limited - limited นิยาย limited : Dek-D.com - Writer

    limited

    ...

    ผู้เข้าชมรวม

    142

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    142

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.พ. 51 / 02:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ...เมื่อคืนก่อน...ผมฝัน...ยามหลับนิทราบนเตียงนอนอุ่นสบาย

      ....แม้เค้าโครงเลือนลาง...แต่ผมกลับจำมันได้อย่างดี

      ......ยามอาทิตย์อัสดง...ริมป่าละเมาะ....ผมเดินเลาะทะเลสาป

      ...สุดลูกหูลูกตา....เมฆหมอกปกคลุมทั้งธารา...และพนาวัลย์


      ...แทบจะไร้จุดหมาย...เยื้องย่างอย่างแช่มช้า

      ......ดูดซึมบรรยากาศรอบกาย...อย่างกระหายและมิเคยพบเจอ


      ชั่วครู่...กลับพบนักบวชรูปหนึ่ง...ห่มนุ่งจีวรซีดเหลือง

      ...ศรีษะไร้ขนปกคลุม...ดุจประหนึ่งมิต้องการให้เหมือนผู้ใด

      ....วจียามเอื้อนเอ่ยช่างศักสิทธิ์....ดั่งมีอิทฤธ์ปาฏิหารย์

      นี่คือเรื่องราวที่ผมได้สนทนากับท่านมา

      ...หนุ่มน้อยเอ๋ย...ที่ใดคือที่เจ้าจากมา...ใช่สวรรค์บนเมฆา..หรือวังอสุราในอาจม

      ....มิว่าด้วยเหตุผลอื่นใด...นั่งพักก่อนมาณพ สหาย...ชั่วครู่ผ่อนสบาย....ทั้งร่างกายและอารมณ์

      ผมนั่งลงเคียงข้างนักบวชท่านนั้นก่อนตอบคำถามท่านอย่างตรงไปตรงมา

      ...ข้ามิได้มาจากที่ใด...สืบได้เช่นเดียวกับท่าน...เราต่างมีที่มาเช่นเดียวกัน

      ...มิว่าปั้นสร้างจากมูลตรม...หรือจากการอภิรมย์ของเทวัน

      ....ข้าต่างจากท่านหรือไร?

      ...ถูกแล้วมาณพหนุ่ม..นักบวชไร้เกศาตอบ...ต่างเพียงข้านั้นหลุดพ้น...ทั้งจากโลกียวิสัย...และจากมวลมนุษย์โดยทั่ว

      .เนื่องเพราะศาสดาข้าสอนกล่าว...ถึงเรื่องราวข้อห้ามทุกสิ่งหน....สำนึกสำเหนียกอยู่แก่ตน...จึงหลุดพ้นจากบาปและโลกา

      ...เหตุนั้นท่านจึงเชื่อว่าหลุดพ้น?.. ข้าตอกกลับ

      ....เหตุนั้นท่านจึงเชื่อว่าหลุดพ้น?...เพียงเพราะเครื่องนุ่งห่มและสรีระของท่านเช่นนั้นหรือ....

      ...เพราะการวางตัวเช่นนั้นหรือ....เพราะการปฏิบัติตนเช่นนั้นหรือ?

      หากเป็นเช่นนั้น..มิอาจกล่าวได้ว่า ผู้อื่นจักมิหลุดพ้นเลยใช่หรือไม่?

      ...นักบวชผงกศรีษะเป็นเชิงตอบรับ

      ....ดุจดั่งเพลิงแห่งถ้อยวจีแผดเผา...ใจข้ารุ่มร้อนแทบมอดไหม้...

      ....ขอให้ท่านจงสำเหนียกในความเป็นท่านเถิด...เพราะการหลุดพ้นของมนุษย์มิใช่ด้วยคุณงามความดี

      ...แต่เป็นด้วยความเชื่อและแรงกระตุ้นทางศาสนาต่างหาก...เช่นนั้นแล้ว การที่ข้าถือวิสาสะนั่งสนทนากับท่าน...มิได้เกิดประโยชน์อันใดเลย...

