คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : :PaRalleL 1:
CHAPTER1
และแล้ววันมหาบรรลัยก็มาถึง
ถ้าจะถามว่าวันอะไร คำตอบมีพียงข้อเดียวคือวันที่นังเด็กผีจะย้ายเข้ามา
ผมนอนฝังตัวอยู่บนที่นอนอย่างเลื่อยลอย
สายตาจ้องมองเพดานห้องไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปไหน
ผมอยู่แบบนี้มารวมสามชั่วโมงตั้งแต่ตื่นมาตอนเก้าโมง ไม่มีอารมณ์จะลุกไปไหนเลยสักนิด
ถ้าเป็นปกติป่านนี้พ่อต้องขึ้นมาปลุกแล้ว
แต่วันนี้จะมาได้ยังไงในเมื่อขับรถออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่าไปไหน
ถ้าไม่ใช่ไปรับแม่ของนังเด็กผีนั่น...
ผมเผลอกำผ้าปูที่นอนแน่นจนมันแทบจะหลุดติดมือ
นึกถึงภาพความฝันเมื่อคืนวานก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ถ้าคนที่นอนจมกองเลือดกลายเป็นเด็กนั่นก็คงจะดี...
“เคียดแค้นเข้าไป...!”
ผมพูดออกไปอย่างเลื่อนลอยเหมือนคนไม่ได้สติ
คิ้วของผมขมวดเข้าหากันแน่น สาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด
มันหลุดออกมาซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม
“บ้าไปแล้ว”
ผมสะบัดหัวแรงๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง
หันไปมองนาฬิกาดิจิติลที่หัวเตียง ตัวเลขสีแดงบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ
ผมค่อยๆก้าวลงจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า
ขณะเดียวกันเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามามันทำให้ผมรู้ว่า...
นรกของจริงมาถึงแล้ว!
ผมเลิกสนใจเสียงคุยกันที่ดังแผ่วเบาเข้ามาตามประตูระเบียงที่ปิดไม่สนิทแล้วเดินไปกระชากผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับประตูตู้เสื้อ
ไม่ลืมจะหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องหรูติดมือมาด้วย แล้วเดินตึงตังเข้าห้องน้ำมา
ผมลงมาแช่ตัวในอ่างน้ำเอนหัวพิงขอบอ่างก่อนจะหลับตาลง
เสียงเพลงโปรดที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้ผมผ่อนคลายลงมาก
จนอยากจะหลับมันซะตรงนี้เลย...
...ผมไม่สามารถออกไปจากความมืดมิดนี้ได้
ไม่มีความรู้สึกใดเลย
มีเพียงน้ำตาที่ยังไหลริน
ผมถูกขังอยู่ในความทรงจำที่มีแต่เธอ
ไม่นะ
ได้โปรดจับมือผม
ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาที...
เสียงเพลงดังคลอไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าวแต่เหมือนมีเสียงแทรกเข้ามา
และที่สำคัญ....
มันดังอยู่ข้างหูผมเอง!!!
ผมกำหมัดแน่นด้วยความตื่นตระหนกแต่ยังไม่ยอมลืมตา
ไอเย็นยะเยือกที่เหมือนในฝันไม่มีผิดแผ่ปกคลุมห้องน้ำทุกตารางนิ้ว
ผมพยายามข่มความกลัวให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จะให้มันรู้ไม่ได้ว่าผมกำลังกลัว...
“เพิ่ม... ขึ้น...!”
เสียงราบเรียบกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหูจนผมขนลุกไปหมด
ตัดสินใจลืมตาขึ้นกำลังจะลุกออกจากอ่างแต่ก็ทำไม่ได้
ร่างกายมันนิ่งสนิทไม่ขยับเลยสักนิดเดียว
“มาเปลี่ยนกันเอามั้ย!”
น้ำเสียงราบเรียบแต่กับแฝงไปด้วยความน่าสยดสยองมันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า
“เปลี่ยนอะไร!”
