ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[+In My Mind+]]----(SNSD TVXQ SJ SHINEE)

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 33 แทนคำ

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 54



     

    ท่านกลางความเงียบในตอนเช้า เสียงเปียโนทุ้มไร้ทำนองดังขึ้น มันถูกกดสุ่มๆจากคนที่นั่งเลื่อนลอยเหม่อมองออกไปนอกกระจกใสทางซ้ายมือ

    ซอฮยอนอยู่ในห้องซ้อมร้องเพลงเพียงลำพัง เธออยากจะมานั่งเล่นเปียโนให้สบายใจหลังจากที่ไปพบท่านประธานในตอนเช้า แต่กลับไม่มีสมาธิเอาซะเลย

    แต่จู่ๆ เสียงเปียโนทุ้มต่ำที่ถูกกดเรื่อยเปื่อยอย่างไม่เป็นจังหวะ ก็ถูกเติมเต็มด้วยท่วงทำนองอันคุ้นเคยที่แทรกเข้ามาอย่างนิ่มนวล....

    หญิงสาวหันไปตามต้นเสียงข้างๆเธอ พบชายหนุ่มยืนกดคีย์เปียโนอีกฝั่งหนึ่งทางขวาด้วยมือข้างเดียว เสียงของมันสูงใสกังวานราวกับเสียงจากกล่องดนตรี เป็นท่วงทำนองช้าๆที่ไพเราะ

    Sixteen going on seventeen........

    คนที่นั่งอยู่เหม่อมองไปยังมือเรียวยาวที่ค่อยๆกดลงไปบนคีย์สีขาว หญิงสาวเคลิ้มไปกับจังหวะเพลงช้าๆนั้น เพลงที่เธอได้ยินมันทุกเช้า ความสบายใจแทรกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว โดยชายหนุ่มยังคงเล่นต่อไปอย่างใจเย็น จนสิ้นสุดท่วงทำนอง

    “เอ่อ..เพลงนี้......”

    “เพลงนี้.....ทำไมหรอ..” สีหน้าชายหนุ่มสื่อคำถาม

    “ป...เปล่าคะ....พี่คยูฮยอนเล่นได้เพราะมากเลย” ซอฮยอนปัดความคิดสงสัยเรื่อยเปื่อยของตัวเองออกไป มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า....

    “แน่ละ เธอไม่รู้หรอ...ชั้นเก่งที่สุดในวงเลยละ”  คยูฮยอนยิ้มอวด ยืนกอดอกพิงเปียโนสีดำตัวใหญ่

    “หรอคะ ชั้นก็เหมือนกัน” ทั้งสองหัวเราะในคำพูดของกันและกัน ซอฮยอนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น บางทีเรื่องแผนการโปรโมทแปลกประหลาดอาจจะไม่ลำบากเท่าที่คิด

    “เธอรู้สึกอึดอัดที่จะทำหรือเปล่า” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มเปลี่ยนไปถามคนที่นั่งอยู่อย่างตรงไปตรงมา

    “เปล่าคะ....ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวปฏิเสธ แม้ในใจจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่เธอคิดว่ามันน่าจะเป็นความเคอะเขินต่อกันมากกว่า

    “ชั้นเพียงแต่ทำตัวไม่ค่อยถูก เอ่อ..ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง....”

    “ชั้นไม่อยากให้เธอฝืนทำ...ถ้าเธอไม่อยาก..”

    “ไม่คะ คนที่สนิทกันต้องทำดีต่อกันใช่ไหมคะ แล้วพี่ก็เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งของชั้น ชั้นไม่ได้ฝืนทำเลย” หญิงสาวอธิบายตามที่เธอเข้าใจอย่างไร้เดียงสา เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ คยูฮยอนภายนอกดูเป็นคนสุภาพและนิ่งๆคล้ายเดียวกันกับเธอ แต่พอได้มารู้จักพูดคุยแล้ว เค้าเป็นคนที่ร่าเริงสนุกสนาน แม้เธอเองก็รู้ว่าเค้าพยายามทำให้เธอผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งเธอก็รู้สึกขอบคุณเค้ามากๆจริงๆ

    ..........

