ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Love PaRalleL

    ลำดับตอนที่ #11 : :PaRalleL 10: [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 58


     

     

     

     

    CHAPTER 10

     

                    ไอ้เด็กเวร!’

     

                    ...พ่อ

     

                    แกไม่ใช่ลูกฉัน

     

                    ...แม่

     

                    แกมันลูกปีศาจ

     

                    ...ไม่ใช่นะ

     

                    ไอ้เด็กปีศาจ!!!’

     

                    ...ไม่ใช่!!!

    .

    .

    .

    .

     

                    เฮือก..!

                    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงสลัวๆจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาตามม่านที่ปิดไม่สนิท เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาตามใบหน้า แข้งขาดูเหมือนจะอ่อนล้าจนแทบจะขยับไม่ได้ ตามร่างกายก็ปวดระบมไปหมดเลยได้แต่นอนมองโคมไฟกับเพดานสีขาวสะอาดนิ่งๆ

     

                    ...เดี๋ยวนะ!?

     

                    พอลองมองดีๆ ห้องๆนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสะอาดซะส่วนใหญ่ ข้าวของถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆก็ดูมีราคามากโดยเฉพาะโซฟาหรูสีแดงสดที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆของอะไรบางอย่างลอยฟุ้งอยู่เต็มห้อง

     

                    ...ไม่ใช่ ...นี่ไม่ใช่ห้องของผม!?

     

                    “ที่ไหน...?” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างไม่เข้าใจ สายตากวาดมองทั่วทุกมุมห้องจนแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ที่ๆคุ้นเคยแน่ๆ จึงพยายามจะดันตัวลุกขึ้น แต่พอเผลอออกแรงหน่อยความเจ็บที่หัวไหล่ก็พลันตีขึ้นมาจนกัดฟันข่มเอาไว้

     

                    แต่การที่ผมมานอนอยู่ในห้องของใครก็ไม่รู้ มันไม่ได้ทำให้ผมตกใจได้เท่าไอ้สิ่งที่มันคล้องอยู่กับข้อมือทั้งสองข้างของผม...

     

                    ...กุญแจมือ?

     

                    “บ้าอะไรวะ!” ผมสบถด้วยความหัวเสีย ความระแวงเริ่มเข้ามาทีละนิดๆ ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตัวเองมานอนแหมะอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วใครเป็นคนพามา ความไม่รู้มันทำให้หงุดหงิดซะจนอยากจะบ้า

     

                    แอ็ด!

                    ขณะที่ผมกำลังนอนฟึดฟัดด้วยความหงุดหงิดอยู่บนเตียง เสียงประตูที่อยู่ไม่ไกลมากก็ดังขึ้น ตามมาด้วยร่างสมส่วนที่ยืนคาประตูอยู่ แสงไฟจากด้านนอกมันจ้าซะจนทำให้ต้องหรี่ตามอง แต่ยังไม่ทันจะได้สังเกตอะไรคนๆนั้นก็ปิดประตูลง ห้องทั้งห้องจึงกลับมาสู่ความมืดสลัวอีกครั้ง

     

                    ตื่นแล้วหรอ!” เสียงนุ่นๆเอ่ยขึ้นเรียบๆ นัยน์ตาสองสีของคนที่กำลังเดินเข้ามาหาทอประกายวูบไหวในเงามืดก่อนจะมาหยุดลงที่ข้างเตียง

     

                    ถอดกุญแจมือให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ผมพูดเสียงแข็งแสดงออกชัดเจนว่าไม่เป็นมิตร สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดของห้องเลื่อนมองสำรวจร่างที่อยู่ข้างๆอย่างหวาดระแวง

     

                    ร่างสมส่วนดูจะสูงกว่าผมแค่ไม่กี่เซน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำ หน้าตาก็จัดอยู่ในระดับที่เรียกว่าดูดี แถมไอ้ผมสีแดงกับนัยน์ตาสองสีนั่นก็ดูจะทำให้คนๆนี้โดดเด่นไม่น้อยเลย!

     

                    ...น่าหมั่นไส้ชะมัด!

