คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 34 หยุดพัก...
ความเงียบที่เคยมี ถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นน้อยๆ เธอพบเค้าแล้ว ในที่สุดเธอก็ได้เห็นหน้าเค้าแล้ว...
ชายหนุ่มยังคงกอดปลอบคนในอ้อมแขนไม่ห่าง เค้ารู้สึกได้ถึงร่างบางที่สั่นน้อยๆตามแรงสะอื้นนั้น มือหนาพยายามลูบศีรษะเบาๆเพื่อปลอบประโลม และหวังว่าน้ำตาใสๆนั้นจะเหือดแห้งหมดไปเสียที
ทิฟฟานีเริ่มได้สติเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นี่เค้ากำลังกอดเธอ ปลอบโยนเธออยู่ใช่ไหม ไม่นานเสียงสะอื้นก็เริ่มเงียบหาย หญิงสาวค่อยๆผละออกมาจากอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนั้น เธอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง พยายามจะห้ามไม่ให้หยดน้ำตาไหลออกมาอีก แต่ดูว่าเหมือนมันจะไม่ยอมเชื่อฟังเธอเลย ยุนโฮมองคนข้างๆสักพักก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง
“ชั้นไม่เป็นไร...” ชายหนุ่มกล่าวเมื่อทิฟฟานีพยายามจะช่วยประคอง เป็นเพราะเค้าไม่อยากให้เธอเห็นด้านที่อ่อนแอหรือน่าสงสาร ไม่อยากให้เห็นเลย.......
ชายหนุ่มนั่งบนเตียงผู้ป่วยที่สูงกว่าเธอเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ซึ่งเธอก็มองมาที่เค้าเช่นเดียวกัน
“พี่........จ...เจ็บ.....ไหมคะ.......” ทิฟฟานีเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก คำแรกที่เธอพูดกับเค้าทำเอาคนที่ได้ฟังแทบทนไม่ไหว ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มใสให้เธออย่างแผ่วเบา หวังว่าจะหยุดมันได้ น้ำตาของเธอมันมากพอแล้ว และเค้าก็ไม่อยากเห็นมันอีก
“ไม่หรอก......ตอนนี้ชั้นหายแล้วนะ” ยุนโฮตอบกลับพร้อมมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น น้ำเสียงเค้าช่างอ่อนโยนกว่าทุกทีที่เคยฟังมา
“จริงๆ.....นะ” หญิงสาวถามซ้ำ น้ำตายังคงไหลมาไม่ยอมหยุด
ยุนโฮเขยิบเข้าไปใกล้คนข้างๆมากขึ้น เค้าใช้มือทั้งสองข้างพยุงใบหน้าของเธอไว้ พร้อมนิ้วโป้งที่ปาดน้ำตาอย่างแผ่วเบาราวกับว่าจะทำให้เธอเจ็บ หญิงสาวจ้องมองใบหน้าที่คิดถึง ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอจะได้เห็นใบหน้าของเค้าชัดเจนเท่าครั้งนี้มาก่อน ในขณะที่ดวงตาสีเข้มนั้นมองลึกเข้าไปในแววตาสั่นๆอย่างสื่อความหมาย
“จริงสิ.....” ยุนโฮเอ่ยถ้อยคำนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะตกใจหนีหายไป ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวหลายต่อหลายครั้ง สัมผัสอันอ่อนโยนและแววตาห่วงใยคงทำให้เธอรู้สึกได้
“ชั้นเจอยาที่วิเศษที่สุดแล้วละ.........”
..............
หญิงสาวนอกห้องเดินตามชายหนุ่มร่างสูง ทั้งคู่เดินผ่านบอร์ดิการ์ดตรงบริเวณทางเดินหลายต่อหลายคน จุนซูเลี้ยวเข้าไปตรงมุมทางเดินโดยมียูริเดินตามไปโดยไม่ปริปาก ในขณะที่แจจุงกำลังคุยธุระบางอย่างกับหัวหน้าคนที่คอยเฝ้าดูความปลอดภัยให้พวกเค้า ทั้งที่สายตากลับมองไปตรงทางเดินไม่ห่าง
“พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง” จุนซูเริ่มคำถาม เมื่อเค้ามาหยุดตรงตำแหน่งที่คิดว่าจะไม่มีใครได้ยิน
“ที่นี่หรอคะ ชั้นกับทิฟก็นั่งเครื่องมา แล้วก็ได้แผนท..”
