...เมื่อคืนก่อน...ผมฝัน...ยามหลับนิทราบนเตียงนอนอุ่นสบาย
....แม้เค้าโครงเลือนลาง...แต่ผมกลับจำมันได้อย่างดี
......ยามอาทิตย์อัสดง...ริมป่าละเมาะ....ผมเดินเลาะทะเลสาป
...สุดลูกหูลูกตา....เมฆหมอกปกคลุมทั้งธารา...และพนาวัลย์
...แทบจะไร้จุดหมาย...เยื้องย่างอย่างแช่มช้า
......ดูดซึมบรรยากาศรอบกาย...อย่างกระหายและมิเคยพบเจอ
ชั่วครู่...กลับพบนักบวชรูปหนึ่ง...ห่มนุ่งจีวรซีดเหลือง
...ศรีษะไร้ขนปกคลุม...ดุจประหนึ่งมิต้องการให้เหมือนผู้ใด
....วจียามเอื้อนเอ่ยช่างศักสิทธิ์....ดั่งมีอิทฤธ์ปาฏิหารย์
นี่คือเรื่องราวที่ผมได้สนทนากับท่านมา
...หนุ่มน้อยเอ๋ย...ที่ใดคือที่เจ้าจากมา...ใช่สวรรค์บนเมฆา..หรือวังอสุราในอาจม
....มิว่าด้วยเหตุผลอื่นใด...นั่งพักก่อนมาณพ สหาย...ชั่วครู่ผ่อนสบาย....ทั้งร่างกายและอารมณ์
ผมนั่งลงเคียงข้างนักบวชท่านนั้นก่อนตอบคำถามท่านอย่างตรงไปตรงมา
...ข้ามิได้มาจากที่ใด...สืบได้เช่นเดียวกับท่าน...เราต่างมีที่มาเช่นเดียวกัน
...มิว่าปั้นสร้างจากมูลตรม...หรือจากการอภิรมย์ของเทวัน
....ข้าต่างจากท่านหรือไร?
...ถูกแล้วมาณพหนุ่ม..นักบวชไร้เกศาตอบ...ต่างเพียงข้านั้นหลุดพ้น...ทั้งจากโลกียวิสัย...และจากมวลมนุษย์โดยทั่ว
.เนื่องเพราะศาสดาข้าสอนกล่าว...ถึงเรื่องราวข้อห้ามทุกสิ่งหน....สำนึกสำเหนียกอยู่แก่ตน...จึงหลุดพ้นจากบาปและโลกา
...เหตุนั้นท่านจึงเชื่อว่าหลุดพ้น?.. ข้าตอกกลับ
....เหตุนั้นท่านจึงเชื่อว่าหลุดพ้น?...เพียงเพราะเครื่องนุ่งห่มและสรีระของท่านเช่นนั้นหรือ....
...เพราะการวางตัวเช่นนั้นหรือ....เพราะการปฏิบัติตนเช่นนั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น..มิอาจกล่าวได้ว่า ผู้อื่นจักมิหลุดพ้นเลยใช่หรือไม่?
...นักบวชผงกศรีษะเป็นเชิงตอบรับ
....ดุจดั่งเพลิงแห่งถ้อยวจีแผดเผา...ใจข้ารุ่มร้อนแทบมอดไหม้...
....ขอให้ท่านจงสำเหนียกในความเป็นท่านเถิด...เพราะการหลุดพ้นของมนุษย์มิใช่ด้วยคุณงามความดี
...แต่เป็นด้วยความเชื่อและแรงกระตุ้นทางศาสนาต่างหาก...เช่นนั้นแล้ว การที่ข้าถือวิสาสะนั่งสนทนากับท่าน...มิได้เกิดประโยชน์อันใดเลย...
ท่านจงหมั่นจำศีลภาวนาเถิด..หากท่านเชื่อว่านั่นคือหนทางในการหลุดพ้น
....ข้าพรวดลุกขึ้นด้วยความรีบเร่ง...ด้วยมิอาจอดทนมองหน้านักบวชไร้เกศาได้แม้เพียงอีกชั่วยาม...
...ข้าจึงเดินต่อไป..แว่วเสียงสวดลอยตามกระแสลมเบื้องหลัง...และถูกธาราหมอกกลืนไป...
...ไม่ช้านานข้าพบนักบวชอีกรูปหนึ่ง...ช่างแตกต่างจากรูปแรกราวสุดลึกห้วงมหรรนพ...จรดจนถึงท้องฟ้านภากาศ
....นักบวชองค์นี้นุ่งห่มขาว...เกศายาวเหยียดแต่ม้วนรัดไว้บนศรีษะ..
...สายตาเหยียดหยามคล้ายดั่งสามารถมอบความต่ำทรามให้บุคคลทั้งโลก..โดยมิเกี่ยงว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง..