     

                    “นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน...!” พูดเรียบๆไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆผม ความกดดันแปลกๆที่อยู่รอบตัวคนๆนี้มันทำให้อึดอัดจนต้องเขยิบหนีถึงแม้จะเจ็บแผลแค่ไหนก็เถอะ

     

                    อย่าพึ่งหนีสิ...!” ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสนุกก่อนที่มือจะคว้าต้นแขนของผมแล้วลากกลับมาที่เดิมอย่างไม่ปราณี ส่วนผมก็ได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บระบมเอาไว้หันไปถลึงตาใส่ร่างที่อยู่ข้างๆด้วยความไม่พอใจแบบถึงที่สุด

     

                    แววตาก้าวร้าวจังนะ... ฟุริฮาตะ โคคิ!”

                   

                    ผมพยายามสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือของอีกฝ่าย แต่รู้สึกว่ายิ่งดิ้นแรงเท่าไรก็ยิ่งบีบรัดแรงขึ้นเท่านั้น แถมสายตาที่มองมามันเหมือนมองมดปลวกที่ต่ำต่อยไม่มีผิด

     

                    รู้ชื่อของฉันได้ยังไง!”

     

                    แค่ข้อมูลของคนๆเดียวมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันหรอกน่า

     

                    ไม่จริงน่า... ตัวตนของผมในโลกเบื้องหน้าถูกลบล้างหมดแล้วนี่ แถมข้อมูลของนักฆ่าถือเป็นความลับระดับองค์กรเลยนะ... ข้อมูลระดับนั้นทำไมคนๆนี้ถึงรู้ได้ล่ะ?

     

                    “นายเป็นใครกันแน่!” ผมจ้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายยกยิ้มก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงมาหาผมในระยะประชิด ลมหายใจอุ่นๆที่รดลงบนใบหน้าทำให้ผมต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น เสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจดังเข้ามาในหูของผมจนเผลอกำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิดที่ตัวเองต้องมาอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้

     

                    ...ถ้าหลุดไปได้พ่อจะสับไม่เลี้ยงเลย!

     

                    ฉันชื่ออาคาชิ เซย์จูโร่... เป็นคนที่พวกนายเรียกว่าศัตรูไงล่ะ!” เสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหู แถมไอ้บ้านี่ก็แกล้งเป่าลมใส่ต้นคอมันทำให้ผมขนลุกจนอยากจะเอามีดปักหัวมันซะเดี๋ยวนี้เลย

     

                    ...แต่อาคาชิ เซย์จูโร่ ...ชื่อมันคุ้นๆหูยังไงชอบกล?

     

                    หมายความว่าไง?” ผมทำหน้าแหยแล้วหดคอหนี มันดูจะสนุกไม่น้อยเลยถ้าฟังจากเสียงหัวเราะชวนสยองที่ดังมาเป็นระยะๆนั่นน่ะ

     

     

                    ฉันเป็นผู้นำของวาสท์เนซ หนึ่งในสามมหาอำนาจของโลกเบื้องหลัง... คู่ปรับของมิโดริมะไง!” คำตอบของคนตรงหน้าทำให้ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ นี่ผมดวงซวยถึงขนาดมาเจอตัวพ่อเลยหรอเนี่ย ก็ว่าอยู่ทำไมชื่อมันคุ้นๆ งั้นการที่ผมมาอยู่ที่นี่มันก็เท่ากับเป็นตัวประกันไม่ใช่หรอ

     

                    รู้สึกจะรู้สถานะตัวเองแล้วนะ... คุณเชลย!” คนตรงหน้ายกยิ้มอย่างพอใจ

     

                    โดนจับโดยสมบรูณ์แล้วสินะ... จนถึงตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าอาคาชิรู้ข้อมูลของผมได้ยังไง ถึงจะพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกก็เถอะนะ แต่ดูจากข่าวลือต่างๆมากมายเกี่ยวกับความแข็งแกร่งไม่ปราณีแถมบ้าอำนาจนั่นอีก การจะหนีจากคนๆนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังโดนจับหั่นตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากห้องแน่ๆ

     

                    แต่ว่านะ...

     

                    ดูเหมือนนายจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่างนะ!” ผมยกยิ้มก่อนจะหันหน้ามาเผชิญนัยน์ตาสองสีนั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่คุยกัน

     

                    พอเจอกันตรงๆแบบนี้มันยิ่งกดดันแหะ ตาสองสีของอาคาชิก็ดูจะมีอำนาจมากซะจนผมแทบจะทนไม่ได้ มันมากกว่ามิโดริมะซะอีก... คนที่แทบจะตายด้านกับทุกอย่างแม้กระทั่งความตายแบบผมกำลังสั่นไหว... ผมกำลังกลัว!