ผมอ้าปากถามออกไปอย่างยากลำบาก
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นข้างๆหูพร้อมกับนิ้วมือที่เริ่มไปลูบไล้ไปตามกลุ่มผมไล่ลงไปตามใบหน้าจนถึงลำคอ
ผมได้แต่หลับตาแน่นข่มความรู้สึกขยะแขยงผิวกายที่โดนสัมผัส
“ให้ฉันออกไปสิ....!”
ฝ่ามือเรียวหยุดลงที่ไหล่
ผมลืมตาขึ้นก่อนจะเหล่มองบุคคลที่อยู่ข้างหลังด้วยหางตา
“พูดบ้าอะไร...!”
ผมไม่ได้แกล้งโง่
แต่มันคือสิ่งที่ผมไม่รู้จริงๆ คนๆนี้เป็นใคร ต้องการอะไร ทำไมถึงรูปร่างหน้าตาเหมือนผมทุกประการ
ถึงจะเคยบอกว่ามันคือตัวผมแต่จะให้ผมเชื่อได้ยังไง
ผมกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้า เหมือนกำลังประสาทหลอนไม่มีผิด
“จะสงสัยอะไรอีก...
ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าฉันคือนาย
คืออีกตัวตนที่นายเป็นคนสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกด้านลบของตัวนายเอง”
ความรู้สึกด้านลบงั้นหรอ...
“ฝัน...!” ผมพูดอย่างแผ่วเบา
ใช่...
มันก็แค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เหมือนเดิม คนๆนี้ก็จะหาย
มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!
มือที่จับไหล่ผมอยู่เริ่มบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เสียงลมหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่น่าขยะแขยง
“ถ้าคิดว่าฝันล่ะก็...
จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี เพราะเราได้เจอกันอีกแน่ หึหึหึ!” เสียงกระซิบแผ่วเบา
ก่อนที่ร่างของผมจะถูกกดลงใต้ผิวน้ำอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
พยายามตะเกียดตะกายเอาตัวรอดด้วยแรงที่มีก็ไม่ได้ผล
ทั้งๆที่เหมือนกันทุกอย่างแท้ๆแต่คนๆนี้แรงเยอะกว่าผมหลายเท่าตัว
รวมถึงนิสัยที่ดูก็รู้ว่าร้ายกาจแน่นอน ถึงขอร้องยังไงก็ไม่มีทางปราณีแน่ๆ
“แค่กๆ!!!”
วินาทีที่กำลังจะหมดลมหายใจศีรษะก็ถูกกระชากขึ้นอย่างแรงจนปวดหนึบไปหมด
ผมอ้าปากกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอดอย่างไม่คิดชีวิต หูอื้อ
สมองแทบไปรับรู้อะไรเลยสักอย่าง มารู้ตัวอีกทีก็ลงมานอนกองอยู่ที่พื้นห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไรก็อาจทราบได้
“แฮ่กๆ!” ผมนอนหอบอยู่ที่พื้นห้องน้ำ
สายตาที่พร่าเลือนจากการขาดเลือดไปล่อเลี้ยงสมองค่อยๆชัดขี้น
ผมสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่อาการสมองเบลอออกไปแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง
เมื่อกี้ก็คงเป็นฝัน...
ใช่มั้ย!
ผมกุมขมับที่ปวดตุบๆเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบ
แล้วลุกขึ้นไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดร่างกายก่อนจะแต่งตัวแล้วออกจากห้องน้ำมา
ผมหยุดยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก
ปลดกระดุมบนของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่ออกสองเม็ด
ยืนชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆแหวกออกจนเห็นไหล่ขาวเนียนที่ตอนนี้ถูกประทับไว้ด้วยรอยช้ำเป็นรูปมือทั้งสองข้าง
มันไม่มีความรู้สึกเจ็บ มีแค่รอยที่ชัดเจนเท่านั้น
แค่ฝัน...
จริงๆงั้นหรอ???
