ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Love PaRalleL

    ลำดับตอนที่ #2 : :PaRalleL 1:

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 58


     

     CHAPTER1

     

                    และแล้ววันมหาบรรลัยก็มาถึง ถ้าจะถามว่าวันอะไร คำตอบมีพียงข้อเดียวคือวันที่นังเด็กผีจะย้ายเข้ามา ผมนอนฝังตัวอยู่บนที่นอนอย่างเลื่อยลอย สายตาจ้องมองเพดานห้องไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปไหน ผมอยู่แบบนี้มารวมสามชั่วโมงตั้งแต่ตื่นมาตอนเก้าโมง ไม่มีอารมณ์จะลุกไปไหนเลยสักนิด

                    ถ้าเป็นปกติป่านนี้พ่อต้องขึ้นมาปลุกแล้ว แต่วันนี้จะมาได้ยังไงในเมื่อขับรถออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่าไปไหน ถ้าไม่ใช่ไปรับแม่ของนังเด็กผีนั่น...

     

                    ผมเผลอกำผ้าปูที่นอนแน่นจนมันแทบจะหลุดติดมือ นึกถึงภาพความฝันเมื่อคืนวานก็กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

     

                    ถ้าคนที่นอนจมกองเลือดกลายเป็นเด็กนั่นก็คงจะดี...

     

                    “เคียดแค้นเข้าไป...!

                    ผมพูดออกไปอย่างเลื่อนลอยเหมือนคนไม่ได้สติ คิ้วของผมขมวดเข้าหากันแน่น สาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด มันหลุดออกมาซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม

     

                    “บ้าไปแล้วผมสะบัดหัวแรงๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง หันไปมองนาฬิกาดิจิติลที่หัวเตียง ตัวเลขสีแดงบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ ผมค่อยๆก้าวลงจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า ขณะเดียวกันเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามามันทำให้ผมรู้ว่า... นรกของจริงมาถึงแล้ว!

     

                    ผมเลิกสนใจเสียงคุยกันที่ดังแผ่วเบาเข้ามาตามประตูระเบียงที่ปิดไม่สนิทแล้วเดินไปกระชากผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับประตูตู้เสื้อ ไม่ลืมจะหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องหรูติดมือมาด้วย แล้วเดินตึงตังเข้าห้องน้ำมา

     

                    ผมลงมาแช่ตัวในอ่างน้ำเอนหัวพิงขอบอ่างก่อนจะหลับตาลง เสียงเพลงโปรดที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ทำให้ผมผ่อนคลายลงมาก จนอยากจะหลับมันซะตรงนี้เลย...

     

    ...ผมไม่สามารถออกไปจากความมืดมิดนี้ได้

    ไม่มีความรู้สึกใดเลย มีเพียงน้ำตาที่ยังไหลริน

    ผมถูกขังอยู่ในความทรงจำที่มีแต่เธอ ไม่นะ

    ได้โปรดจับมือผม ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาที...

     

                    เสียงเพลงดังคลอไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าวแต่เหมือนมีเสียงแทรกเข้ามา และที่สำคัญ....

     

                    มันดังอยู่ข้างหูผมเอง!!!

     

                    ผมกำหมัดแน่นด้วยความตื่นตระหนกแต่ยังไม่ยอมลืมตา ไอเย็นยะเยือกที่เหมือนในฝันไม่มีผิดแผ่ปกคลุมห้องน้ำทุกตารางนิ้ว ผมพยายามข่มความกลัวให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้มันรู้ไม่ได้ว่าผมกำลังกลัว...

     

                    “เพิ่ม... ขึ้น...!

                    เสียงราบเรียบกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหูจนผมขนลุกไปหมด ตัดสินใจลืมตาขึ้นกำลังจะลุกออกจากอ่างแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันนิ่งสนิทไม่ขยับเลยสักนิดเดียว

     

                    “มาเปลี่ยนกันเอามั้ย!