“ชั้นไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น หมายถึงพวกเธอมาถึงที่นี่ได้ยังไงโดยที่ไม่เป็นปัญหา หายกันมาแบบนี้ไม่วุ่นวายแย่หรอ” ชายหนุ่มพูดทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางที่สุขุมเรียบนิ่งถูกแทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ไม่หรอกคะ พวกเราได้หยุดพักกันช่วงนึง ประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้มั้งคะ แทยอนเค้าไม่ได้บอกพี่หรอกหรอ”
“หรอ...” จุนซูทวนคำ ไร้ซึ่งตอบใดๆ
“คะ ตอนแรกชั้นก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาหรอก ทิฟฟานีต่างหากที่เป็นคนวางแผนจะมาญี่ปุ่น แล้วไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเธอ ชั้นก็เลยได้มาอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน” ยูริอธิบาย
“อ่ออ....” ชายหนุ่มพยักหน้า
“คะ....ตอนแรกชั้นก็คิดว่าแทยอนจะมาหาพี่ด้วย แต่เธอบอกว่าจะกลับไปเยี่ยมครอบครัว ชั้นก็เลยไม่ได้ท้วงถามอะไร แต่......ขอโทษนะคะพี่จุนซู..เอ่อ.....พี่คงไม่ได้ทะเลาะกันหรอก ใช่ไหมคะ” ยูริถามกลับอย่างหวาดๆในสิ่งที่เธออยากรู้มานาน
“เปล่านิ....เธอ...แทยอนเค้า..”
“ชั้นแค่ถามพี่ดูเฉยๆ ดีแล้วละคะ” หญิงสาวยิ้มบางๆ
“ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้ว ชั้นไปหาทิฟก่อนนะคะ”
“อืม ขอบใจนะยูริ....... แต่พี่ว่าเธออย่าเพิ่งเข้าไปเลย” ชายหนุ่มจบประโยคทิ้งไว้ ก่อนจะเดินไปทางฝั่งตรงกันข้าม ยูริครุ่นคิดคำพูดนั้นสักครู่ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก หญิงสาวจึงมุ่งหน้ากลับไปยังห้องพักผู้ป่วยที่เพิ่งออกมา
“เธอจะไปไหน” เสียงแข็งแทรกขึ้น ทำเอาคนที่ถูกถามชะงักฝีก้าว เธอหันไปหาต้นเสียง พบชายหนุ่มหน้าสวยยืมกอดอกพิงพนัง ใบหน้าสวยๆจ้องเขม็งมาทางเธอ สายตาคมมองท่าทีของหญิงสาวอย่างพิจารณา
หญิงสาวมองคนๆนั้นด้วยหางตา เธอทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้และเดินต่อไป ก่อนจะชะงักหลังจากผ่านไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อคนที่พิงพนังอยู่กลับมายืนค้ำหัวปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
ยูริถอนหายใจ เธอหลับตาชั่ววินาทีเพื่อสะกดอารมณ์ ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง
แต่เค้าก็มาขวางเธอไว้อย่างรู้ทัน
“นี่พี่ ทำอย่างนี้มันหมายความว่าไง” ยูริไม่อดทนอีกต่อไป
“ชั้นถามว่าเธอจะไปไหน”
“ก็กลับเข้าไปในห้องนะสิ ถามได้”
“เธอนี่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนะ หรือว่ารู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังชอบสร้างเรื่องวุ่นวาย” ชายหนุ่มประชดประชันในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังทำ แจจุงไม่ยอมปล่อยให้คนตัวยุ่งเข้าไปขัดขวางคนในห้องเด็ดขาด เพราะเค้าหนึ่งในน้อยคนที่คอยเฝ้าดูเรื่องราวของทั่งคู่ตลอดมา มันคงถึงเวลาแล้วที่คนที่ต่างก็มีความรู้สึกดีๆให้กันจะเข้าใจและลงเอยกันได้ด้วยดีเสียที และกว่าจะถึงวันนี้มันก็ทำให้เค้าลุ้นจนตัวโก่งนานพอดู
“พี่หมายความว่ายังไง ชั้นรู้หรือไม่รู้อะไร” หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจสิ่งที่แจจุงพูดออกมา
“ช่างมันเถอะ ถึงเธอจะไม่รู้ มันก็ไม่ใช่ธุระของชั้นที่จะต้องเป็นคนบอก อยู่นิ่งๆข้างนอกนี่แหละ” ชายหนุ่มออกคำสั่ง
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นชั้นยังไม่รู้เลย แล้วทำไมชั้นต้องเชื่อพี่ด้วย”ยูริเถียง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังห้องตรงสุดทางเดินด้วยความรวดเร็ว จนคนที่ยืนขวางอยู่ไม่ทันตั้งตัว
“ยูริ!!” แจจุงตะโกนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ชายหนุ่มวิ่งตามเธอไปทันก่อนที่เธอจะถึงบานประตูสีขาว เค้ารั้งแขนเธอไว้เพื่อหยุดการกระทำนั้น ยูริเซตามแรงดึง ส่งผลให้ตัวเธอปะทะเข้ากับอกกว้าง
“นี่เธอพูดไม่รู้เรื่องรึไง ชั้นบอกให้อยู่เฉยๆ!”