     

                    อาคาชินิ่งเฉยไม่ได้ปริปากพูดอะไร แค่มองผมนิ่งๆเหมือนกำลังรอให้ผมพูดต่อ

     

                    ไอ้หมอนั่นน่ะมันไม่ได้สนใจอะไรฉันแม้แต่นิดเดียว ถึงฉันจะโดนฆ่าสักกี่ร้อยรอบมันก็ไม่สะทกสะท้านหรอก... นายคิดผิดแล้วที่จับฉันมาเพราะมันเปล่าประโยชน์!” อาคาชิรู้ดีว่าไอ้หมอนั่นที่ผมพูดหมายถึงใคร แต่ก็เลือกที่จะเงียบจนบรรยากาศในห้องมันยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปใหญ่

     

                    นายนี่มันซื่อจริงๆเลยนะโคคิ!” คนตรงหน้ายกยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะผละออกไปห่างๆ ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย อยากจะถามแต่ก็คงไม่ได้คำตอบแน่ๆ

     

                    เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนานโคคิ... อย่าดื้อให้มันมากนักล่ะ!” นิ้วเรียวจิ้มแก้มผมทีสองทีก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตูห้อง

     

                    ราตรสวัสดิ์นะแมวน้อย!” พูดจบก็เปิดประตูออกไป

     

                    ...แมวน้อยบ้าอะไรของแก?

     

                    ผมได้แต่นอนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด เหลือบมองนาฬิกาที่อยู่บนผนังก็พบว่ามันตีสามกว่าๆแล้ว แต่ไอ้ตีสามเนี่ย มันตีสามของวันไหนล่ะ ลองจับๆคล่ำๆไปตามร่างกายเพื่อหาโทรศัพท์ของตัวเอง แต่รู้สึกว่าตัวมันโล่งแปลกๆ พอลองมองสำรวจดีๆก็ถึงกับตาโต

     

                    เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่ตัวที่ใส่ออกจากบ้าน แต่มันเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ ปลายแขนเสื้อเลยออกมานิดหน่อย ที่สำคัญคือช่วงล่างไม่ได้ใส่อะไรเลย แต่ยังดีที่เสื้อมันยาวจนเกือบถึงเข่าเลยช่วยปกปิดอะไรต่อมิอะไรไว้ได้ แต่ประเด็นหลักๆเลยคือใครเป็นคนเปลี่ยนให้

     

                    ...หวังว่าคงจะไม่ใช่ไอ้หัวแดงนั่นนะ!

     

                    สะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆนานาออกไปก่อนจะค่อยๆดึงผ้าห่มผืนหนาที่ลงไปกองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาห่มอย่างยากลำบาก

     

                    ...ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเจอหน้าไอ้หัวแดงจอมเผด็จการเลยแหะ

                   

                    

    ………………………………………………………………

     

     

                    ร่างสมส่วนเจ้าของเรือนผมสีแดงเดินมาหยุดอยู่ที่โซฟาตัวยาวก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง สายตาทอดมองไปยังกระจกใสที่ทำหน้าที่กั้นตัวเขาเอาไว้กับอากาศเย็นเยียบของฤดูหนาวยามค่ำคืน นัยน์ตาสองสีจับจ้องไปยังแสงสีของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลเบื้องล่างอย่างเงียบเชียบ ภาพความทรงจำต่างๆมากมายไหลเวียนอยู่ในหัวแต่ถึงกระนั้นใบหน้าคมก็ยังคงสงบนิ่ง  ไหล่กว้างผึ่งผายอย่างคนเป็นผู้นำ

     

                    ท่ามกลางความเงียบงันที่มีเพียงเสียงลมหายใจ ร่างสูงของชายหนุ่มสองคนก็เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวใกล้ๆกัน

                   

                    “เด็กนั่นเป็นไงบ้าง?”