                    น้ำเสียงราบเรียบแต่กับแฝงไปด้วยความน่าสยดสยองมันทำให้ผมแทบจะเป็นบ้า

     

                    “เปลี่ยนอะไร!ผมอ้าปากถามออกไปอย่างยากลำบาก เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นข้างๆหูพร้อมกับนิ้วมือที่เริ่มไปลูบไล้ไปตามกลุ่มผมไล่ลงไปตามใบหน้าจนถึงลำคอ ผมได้แต่หลับตาแน่นข่มความรู้สึกขยะแขยงผิวกายที่โดนสัมผัส

     

                    “ให้ฉันออกไปสิ....!ฝ่ามือเรียวหยุดลงที่ไหล่ ผมลืมตาขึ้นก่อนจะเหล่มองบุคคลที่อยู่ข้างหลังด้วยหางตา

     

                    “พูดบ้าอะไร...!

                    ผมไม่ได้แกล้งโง่ แต่มันคือสิ่งที่ผมไม่รู้จริงๆ คนๆนี้เป็นใคร ต้องการอะไร ทำไมถึงรูปร่างหน้าตาเหมือนผมทุกประการ ถึงจะเคยบอกว่ามันคือตัวผมแต่จะให้ผมเชื่อได้ยังไง ผมกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้า เหมือนกำลังประสาทหลอนไม่มีผิด

     

                    “จะสงสัยอะไรอีก... ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าฉันคือนาย คืออีกตัวตนที่นายเป็นคนสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกด้านลบของตัวนายเอง

     

                    ความรู้สึกด้านลบงั้นหรอ...

     

                    “ฝัน...!ผมพูดอย่างแผ่วเบา

     

                    ใช่... มันก็แค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เหมือนเดิม คนๆนี้ก็จะหาย มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!

     

                    มือที่จับไหล่ผมอยู่เริ่มบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เสียงลมหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่น่าขยะแขยง

     

                    “ถ้าคิดว่าฝันล่ะก็... จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี เพราะเราได้เจอกันอีกแน่ หึหึหึ!เสียงกระซิบแผ่วเบา ก่อนที่ร่างของผมจะถูกกดลงใต้ผิวน้ำอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พยายามตะเกียดตะกายเอาตัวรอดด้วยแรงที่มีก็ไม่ได้ผล ทั้งๆที่เหมือนกันทุกอย่างแท้ๆแต่คนๆนี้แรงเยอะกว่าผมหลายเท่าตัว รวมถึงนิสัยที่ดูก็รู้ว่าร้ายกาจแน่นอน ถึงขอร้องยังไงก็ไม่มีทางปราณีแน่ๆ

     

                    “แค่กๆ!!!

                    วินาทีที่กำลังจะหมดลมหายใจศีรษะก็ถูกกระชากขึ้นอย่างแรงจนปวดหนึบไปหมด ผมอ้าปากกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอดอย่างไม่คิดชีวิต หูอื้อ สมองแทบไปรับรู้อะไรเลยสักอย่าง มารู้ตัวอีกทีก็ลงมานอนกองอยู่ที่พื้นห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไรก็อาจทราบได้

     

                    “แฮ่กๆ!ผมนอนหอบอยู่ที่พื้นห้องน้ำ สายตาที่พร่าเลือนจากการขาดเลือดไปล่อเลี้ยงสมองค่อยๆชัดขี้น ผมสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่อาการสมองเบลอออกไปแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง

     

                    เมื่อกี้ก็คงเป็นฝัน... ใช่มั้ย!

     

                    ผมกุมขมับที่ปวดตุบๆเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบ แล้วลุกขึ้นไปคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดร่างกายก่อนจะแต่งตัวแล้วออกจากห้องน้ำมา

     

                    ผมหยุดยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก ปลดกระดุมบนของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่ออกสองเม็ด ยืนชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆแหวกออกจนเห็นไหล่ขาวเนียนที่ตอนนี้ถูกประทับไว้ด้วยรอยช้ำเป็นรูปมือทั้งสองข้าง มันไม่มีความรู้สึกเจ็บ มีแค่รอยที่ชัดเจนเท่านั้น

     

                    แค่ฝัน... จริงๆงั้นหรอ???