“พี่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งชั้น ปล่อยชั้นนะ!!”
ทั้งสองฉุดกระชากกันไปมาโดยที่ไม่มีใครยอมใคร เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนชายร่างใหญ่สามสี่คนที่เฝ้าบริเวณทางเดินต่างมองหน้ากันไปมา เหมือนกับส่งสัญญาณปรึกษากันลับๆว่าจะเข้าไปช่วยแยกเค้าทั้งสองคนออกจากกันดีหรือไม่
“ทั้งสองคนทำอะไรกันนะ!” สัญญาณดังกล่าวทำให้คนทั้งคู่เงียบเสียง เมื่อบานประตูสีขาวเปิดออก ทิฟฟานีที่กำลังเข็นรถเข็นพาผู้ป่วยในชุดไปรเวทกล่าว เมื่อเห็นภาพคนทั้งสองยื้อยุดกันไปมา
“ไม่มีอะไรหรอกทิฟ...” ยูริรีบพูด ก่อนจะสลัดแขนออกจากมือของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว หญิงสาวเอามือเสยผมแบบลวกๆ ในขณะที่ชายหนุ่มกระชับคอเสื้อแก้เก้อ แต่สิ่งที่เหมือนกันตอนนี้ก็คือทั้งสองกำลังจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ใช่ฟานี่..ก็แค่คนพูดไม่รู้เรื่อง..” แจจุงต่อคำ
“พอเถอะ!!ทั้งสองคนนะแหละ” ทิฟฟานีสวนเมื่อยูริมีท่าทีว่าจะปะทะฝีปากต่อ
“เลิกเถียงกันสักวันเถอะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ” ชายหนุ่มบนรถเข็นเสริม ความจริงข้อนั้นทำเอาทั้งสองอ่อนลงเล็กน้อย
“แหม..พูดจาเข้าขากันดีเชียวนะ” แจจุงประชด
“อะไรของนาย...” ยุนโฮแสร้งไม่ใส่ใจ ซึ่งอาการนั้นไม่สามารถลอดสายตาเพื่อนไปได้ นี่ขนาดว่าเธอเพิ่งมาได้ไม่กี่นาทีสีหน้ายังแช่มชื่นดีขึ้นขนาดนี้ ยังจะมาทำฟอร์มปากแข็งอีก
“แล้วนี่มันอะไรกัน นายจะไปไหนนะ” แจจุงถามเมื่อสายตาเพิ่งสะดุดไปกับชุดเสื้อผ้าของคนบนรถเข็น
“กลับหอ...”