    “พี่ชายหรอ...” คยูฮยอนทวนคำช้าๆ

    “คะ....พี่ชาย...” ซอฮยอนตอบกลับ พร้อมแววตาใสๆส่งไปหาคนข้างๆ เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย

    ........

    “อืมใช่ๆ พี่ชาย....เอ่ออ...งั้นชั้นไปก่อนนะ” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง

    “คะ เดี๋ยวสักพักชั้นก็กลับแล้วเหมือนกัน”

    ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆให้หญิงสาว ซอฮยอนลุกขึ้นโค้งลารุ่นพี่ ในขณะที่เค้าโบกมือให้เธอน้อยๆ ก่อนที่มันจะตกลงข้างลำตัว คยูฮยอนเดินพ้นออกมานอกห้อง พิงกำแพงด้านหน้าอย่างหมดแรง สายตาหม่นๆเลื่อยลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

    ใช่....มันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และก็ไม่มีทางที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันก็เป็นแค่แผนการโปรโมทปลอมๆ ซึ่งก็คงเป็นความผิดของเค้าที่หลงดีใจไปกับมันฝ่ายเดียว.....

    เสียงเปียโนในห้องถูกบรรเลงอย่างช้าๆ ท่วงทำนองเดิมในเพลงเดิมถูกแต่งเติมอย่างไพเราะจากหญิงสาว ชายหนุ่มหยุดฟัง เค้าอยากเหลือเกินที่จะเดินกลับไปหาต้นเสียงนั้น อยากที่จะเฝ้ามองเธอยามที่นั่งพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนอย่างสง่างาม

    ....

    ............

    “ดีแล้วที่เธอย้ำมันกับพี่.....”

    ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆพูดกับตัวเองเบาๆ

              “มันจะได้เตือนว่า....เรื่องทั้งหมดนั้น..มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย.....”

     

     



               

                สาวสวยสองคนเดินออกมาจากสนามบินของอีกประเทศหนึ่ง ด้วยรูปร่างและผิวพรรณที่ดึงดูดสายตาผู้คนไม่ว่าหญิงหรือชายให้หันมามองพวกเธอ แต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการตระหนกตกใจกันมากนัก

    ที่ประเทศญี่ปุ่นทิฟฟานีและยูริไม่จำเป็นต้องระวังเรื่องการพรางตัว หรือการเป็นที่จับจ้องแต่อย่างใด คนทั่วไปเพียงแค่เหลียวมองเธอแว๊บๆเท่านั้น การไม่เป็นที่รู้จักของที่นี่ทำให้ทั้งสองสาวสบายใจมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกในรอบหลายปี อย่างน้อยพวกเธอก็สามารถทำสิ่งที่อยากทำ หรือได้ไปในที่ที่อยากไป โดยที่ไร้ซึ่งการจับตามองและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง

    “ว้าววว ญี่ปุ่น ถึงซะที นานมากเลยที่ชั้นไม่ได้มาที่นี่” ยูริพูดพร้อมมองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้น ในขณะที่อีกคนกำลังดูที่อยู่และแผนที่บนโทรศัพท์มือถือเคร่งเครียด

    “ฟานี่ ชั้นว่าเรากลับไปพักที่โรงแรมให้หายเหนื่อย แล้วค่อยออกไปช็อปปิ้งกันดีกว่า เธอจองโรงแรมไว้แล้วใช่ไหมละ”

    “เอ่ออ...คือ....ไม่ได้จองหรอก...”