     

                    สองครั้งแล้วที่เจอคนๆนั้น จะว่ามันบังเอิญได้รึป่าว ไอ้พวกอะไรแปลกๆที่ไม่ใช่คนผมก็เห็นมาบ้างตามประสาคนมีสัมผัสที่หก... ใช่แล้วคุณอ่านไม่ผิดหรอก ผมชอบเห็นอะไรแปลกๆมาตั้งแต่เด็กแล้ว และแน่นอนเรื่องนี้นอกจากแม่แล้วไม่มีใครรู้ทั้งนั้น ที่แล้วๆมาเห็นก็ปล่อยผ่านไปไม่เคยเจอตัวเดียวกันรอบสอง แต่ครั้งนี้มันแปลกที่ผมเห็นถึงสองครั้ง แถมยังเป็นตัวเองอีกต่างหาก

     

                    “เฮ่อ!

                     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน ยิ่งคิดสมองยิ่งปวดตุบๆขึ้นมาอีกรอบ เลยตัดสินใจเดินมาเปิดประตูห้องของตัวเองช้าๆ ชะโงกหน้าออกไปดูต้นทางแล้วแทรกตัวออกมาจากหลังบานประตูอย่างแผ่วเบา ก้าวขาลงบันไดมาหยุดอยู่ที่ขั้นสุดท้าย มองซ้ายแลขวาเห็นว่าทางสะดวกเลยใส่เกียร์มาวิ่งตรงไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว

     

                    ถ้าจะถามว่าทำไมต้องทำเหมือนเป็นขโมยแบบนี้ ขอตอบเลยก็เพราะว่าไม่อยากจะเจอหน้าครอบครัวสุขสันต์น่ะสิ เดี๋ยวจะเผลอล่อนมีดในห้องครัวปักสมองอันน้อยนิดของนังเด็กผีเอา

     

                    ผมรื้อค้นกล่องปฐมพยาบาลเพื่อหายาพารามากินแก้ปวดหัว เมื่อได้ของที่ต้องการก็จัดการเก็บกล่องเข้าชั้นตามเดิม แล้วหันไปหาตู้เย็น

     

                    “อะไรอ่ะ! ยาบ้าหรอ!เสียงเปรตขอส่วนบุญดังอยู่หน้าประตูห้องครัว ไม่บอกก็รู้ว่าใคร ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้วหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมากระดกพร้อมยาลงคอ คนถูกเมินถึงกลับหัวเสียเดินตึงตังเข้ามาหาผมอย่าเอาเรื่อง

     

                    “ฉันถามอยู่ แกหูหนวกหรือไงมันกระชากแขนของผมอย่างแรงจนขวดน้ำหลุดออกจากมือหกเต็มพื้น ผมตวัดสายตามองหน้ามันอย่างไม่พอใจก่อนจะแสยะยิ้ม

     

                    “ทำไม! ที่ถามนี่อยากกินก็บอกมาดีๆฉันจะได้เอาให้ จะเอาอะไรล่ะ ยาแก้บ้าหรือยาคุม เอ๊ะ! แต่เด็กใจแตกอย่างเธอก็คงต้องจับกรอกปากทั้งสองอย่างนั่นแหละ จะได้หายบ้าแล้วก็จะได้ไม่ไปมัวกับใครจนท้องไม่มีพ่อ หึหึ!

     

                    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!ผมยกมืออุดหูแทบไม่ทันเมื่อนังเด็กผีนี่หวีดร้องเป็นเปรตขอส่วนบุญขึ้นมา

     

                    “เอาเลย กรี๊ดเข้าไป เอาให้คอหอยแตกตายไปเลย ฮ่าๆๆๆ!!ผมตะโกนแข่งกับมันซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของผมเยสักนิด แต่บอกตามตรงตอนนี้ผมโคตรมีความสุขเลยที่เห็นนังเด็กผีนี่สติแตก

     

                    เพี๊ยะ!!!

                    เสียงดังฟังชัดพร้อมๆกับหน้าของผมที่สะบัดไปตามแรงกระแทกจากฝ่ามือเล็กๆนั่น กลิ่นคาวเลือดคละคุ้งอยู่ในปากรับรู้ได้เลยว่าปากแตกแน่นอน รอยยิ้มเยือกเย็นกระตุกขึ้นมาบนหน้าของผมอย่างไม่รู้ตัว 

                   

                    มันเจ็บนะ แต่ทำไมผมถึงยิ้มล่ะ?