“เห้ย!! มันจะดีหรอ นายน่าจะอยู่ดูอาการอีกซักพัก ”
“ชั้นหาย กลับได้แล้ว” เสียงแข็งเอ่ย
แจจุงมองหน้าทิฟฟานี หญิงสาวส่ายหัวเบาๆกับอาการดื้อรั้นของยุนโฮ เธอคงมีความเห็นเหมือนกันกับเค้านี่แหละ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ในเมื่อเจ้าตัวยืนกรานขนาดนี้
ยุนโฮสวมแว่นกันแดดและฮูทปิดบังศีรษะ ก่อนจะเอ่ยบอกหญิงสาวเบาๆ เธอจึงเข็นรถเข็นมุ่งหน้าไปยังประตูลิฟท์ ท่ามกลางความงงงันของคนที่ยืนอยู่รวมถึงคนร่างใหญ่ที่เฝ้าตรงทางเดินด้วย
“เห้ย!! นายเอาจริงอ่ะ ถ้าเกิดพิษมันขย้อนขึ้นมา พวกชั้นช่วยไม่ได้นะเว้ย” แจจุงตะโกนตามหลัง
“เอ่อ...คุณแจจุง เอายังไงดีครับ” หัวหน้าบอร์ดิการ์ดวิ่งเข้ามาถามสีหน้าเหรอหรา
“จะยังไงได้ละ ออกก็ออก เจ้าตัวไปนู้นแล้ว ตามไปสิ” สิ้นเสียง ชายคนนั้นจึงวิ่งตามออกไปพร้อมกับลูกน้องที่เหลือ
“พิษขย้อน.....ทฤษฎีอะไรของพี่เนี่ย.....” ยูริทวนคำเยาะเย้ย ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มได้แต่เรียบเรียงเหตุการณ์แสนจะรวดเร็วนี้ เค้าจึงโทรบอกเพื่อนสมาชิกในวงที่เหลือ ว่าท่านหัวหน้ากำลังจะกลับแล้ว...
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังติดต่อกันมาหลายชั่วโมงดับลงภายใต้อาคารจอดรถหลังใหญ่ของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยหลังจากที่นั่งในรถเป็นเวลานาน เธอกระโดดลงจากรถตามหลังชายวัยกลางคนที่ตอนนี้กำลังหิ้วกระเป๋าถือของเธออยู่
“ไม่เป็นไรคะพ่อ หนูถือเองก็ได้” แทยอนหยิบกระเป๋าของเธอออกจากมือชายใจดี
“พ่อขอโทษนะที่ต้องแวะมาที่ร้านก่อน ลูกคงอยากกลับไปพักที่บ้านให้หายเหนื่อย” คุณพ่อยิ้มจางๆ พร้อมลูบหัวลูกสาวที่แสนน่ารัก
“ไม่เป็นไรหรอกคะ หนูก็อยากแวะมาดูที่นี่เหมือนกัน”
“มีแฟนๆแวะมาที่ร้านแทบทุกวันเลย ลูกอยากจะพรางตัวเข้าไปไหม เผื่อหนูจะเหนื่อย”
“หนูไม่เหนื่อยหรอกคะพ่อ อีกอย่าง...หนูไม่อยากกลับบ้านทั้งๆที่เป็นคนอื่น” แทยอนยิ้มให้คนเป็นพ่อสบายใจ เธอตัดสินใจกลับมาพักผ่อนที่บ้านให้หายเหนื่อย โดยทิ้งเรื่องราววุ่นวายไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม ชอนจูเป็นที่ที่เธอเกิดและเติบโตมา ทั้งร้านแว่นตาของครอบครัวที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวทั้งคิดถึงและมีความผูกพันกับมันมาก และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด เธอก็จะกลับมาที่นี่ ในฐานะคิม แทยอน หญิงสาวผู้แสนจะธรรมดาเท่านั้น
แทยอนกอดเอวคนเป็นพ่อ ทั้งคู่เดินออกจากอาคารจอดรถข้างๆเพื่อที่จะเข้าไปดูกิจการของครอบครัว แต่แล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังแทรกขึ้นมา
“พ่อเข้าไปก่อนเถอะคะ เดี๋ยวหนูตามไป” หญิงสาวพูดขณะกำลังควานหาต้นตอของเสียงในกระเป๋า
“เดี๋ยวพ่อรอก็ได้นะ เราจะได้ไปพร้อมกัน”
“โธ่พ่อคะ ทำเหมือนหนูไม่รู้จักที่นี่อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวจะเสียเวลานะคะ หนูจะตามไปทีหลัง” แทยอนยืนยัน ชายใจดีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยี้หัวลูกสาวน้อยๆและเดินนำไปก่อน
แทยอนค้นหาต้นตอของเสียง ก่อนจะพบโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมที่เคยมีคนซื้อให้ในกระเป๋า มองชื่อของคนที่โทรเข้ามาแล้วกดรับ
“ฮัลโหล...”
“นี่ชั้นเองนะ” เสียงปลายสายตอบกลับ
“ชั้นรู้คะ...” หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“เธอเป็นยังไงบ้าง..”