สองครั้งแล้วที่เจอคนๆนั้น
จะว่ามันบังเอิญได้รึป่าว
ไอ้พวกอะไรแปลกๆที่ไม่ใช่คนผมก็เห็นมาบ้างตามประสาคนมีสัมผัสที่หก... ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก
ผมชอบเห็นอะไรแปลกๆมาตั้งแต่เด็กแล้ว
และแน่นอนเรื่องนี้นอกจากแม่แล้วไม่มีใครรู้ทั้งนั้น
ที่แล้วๆมาเห็นก็ปล่อยผ่านไปไม่เคยเจอตัวเดียวกันรอบสอง
แต่ครั้งนี้มันแปลกที่ผมเห็นถึงสองครั้ง แถมยังเป็นตัวเองอีกต่างหาก
“เฮ่อ!”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน
ยิ่งคิดสมองยิ่งปวดตุบๆขึ้นมาอีกรอบ เลยตัดสินใจเดินมาเปิดประตูห้องของตัวเองช้าๆ
ชะโงกหน้าออกไปดูต้นทางแล้วแทรกตัวออกมาจากหลังบานประตูอย่างแผ่วเบา
ก้าวขาลงบันไดมาหยุดอยู่ที่ขั้นสุดท้าย
มองซ้ายแลขวาเห็นว่าทางสะดวกเลยใส่เกียร์มาวิ่งตรงไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ถ้าจะถามว่าทำไมต้องทำเหมือนเป็นขโมยแบบนี้
ขอตอบเลยก็เพราะว่าไม่อยากจะเจอหน้าครอบครัวสุขสันต์น่ะสิ
เดี๋ยวจะเผลอล่อนมีดในห้องครัวปักสมองอันน้อยนิดของนังเด็กผีเอา
ผมรื้อค้นกล่องปฐมพยาบาลเพื่อหายาพารามากินแก้ปวดหัว
เมื่อได้ของที่ต้องการก็จัดการเก็บกล่องเข้าชั้นตามเดิม แล้วหันไปหาตู้เย็น
“อะไรอ่ะ!
ยาบ้าหรอ!” เสียงเปรตขอส่วนบุญดังอยู่หน้าประตูห้องครัว
ไม่บอกก็รู้ว่าใคร
ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้วหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมากระดกพร้อมยาลงคอ
คนถูกเมินถึงกลับหัวเสียเดินตึงตังเข้ามาหาผมอย่าเอาเรื่อง
“ฉันถามอยู่
แกหูหนวกหรือไง” มันกระชากแขนของผมอย่างแรงจนขวดน้ำหลุดออกจากมือหกเต็มพื้น
ผมตวัดสายตามองหน้ามันอย่างไม่พอใจก่อนจะแสยะยิ้ม
“ทำไม!
ที่ถามนี่อยากกินก็บอกมาดีๆฉันจะได้เอาให้ จะเอาอะไรล่ะ ยาแก้บ้าหรือยาคุม เอ๊ะ!
แต่เด็กใจแตกอย่างเธอก็คงต้องจับกรอกปากทั้งสองอย่างนั่นแหละ
จะได้หายบ้าแล้วก็จะได้ไม่ไปมัวกับใครจนท้องไม่มีพ่อ หึหึ!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”
ผมยกมืออุดหูแทบไม่ทันเมื่อนังเด็กผีนี่หวีดร้องเป็นเปรตขอส่วนบุญขึ้นมา
“เอาเลย
กรี๊ดเข้าไป เอาให้คอหอยแตกตายไปเลย ฮ่าๆๆๆ!!” ผมตะโกนแข่งกับมันซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของผมเยสักนิด
แต่บอกตามตรงตอนนี้ผมโคตรมีความสุขเลยที่เห็นนังเด็กผีนี่สติแตก
เพี๊ยะ!!!
เสียงดังฟังชัดพร้อมๆกับหน้าของผมที่สะบัดไปตามแรงกระแทกจากฝ่ามือเล็กๆนั่น
กลิ่นคาวเลือดคละคุ้งอยู่ในปากรับรู้ได้เลยว่าปากแตกแน่นอน
รอยยิ้มเยือกเย็นกระตุกขึ้นมาบนหน้าของผมอย่างไม่รู้ตัว
มันเจ็บนะ
แต่ทำไมผมถึงยิ้มล่ะ?