                   

                    เป็นหนุ่มผิวเข้มที่เปิดปากถามขึ้น ก่อนจะยกมือบิดขี้เกียจด้วยความเบื่อหน่าย เหลือบมองผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ตำแหน่งสูงกว่าอย่างไม่เกรงกลัว  เนื่องจากพวงสถานะเพื่อนสมัยเด็กติดมาด้วยอีกอย่างนั่นเอง

     

                    “ฟื้นแล้วล่ะ... แล้วทางนายเป็นยังไงบ้างไดกิ?”  อาคาชิถามกลับแต่สายตายังไม่ละไปจากทัศนียภาพเบื้องหน้า

     

                    “ถามฉันดีกว่ามั้ง ไอ้บ้านี่ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง” หนุ่มคิ้วแฉกแย้งขึ้นมาพลางกอดอกจ้องหน้าเพื่อนร่วมทีมอย่างเบื่อหน่ายสุดขีด จนหนุ่มผิวเข้มที่รับรู้ถึงนัยน์ตาสองสีที่ขยับเลื่อนมาตกที่ตนเองต้องรีบแก้ตัวพัลวัน

     

                    “แกไม่เห็นฉันทำเองต่างหากล่ะ อย่ามาพูดมั่วๆนะเฟ้ยบากะกามิ!!!

     

                    “แล้วแกไปมุดหัวอยู่ที่ไหนล่ะฟระ ปล่อยให้ฉันเคลียปัญหาอยู่ในดงศัตรูคนเดียวน่ะห๊า!!!

     

                    และอีกสารพัดคำมากมายที่ร่างสูงทั้งสองคนจะยกมาถกเถียงกัน ซึ่งมันก็กลายเป็นภาพที่ชินตาสำหรับอาคาชิ เซย์จูโร่ไปเสียแล้ว และถึงแม้ทั้งสองคนจะชอบทะเลาะกันบ้างแต่ก็ถือว่าเป็นทีมระดับแนวหน้าขององค์กรเลยก็ว่าได้ ทั้งความสามารถเชิงรุกหรือป้องกันถือว่ายอดเยี่ยมมาก  แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ คนเป็นหัวหน้าของทีมนี้ก็คงจะปวดหัวกับการห้ามทัพของทั้งสองคนหน่อยล่ะนะ

     

                    “เก็บปากไว้กินข้าวไปไอ้มืดเอ้ย!!!

     

                    “พูดแบบนี้อยากเพิ่มแฉกให้คิ้วใช่มั้ยวะ!!!

     

                    “ไทกะ ไดกิ...”

     

                    เสียงเย็นๆที่ลอยออกมาจากร่างของผู้ที่เรียกได้ว่านั่งอยู่กลางสมรภูมิน้ำลายดังขึ้น ราวกับมีสวิทซ์อะไรสักอย่างเด้งลง สองริมฝีปากที่พ่นคำด่าใส่กันปิดฉับโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพูดถึงรังสีกดดันแปลกๆที่แผ่ออกมาจนเสียวสันหลัง ทำให้ทั้งคู่ค่อยๆแยกย้ายกันไปนั่งที่ตัวเองเงียบๆ

     

                    “อ่ะแฮ่มๆ... ก็นั่นแหละ ถึงจะมีเขม่นกันบ้างแต่ก็โอเคแล้ว ทั้งวอลันเทียร์และโครนอสตกลงจะไม่ก้าวก่ายเรา แล้วกลับไปอยู่ภายใต้สัญญาตามเดิม” คากามิ ไทกะอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง และ รายงานไปตามข้อมูลที่ได้ไปเจรจามา

     

                    ในโลกเบื้องหลังถึงจะยุ่งเหยิงไปสักหน่อยเพราะอำนาจของกฎหมายในโลกเบื้องหน้าไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายได้ แต่ก็ยังมีหนึ่งอย่างซึ่งสามมหาอำนาจที่ถือว่าเป็นเสาหลักของโลกเบื้องหลังยึดถืออยู่นั่นก็คือสัญญา สัญญาที่ว่าด้วยการไม่เกี่ยวข้องหรือจ้องเล่นงานอีกฝ่ายในพังพินาศ เพราะถ้าเกิดสามมหาอำนาจมาแกร่งแย่งหรือสู้กันเอง ระบบที่อุตส่าห์จูนให้เข้าที่เข้าทางมีหวังต้องล่มไม่เป็นท่า ดีไม่ดีโดนกวาดล้างโดยรัฐบาลของโลกเบื้องหน้าแน่ๆ แต่ถึงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะญาติดีกันได้หรอกนะ

     