....มิเพียงหนวดเครารุงรัง...กลิ่นสาปเหม็นคลุ้งยังรุนแรงยิ่ง...ดั่งมัจฉามิเคยหยั่งวารี...
.....วจีเอื้อนเอ่ยดั่งพสุธากัมปนาท...แม้นกษัตริย์โซโลมอนยามพิพาทคงพิราบลงปฐพี...
...เจ้ามาแต่หนใด...และเหตุใดจึงด้นมา...ฉันท์มิตรหรือไพรี...เจ้าเยือนมาเพราะเหตุใด...?
....แก้วหูข้าคนึงอึงลั่น...สั่นเอี๊ยดอ๊าดด้วยกระแสเสียงดั่งฟ้าผ่าลงกลางทุ่ง...ท้องน้ำกระเพื่อมเป็นวงแลหายลับไป...
....เสียงสวดลอยเลื่อนมาตามธารหมอก...อนิจจา..อนิจจา...บุคคลที่ยังมีทุกข์เอย...
...นักบวชเกศายาวกล่าวเสียงดังกลบเสียงสวด...หุบปากไป!!เจ้าสุนัขแห่งดอกบัว...ในท้องที่นี้มิมีสถานให้ท่านกล่าวความ
พลันเหลือบมองมาที่ข้าอีกครั้งด้วยสายตาแข็งกร้าว
...ข้าจึงตอบไป...ที่มาของข้านั้น..มิกระจ่างดั่งแก้วใส...หากแต่แน่ไฉไล...ดินน้ำไฟสร้างข้ามา..
...นักบวชเกศายาวถาม...รือเจ้าเป็นศิษย์แห่งเต๋า?
...ด้วยประโยคที่ท่านถาม...ข้ามิพล่ามให้มุสา...ก่อนโลกกำเนิดมา...สร้างมรรคาคือธาตุไฟ
...ยามไฟถือกำเนิด...แรงระเบิดสว่างไสว...ไม่นานเมื่อผ่านไป...ยังคงไว้ด้วยธาตุดิน
...พสุธาที่ระอุ...ลาวาพลุเดือดทุกแห่งหน...สุดทานที่จะทน..มิมีคนกำเนิดมา
..หากแต่อีกไม่นาน..พระแม่สร้างหยดน้ำ...ชีวิตและพฤกษา...กำเนิดมาและมั่นคง!!!!!
...นักบวชเกศายาวทำทีร้องอ้อเป็นเชิงเข้าใจ พลางกระแทกคำถามต่อไปด้วยความรุนแรง..
...เด็กน้อยเอ๋ย...เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้า....ศาสดาที่เจ้าเคารพคือผู้ใด!!?
เมื่อนั้นข้าจึงตอบกลับไป
...มิมีหรอกท่านฤาษี...เพราะความดีทุกทั่วตน....อยู่ที่คนใช่ศาสดา
...หากแต่ข้าเคารพกฎของธรรมชาติ....เพราะธรรมชาติเป็นนิรันดร์
...ข้ามิหวังให้บรรลุ...ข้ามิได้หวังให้ศรัทธา....ข้าหาได้มีข้อกังขา...
...เพราะข้าเชื่อ...ในสิ่งที่ข้าเข้าใจ...และด้วยสิ่งที่ข้าเข้าใจ...ข้ามิได้หวังให้ใครเชื่อข้าเลย
...นักบวชเกศายาวร่ำร้องตะโกนเสียงแหบแห้ง
....เช่นนั้นจงไปเถิดเด็กน้อยเอ๋ย...ท่านมิได้เหมาะต่อข้าและวจีของข้า...เนื่องด้วยศาสดาข้ามีมติให้เคารพองค์ท่านเพียงผู้เดียว และมิมีผู้ใดเทียบเคียงท่านใด...
...ศาสนาอื่นมิใช่มิตร...ผู้รังสฤษฏิ์สรวงสวรรค์...อีกทั้งเหล่าชีวัน...ท่านนบีผู้สร้างมา...
....ข้าตะโกนกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน...
...มิต้องให้ท่านไล่ข้าหรอก...ท่านนักบวชเอ๋ย...วาจาท่านดั่งราชสีห์ผู้ฮึกเหิม..หากแต่แนวคิดท่านมิได้ต่างสิ่งใดจากมุสิกตัวกระจ๊อยเลย
...เอ่ยถึงผู้รังสฤษฏิ์...ทุกชีวิตล้วนสร้างสรรค์...ดำรงค์อยู่เพื่อกันและกัน...เหตุใดอันต้องสร้างมา
...เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง...ดั่งบทเพลงจากภูผา....คัดเลือกคุณลักษณา...ปรารถนาตัวตนเอง
..ผู้ใดสามารถสร้าง...วิจิตรงามจินตาหรา...เพราะแค่เหตุด้วยศรัทธา...บดบังตาท่านมืดมน
...ตื่นเถิดท่านนักบวช...คิดผนวกดูสักครา...พิจารณาด้วยไมตรี....