                   

                    “มีปัญญาทำได้แค่นี้หรอ!ผมถามเสียงเรียบทั้งๆที่หน้ายังไม่หันกลับมาทิศทางปกติ เสียงสะอื้นเล็กๆทำให้ผมรู้ว่านังเด็กนั่นกำลังร้องไห้

     

                    สะใจ...

     

                    ผมค่อยๆหันหน้ากลับไปหามันช้าๆ แล้วจ้องมันอย่างอาฆาตแค้นปนความสะใจ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมทำสีหน้ายังไงออกไป แต่ที่รู้ๆคือนังเด็กนั่นชะงักค้าง ดวงตากลมโตเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก

     

                    “แกมัน... ปีศาจ!!น้ำเสียงสั่นเครือของมันไม่ได้มีผลอะไรเลยสักนิด มันกลับทำให้ผมพอใจอย่างมาก เหมือนความแค้นมันบังตา รู้ตัวอีกทีผมก็เดินสาวเท้าเข้าไปคว้าคอมันไว้ก่อนจะดันร่างเล็กจนหลังติดกับอ่างล้างจาน มือที่ว่างอยู่เอื้อมไปคว้ามีดปลายแหลมที่วางไว้บนเขียงขึ้นมา

     

                    “กะ... แกจะทำ... อะไรน่ะ!มือที่กำลังจรดปลายมีดไว้ที่แก้มขาวเนียนชะงักค้างทันทีเมื่อเสียงของนังเด็กนี่ดังขึ้นด้วยความหวาดกลัว

     

                    นี่ผมกำลังทำอะไร...

     

                    “ก็ฆ่าแกน่ะสิ... หึหึหึ!

                    สาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด ผมบังคับตัวเองไม่ได้ เหมือนที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ตัวผม เหมือนว่ามีอีกคนกำลังทำในสิ่งที่ผมพยายามฝืนตัวเองที่สุด

     

                    “จะบ้าหรอ แกจะต้องติดคุกนะ พ่อแกจะเกลียดแก!!!มือเล็กพยายามแกะมือที่กำรอบคอตัวเองอยู่อย่างยากลำบาก

     

                    “อ๋อหรอ! แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ คนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อบังเกิดเกล้าน่ะ เรียกมาสิ เรียกมาดูวาระสุดท้ายที่น่าสมเพชของแกไง ฮ่าๆๆ!ผมระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความบ้าคลัง ทั้งๆที่ข้างในพยายามจะฝืนตัวเองไม่ให้พูด ไม่ให้ทำ พยายามจะเอามือของตัวเองออกจากคอเด็กนี่แทบตาย แต่ทำไม่ได้ ผมฝืนไม่ได้เลย

     

                    “ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอร้องล่ะ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันขอโทษ ฮื่อๆ!เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังระงมไปทั่วบ้าน พร้อมกับคำขอโทษที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยกับผมตอนนี้... ไม่ใช่สิ! ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ผม แต่เป็นใครอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างของผมแทน

     

                    “ขอร้องไปก็เท่านั้น หึหึหึ!ไร้ความปราณีใดๆ ปลายมีดค่อยๆลากไปตามใบหน้าขาวเนียนนั่นอย่างสนุกสนานสร้างความตื่นตระหนกให้ร่างเล็กได้เป็นอย่างดี ค่อยๆไล่เลี่ยลงมาจนถึงลำคอขาวเนียน ร่างของผมกระตุกยิ้มร้ายอีกครั้งจนผมเองยังใจหาย

     

                    “กรี๊ดดดดดด!!!เสียงร้องดังขึ้นอย่างน่าเวทนาเมื่อปลายมีดถูกกดลงไปยังลำคอขาวเป็นทางยาว ถึงมันจะไม่ลึกอะไรมากมายจนถึงชีวิตแต่ก็ทำให้เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาทีละนิดๆ

     

                    “กรีดร้องเข้าไป ฮ่าๆๆๆ!