                    และเพราะอะไรโลกแห่งเงาอย่างโลกเบื้อหลังยังคงอยู่ได้น่ะหรอ คำตอบง่ายๆ ก็เพราะสามมหาอำอาจมีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องไปถึงโลกเบื้องหน้ายังไงล่ะไม่ว่าเรื่องอะไรหรือแม้แต่คดีไหนที่มันเกินความสามารถของรัฐบาลโลก มันก็จะถูกโยนมาให้ทางนี้จัดการแทน  จบงานก็ได้ค่าตอบแทน ซึ่งทางนั้นเองก็ให้เกียรติและยำเกรงบอสใหญ่ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วในโลกเบื้องหน้าก็ถือว่าระดับสูงพอสมควร มันจึงไม่แปลกที่โลกแห่งเงานี้จะคงอยู่โดยที่ไม่มีอะไรมากระทบได้ ถึงมันจะมีบางคนกลุ่มที่ระแคะระคายเรื่องนี้ก็ตามที

     

                    คากามิถอนหายใจเบาๆก่อนจะเหลือบมองเสี้ยวหน้าบอสใหญ่ของตัวเองแล้วเอ่ยปาก

     

                    “แต่ว่านะ... ที่วอลันเทียร์ยอมไม่ยุ่งกับเรามันก็เพราะพวกนั้นยังไม่รู้ว่าฟุริฮาตะอยู่กับเรา และถ้าพวกนั้นรู้... ฉันเองก็รับประกันไม่ได้ว่าพวกนั้นจะยอมอยู่เฉยๆ”

     

                    คนฟังนิ่งเงียบ ตรงกันข้ามกับคนพูดที่ดูจะมีสีหน้ากังวลไม่น้อย  เขาไม่รู้ว่าคนๆนี้คิดอะไรอยู่ จุดประสงค์ที่พาตัวฟุริฮาตะมาคืออะไร เชลยหรอ? ก็ไม่น่าจะใช่ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย แล้วอาคาชิเองก็ไม่เคยปริปากพูดตั้งแต่พาตัวฟุริฮาตะมาเมื่อคืนวาน เขาตกใจแทบจะจับตัวผอมๆของคนที่อยู่ในอ้อมแขนของบอสใหญ่เหวี่ยงกลับไปวอลันเทียร์ซะให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อทราบว่าเป็นนักฆ่าของฝ่ายคู่อริ ค้านหัวชนฝา แต่ก็นั่นแหละ จะให้ชี้หน้าสั่งว่าเอาตัวฟุริฮาตะไปคืนซะ มีหวังโดนเชือดทิ้งพอดี ใครมันจะไปสั่งบอสใหญ่ได้ล่ะ ถึงจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กก็เถอะ

     

                    “แกก็อย่าไปตื่นเต้นแทนเขาสิไอ้โง่ เจ้าตัวยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนแล้วแกจะไปห่วงอะไร”

     

                    ก็คงไม่ต้องบอกว่าเป็นเสียงของใคร หนุ่มผิวเข้มลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที ทำเป็นเบลอๆมองไม่เห็นสายตาที่จ้องเขม็งมาที่ตนอย่างเอาเรื่องแล้วเดินไปพิงตัวที่กระจกใสบานใหญ่  นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องลงไปยังแสงสีเบื้องล่าง กวาดสายตาไปทั่วราวกับกำลังหาอะไรสักอย่าง จนกระทั่งรอยยิ้มจางๆยกขึ้นที่มุมปากก่อนจะหันกลับไปมองหน้าหนุ่มผมแดง

     

                    “จะเหตุผลอะไรก็ช่างนาย แต่อย่าให้มันมากระทบชีวิตของฉันก็พอละ”  พูดจบก็ผละตัวออกมา ขายาวๆพาร่างมาหยุดอยู่ที่ประตูแล้วเหลือบกลับไปมอง

     

                    “มีอะไรก็เรียกแล้วกัน ฉันไปละ” โบกมืออย่าไม่ใส่ใจแล้วเปิดประตูเดินจากไปทิ้งไว้แค่ความเงียบงันที่เบื้องหลัง

     

                    “...หมอนั่นว่าไงบ้าง?” คากามิเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่รายล้อมมาเกือบสิบนาที อาคาชิยกยิ้มน้อยๆนัยน์ตาสองสีที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาลากไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องที่พึ่งจะก้าวออกมาเมื่อชั่วโมงก่อน

     

                    “แน่นอนว่าต้องต่อต้านอยู่แล้ว... แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ”

     