    “อ้าว..ทำไมละ ชั้นนึกว่าเธอวางแผนก่อนมานี่แล้วซะอีก” ยูริท้วง

    “วางแผนอะไรละ กะทันหันแบบนี้ ชั้นไม่ได้คิดเผื่อถึงเรื่องพวกนั้นหรอก เดี๋ยวเราค่อยไปหาที่พักทีหลังก็ได้”

    “ก็ได้ๆ งั้นตอนนี้เราจะไปที่ไหนกันก่อนดีละ” หญิงสาวถามหยั่งเชิง

    “.......โรงพยาบาล.....” ทิฟฟานีเอ่ยเบาๆ

    “ห๊า โรงพยาบาล!! ทำไมละฟานี่อ่า เธอไม่สบายหรอ” ยูริทวนคำเสียงดัง ถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออก พลางใช้มือแตะไปที่หน้าผากของเพื่อนอย่างตกใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เกินจริงมากไปหน่อย

    “เปล่า....ไม่ใช่อย่างนั้น ชั้นสบายดี โธ่ยูริ ชั้นบอกเธอแล้วว่าชั้นไม่ได้มาเที่ยวเล่น” ทิฟฟานีเริ่มร้อนรน

    “งั้นเธอมาทำอะไรที่นี่ละ...” ยูริยิงคำถาม จากน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจเปลี่ยนมาเป็นนำเสียงที่จริงจัง เธอจ้องใบหน้าเพื่อนอย่างเค้นเอาคำตอบ ในขณะที่อีกคนพยายามหลบสายตาอยากรู้ของเพื่อน

    “คือชั้น..มาเยี่ยม.....เรื่องที่โดนวางยานะ” ทิฟฟานีสารภาพช้าๆ ถ้าจะมาด้วยกันขนาดนี้ ยูริก็ต้องรู้เรื่องของเธอเข้าสักวัน แต่หญิงสาวก็เลี่ยงที่จะไม่เอ่ยชื่อของเค้าออกมา โธ่เอ๊ย..ชั้นจะทำยังไงดีละเนี่ย เรื่องมันพูดยากนี่หน่า....

    “ก็แค่เนี่ย.....” ยูริถอนหายใจ สีหน้ากลับมาเป็นปกติพร้อมใส่แว่นกันแดดกลับตามเดิม

    “เธอรู้หรอยูริ..” ทิฟฟานีมองอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อคนข้างๆไม่มีท่าทางแปลกใจเหมือนแต่ก่อนเลย

    “แน่นอน เธอนะสังเกตง่ายจะตายไป เป็นห่วงเค้าใช่ไหมละ”

    “อ..อืม..” หญิงสาวยอมรับตรงๆ

     “เห็นไหมละ แล้วที่ชั้นมากับเธอเพราะเป็นห่วงนะ เพราะพักหลังๆมาเนี่ย เธอทำตัวให้น่าเป็นห่วงจริงๆ” ยูริอธิบาย ทิฟฟานีก้มหน้า เธอรู้สึกแย่จริงๆที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงถึงขนาดนี้

    “ช..ชั้นขอโทษนะยูริ....”

    “ช่างมันเถอะ ไปโรงพยาบาลใช่ไหม ที่ไหนละ..พวกเค้ายิ่งปิดข่าวกันอยู่ด้วย” ยูริเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นสีหน้าหงอยๆของคนข้างๆ ทิฟฟานียื่นที่อยู่บนโทรศัพท์มือถือที่ขอมาจากแจจุงให้เธอ มันเป็นที่อยู่อย่างละเอียด พร้อมแผนที่เสร็จสัพ

    “แหม...ทีอย่างนี้ละพร้อมเชียวนะ ว่าแต่เธอไม่ได้หาที่พักไว้ก่อนจริงๆนะหรอ” หญิงสาวถามอีกครั้ง

    “อืม ชั้นไม่ได้คิดเลย แค่อยากจะไปโรงพยาบาลก่อนนะ”

                “จ้าๆ ไปโรงพยาบาลก่อน”

                ทั้งสองเดินไปขึ้นแท็กซี่ด้านหน้า ทิฟฟานีพยายามสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับคนขับ แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะไม่เข้าใจเลย ยูริจึงใช้ความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิด พร้อมเอาที่อยู่อย่างละเอียดให้ดู ซึ่งก็ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก และในระหว่างที่อยู่บนรถนั้น ยูริก็พูดบางอย่างออกมาอย่างหัวเสีย

