈ B L & W H ◈
ความคิดเห็น