ข้าสาวเท้าผ่านนักบวชไปอย่างรวดเร็ว...เสียงตะโกนด่าทอไล่หลังข้ามา
...มิมีผู้ใดอีก...มิมีผู้ใด...เพราะจักรวาลถูกรังสรรค์ด้วยมหาเทพแห่งศาสดาข้าเพียงผู้เดียว...
...อาทิตย์เริ่มคล้อยหลับ...ข้าสดับได้ยินเสียง...เสียงสวดเคล้าบรรเลง...ดั่งบทเพลงแห่งนาวา
...เดินต่อไปอีกไม่กี่เพลา...จึงได้พบเห็นแหล่งที่มาของดนตรี
....เป็นนักบวชหนุ่มรูปหนึ่ง....แต่งกายมิดชิดปกปิดขึ้นถึงคอ...มือซ้ายถือตำหรับเล่นหนา..มือขวาชูนิ้วขึ้นแกว่งไปมา
...ที่ผิดแปลกกว่ากลับคือ...เครื่องดนตรีทุกชิ้นซึ่งลอยอยู่เหนือสระน้ำ..บรรเลงค์บทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า
...หาได้มีผู้จรรโลงสร้างไม่...แซ๊กโซโฟนไร้เป่า...หากแต่เสียงกลับกึกก้องกังวาล
...ไวโอลินขาดผู้สี....กลับโหยหวนออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
.....เมื่อข้าย่างใกล้...นักบวชหนุ่มดั่งสดับได้ยิน...จึงหยุดเล่น
...เมื่อหันมายิ้มให้ข้า...ช่างเป็นรอยยิ้มที่จริงใจนัก..กระแสเสียงอบอุ่น..และมีพลัง..อีกทั้งแฝงด้วยมิตรไมตรี
...เอื้อนเอ่ยประโยคมหามิตร..ท่านเป็นศิษย์สำนักไหน...แท้จริงตัวข้าหาไยไพ...หากแต่ใจโหยหาและต้องการ
..ข้าจึงตอบกลับไป...
...ดูเถิด..ท่านผู้น่านับถือ....ข้าหาได้มีศาสนาใดไม่...ข้ามิมีความกล้าที่จะสร้างความดี...กล่าวโดยวจีสัตย์จริง
..อีกทั้งมิเคยมีราคีจากความชั่ว
นักบวชหนุ่มมองด้วยสายตายิ้มแย้ม
...เช่นนั้นจงมาร่วมกับข้าเถิด...เพราะศาสดาข้ามิเคยแบ่งแยก...เพราะธุลีย่อมมาจากธุลี...
...มาร่วมกับข้านำพาตัวเองสู่โลกใหม่ที่สร้างสรรค์...ประกาศความรักที่ยิ่งใหญ่ให้เหล่าแกะฟัง...
...หากข้ามิเข้าร่วมเล่าท่านจักทำเช่นใด?....
..เช่นนั้นข้ามิอาจมอบความรักให้แก่ท่านได้...และเมื่อท่านละซึ่งสังขารา...อเวจีจะเปิดและรับท่านลงไป
...ผมสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ..อีกตนแล้วหรือนี่...โอ้ที่นี่เป็นที่ชนิดใดกันหนอ
...ผมเอ่ยวาจาอย่างแช่มช้า...
...ท่านมิได้ต่างใดเลยจากนักบวชสององค์ก่อนหน้านี้...ด้วยว่าท่านหาได้มองกระจกเงาผ่านจักษุของตนเองไม่
...ท่านมิได้มองพื้นดินและเหล่าสัตว์ป่าดั่งที่มันควรจะเป็น...
..ด้วยจำนรรจาของศาสดาท่านที่ตกทอด....ข้าขอให้ท่านละทิ้งมันไป...และจงมองพื้นดินใหม่ด้วยวิสัยของท่านเถิด
....เพราะธาราหาใช่สิ่งใดอื่น...ละไล้ลื่นละมุนเร้าละเลงหรา....
...และสัตว์ป่าคือสัตว์ป่า...เพราะสำหรับข้าที่ท่านกล่าวมานั้นเพียงอาลักษณ์...ท่านมิได้ตระหนักถึงความจริงเลย
...ด้วยมิรอช้า ผมมิอาจเอื้อนเอ่ยวจีใดได้อีก...จ้ำเท้าหนีไปอย่างรวดเร็ว
...เสียงดนตรีบรรเลงไล่หลังผม...แต่มิได้สามารถสอดแทรกเข้าสู่ห้วงคำนึงของผมได้เลย
....ผมเดินได้ดั่งมิรู้เหน็ดเหนื่อยและอีกไม่นานผมแทบสะดุ้งจนสิ้นสมประดี
...เมื่อได้ยินเสียงน้ำฟาดกระจายกลางทะเลสาป...คลื่นลูกใหญ่โถมเข้าหาฝั่ง..