                “แต่ความจริงเธอไม่เห็นต้องข้ามประเทศมาเลยนะ เค้าไม่ได้เป็นคนโดนเองซะหน่อย” หญิงสาวพูดพร้อมมือกอดอกแน่น

                “เอ๊ะ! ธ...เธอว่าไงนะ” คนข้างๆท้วงเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆในคำพูดของเพื่อน

                “ก็พี่แจจุงไง ไม่เห็นต้องไปเป็นห่วงเค้าขนาดนั้นเลย อย่างมากก็แค่ตกใจ เธอแค่โทรไปถามข่าวคราวก็น่าจะพอแล้ว”

    “เดี๋ยวนะยูริ คือชั้น...”

    “จริงๆนะทิฟ แล้วอีกอย่างเธอก็เลิกกับเค้าแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าเธอยังชอบเค้าอยู่” ยูริกระตือรือร้นถาม

    “ไม่ใช่อย่างนั้น....คือว่า..” หญิงสาวไม่ทันอธิบาย คนข้างๆก็พูดต่อไปอีก

    “ชั้นพูดตรงๆนะ ชั้นไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร พี่แจจุงนะไม่น่าไว้ใจเลย ดูพิลึกๆ เหมือนว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่างที่ไม่ดีอยู่”

    “ยูริ.....” ทิฟฟานีพยายามตั้งสติ

    “เชื่อชั้นสิทิฟ  ดีแล้วที่เธอเลิกกับเค้ามาได้ หรือว่าเค้าพูดชักจูงให้เธอมาที่นี่ โธ่เอ๊ยยัยทิฟ.....เธอนี่โดนหลอกง่ายจริงๆ พี่แจจุงก็อีกคน เจ้าเล่ห์จริงๆ คราวเนี่ยไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก”

    “เธอฟังชั้นนะ....คือ..”

    “ไม่เป็นไรหรอก ชั้นจะช่วยเธอเอง คนเลิกกันแล้วยังมาเกาะแกะกันอยู่ได้..................” เสียงพูดจ้อของหญิงสาวยืดยาวต่อไปอีกตลอดทาง จนคนฟังถอนหายใจ

    .......
    .....................

    ชั้นพยายามแล้วนะ จะมาหาว่าชั้นไม่บอกเธอไม่ได้แล้วละ........

     

     

     

    ทั่งคู่มาถึงที่หมายภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่งบรรยากาศริมสองข้างทางทำให้ยูริตื่นเต้นและพูดจ้อไม่หยุด ทำเอาคนข้างๆได้แต่แอบถอนหายใจตลอดทาง

    ไหนบอกว่าเข้าใจไงว่าไม่ได้มาเที่ยว....

    บรรยากาศของโรงพยาบาลที่นี่ผิดกับที่ทิฟฟานีคิดไว้มาก มันค่อนข้างเป็นปกติและเงียบสงบ ซึ่งในตอนแรกเธอคิดว่าจะมีเหล่าบรรดาแฟนๆเดินกันให้ว่อนซะอีก หญิงสาวโทรหาแจจุงทันที เกิดบทสนทนาเบาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการโวยวายของเพื่อนที่ตอนนี้มองเธออยู่ไม่วางตา ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยตามที่ชายหนุ่มบอกผ่านโทรศัพท์ แล้วก็พบกับเจ้าของเสียงทันที เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

    “พี่แจจุง......” ทิฟฟานีเอ่ยเบาๆ เมื่อเห็นคนตรงหน้า ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มก่อตัวขึ้น อีกไม่กี่น่าทีเธอก็จะได้เจอเค้าแล้วสินะ.....

                “ฟานี่อ่า..”ชายหนุ่มดีใจที่ได้เห็นหน้าน้องสาวที่น่าเอ็นดู เค้ากำลังจะโผเข้าไปกอดเธอเพื่อทักทาย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อไปสบตากับสายตาจับผิดที่มองจ้องมา

              “ควอน ยูริ!!