      ท่านจงหมั่นจำศีลภาวนาเถิด..หากท่านเชื่อว่านั่นคือหนทางในการหลุดพ้น

      ....ข้าพรวดลุกขึ้นด้วยความรีบเร่ง...ด้วยมิอาจอดทนมองหน้านักบวชไร้เกศาได้แม้เพียงอีกชั่วยาม...

      ...ข้าจึงเดินต่อไป..แว่วเสียงสวดลอยตามกระแสลมเบื้องหลัง...และถูกธาราหมอกกลืนไป...

      ...ไม่ช้านานข้าพบนักบวชอีกรูปหนึ่ง...ช่างแตกต่างจากรูปแรกราวสุดลึกห้วงมหรรนพ...จรดจนถึงท้องฟ้านภากาศ

      ....นักบวชองค์นี้นุ่งห่มขาว...เกศายาวเหยียดแต่ม้วนรัดไว้บนศรีษะ.. 

      ...สายตาเหยียดหยามคล้ายดั่งสามารถมอบความต่ำทรามให้บุคคลทั้งโลก..โดยมิเกี่ยงว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง..

      ....มิเพียงหนวดเครารุงรัง...กลิ่นสาปเหม็นคลุ้งยังรุนแรงยิ่ง...ดั่งมัจฉามิเคยหยั่งวารี...

      .....วจีเอื้อนเอ่ยดั่งพสุธากัมปนาท...แม้นกษัตริย์โซโลมอนยามพิพาทคงพิราบลงปฐพี...

      ...เจ้ามาแต่หนใด...และเหตุใดจึงด้นมา...ฉันท์มิตรหรือไพรี...เจ้าเยือนมาเพราะเหตุใด...?

      ....แก้วหูข้าคนึงอึงลั่น...สั่นเอี๊ยดอ๊าดด้วยกระแสเสียงดั่งฟ้าผ่าลงกลางทุ่ง...ท้องน้ำกระเพื่อมเป็นวงแลหายลับไป...

      ....เสียงสวดลอยเลื่อนมาตามธารหมอก...อนิจจา..อนิจจา...บุคคลที่ยังมีทุกข์เอย...

      ...นักบวชเกศายาวกล่าวเสียงดังกลบเสียงสวด...หุบปากไป!!เจ้าสุนัขแห่งดอกบัว...ในท้องที่นี้มิมีสถานให้ท่านกล่าวความ

      พลันเหลือบมองมาที่ข้าอีกครั้งด้วยสายตาแข็งกร้าว

      ...ข้าจึงตอบไป...ที่มาของข้านั้น..มิกระจ่างดั่งแก้วใส...หากแต่แน่ไฉไล...ดินน้ำไฟสร้างข้ามา..

      ...นักบวชเกศายาวถาม...รือเจ้าเป็นศิษย์แห่งเต๋า?

      ...ด้วยประโยคที่ท่านถาม...ข้ามิพล่ามให้มุสา...ก่อนโลกกำเนิดมา...สร้างมรรคาคือธาตุไฟ

      ...ยามไฟถือกำเนิด...แรงระเบิดสว่างไสว...ไม่นานเมื่อผ่านไป...ยังคงไว้ด้วยธาตุดิน

      ...พสุธาที่ระอุ...ลาวาพลุเดือดทุกแห่งหน...สุดทานที่จะทน..มิมีคนกำเนิดมา

      ..หากแต่อีกไม่นาน..พระแม่สร้างหยดน้ำ...ชีวิตและพฤกษา...กำเนิดมาและมั่นคง!!!!!

      ...นักบวชเกศายาวทำทีร้องอ้อเป็นเชิงเข้าใจ พลางกระแทกคำถามต่อไปด้วยความรุนแรง..

      ...เด็กน้อยเอ๋ย...เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้า....ศาสดาที่เจ้าเคารพคือผู้ใด!!?