                    บ้าไปแล้ว นี่มันจะเกินไปแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จะทำให้มันเป็นแบบนี้ พอสักที หยุดสักที ใครก็ได้ช่วยหยุดตัวผมที!!!

     

                    “แอนนี่!!!

                    เสียงที่ประตูบ้านดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าของคนสองคนกำลังวิ่งใกล้เข้ามา แต่ร่างกายก็ผมก็ยังไม่ยอมหยุดการกระทำ

     

                    “ม๊าช่วยแอนนี่ด้วย อ่ะ... แค่กๆเสียงที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือถูกแรงบีบจากมือผมจนมันหายไปในลำคอ

     

                    “แอนนี่ลูกแม่!!!

                   

                    “เท็ตสึยะเป็นบ้าอะไรเนี่ย!!!ร่างของผมถูกกระชากออกอย่างแรงจนเซไปชนกับตู้เย็นด้วยมือของพ่อ เหมือนสติถูกกระชากกลับมา ร่างกายหลุดออกจากการควบคุมของใครคนนั้นก่อนจะทรุดฮวบลงกลับพื้นอย่างหมดแรง

     

                    “เสียสติไปแล้วหรอ!!!ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าวขึ้นมา

     

                    พ่อกอดนังเด็กนั่นกับผู้หญิงคนนั้น สายตาสามคู่ที่มองมามันเหมือนกับกำลังมองตัวประหลาดไม่มีผิด ผมปล่อยมีดที่อยู่ในมือออก ในใจก็อยากจะเอามันขึ้นมาแทงตัวเองให้ตายๆไปซะได้ก็ดี

     

                    พังหมดแล้ว... ชีวิตของผม!

     

                    “คุณพาแอนนาไปรอที่รถนะ...  เท็ตสึยะรออยู่นี้ห้ามหนีไปไหน เรามีเรื่องต้องคุยกัน!

     

                    ผมก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น เสียงของพ่อช่างแผ่วเบาจนผมแทบจะไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

     

                    บ้านทั้งบ้านเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าอยู่แบบนี้นานเท่าไร เหมือนสติมันหลุดออกจากร่างไปแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงฟ้าผ่าแทรกเข้ามาในโสตประสาท ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างเลื่อนลอย เดินออกจากห้องครัวตรงไปยังบันไดแล้วเดินขึ้นห้องตัวเองมา

    บ้านทั้งบ้านมืดสนิทแต่ผมกับเดินขึ้นมาได้แบบไม่ชนอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

     

                    21.45 น.

                    ในความมืดมิดมีเพียงนาฬิกาดิจิตอลที่ยังคงเรืองแสงสีแดงของมันอยู่ ดูจากเวลาแล้วผมนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบสิบชั่วโมง แต่มันกับรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สิบนาทีเอง ทุกอย่างในบ้านยังคงเงียบสนิทแสดงว่าพ่อยังไม่กลับมา

     

                    แล้วถ้าพ่อกลับมามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมอาจจะโดนจับติดคุกข้อหาพยายามฆ่าก็ได้ แต่ถ้าไม่... ถ้าผมยังอยู่ที่นี่ก็จะโดนมองด้วยสายตารังเกียจจากทั้งนังเด็กนั่น จากแม่ของมัน และที่สำคัญคือจากพ่อ ผมคงไม่ต่างอะไรกับเด็กเสียสติที่คลุ้มคลังขึ้นมาไล่ฆ่าคน ตราบใดที่ผมยังเป็นแบบนี้ ผมก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะลุกขึ้นมาฆ่าใครอีกรึป่าว

     

                    ผมเดินไปหยิบสร้อยคอแสนสำคัญที่โต๊ะหัวเตียงขึ้นมาคล้องคอ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดไร้แสงดาว มีเพียงเสียงฟ้าร้องที่เป็นสัญญาณของฝนที่กำลังจะตกในไม่ช้า ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินลงมาชั้นล่างแล้วตรงไปยังประตูบ้านอย่างไม่ลังเล

     