                    แววตาวูบไหวเป็นประกายอย่างน่าขนลุกจนแม้แต่คนซื่อบื้อด้านความรู้สึกอย่างคากามิ ไทกะยังสังเกตได้ เหลือบมองตามสายตาของอาคาชิตรงไปที่ประตูสีขาวนวลพลางคิดในใจว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่ แถมมีแววจะยุ่งยากกว่าเดิมเสียด้วย

     

                    คนอย่างอาคาชิ เซย์จูโร่ จากประสบการณ์ที่เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นคนจริงจัง ทุ่มเท เต็มที่กับงานหรืออะไรก็ตาม แต่ก็เป็นคนที่ชอบเล่นสนุกคนหนึ่ง ซึ่งมันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าสิ่งที่คนๆนี้ชอบเล่นไม่ใช่ มนุษย์ ยิ่งเป็นมนุษย์ที่ต่อต้านอาคาชิทุกทางแล้วยิ่งสนุกเข้าไปอีก สนุกกับการไล่ต้อน สนุกกับการที่เห็นอีกคนดิ้นรนหาวิธีเอาตัวรอดการเงื้อมือของตัวเอง ซึ่งฟุริฮาตะก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

     

                    คากามิคนนี้จะไม่เครียดเลยถ้าฟุริฮาตะ โคคิ ไม่ใช่นักฆ่ามีอันดับของวอลันเทียร์ แบบนี้มันยิ่งกว่ากระตุกหนวดเสือซะอีก

     

                    “อย่าหนักมือเกินล่ะ อย่างน้อยหมอนั่นก็เป็นคนของฝั่งนั้น” ถอนหายใจทิ้งไว้เฮือกหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตู อาคาชิไม่ได้เอ่ยตอบอะไรแค่หยิบหนังสือเล่มหนาจากโต๊ะกระจกด้านหน้ามาเปิดอ่านเงียบๆ

     

                    “ไปนะ”

     

                    “อ่า...” อาคาชิทำเพียงขานรับในลำคอเบาๆ ก่อนที่เสียงปิดประตูจะตามมา

     

                   

     

                    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าหนังสือที่อยู่ตรงหน้า เนื้อหาในนั้นแทบไม่ได้เข้าหัวอาคาชิเลยแม้แต่น้อย สมองคิดวนเวียนแต่เรื่องของเชลยที่จับมาได้เมื่อวาน แต่จะเรียกว่าจับก็ไม่ได้ เพราะความจริงแล้วแค่บังเอิญเดินไปเจอแล้วเก็บกลับมาเท่านั้น

     

                    มันถือว่าเป็นเรื่องเกินความคาดหมายที่ในชีวิตนี้แทบไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น กะอีกแค่อารมณ์เบื่อๆบอสใหญ่แห่งวาซเนสท์เลยหาอะไรทำฆ่าเวลาอย่างการไปลุยภาคสนามเอง ก็ไม่คิดว่าจะได้หมาน้อยติดไม้ติดมือมาเป็นของฝากแบบนี้  อาคาชิเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าฟุริฮาตะ โคคิเป็นใคร แต่เพราะรู้ถึงยิ่งอยากได้

     

                    ปราบพยศนักฆ่าตัวน้อยจอมอวดดีก็น่าสนุกไม่ใช่น้อย...

     

                    รอยยิ้มร้ายกระตุกที่ริมฝีปาก หนังสือเล่มหนาถูกปิดลงและนำกลับไปวางไว้ที่เดิม ก่อนเจ้าของเรือนผมสีแดงจะลุกขึ้นสาวเท้าเข้าไปใกล้บานประตูสีขาวนวล ฝ่ามือแกร่งจับลูกบิดแล้วผลักเข้าไปช้าๆ

     

                    การเผชิญหน้ากับหมาน้อยจอมพยศจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง...

     

                    “นอนไม่หลับหรอ... โคคิ” ร่างสมส่วนเอนกายพิงขอบประตู สองแขนยกขึ้นกอดอกมองร่างที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงพลางส่งสายตาก้าวร้าวมาให้ไม่หยุด  นี่ถ้าพุ่งมาจับเขาหักคอได้คงทำไปนานแล้ว

                   

                    “ปล่อยฉัน” เพียงสองคำที่ออกจากปาก อาคาชิรับรู้ว่าฟุริฮาตะหมายถึงกุญแจมือที่เขาเป็นคนใส่ให้ แต่ก็ทำเป็นยกยิ้มมุมปากไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้นจนอีกฝ่ายแทบจะทนไม่ไหว

     