“มีปัญญาทำได้แค่นี้หรอ!”
ผมถามเสียงเรียบทั้งๆที่หน้ายังไม่หันกลับมาทิศทางปกติ
เสียงสะอื้นเล็กๆทำให้ผมรู้ว่านังเด็กนั่นกำลังร้องไห้
สะใจ...
ผมค่อยๆหันหน้ากลับไปหามันช้าๆ
แล้วจ้องมันอย่างอาฆาตแค้นปนความสะใจ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมทำสีหน้ายังไงออกไป
แต่ที่รู้ๆคือนังเด็กนั่นชะงักค้าง ดวงตากลมโตเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก
“แกมัน... ปีศาจ!!”
น้ำเสียงสั่นเครือของมันไม่ได้มีผลอะไรเลยสักนิด
มันกลับทำให้ผมพอใจอย่างมาก เหมือนความแค้นมันบังตา
รู้ตัวอีกทีผมก็เดินสาวเท้าเข้าไปคว้าคอมันไว้ก่อนจะดันร่างเล็กจนหลังติดกับอ่างล้างจาน
มือที่ว่างอยู่เอื้อมไปคว้ามีดปลายแหลมที่วางไว้บนเขียงขึ้นมา
“กะ... แกจะทำ...
อะไรน่ะ!” มือที่กำลังจรดปลายมีดไว้ที่แก้มขาวเนียนชะงักค้างทันทีเมื่อเสียงของนังเด็กนี่ดังขึ้นด้วยความหวาดกลัว
นี่ผมกำลังทำอะไร...
“ก็ฆ่าแกน่ะสิ...
หึหึหึ!”
สาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด
ผมบังคับตัวเองไม่ได้ เหมือนที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ตัวผม
เหมือนว่ามีอีกคนกำลังทำในสิ่งที่ผมพยายามฝืนตัวเองที่สุด
“จะบ้าหรอ
แกจะต้องติดคุกนะ พ่อแกจะเกลียดแก!!!” มือเล็กพยายามแกะมือที่กำรอบคอตัวเองอยู่อย่างยากลำบาก
“อ๋อหรอ!
แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ คนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อบังเกิดเกล้าน่ะ เรียกมาสิ
เรียกมาดูวาระสุดท้ายที่น่าสมเพชของแกไง ฮ่าๆๆ!” ผมระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความบ้าคลัง
ทั้งๆที่ข้างในพยายามจะฝืนตัวเองไม่ให้พูด ไม่ให้ทำ
พยายามจะเอามือของตัวเองออกจากคอเด็กนี่แทบตาย แต่ทำไม่ได้ ผมฝืนไม่ได้เลย
“ปล่อยฉันไปเถอะ
ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องล่ะ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันขอโทษ ฮื่อๆ!”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังระงมไปทั่วบ้าน
พร้อมกับคำขอโทษที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยกับผมตอนนี้... ไม่ใช่สิ!
ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ผม แต่เป็นใครอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างของผมแทน
“ขอร้องไปก็เท่านั้น
หึหึหึ!” ไร้ความปราณีใดๆ
ปลายมีดค่อยๆลากไปตามใบหน้าขาวเนียนนั่นอย่างสนุกสนานสร้างความตื่นตระหนกให้ร่างเล็กได้เป็นอย่างดี
ค่อยๆไล่เลี่ยลงมาจนถึงลำคอขาวเนียน
ร่างของผมกระตุกยิ้มร้ายอีกครั้งจนผมเองยังใจหาย
“กรี๊ดดดดดด!!!”
เสียงร้องดังขึ้นอย่างน่าเวทนาเมื่อปลายมีดถูกกดลงไปยังลำคอขาวเป็นทางยาว
ถึงมันจะไม่ลึกอะไรมากมายจนถึงชีวิตแต่ก็ทำให้เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาทีละนิดๆ
“กรีดร้องเข้าไป
ฮ่าๆๆๆ!”