                    “ลาก่อน...!ผมมองบ้านที่เคยอยู่อย่างมีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินจากมา

     

                    ในหัวมันขาวโพลนไม่มีจุดหมายปลายทาง มีแต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่า ขาเดินไปเรื่อยๆตามทางที่มีแสงสลัวจากเสาไฟฟ้า สายลมพัดผ่านเอาความหนาวเหน็บและกลิ่นฝนมากระทบร่างกายจนต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเอง

     

                    “ที่ไหนล่ะเนี่ย!ผมพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่าเดินมาไกลขนาดไหนแล้ว และที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเดินมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงนี่สิ

     

                    ผมหันซ้ายแลขวายืนมึนอยู่กลางสี่แยก จะไปซ้ายหรือขวาหรือว่าจะตรงไปดี โบราณบอกขวาร้ายซ้ายดีแล้วทางตรงล่ะเค้าเรียกว่าอะไร

     

                    “เอาว่ะผมเสี่ยงเดินตรงไปข้างหน้าเพราะเป็นทางเดียวที่มีไฟให้ความสว่างอยู่สองข้างทาง

     

                    เดินมาได้สักพักเริ่มจะรู้สึกอึดอัดแปลกๆ เริ่มมองซ้ายขวาเลิ่กลักก็เจอแต่โพลงหญ้าสูงสลับกับบ้านที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเนื่องด้วยไม่มีคนดูแล บอกแค่นี้ก็คงจะรู้นะว่ามันคือบ้านอะไร

     

                    ผมกัดฟันเดินต่อไปพยายามจะไม่สนใจสายตาของอะไรบางอย่างที่กำลังจับจ้องการมาของผมอยู่อย่างเงียบๆ แต่กลับทำให้ผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

     

                     “ฮื่อๆๆ!ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังแผ่วเบามาตามสายลม รู้สึกเย็นวาบที่หลังแปลกๆจนต้องรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้น

     

                    หยาดฝนหยดลงที่ปลายจมูกของผมก่อนที่มันจะเทลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หันหาที่หลบฝนก็ไม่มีเลยจำใจต้องเดินตากฝนไปเรื่อยๆ สายตาที่คอยสอดส่องหาที่หลบของผมดันเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเหมือนจะเป็นลมอยู่ไกลๆ ผมเลยเพ่งมองดูว่านั่นใช่คนจริงๆรึป่าว

     

                    “นี่คุณครับเมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นคนแน่ๆผมก็รีบวิ่งผ่าฝนไปหาร่างที่ทำท่าจะล้มอยู่ร่อมร่อใช้สองแขนช่วยพยุงให้นั่งลงกลางถนน

     

                    ไปโดนอะไรมา...

     

                    ผมมองบาดแผลที่หน้าท้องที่ยังมีเลือดไหลออกมาอย่างสงสัย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้า ก็ไม่ถือว่าแก่ อายุราวๆยี่สิบปลายๆ คงไม่ได้ไปโดนใครไล่กระทืบมาหรอกนะ

     

                    “ถอยออกมา...!น้ำเสียงราบเรียบแต่ดังชัดเจนในสายฝนเรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง ร่างที่อยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทยืนอยู่ไม่ไกลนัก ฮูดและผ้าปิดปากสีดำที่ปิดขึ้นไปถึงจมูกทำให้ผมเห็นหน้าไม่ถนัด แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือนัยน์ตาสีแดงเพลิงที่เป็นประกายอยู่ในความมืด

                   

                    ไม่มีเวลาให้ผมสงสัยอะไรทั้งสิ้น ร่างของผมถูกกระชากลงไปอย่างแรงจนก้นกระแทก ลำแขนแกร่งของคนข้างหลังล็อคคอผมเอาไว้ สัมผัสเย็นๆที่ขมับทำให้ผมรู้ว่ามันคือ... ปืน!!!

                   

                    “ถ้าแกเข้ามาไอ้นี่สมองกระจายแน่!!!งานเข้าแล้วไง อุตส่าหวังดีดันโดนจับเป็นตัวประกันซะงั้น ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงก็ยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น มีแค่ผมที่ดีดดิ้นเอาตัวรอดอยู่คนเดียว

     

                    “...!”