                    “ไม่ได้ยินรึไงห๊ะ!!!” เสียงตวาดลั่นไม่ได้ทำให้อาคาชิมีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย สองขาก้าวเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียง ซึ่งอีกคนก็ขยับถอยห่างโดยอัตโนมัติ แววตาไม่ไว้ใจแบบสุดๆจ้องมองอาคาชิไม่วางตา

     

                    “จะให้ปล่อย แล้วจะเขยิบหนีทำไม?”  อาคาชิถามนิ่งๆ ไม่ได้คุกคาม ไม่ได้ขึ้นเสียง เพียงจับจ้องไปที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นอย่างเปิดเผยจนฟุริฮาตะถึงกับดึงหมอนใบใหญ่ข้างๆตัวมากอดไว้ราวกับเป็นเกราะกำบัง ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวแบบนั้นมันยิ่งทำให้อาคาชิยกยิ้มร้าย

     

                    เหมือนสัตว์เล็กๆที่กำลังป้องกันตัว ถึงแม้ที่ทำมันจะงี่เง่าก็เถอะ แต่มันก็... น่าสนใจ

     

                    “นายคิดว่าหมอนใบเดียวมันจะทำอะไรได้หรอ?” อาคาชิเอ่ย และเป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายชักสีหน้าใส่แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยหมอนใบใหญ่นั่น

     

                    “ต้องการอะไร?” ฟุริฮาตะทำเสียงแข็งถามกลับ

     

                    “ถ้าฉันบอก นายจะให้ได้มั้ยล่ะ?” อาคาชิยกยิ้มร้ายจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายที่ถึงแม้จะแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไปด้วยความลังเล ดูก็รู้ว่ากำลังทะเลาะกับตัวเองในใจว่าควรจะตอบแบบไหน ซึ่งอาคาชิเองก็ไม่ใช่พวกจะมานั่งรอคำตอบจากใครหรอกนะ ถ้าเขาจะเอาซะอย่าง ไม่ว่าอะไรก็ขวางไม่ได้

     

                    อาคาชิอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอมอากาศเขยิบพรวดเดียวก็ถึงตัวฟุริฮาตะอย่างง่ายดาย ซึ่งอีกคนจะยอมให้จับง่ายๆก็คงไม่ใช่นักฆ่ามีอันดับน่ะสิ ร่างเพรียวบางขยับหลบได้แบบฉิวเฉียด รีบยันตัวลุกขึ้นเตรียมพุ่งตัวไปที่ประตู

     

                    แต่... คงจะลืมไปว่าแผลที่หัวไหล่ยังไม่หายบวกกับเตียงที่มันอาจจะนุ่มเกินไปเลยเสียหลังหล่นยวบหน้าทิ่มผืนเตียงอย่างจังเบอร์ ไอ้คั้นจะลุกก็ลำบากเหลือเกินเพราะกุญแจมือที่พ้วงไว้  แล้วพอตั้งท่าจะลุกได้คนด้านหลังดันตามมาจับแขนกดไว้กับเตียงจนขยับไม่ได้อีก ตอนนี้เลยกลายเป็นสภาพอเน็จอนาจสำหรับฟุริฮาตะมากมาย

     

                    “ปล่อยนะเว้ย!!!

     

                    ดิ้นรนหาทางไป แต่พอหนีไม่รอดก็โวยวายกระฟัดกระเฟียด ขาขาวๆตะเกียดตะกายหาอิสรภาพ แต่หารู้ไม่ว่าการทำแบบนั้นมันล่อแหลมขนาดไหน ด้วยสภาพที่ฟุริฮาตะนอนคว่ำหน้ากับผืนเตียงโดยมีอาคาชิคร่อมทับอยู่ด้านบน แล้วยิ่งฟุริฮาตะดิ้น ทุกเมื่อที่ออกแรงเสื้อที่ดูเหมือนจะยาวจนถึงเข่ามันจึงร่นขึ้นมาจนถึงโคนขาเนียน แล้วดูเหมือนมันจะร่นขึ้นไปอีกถ้าเจ้าตัวไม่ยอมหยุดดิ้นเสียที

     

                    “ถ้าไม่หยุดดิ้น... ก้นเนียนๆของนายได้ออกมาชมโลกภายนอกแน่ หึ!” อาคาชิก้มลงกระซิบที่ข้างหู และเมื่ออีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว หน้าก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งความโกรธทั้งความอับอายมันผสมปนเปกันมั่วไปหมด