      เมื่อนั้นข้าจึงตอบกลับไป

      ...มิมีหรอกท่านฤาษี...เพราะความดีทุกทั่วตน....อยู่ที่คนใช่ศาสดา

      ...หากแต่ข้าเคารพกฎของธรรมชาติ....เพราะธรรมชาติเป็นนิรันดร์

      ...ข้ามิหวังให้บรรลุ...ข้ามิได้หวังให้ศรัทธา....ข้าหาได้มีข้อกังขา...

      ...เพราะข้าเชื่อ...ในสิ่งที่ข้าเข้าใจ...และด้วยสิ่งที่ข้าเข้าใจ...ข้ามิได้หวังให้ใครเชื่อข้าเลย

      ...นักบวชเกศายาวร่ำร้องตะโกนเสียงแหบแห้ง

      ....เช่นนั้นจงไปเถิดเด็กน้อยเอ๋ย...ท่านมิได้เหมาะต่อข้าและวจีของข้า...เนื่องด้วยศาสดาข้ามีมติให้เคารพองค์ท่านเพียงผู้เดียว และมิมีผู้ใดเทียบเคียงท่านใด...

      ...ศาสนาอื่นมิใช่มิตร...ผู้รังสฤษฏิ์สรวงสวรรค์...อีกทั้งเหล่าชีวัน...ท่านนบีผู้สร้างมา...

      ....ข้าตะโกนกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน...

      ...มิต้องให้ท่านไล่ข้าหรอก...ท่านนักบวชเอ๋ย...วาจาท่านดั่งราชสีห์ผู้ฮึกเหิม..หากแต่แนวคิดท่านมิได้ต่างสิ่งใดจากมุสิกตัวกระจ๊อยเลย

      ...เอ่ยถึงผู้รังสฤษฏิ์...ทุกชีวิตล้วนสร้างสรรค์...ดำรงค์อยู่เพื่อกันและกัน...เหตุใดอันต้องสร้างมา

      ...เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง...ดั่งบทเพลงจากภูผา....คัดเลือกคุณลักษณา...ปรารถนาตัวตนเอง

      ..ผู้ใดสามารถสร้าง...วิจิตรงามจินตาหรา...เพราะแค่เหตุด้วยศรัทธา...บดบังตาท่านมืดมน

      ...ตื่นเถิดท่านนักบวช...คิดผนวกดูสักครา...พิจารณาด้วยไมตรี....

      ข้าสาวเท้าผ่านนักบวชไปอย่างรวดเร็ว...เสียงตะโกนด่าทอไล่หลังข้ามา

      ...มิมีผู้ใดอีก...มิมีผู้ใด...เพราะจักรวาลถูกรังสรรค์ด้วยมหาเทพแห่งศาสดาข้าเพียงผู้เดียว...

      ...อาทิตย์เริ่มคล้อยหลับ...ข้าสดับได้ยินเสียง...เสียงสวดเคล้าบรรเลง...ดั่งบทเพลงแห่งนาวา 

      ...เดินต่อไปอีกไม่กี่เพลา...จึงได้พบเห็นแหล่งที่มาของดนตรี

      ....เป็นนักบวชหนุ่มรูปหนึ่ง....แต่งกายมิดชิดปกปิดขึ้นถึงคอ...มือซ้ายถือตำหรับเล่นหนา..มือขวาชูนิ้วขึ้นแกว่งไปมา

      ...ที่ผิดแปลกกว่ากลับคือ...เครื่องดนตรีทุกชิ้นซึ่งลอยอยู่เหนือสระน้ำ..บรรเลงค์บทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า

      ...หาได้มีผู้จรรโลงสร้างไม่...แซ๊กโซโฟนไร้เป่า...หากแต่เสียงกลับกึกก้องกังวาล

      ...ไวโอลินขาดผู้สี....กลับโหยหวนออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

      .....เมื่อข้าย่างใกล้...นักบวชหนุ่มดั่งสดับได้ยิน...จึงหยุดเล่น

      ...เมื่อหันมายิ้มให้ข้า...ช่างเป็นรอยยิ้มที่จริงใจนัก..กระแสเสียงอบอุ่น..และมีพลัง..อีกทั้งแฝงด้วยมิตรไมตรี

      ...เอื้อนเอ่ยประโยคมหามิตร..ท่านเป็นศิษย์สำนักไหน...แท้จริงตัวข้าหาไยไพ...หากแต่ใจโหยหาและต้องการ

      ..ข้าจึงตอบกลับไป...