                “สวัสดีคะ พี่ตกใจมากเลยหรอคะ ที่เห็นหน้าชั้นเนี่ย....” ยูริทักทายบ้าง

                “ธ...เธอสองคนมาด้วยกันหรอ...” แจจุงถามในขณะที่ยังอึ้งไม่หาย

                “ก็ใช่นะสิคะ.....พี่ผิดหวังหรอ..ที่ชั้นมาด้วย” ยูริท้าทาย

                “ไม่เอาน่ายูริ....” ทิฟฟานีเตือน

                “ช่างเถอะ วันนี้ชั้นไม่อยากทะเลาะกับเธอ...” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ พยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงประชดประชันนั้น ยูริทำท่าจะพูดตอบกลับไป แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปาก ทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่ง

                นี่ชั้นเห็นแก่ทิฟฟานี...แล้วก็เห็นใจที่พี่พึ่งเจอเรื่องร้ายๆมาหรอกนะ.......

    ทำไมเธอต้องมาตามหลอกหลอนชั้นถึงที่นี่เนี่ย ขัดคอ ชวนทะเลาะอยู่เรื่อย.........

    “นี่เราจะยืนกันตรงนี้อีกนานไหมคะ.....” ทิฟฟานีเป็นผู้ทำลายความเงียบ เธอเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยกับนิสัยไม่ยอมแพ้เป็นเด็กๆของทั้งคู่

    แจจุงละสายตาออกมา เค้าเดินนำทั้งคู่ออกไปโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวทั้งสองเดินตามเค้าไปอย่างเงียบๆเช่นกัน ซึ่งตลอดทางเดินก็มีบอร์ดิการ์ดร่างสูงใหญ่อยู่หลายคน บรรยากาศเงียบสงบทำให้แน่ใจได้เลยว่า บนชั้นนี้ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเพล้นพล่านแน่ จนในที่สุดพวกเค้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องสีขาวตรงเกือบสุดของทางเดิน ซึ่งปรากฏชื่อของคนในห้อง

    ชอง ยุนโฮ

    (Jung Yunho)

    ทิฟฟานีมองป้ายชื่อที่ติดหน้าประตูอย่างหวาดๆ หญิงสาวเม้มปาก มืออีกข้างกุมจี้รูปไม้กางเขนแน่น ใกล้เหลือเกิน....ตอนนี้เค้าและเธออยู่ใกล้กันเพียงแค่บานประตูกั้นเท่านั้น เพียงแค่คิดใจของหญิงสาวก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแล้ว

    เหมือนคนข้างๆจะรับรู้ได้ถึงอาการนั้น แจจุงเหลือบมองหญิงสาว เค้าบิดลูกบิดประตูช้าๆ หลังจากที่ทิฟฟานีพยักหน้าน้อยๆ ประตูสีขาวเปิดออก พร้อมอาการตกใจของคนในห้องที่แสดงออกมาทันที

    “อ้าว ....มากันได้ยังไงเนี่ย” ยูชอนเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก เมื่อเห็นสองสาว ทั้งคู่โค้งทักทายพี่ๆในห้อง ที่มีสมาชิกดงบังชิงกิอยู่กันครบทุกคน ชางมินโบกมือทักทาย ในขณะที่จุนซูละสายตาจากหนังสือในมือ

    “ก็มากับชั้นนี่แหละ.....นี่..นายที่นอนอยู่บนเตียงนะ มีคนมาเยี่ยม หัดสนใจซะบ้างสิ” แจจุงพูด เมื่อคนบนเตียงเอาแต่นอนนิ่งตะแคงหันหลังให้ ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา

    “อ...เอ่ออ...พี่ยุนโฮคะ ...พวกเรามาเยี่ยมคะ กะทันหันไปหน่อย เลยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝากเลย” ยูริเปิด เมื่อทิฟฟานีเอาแต่ยืนนิ่ง....

                แม้จะมองจากด้านหลังก็ตาม เค้าดูพ่ายผอมไปมาก ผมดำยุ่งกระเซอะกระเซิง ต้นแขนมีรอยเข็มหลายจุด สายน้ำเกลือระโยงรยางค์อยู่ข้างตัว...... 