บ้าไปแล้ว
นี่มันจะเกินไปแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จะทำให้มันเป็นแบบนี้ พอสักที หยุดสักที
ใครก็ได้ช่วยหยุดตัวผมที!!!
“แอนนี่!!!”
เสียงที่ประตูบ้านดังขึ้น
พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าของคนสองคนกำลังวิ่งใกล้เข้ามา
แต่ร่างกายก็ผมก็ยังไม่ยอมหยุดการกระทำ
“ม๊าช่วยแอนนี่ด้วย
อ่ะ... แค่กๆ” เสียงที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือถูกแรงบีบจากมือผมจนมันหายไปในลำคอ
“แอนนี่ลูกแม่!!!”
“เท็ตสึยะเป็นบ้าอะไรเนี่ย!!!”
ร่างของผมถูกกระชากออกอย่างแรงจนเซไปชนกับตู้เย็นด้วยมือของพ่อ
เหมือนสติถูกกระชากกลับมา
ร่างกายหลุดออกจากการควบคุมของใครคนนั้นก่อนจะทรุดฮวบลงกลับพื้นอย่างหมดแรง
“เสียสติไปแล้วหรอ!!!”
ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าวขึ้นมา
พ่อกอดนังเด็กนั่นกับผู้หญิงคนนั้น
สายตาสามคู่ที่มองมามันเหมือนกับกำลังมองตัวประหลาดไม่มีผิด
ผมปล่อยมีดที่อยู่ในมือออก ในใจก็อยากจะเอามันขึ้นมาแทงตัวเองให้ตายๆไปซะได้ก็ดี
พังหมดแล้ว...
ชีวิตของผม!
“คุณพาแอนนาไปรอที่รถนะ... เท็ตสึยะรออยู่นี้ห้ามหนีไปไหน
เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”
ผมก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น
เสียงของพ่อช่างแผ่วเบาจนผมแทบจะไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
บ้านทั้งบ้านเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าอยู่แบบนี้นานเท่าไร เหมือนสติมันหลุดออกจากร่างไปแล้ว
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงฟ้าผ่าแทรกเข้ามาในโสตประสาท
ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างเลื่อนลอย
เดินออกจากห้องครัวตรงไปยังบันไดแล้วเดินขึ้นห้องตัวเองมา
บ้านทั้งบ้านมืดสนิทแต่ผมกับเดินขึ้นมาได้แบบไม่ชนอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
21.45 น.
ในความมืดมิดมีเพียงนาฬิกาดิจิตอลที่ยังคงเรืองแสงสีแดงของมันอยู่
ดูจากเวลาแล้วผมนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบสิบชั่วโมง
แต่มันกับรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สิบนาทีเอง ทุกอย่างในบ้านยังคงเงียบสนิทแสดงว่าพ่อยังไม่กลับมา
แล้วถ้าพ่อกลับมามันจะเกิดอะไรขึ้น
ผมอาจจะโดนจับติดคุกข้อหาพยายามฆ่าก็ได้ แต่ถ้าไม่...
ถ้าผมยังอยู่ที่นี่ก็จะโดนมองด้วยสายตารังเกียจจากทั้งนังเด็กนั่น จากแม่ของมัน
และที่สำคัญคือจากพ่อ ผมคงไม่ต่างอะไรกับเด็กเสียสติที่คลุ้มคลังขึ้นมาไล่ฆ่าคน
ตราบใดที่ผมยังเป็นแบบนี้ ผมก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้
เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะลุกขึ้นมาฆ่าใครอีกรึป่าว
ผมเดินไปหยิบสร้อยคอแสนสำคัญที่โต๊ะหัวเตียงขึ้นมาคล้องคอ
ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดไร้แสงดาว มีเพียงเสียงฟ้าร้องที่เป็นสัญญาณของฝนที่กำลังจะตกในไม่ช้า
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินลงมาชั้นล่างแล้วตรงไปยังประตูบ้านอย่างไม่ลังเล
“ลาก่อน...!”