...และทันใดนั้นก็หยุดลง...ที่ยืนตระหง่ำค้ำข้าอยู่คือสิ่งแปลกประหลาดร่างสูงใหญ่
...สี่เศียร...เศียรหนึ่งข้างมีหนึ่งจักษุหนึ่งนาสิก...ร่างกายอ้วนบวมดั่งสุกร...เกล็ดเล็กใหญ่แวววาวดั่งทับทิมมรกต
...มันคำรามลั่นมิเป็นภาษา...
...ข้าหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก..แต่หักใจให้เก่งกล้า
....ท่านเป็นใคร...ข้าเอ่ยถาม...
....เศียรหนึ่งตอบกลับมา...
....เหล่าข้าหาได้มีบทนามไม่..เมื่อข้าเกิดจากไข่องค์ราชัน..ฟูมฟักข้ามา
...ข้านับถือท่านดุจบิดา...สิ่งได้ท่านประสงค์...ข้าย่อมจงหามันมา
...ราชาข้าสุขุม...มิเคยบุ่มรือผลีผลา...สิ่งใดท่านสร้างมา...ข้ามิกล้าว่าไม่งาม
....เพราะข้าเกิดในถิ่นท่าน...ข้าจึงซึ้งในพระมหากรุณา...และมิเคยยินยอมให้ผู้ใดดูถูกเลย
....ราชาท่านอยู่เหนือกฎหมายหรือ?
....มิเพียงกฎหมาย...ท่านอยู่เหนือทุกอย่าง
....ราชาท่านเป็นผู้สามารถยิ่งหรือกระไร?
....แน่นอนเพราะท่านมิใช่บุคคลธรรมดา
....ราชาท่านกระทำได้ในทุกสิ่งหรือไร?
....แน่แท้ยิ่งกว่าสัจธรรมแห่งโลกา!!!...สัตว์ประหลาดกล่าว
...ข้าจึงตอบกลับไป
....ก่อนเกริ่นกล่าวท่านควรทราบให้สำเร็จ....เนื่องเพราะมิอาจมีผู้ใดสามารถยืนเหนือผู้อื่นได้อย่างถูกต้องหรอก
...บัลลังค์ราชาท่านอาจสร้างด้วยโลหิตหรือเงินตรา...แต่มิใช่ด้วยน้ำมิตรหรือความเคารพแน่นอน...ยำเกรงล่ะไม่แน่
..เพราะโลหิตต่างสถิตสีแดงฉาน...เมื่อเจ็บป่วยล้มหายเหลือวิญญาณ...มิอาจพาลว่าตนเหนือคนใด
...สัตว์ประหลาดโกรธายิ่งนัก...ฟาดน้ำกระจุยกระจายเป็นฝอย
...ท่านมิอาจลบหลู่ราชาข้า...บัลลังค์ที่ได้มา...หาใช่มาเพราะโลหิตคน
...อ้อ ใช่สิ!! ข้ากล่าว
...โลหิตใดก็คงมิใช่โลหิตมนุษย์ตามทัศนะของราชาท่านดอก...
..เนื่องเพราะในสายตาผู้สูงส่ง...ย่อมมิมองสิ่งใดที่ต่ำกว่า...หากแต่ต้องการให้ตนเองสูงขึ้นไปเรื่อยๆ..
...ด้วยคนเหล่านี้..ข้าปรารถนาเหลือเกินที่จะเห็นพวกมันตกลงมา!!!!
...เจ้าจงลี้ไปจากที่นี่ในบัดดล...สัตว์ประหลาดจักษุเดียวกล่าว
...เจ้าสัตว์วิปลาส..เจ้าหาได้มีเพียงร่างกายวิปริต...หากแต่จิตใจเจ้าก็เฉกเช่นกัน
...เจ้าสัตว์ประหลาดพุ่งตรงมา...หมายจะขย้ำข้าให้ราญรอญ
....ข้าสะดุ้งตื่น...จากนิทรา...ไร้วาจาจะเอ่ยสรรค์....นั่งนิ่งตึกตรองจำ....คิดถึงคำที่ผ่านมา
...เนื่องเพราะฝันประหลาด...ข้อพิพาทน่ากังขา....ล่วงคล้อยร้อยเพลา...ทิฐิพาให้มืดมน
...ซักซ้อนหรือสับสน...มิต้องพ้นรืออาสา...สุดท้ายอยู่..ที่มรรคา......สติพาผ่านพ้นเอย...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น