“ชั้นสบายดีคะ พี่ละคะ” แทยอนรู้สึกตามนั้นจริงๆ เป็นความรู้สึกสบายที่หาได้ยากในช่วงหลังๆมานี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะการที่เธอได้กลับมาพบครอบครัวก็เป็นได้
“ดี.....ช่วงนี้ชั้นได้หยุดยาว....” จุนซูตอบห้วนๆ
“ดีจังเลยนะคะ....จะว่าไป...ชั้นก็ได้พักช่วงนึงเหมือนกัน”
“หรอ....ไม่น่าละเพื่อนเธอถึงได้มาหายุนโฮที่นี่ได้”
“พี่ค่ะ....”
“งั้นไว้แค่นี้ก่อนนะ”
“อ่อ...ก..ก็ได้คะ”
หญิงสาวมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสายไปก่อน ตัวเลขแสดงเวลาในการโทรไม่ถึงนาที มันช่างเป็นบทสนทนาที่สั้นเหลือเกิน...........
หญิงสาวชุดกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยเดินถอดน่องบนถนน เธอถือดอกไม้ช่อกลางในมือ พลางส่งยิ้มและสูดดมกลิ่นหอมของมันตลอดทางเดิน และไม่รู้ว่าความงามของดอกไม้หรือคนที่ถือกันแน่ ที่ทำให้คนเดินถนนข้างเคียงหันมองเธอตลอดทาง
“ยูริ เปิดประตูหน่อย” ทิฟฟานีเคาะเรียกคนในห้อง เมื่อเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เพียงไม่กี่วินาทีประตูก็ถูกเหวี่ยงออก
“ออกไปไหนมานะ ชั้นออกมาจากห้องน้ำไม่เห็นเธอเลย”
“สวยไหมละ ชั้นไม่อยากไปมือเปล่า เลยหาอะไรติดไม้ติดมือไปหน่อย” หญิงสาวอธิบาย พลางอวดดอกไม้ช่อสวย
“ดอกไม้เนี่ยนะ เธอน่าจะซื้อพวกของกินมากกว่า”
“ทำไมละ ไม่สวยหรอ” ทิฟฟานีทำหน้ามุ่ย
“เปล่าๆ สวยจ่ะสวย งั้นเราไปกันเลยนะ” ยูริตัดบท สองสาวเดินจูงมือกันออกไปจากห้องพัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อต้อนรับการกลับมาของหัวหน้าวงดงบังชิงกิ ซึ่งแน่นอนงานเลี้ยงนี้จะจัดขึ้นที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่ห้องพักของพวกเค้าเอง
ความจริงแล้วทั้งสองลำบากใจหน่อยๆกับการไปเยือนหอพักของพวกเค้า แต่เพราะยูชอนผู้เป็นคนออกความคิดริเริ่มปาร์ตี้ในครั้งนี้เป็นคนเอ่ยชวน อีกทั้งแจจุงก็ยังเป็นคนช่วยจัดการเรื่องที่พักของพวกเธอ ซึ่งอยู่ห่างจากหอพักของพวกเค้าเพียงแค่หนึ่งช่วงตึก เหตุผลและน้ำใจมากมายขนาดนี้คงทำให้หญิงสาวทั้งสองยากที่จะปฏิเสธ
ยูริและทิฟฟานีเข้าไปในตึกโอ่อ่าทางประตูหลังตามที่พวกพี่ๆบอก ภายในมีคนรอเปิดประตูให้ทันทีเมื่อเห็นสองสาว ซึ่งเค้าก็เป็นคนเดินนำทางพวกเธอไปจนถึงห้องชั้นห้าตรงมุมสุดทางเดิน
ยูริเคาะประตูสองสามครั้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเพราะคนที่มาเปิดประตู
“ว้าว สาวๆมากันแล้ว เข้ามาข้างในก่อนสิ” แจจุงร่าเริง ไม่สนใจสีหน้าเรียบเฉยของอีกคน
ภายในห้องโอ่อ่ากว้างขวาง แสงไฟสีสมสาดส่องไปทั่วบริเวณ ชางมินและยูชอนตะโกนออกมาทักทาย ก่อนที่จะง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มที่ตอนนี้ถูกวางไว้เต็มโต๊ะใหญ่ ยูริที่ไม่อยากอยู่ใกล้ๆคนที่คอยแต่จะจ้องหาเรื่องเธอ จึงรีบเข้าไปช่วยสองคนนั้นอีกแรง