     

                    “ก็ปล่อยฉันสักทีสิ!!!” ถึงจะยอมหยุดดิ้น แต่ปากก็ยังไม่วายตวาดใส่

     

                    “............” อาคาชิเงียบ ปิดปากเงียบอยู่นานสองนานจนอีกคนเริ่มอึดอัดและออกแรงขยับตัวยุกยิกอยู่ใต้ร่าง ก็คงจะเมื่อยนั่นแหละอยู่แบบนั้นนานๆ อาคาชิเลยจัดการช้อนมือเข้าที่ใต้รักแร้ของฟุริฮาตะ ออกแรงแค่นิดหน่อยก็ยกตัวเบาๆเหมือนปุยนุ่นลอยหวือมาทิ้งลงกลางเตียง

     

                    “ทำบ้าอะไรของนา...เฮ้ย!!!” พูดยังไม่ทันจะจบประโยคอาคาชิก็ตามมากดร่างอีกคนไว้กับเตียงแล้วทิ้งตัวลงข้างๆ ก่อนลำแขนแกร่งจะตวัดรวบเอวบางๆของฟุริฮาตะเอาไว้แล้วดึงเข้ามากอด และฟุริฮาตะก็ยังเป็นฟุริฮาตะ ออกแรงผลักอีกคนอย่างแรง ชักดิ้นชักงอแต่อาคาชิก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ พอออกแรงจนเหนื่อยก็โวยวายใส่อีกตามเคย

     

                    “นอนไปเงียบๆ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก” พูดเบาๆ ก่อนจะฝังปลายจมูกโด่งเข้ากับกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มเหมือนขนแมวตรงหน้า  อีกคนก็ต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด

     

                    “แค่เปลี่ยนหมอนข้างแค่นั้น”

     

                    “ฉันไม่ใช่หมอนข้างของนายนะเฟร้ย!!!” ฟุริฮาตะพยายามใช้มือดันใบหน้าที่คลอเคลียอยู่กับผมตัวเองออกแต่ก็ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร แถมยิ่งออกแรงก็ยิ่งเหนื่อย แผลก็เจ็บ ไม่รู้ป่านนี้แผลฉีกไปแล้วรึป่าว จนใจที่จะดิ้นรนเลยได้แต่นอนหอบแฮ่กๆปล่อยให้หนุ่มผมแดงกอดอยู่แบบนั้น

     

                    “เด็กดี”

     

                    “ชิ!

     

                    อาคาชิได้แต่ยกยิ้มที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น พอใจกับการที่ฟุริฮาตะยอมนอนเฉยๆได้เสียที จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดถึงได้แน่นิ่งไป ลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอบ่งบอกว่าหมาน้อยของเขาหลับไปแล้ว

     

                    ถึงจะไม่ไว้ใจหรือหวาดระแวงสักแค่ไหนแต่ก็แพ้ความง่วงอยู่ดี เป็นหมาน้อยที่ขี้เซาใช่เล่นเลย หลังจากนี้คงต้องรบกันอีกหลายรอบแน่ๆ คงจะมีเรื่องให้ปวดหัวตามมามากมาย ฟุริฮาตะก็ดูจะเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์เสียด้วย แต่ที่แน่ๆคือ หนึ่งวันที่ผ่านเข้ามาจากนี้ของอาคาชิ เซย์จูโร่จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

     

                    “ฝันดีนะโคคิ”

     

     

    TBC.................

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ไรท์กลับมาแล้ว เอ้าเฮ!!!!!!!!!!!!!!!

    กลับมาพร้อมอาคาฟุริที่เล่นสงครามประสาทใส่กัน55555555

    ขอโทษที่หายไปนานนะคร้าบ ประมาณครึ่งปีได้ ซึ่งมันนานโคตรร!!!! 

    ต้องขอประทานอภัยไว้ที่นี้ หม้อกะละมังร้องเท้าไม่ต้องส่งมานะครับ บ้านผมมีเยอะแล้ว555

     มาแบบเบลอๆมาก ไงก็เม้นๆขอกำลังใจกันหน่อยนะครับ

    หายไปนานแล้วกลับมา บางทีมันก็คิดถึงเม้นน่ะครับ

    อ่านไม่เม้นเด่ะน้อยใจหนีไปบวชนะครับ55555           



     

     

    T H E M E
    ◈ B L & W H ◈
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×