      ...ดูเถิด..ท่านผู้น่านับถือ....ข้าหาได้มีศาสนาใดไม่...ข้ามิมีความกล้าที่จะสร้างความดี...กล่าวโดยวจีสัตย์จริง

      ..อีกทั้งมิเคยมีราคีจากความชั่ว

      นักบวชหนุ่มมองด้วยสายตายิ้มแย้ม

      ...เช่นนั้นจงมาร่วมกับข้าเถิด...เพราะศาสดาข้ามิเคยแบ่งแยก...เพราะธุลีย่อมมาจากธุลี...

      ...มาร่วมกับข้านำพาตัวเองสู่โลกใหม่ที่สร้างสรรค์...ประกาศความรักที่ยิ่งใหญ่ให้เหล่าแกะฟัง...

      ...หากข้ามิเข้าร่วมเล่าท่านจักทำเช่นใด?....

      ..เช่นนั้นข้ามิอาจมอบความรักให้แก่ท่านได้...และเมื่อท่านละซึ่งสังขารา...อเวจีจะเปิดและรับท่านลงไป

      ...ผมสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ..อีกตนแล้วหรือนี่...โอ้ที่นี่เป็นที่ชนิดใดกันหนอ

      ...ผมเอ่ยวาจาอย่างแช่มช้า...

      ...ท่านมิได้ต่างใดเลยจากนักบวชสององค์ก่อนหน้านี้...ด้วยว่าท่านหาได้มองกระจกเงาผ่านจักษุของตนเองไม่

      ...ท่านมิได้มองพื้นดินและเหล่าสัตว์ป่าดั่งที่มันควรจะเป็น...

      ..ด้วยจำนรรจาของศาสดาท่านที่ตกทอด....ข้าขอให้ท่านละทิ้งมันไป...และจงมองพื้นดินใหม่ด้วยวิสัยของท่านเถิด

      ....เพราะธาราหาใช่สิ่งใดอื่น...ละไล้ลื่นละมุนเร้าละเลงหรา....

      ...และสัตว์ป่าคือสัตว์ป่า...เพราะสำหรับข้าที่ท่านกล่าวมานั้นเพียงอาลักษณ์...ท่านมิได้ตระหนักถึงความจริงเลย

      ...ด้วยมิรอช้า ผมมิอาจเอื้อนเอ่ยวจีใดได้อีก...จ้ำเท้าหนีไปอย่างรวดเร็ว

      ...เสียงดนตรีบรรเลงไล่หลังผม...แต่มิได้สามารถสอดแทรกเข้าสู่ห้วงคำนึงของผมได้เลย

      ....ผมเดินได้ดั่งมิรู้เหน็ดเหนื่อยและอีกไม่นานผมแทบสะดุ้งจนสิ้นสมประดี

      ...เมื่อได้ยินเสียงน้ำฟาดกระจายกลางทะเลสาป...คลื่นลูกใหญ่โถมเข้าหาฝั่ง..

      ...และทันใดนั้นก็หยุดลง...ที่ยืนตระหง่ำค้ำข้าอยู่คือสิ่งแปลกประหลาดร่างสูงใหญ่

      ...สี่เศียร...เศียรหนึ่งข้างมีหนึ่งจักษุหนึ่งนาสิก...ร่างกายอ้วนบวมดั่งสุกร...เกล็ดเล็กใหญ่แวววาวดั่งทับทิมมรกต

      ...มันคำรามลั่นมิเป็นภาษา...