“ไอ่บ้านั่นอยู่ตรงระเบียงนู้นนะ” แจจุงพูดพร้อมชี้ไปอีกมุมหนึ่งของห้อง ผ้าม่านหนาๆที่ถูกแหวกเล็กน้อยเผยให้เห็นเงาของคนที่ยืนอยู่ด้านนอก ทิฟฟานีเงียบ
“ดอกไม้นั่นนะ เธอคงไม่ได้เอามาให้ชั้นหรอกใช่ไหมละ” ชายหนุ่มพูดต่อพร้อมจ้องไปยังดอกไม้ที่แข่งกันชูช่อ ทิฟฟานีก้มมองดอกไม้ในมือเพื่อซ่อนใบหน้าขึ้นสี ก่อนจะค่อยๆรวบรวมความกล้าเดินออกไปนอกระเบียงนั้น
“พี่ยุนโฮค่ะ...” เสียงทิฟฟานีเรียกเบาๆ มันกระตุกความคิดเหม่อลอยของเค้าไปชั่วขณะ เมื่อชายหนุ่มไม่ได้ยินแม้แต่เสียงที่เปิดประตูออกมาเลย
ยุนโฮหันไปทางต้นเสียงนั้น เค้ามองหญิงสาวในชุดกระโปรงน่ารักอย่างเต็มตา เธอคนที่เข้ามาวนเวียนในใจของเค้าอยู่เสมอแม้จะอยู่ห่างไกลกัน และแม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่เธอมายืนอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว เจ้าตัวก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“มานี่สิ...”ชายนุ่มพยักหน้าน้อยๆ เสียงดั่งต้องมนต์ทำให้คนที่ได้ฟังคล้อยตาม ทิฟฟานีเดินไปตรงริมระเบียงข้างๆชายหนุ่ม เค้ามองจ้องเธอทุกย่างก้าวก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่ช่อดอกไม้ในมือ
“เอ่อ...เมื่อตอนบ่าย...ไม่มีอะไรมาเยี่ยมพี่...ชั้นก็เลย....” ทิฟฟานีอ้ำอึ้ง
“นี่คะ....หายไวๆนะคะ” หญิงสาวยื่นช่อดอกไม้ช่อสวยให้คนตรงหน้า ชายหนุ่มรับและยิ้มตอบ ซึ่งเธอคงไม่เห็นมันเพราะเอาแต่ก้มหน้างุด
“ชั้นบอกแล้วไง ว่าชั้นหายแล้ว”
“ชั้นคงไม่เชื่อหรอกคะ ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองว่าพี่สบายดีแล้ว” หญิงสาวตอบ ทั้งคู่เหม่อมองออกไปยังวิวของโตเกียวยามค่ำคืน ลมพัดอ่อนๆนำพาความทุกข์ร้อนในใจออกไป ความสุขสบายใจกลับเข้ามาแทนที่
“เธอเป็นห่วงชั้นหรอ” ยุนโฮเอ่ยถาม ทั้งๆที่สายตายังคงทอดยาวไปข้างหน้า
“ห่วงจนพี่คาดไม่ถึงเลยละ....” ทิฟฟานีตอบตามใจต้องการ ใจเธอเต้นรัวตามมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป ซึ่งหญิงสาวก็ไม่นึกเสียใจเลยที่บอกไปแบบนั้น
ยุนโฮเองก็เช่นกัน ใจเค้าเต้นแรงจนกลัวว่าคนข้างๆจะได้ยินมันด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่มีต่อเธอในตอนนี้มันชัดเจนเหลือเกิน ยิ่งช่วงเวลาที่เค้าและเธอห่างไกลกัน ไม่รู้ทำไม ภาพหญิงสาวตายิ้มแสนสดใสมักจะคอยวนเวียนในหัวเค้าอยู่เสมอ ทั้งยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา อยากเห็นหน้า และอยากได้ยินเสียง
“ทิฟฟานี...” เสียงนุ่มเรียกชื่อเธอเบาๆ หญิงสาวละสายตาจากวิวเบื้องหน้าหันมองคนข้างๆ
“เรื่อง...เธอกับแจจุงนะ คือ.......เธอ..ไม่...” ยุนโฮอ้ำอึ้งและมองไปที่เธอ เค้าพยายามเค้นถ้อยคำในใจออกมา แต่มันก็ไม่สามารถเอ่ยบรรยายออกมาได้หมด
“ไม่.....อะไรคะ...” ทิฟฟานีทวนคำช้าๆ เอียงคอน้อยๆด้วยความสงสัย
“ไม่ได้เสียใจ หรือ....ไม่เสียดาย....อะไรก็แล้วแต่เถอะ...” เค้าพยายามจะอธิบายให้เธอเข้าใจในความหมายที่พูดยาก
“ใช่ไหม...........”