ผมมองบ้านที่เคยอยู่อย่างมีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วหันหลังเดินจากมา
ในหัวมันขาวโพลนไม่มีจุดหมายปลายทาง
มีแต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่า ขาเดินไปเรื่อยๆตามทางที่มีแสงสลัวจากเสาไฟฟ้า
สายลมพัดผ่านเอาความหนาวเหน็บและกลิ่นฝนมากระทบร่างกายจนต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเอง
“ที่ไหนล่ะเนี่ย!”
ผมพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่าเดินมาไกลขนาดไหนแล้ว
และที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเดินมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงนี่สิ
ผมหันซ้ายแลขวายืนมึนอยู่กลางสี่แยก
จะไปซ้ายหรือขวาหรือว่าจะตรงไปดี
โบราณบอกขวาร้ายซ้ายดีแล้วทางตรงล่ะเค้าเรียกว่าอะไร
“เอาว่ะ” ผมเสี่ยงเดินตรงไปข้างหน้าเพราะเป็นทางเดียวที่มีไฟให้ความสว่างอยู่สองข้างทาง
เดินมาได้สักพักเริ่มจะรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
เริ่มมองซ้ายขวาเลิ่กลักก็เจอแต่โพลงหญ้าสูงสลับกับบ้านที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเนื่องด้วยไม่มีคนดูแล
บอกแค่นี้ก็คงจะรู้นะว่ามันคือบ้านอะไร
ผมกัดฟันเดินต่อไปพยายามจะไม่สนใจสายตาของอะไรบางอย่างที่กำลังจับจ้องการมาของผมอยู่อย่างเงียบๆ
แต่กลับทำให้ผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“ฮื่อๆๆ!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังแผ่วเบามาตามสายลม
รู้สึกเย็นวาบที่หลังแปลกๆจนต้องรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้น
หยาดฝนหยดลงที่ปลายจมูกของผมก่อนที่มันจะเทลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
หันหาที่หลบฝนก็ไม่มีเลยจำใจต้องเดินตากฝนไปเรื่อยๆ สายตาที่คอยสอดส่องหาที่หลบของผมดันเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเหมือนจะเป็นลมอยู่ไกลๆ
ผมเลยเพ่งมองดูว่านั่นใช่คนจริงๆรึป่าว
“นี่คุณครับ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นคนแน่ๆผมก็รีบวิ่งผ่าฝนไปหาร่างที่ทำท่าจะล้มอยู่ร่อมร่อใช้สองแขนช่วยพยุงให้นั่งลงกลางถนน
ไปโดนอะไรมา...
ผมมองบาดแผลที่หน้าท้องที่ยังมีเลือดไหลออกมาอย่างสงสัย
ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้า ก็ไม่ถือว่าแก่ อายุราวๆยี่สิบปลายๆ
คงไม่ได้ไปโดนใครไล่กระทืบมาหรอกนะ
“ถอยออกมา...!”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ดังชัดเจนในสายฝนเรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง
ร่างที่อยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทยืนอยู่ไม่ไกลนัก
ฮูดและผ้าปิดปากสีดำที่ปิดขึ้นไปถึงจมูกทำให้ผมเห็นหน้าไม่ถนัด
แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือนัยน์ตาสีแดงเพลิงที่เป็นประกายอยู่ในความมืด
ไม่มีเวลาให้ผมสงสัยอะไรทั้งสิ้น
ร่างของผมถูกกระชากลงไปอย่างแรงจนก้นกระแทก ลำแขนแกร่งของคนข้างหลังล็อคคอผมเอาไว้
สัมผัสเย็นๆที่ขมับทำให้ผมรู้ว่ามันคือ... ปืน!!!
“ถ้าแกเข้ามาไอ้นี่สมองกระจายแน่!!!”