      ...ข้าหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก..แต่หักใจให้เก่งกล้า

      ....ท่านเป็นใคร...ข้าเอ่ยถาม...

      ....เศียรหนึ่งตอบกลับมา...

      ....เหล่าข้าหาได้มีบทนามไม่..เมื่อข้าเกิดจากไข่องค์ราชัน..ฟูมฟักข้ามา

      ...ข้านับถือท่านดุจบิดา...สิ่งได้ท่านประสงค์...ข้าย่อมจงหามันมา

      ...ราชาข้าสุขุม...มิเคยบุ่มรือผลีผลา...สิ่งใดท่านสร้างมา...ข้ามิกล้าว่าไม่งาม

      ....เพราะข้าเกิดในถิ่นท่าน...ข้าจึงซึ้งในพระมหากรุณา...และมิเคยยินยอมให้ผู้ใดดูถูกเลย

      ....ราชาท่านอยู่เหนือกฎหมายหรือ?

      ....มิเพียงกฎหมาย...ท่านอยู่เหนือทุกอย่าง

      ....ราชาท่านเป็นผู้สามารถยิ่งหรือกระไร?

      ....แน่นอนเพราะท่านมิใช่บุคคลธรรมดา

      ....ราชาท่านกระทำได้ในทุกสิ่งหรือไร?

      ....แน่แท้ยิ่งกว่าสัจธรรมแห่งโลกา!!!...สัตว์ประหลาดกล่าว

      ...ข้าจึงตอบกลับไป

      ....ก่อนเกริ่นกล่าวท่านควรทราบให้สำเร็จ....เนื่องเพราะมิอาจมีผู้ใดสามารถยืนเหนือผู้อื่นได้อย่างถูกต้องหรอก

      ...บัลลังค์ราชาท่านอาจสร้างด้วยโลหิตหรือเงินตรา...แต่มิใช่ด้วยน้ำมิตรหรือความเคารพแน่นอน...ยำเกรงล่ะไม่แน่

      ..เพราะโลหิตต่างสถิตสีแดงฉาน...เมื่อเจ็บป่วยล้มหายเหลือวิญญาณ...มิอาจพาลว่าตนเหนือคนใด

      ...สัตว์ประหลาดโกรธายิ่งนัก...ฟาดน้ำกระจุยกระจายเป็นฝอย

      ...ท่านมิอาจลบหลู่ราชาข้า...บัลลังค์ที่ได้มา...หาใช่มาเพราะโลหิตคน

      ...อ้อ ใช่สิ!! ข้ากล่าว

      ...โลหิตใดก็คงมิใช่โลหิตมนุษย์ตามทัศนะของราชาท่านดอก...

      ..เนื่องเพราะในสายตาผู้สูงส่ง...ย่อมมิมองสิ่งใดที่ต่ำกว่า...หากแต่ต้องการให้ตนเองสูงขึ้นไปเรื่อยๆ..

      ...ด้วยคนเหล่านี้..ข้าปรารถนาเหลือเกินที่จะเห็นพวกมันตกลงมา!!!!

      ...เจ้าจงลี้ไปจากที่นี่ในบัดดล...สัตว์ประหลาดจักษุเดียวกล่าว

      ...เจ้าสัตว์วิปลาส..เจ้าหาได้มีเพียงร่างกายวิปริต...หากแต่จิตใจเจ้าก็เฉกเช่นกัน

      ...เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตรงมา...หมายจะขย้ำข้าให้ราญรอญ

      ....ข้าสะดุ้งตื่น...จากนิทรา...ไร้วาจาจะเอ่ยสรรค์....นั่งนิ่งตึกตรองจำ....คิดถึงคำที่ผ่านมา

      ...เนื่องเพราะฝันประหลาด...ข้อพิพาทน่ากังขา....ล่วงคล้อยร้อยเพลา...ทิฐิพาให้มืดมน

      ...ซักซ้อนหรือสับสน...มิต้องพ้นรืออาสา...สุดท้ายอยู่..ที่มรรคา......สติพาผ่านพ้นเอย...


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×