สิ้นเสียงพูด หญิงสาวนิ่งค้างไปชั่วขณะ ยุนโฮอาจจะคิดว่าเธอกำลังชั่งใจหรือมีความรู้สึกลังเลกับสิ่งที่เค้าถาม แต่ความจริงแล้วมันคือความรู้สึกผิดต่างหาก ที่เข้ามาครอบคลุมจิตใจของเธอ เพราะแผนการหลอกๆที่เธอกับแจจุงร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน แม้ตอนนี้มันจะเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่เธอก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็นคนโกหกอยู่ดี......
ทิฟฟานีส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่คะ.....พี่แจจุง...เป็นคนดี...เค้า.....เป็นพี่ชายที่ดีของชั้น” หญิงสาวตอบจากใจ และคิดว่าครั้งนี้และต่อๆไป เธอจะไม่โกหกเค้าอีกแล้ว
ยุนโฮพยักหน้ารับรู้ เค้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวเหมือนกำลังจะหาคำตอบอีก
“เข้าไปข้างในกันเถอะคะ......ข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอยิ้มน้อยๆ ละสายตาจากเค้าและเดินเข้าไปในห้อง
พร้อมชายหนุ่มที่เดินตามเข้าไปพร้อมช่อดอกไม้ในมือ.....
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่น มันคงเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกของพวกเค้าในรอบหลายสัปดาห์มานี้ ซึ่งไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา มันจะเป็นเพียงเรื่องร้ายๆที่ทุกคนปล่อยให้มันผ่านไป
“เป็นเพราะยุนโฮเลยนะเนี่ย ทำให้เราได้หยุดพักยาวไปด้วย” ยูชอนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“ใช่ อย่าให้พี่ผู้จัดการรู้เชียวละว่าเราฉลองกันที่นี่ และโดยเฉพาะกับเธอสองคน” ชางมินเสริม
“เออใช่ เกือบลืม...พวกเธอมาอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีใครรู้ใช่ไหม” แจจุงรีบถาม
“คะ เพื่อนๆรู้ว่าชั้นมาญี่ปุ่น แต่..คงไม่มีใครรู้หรอกว่าชั้นมาหาพวกพี่ๆที่นี่” ทิฟฟานีอธิบาย
“ถ้างั้นก็ปิดเงียบไว้ดีที่สุด”
“ได้ทีสั่งใหญ่เชียวนะ....”ยูริบ่นเบาๆ แต่คงไม่เล็ดรอดการได้ยินจากคนที่ถูกพูดถึงไปได้
“เอาละๆๆ รอแปปนะ ปาร์ตี้ทั้งทีขาดเจ้านี่ไปได้ไง..” ยูชอนตัดบท เมื่อคนทั้งคู่มีท่าทีจะปะทะฝีปากกันอีก ชายหนุ่มรีบหายเข้าไปในครัว พร้อมกับถือขวดทรงสูงสีเงินออกมาด้วย
ไวน์ถูกรินใส่แก้วของทุกคน ยุนโฮแอบส่งสายตาเป็นห่วงให้หญิงสาวข้างๆ ซึ่งเธอก็ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดหนักใจแต่อย่างใด
“แด่ท่านหัวหน้าของพวกเรา...” แจจุงกล่าว ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะตามมา ทุกคนชนแก้วแล้วดื่มไปพร้อมกัน
ความครื้นเครงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ยูชอนกับชางมินเริ่มโวยวายเสียงดังเมื่อแอลกอฮอล์เข้าปาก ซึ่งยูริที่นั่งอยู่ในวงสนทนาด้วยก็พยายามยั้งๆ ไม่ให้พี่ชายทั้งสองดื่นกันมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว
“โธ่พี่คะ พอเถอะ พวกพี่เมากันแล้วนะ” ยูริท้วง พร้อมรั้งมือยูชอนที่พยายามกระดกแก้ว
“ไม่เมานิ เมาที่ไหนกัน” ชายหนุ่มบอกปัดเสียงดัง กอดคอน้องชายที่นั่งข้างๆ
“พี่ดื่มเยอะแล้วนะ”
“เยอะหรอ เธอนั่นแหละที่ม่ายยอมดื่มเลย” ชางมินพูดพร้อมยัดแก้วใส่มือหญิงสาว
“โธ่ ชั้นไม่...”