                คนป่วยไม่ตอบ จนคนรอบข้างรู้สึกถึงบรรยากาศอันอึมครึม ยูริหันไปหาพี่ๆที่เหลือสายตาสื่อคำถาม ทุกคนนิ่งตาม จนจุนซูกล่าวเสริมออกมา

                “นายจะไม่หันไปดูหน่อยหรอ ว่าใครมา...”

                ทิฟฟานียังคงเงียบ สายตาจ้องไปยังด้านหลังของชายหนุ่ม เธอค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วยช้าๆ เสียงรองเท้าส้นสูงเคาะกับพื้นท่ามกลางความเงียบนั้น บรรยากาศแปลกๆก่อตัวขึ้น ที่แม้แต่คนในห้องยังต้องนิ่งค้าง

                ยุนโฮพลิกตัวกลับมา สีหน้าบ่งบอกถึงความรำคาญจากเสียงคะยั้นคะยอของเพื่อน ในเมื่อตอนนี้เค้าไม่มีอารมณ์ที่จะยิ้มร่าต้อนรับ หรือแม้แต่พบกับใคร

                นอกเสียจาก.......

           ....

                .........

                “เอ่ออ...พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ....” แจจุงเปิด

                “นั่นสินะ ชางมิน นายยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยไม่ใช่หรอ” ยูชอนออกปาก แม้เค้าจะไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมอยู่ดีๆเค้าถึงรู้สึกไม่สมควรที่จะอยู่ในห้องนี้ขึ้นมา

                “อ..อ๋อ ใช่ๆ ผมไปด้วยนะพี่ ยูริไปด้วยกันหรือเปล่า” ชางมินตอบรับ รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆไม่ต่างกัน

                “ไม่ละคะ ชั้นไม่ค่อยหิว”

                “ออกไปเถอะน่า” แจจุงกัดฟันพูด พร้อมคว้าข้อมือหญิงสาว และพยายามจะลากเธอออกไปจากตรงนี้ เมื่อคิดว่าพูดด้วยดีๆ คงไม่ได้เรื่องแน่

                “เอ๊ะ..พี่นี่ยังไงเนี่ย ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ไปๆ” ยูริเริ่มขึ้นเสียง ในขณะที่พยายามสลัดมือคนพูดไม่รู้ฟัง

                “เธอนี่ไม่เคยรู้อะไรเลยนะ ชั้นบอกว่าไปก็ไปสิ!

                “ทำไมชั้นต้องฟังพี่ด้วย ปล่อยนะ! ทั้งสองยื้อกันไปมา จนอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น

                “ยูริ พี่มีอะไรจะคุยกับเธอ ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ” น้ำเสียงปกติธรรมดาของจุนซูเอ่ย เมื่อเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง

                “เอ๋..กับชั้นหรอคะ.......ก็ได้คะ...” หญิงสาวรับอย่างว่าง่าย จุนซูพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย มองไปทางเพื่อนที่ล๊อคข้อมือของคนข้างๆ พลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเดินนำออกไป พร้อมกับอีกสองสมาชิก

                แจจุงมองหญิงสาวอย่างหาเรื่อง ในขณะที่เธอยักคิ้วให้เค้าอย่างท้าทาย ยูริเหลือบตามองลงไปยังข้อมือของเธอ เป็นสัญญาณให้เค้าปล่อยมือออกไปได้แล้ว  ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามแต่โดยดี

                “เดี๋ยวชั้น ออก ไป ก่อน นะคะ...” ยูริพูดเน้นคำช้าๆชัดๆ ก่อนเดินออกไปจากห้องพร้อมรอยยิ้มเย้ยๆ

                “ให้ตายเถอะ!!” แจจุงกัดฟันสบถเบาๆ เค้าถอนหายใจ และเดินออกไปข้างนอกห้องเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่พยายามอดทนอดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง ไม่ให้คล้อยไปกับท่าทางยั่วโมโหของหญิงสาว ซึ่งดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะทำสำเร็จเสียด้วย