งานเข้าแล้วไง อุตส่าหวังดีดันโดนจับเป็นตัวประกันซะงั้น
ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น
มีแค่ผมที่ดีดดิ้นเอาตัวรอดอยู่คนเดียว
“...!”
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า
มีเพียงขาที่ก้าวเข้ามาเรื่อยๆจนผมยังตกใจ
“หูหนวกรึไง!!!”
คนที่จับผมอยู่ตวาดลั่นด้วยความโมโหก่อนที่มันจะกระชับปืนในมือจ่อหัว
ผมได้แต่หลับตาปรี๋ด้วยความกลัวรอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“ทำร้ายเด็กมันไม่ดีนะ!”
เสียงที่ติดเล่นนิดๆดังขึ้นพร้อมๆกับแรงกระชากจากด้านหลัง
เสียงกระดูกหักดังเต็มสองหู ก่อนแขนที่ล็อคคอผมจะถูกคลายออก
“คุณฮิวงะ...
ฝากเด็กนี่ที!” ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงราบเรียบ
แต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้าหัวของผมถูกคลุมด้วยผ้าอะไรสักอย่างจนมองไม่เห็นอะไรเลย
“เป็นเด็กจะมองภาพโหดร้ายแบบนี้ไม่ได้รู้มั้ย!”
น้ำเสียงนุ่มที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของผม
ไหล่ของผมถูกโอบเอาไว้หลวมๆ
ภาพโหดร้ายอะไร....
“อะ...
อ๊ากกกกกกกกก!!!!!!!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงร้องโหนหวนดังขึ้น
เสียงของคนที่เอาปืนจ่อหัวผมเมื่อกี้
มันเกิดอะไรขึ้น....
“เอาเข้าไปไอ้เด็กนี่!
ฉันบอกกี่ทีกี่หนว่าให้จัดการมันแบบเงียบๆทีเดียวจบ
ไม่ต้องทรมานให้มันแหกปากร้องก่อนตายเนี่ย
มันไม่เคยซึมซับเข้าไปในสมองนายเลยใช่มั้ยห๊ะฟุริ!!!” เสียงบ่นดังยาวเหยียด
แต่คนโดนบ่นกับเงียบกริบ
เดี๋ยวนะ...
เมื่อกี้บอกว่าตายงั้นหรอ คนๆนั้นตายแล้วงั้นหรอ!!!
“เอาไงกะเด็กนี่!”
เด็กนี่...
หมายถึงผมหรอ?
“KISE... Mission Complete!”
ภารกิจอะไรสำเร็จ...
แล้วคิเสะคือใคร
บรื้น!!!
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นที่ใกล้ๆ
แต่ผมไม่รู้ที่ไหน ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเลย ได้แต่นั่งปิดปากเงียบอยู่แบบนี้
“กลับกันเหอะโคตรหิวเลย...
อ้าว! แล้วนี่ใครเนี่ย!” เสียงที่ดูจะสดใสผิดจากอีกคนดังขึ้น
“ขอยาสลบหน่อย!”
ผู้ชายที่โอบผมอยู่สั่งเสียงเรียบ
ยาสลบงั้นหรอ...
จะเอามาทำไม จะทำอะไรผมเนี่ย!!
“พวกคุณเป็นใคร!!!”
ผมถามอย่างเหลืออดที่ต้องนั่งฟังเงียบๆ ไม่มีใครคิดจะตอบ
ได้แต่เสียงฝนที่ตกกระหน่ำกลับมา
โดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวร่างของผมโดนผลักจนนอนราบลงไปกับพื้นซีเมนต์เย็นๆ
ทั้งแขนและขาโดนตึงเอาไว้จนขยับไม่ได้
ความเจ็บเหมือนโดนฉีดยาแล่นปรี๊ดขึ้นมาจากข้อพับแขนก่อนที่มันจะหายไป
“หลับไปสักพักนะ!”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นแผ่วเบา
สมองของผมเริ่มจะเบลอขึ้นมาจนแทบจะไม่รับรู้อะไร สติสะตังไม่อยู่กับตัว
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
TBC.......
-------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น