“ไม่กล้าละสิ....” ชายหนุ่มอีกคนเติมเต็มประโยค แจจุงผู้เห็นภาพความวุ่นวายเดินเข้ามาทันที เค้าเอามือทั้งสองข้างท้าวบนโต๊ะตัวใหญ่ มองสองเพื่อนซี้อย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงส่งสายตากวนๆให้หญิงสาวที่นั่งข้างๆ
“พี่ว่ายังไงนะ...” ยูริเอ่ยช้าๆ หันไปหาต้นเสียง ในมือยังคงมีแก้วที่ชางมินยัดเยียดให้
“ก็เธอไม่กล้านะสิ เดี๋ยวคนอื่นจะรู้.......ว่าคออ่อน” แจจุงเน้นคำ ช้าๆชัดๆ เค้าเดินอ้อมโต๊ะมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของหญิงสาว คว้าแก้วของชางมินที่ตอนนี้ฟุบลงไปแล้ว กระดกมันเข้าปาก
“นี่พี่รู้ตัวหรือเปล่า ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร.........”
...........
“พี่กำลังท้าชั้นอยู่นะ” หญิงสาวพยายามสะกดอารมณ์ จ้องมองเขม็งไปยังคนตรงหน้า ความรู้สึกเดือดดาลสุมอยู่ในอก
ชายหนุ่มเพียงแค่ลอยหน้าลอยตา เหมือนว่าไม่ได้หลุดคำพูดอะไรออกมา และยักไหล่ให้เธออย่างกวนๆแทนคำตอบ
...........
“ได้!” คำสั้นๆหลุดจากปาก ยูริกำแก้วในมือแน่น จ้องชายหนุ่มไม่ละสายตา
จากนั้นเธอก็กระดกน้ำใสๆเข้าปากภายในรวดเดียว............
พร้อมยักคิ้วให้คนตรงข้ามอย่างท้าทาย...............
มาต่อค่า....ตอนนี้ว้าวุ่นน่าดู อะไรจะเป็นยังไง ลองเดาๆกันดูนะคะ
ช่วงนี้ไรท์เตอร์เริ่มเบลอๆ เรื่องนี้แต่งยากคะ ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเบื่อรึเปล่า
มันต้องดำเนินเรื่องบนพื้นฐานความจริงแม้จะมะโนไปหน่อย จะให้มาโอเว่อร์ใส่สีตีใข่มาก
ประมาณว่านางอิจฉา บ้านจน ล้มละลาย ฆ่ากันตาย โดนจับเรียกค่าไถ่อะไรแบบนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้
เพราะว่าเรื่องและตัวละครไม่สามารถ เข้าใจไรท์เตอร์ใช่ไหมคะ
ยังไงใครมีข้อมูลความเรียลของคู่ไหน หรือมะโนออกนอกโลกไปแล้ว
เม้นบอกกันได้นะค่ะ จะหาแรงบันดาลใจ ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า ขอบคุณมากๆ
แล้วตรงคำวิจารณ์มันว่างๆยังไงชอบกลแหะ มีใครมาฝากอะไรไว้หน่อยก็ดีนะ
ไม่ต้องยอ เอาตามจริง อยากรู้ อิอิ
เดี๋ยวมาต่อตอนหน้านะค่ะ ถ้าหายไปนานก็อยากให้รอหน่อย
ด้วยภารกิจหลายพันอย่างของไรท์เตอร์ ทำให้มันสามารถสนองได้ทันท่วงที
ขออภัยจริงๆ....
ปล. อยากให้ค่อยๆอ่าน อ่านช้าๆ ค่อยๆซึมซับบรรยากาศ กับความรู้สึกของตัวละคร
เพราะว่าตอนแต่ง ไรท์เตอร์ก็แต่งช้าๆนะคะ แบบว่าต้องอินก่อนถึงจะแต่งได้
แล้วก็พยายามเกลาภาษาให้ไหลลื่นที่สุด ถ้าใครอ่านเร็วหรืออ่านข้ามๆ
ความพยายามของไรท์เตอร์ที่นั่งเรียงร้อยถ้อยคำเป็นวันๆก็จะสูญเปล่า......ขอบคุณค่า...
ปล.ปล. ขอให้อินจัดกันทุกคนค่า.....
ความคิดเห็น