                    ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า มีเพียงขาที่ก้าวเข้ามาเรื่อยๆจนผมยังตกใจ

     

                    “หูหนวกรึไง!!!คนที่จับผมอยู่ตวาดลั่นด้วยความโมโหก่อนที่มันจะกระชับปืนในมือจ่อหัว ผมได้แต่หลับตาปรี๋ด้วยความกลัวรอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

     

                    “ทำร้ายเด็กมันไม่ดีนะ!เสียงที่ติดเล่นนิดๆดังขึ้นพร้อมๆกับแรงกระชากจากด้านหลัง เสียงกระดูกหักดังเต็มสองหู ก่อนแขนที่ล็อคคอผมจะถูกคลายออก

     

                    “คุณฮิวงะ... ฝากเด็กนี่ที!ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงราบเรียบ แต่ยังไม่ทันจะเห็นหน้าหัวของผมถูกคลุมด้วยผ้าอะไรสักอย่างจนมองไม่เห็นอะไรเลย

                   

                    “เป็นเด็กจะมองภาพโหดร้ายแบบนี้ไม่ได้รู้มั้ย!น้ำเสียงนุ่มที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของผม ไหล่ของผมถูกโอบเอาไว้หลวมๆ

     

                    ภาพโหดร้ายอะไร....

     

                    “อะ... อ๊ากกกกกกกกก!!!!!!!ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงร้องโหนหวนดังขึ้น เสียงของคนที่เอาปืนจ่อหัวผมเมื่อกี้

     

                    มันเกิดอะไรขึ้น....

     

                    “เอาเข้าไปไอ้เด็กนี่! ฉันบอกกี่ทีกี่หนว่าให้จัดการมันแบบเงียบๆทีเดียวจบ ไม่ต้องทรมานให้มันแหกปากร้องก่อนตายเนี่ย มันไม่เคยซึมซับเข้าไปในสมองนายเลยใช่มั้ยห๊ะฟุริ!!!เสียงบ่นดังยาวเหยียด แต่คนโดนบ่นกับเงียบกริบ

     

                    เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้บอกว่าตายงั้นหรอ คนๆนั้นตายแล้วงั้นหรอ!!!

     

                    “เอาไงกะเด็กนี่!

     

                    เด็กนี่... หมายถึงผมหรอ?

     

                    “KISE... Mission Complete!”

     

                    ภารกิจอะไรสำเร็จ... แล้วคิเสะคือใคร

     

                    บรื้น!!!

                    เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นที่ใกล้ๆ แต่ผมไม่รู้ที่ไหน ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเลย ได้แต่นั่งปิดปากเงียบอยู่แบบนี้

     

                    “กลับกันเหอะโคตรหิวเลย... อ้าว! แล้วนี่ใครเนี่ย!เสียงที่ดูจะสดใสผิดจากอีกคนดังขึ้น

     

                    “ขอยาสลบหน่อย!ผู้ชายที่โอบผมอยู่สั่งเสียงเรียบ

     

                    ยาสลบงั้นหรอ... จะเอามาทำไม จะทำอะไรผมเนี่ย!!

     

                    “พวกคุณเป็นใคร!!!ผมถามอย่างเหลืออดที่ต้องนั่งฟังเงียบๆ ไม่มีใครคิดจะตอบ ได้แต่เสียงฝนที่ตกกระหน่ำกลับมา

     

                    โดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวร่างของผมโดนผลักจนนอนราบลงไปกับพื้นซีเมนต์เย็นๆ ทั้งแขนและขาโดนตึงเอาไว้จนขยับไม่ได้ ความเจ็บเหมือนโดนฉีดยาแล่นปรี๊ดขึ้นมาจากข้อพับแขนก่อนที่มันจะหายไป

     

                    “หลับไปสักพักนะ!

                    น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นแผ่วเบา สมองของผมเริ่มจะเบลอขึ้นมาจนแทบจะไม่รับรู้อะไร สติสะตังไม่อยู่กับตัว ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป

     

     

     

     


    TBC.......


    -------------------------------------------------------------

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×