     

     

              ภายในห้องพักผู้ป่วยยังคงปกคลุมไปด้วยความเงียบ ถึงแม้ว่าจะสิ้นเสียงปิดประตูให้หลังไปแล้ว ทิฟฟานีมองสภาพของคนบนเตียง ใจสั่นระรัวจนเธอเองยังไม่แน่ใจว่าร่างกายที่ยืนอยู่สั่นเทิ้มไปด้วยหรือเปล่า เค้าช่างดูซูบไปถนัดตา ใบหน้าซีดเซียว หญิงสาวจ้องลึกไปในดวงตาสีดำเข้มนั้น ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเบลอไปด้วยหยดน้ำที่เริ่มก่อตัวและคลออยู่ในเบ้าตา.....

                ชายหนุ่มบนเตียงอึ้งไปครู่ใหญ่กับการปรากฏตัวของหญิงสาว ยุนโฮเบิกตาค้าง ความรู้สึกมากมายท่วมท้นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งตกใจ ประหลาดใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ในห้องนี้ได้ ชายหนุ่มมองคนที่ยืนอยู่ให้เต็มสายตาอีกครั้ง ชุดเดรสสีชมพูที่แม้จะดูเรียบๆ แต่ก็น่ารักเสมอ แขนเหลือเล็กนิดเดียว เธอดูผอมไปแน่ๆ และใจเค้าก็ต้องเต้นแรงเมื่อเห็นจี้รูปไม้กางเขนสะท้อนประกายอยู่บนคอของเธอ ใบหน้าที่อ่านไม่ออกจ้องเค้ากลับ ดวงตาที่เคยยิ้มแย้มนิ่งค้าง....

                .......

                “เธอมาหาชั้นถึงที่นี่.........จะไม่พูดอะไรหน่อยหรอ.....”

                ..........

                ..............

                หญิงสาวโผเข้ากอดคนบนเตียงทันทีเมื่อสิ้นเสียงพูด ยุนโฮเบิกตากว้าง ก่อนจะเหลือบมองคนที่ซุกหน้าอยู่บนอกกว้างที่ตอนนี้สั่นเทิ้ม หยดน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสาย

                ทิฟฟานี.....เธอกำลังร้องไห้.....

                แขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มโอบคนที่สะอึ้กสะอื้นไว้ทันที มือที่ระโยงรยางค์ด้วยสายน้ำเกลือลูบปลอบคนในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักขึ้น น้ำตาที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลเปรอะไปทั่วชุดของโรงพยาบาลซึ่งคนที่สวมใส่อยู่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะใส่ใจ ยุนโฮได้แต่ปลอบคนในอ้อมแขนไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ทำไม

    ตอนนี้น้ำตาของเค้ามันจะไหลลงมาตามท่วงทำนองเสียงสะอื้นของหญิงสาวเสียแล้ว..........

     

     

     

     

    ในที่สุดก็เจอกันจนได้ค่า

    รออ่านกันนานเลย พยายามอัพให้เร็วที่สุดแล้วคะ

    ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ชอบแล้วก็ติดตาม

    คำคอมเม้นมันเป็นกำลังใจที่ดีจริงๆนะเนี่ย อิอิ

    ตอนนี้แต่งไปได้ไงเนียยยย เขินจัง ฮ่าๆๆ

    แล้วก็เป็นกำลังใจให้คยูด้วยนะคะ แม่ยกทั้งหลาย

    ส่วนคนที่รอแทซูก็ใจเย็นๆนะคะ มันต้องปูเรื่องไปก่อนเนอะ

    เพิ่งเริ่มเรื่องไม่กี่บทเอง ตามเนื้อเรื่องยังไม่ได้เจอกันนิคะ

    แต่รับรองได้อ่านแน่นอนคะ เดี๋ยวไรท์เตอร์จัดให้เลย

    ไปแล้วค่า อ่านกันให้สนุก

    อย่าลืมคอมเม้นนะคะ ไรท์เตอร์ชอบคนอินจัด ฮ่าๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×