Intangible (One-shot)
นิยายตอนสั้นที่หากได้รับเสีงตอบรับดีอาจนำไปแต่งเป็นเรื่องยาว
ผู้เข้าชมรวม
172
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เคยส่งประกวดMatichon Awardปีที่3
ผมแต่งเนื้อหาให้เบาไม่รุนแรงมากนักเพราะผมเห็นว่าเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์สุดสัปดาห์ที่ใครๆก็อ่านได้จึงแต่งให้เด็กอ่านได้ด้วย ทว่าผมก็ไม่ลืมสอดแทรกประเด็นที่ผมต้องการสื่อ เปรียบเทียบสังคมกับโลกสมมุติที่ผมสร้างขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น พอผมได้มาอ่านเรื่องนี้ใหม่ ผมก็เข้าใจถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้เรื่องของผมสู้เรื่องที่ผ่านเข้ารอบสุด ท้ายไม่ได้ ตอนจบเรื่องสั้นนี้ไม่จบบริบูรณ์ แต่เป็นเหมือนOne-shotหรือPilotจุดเริ่มต้นของเรื่องที่สามารถตีแผ่ต่อได้อีก
หากกระแสตอบรับดี ผมอาจนำเรื่องนี้ไปแต่งเป็นเรื่องยาวต่อไปในไม่ช้า แต่ถ้าได้เป็นเรื่องยาวจริง คงต้องเสริมประเด็นและรายละเอียดที่จริงจังมากยิ่งขึ้นจนติดเรทPG
คิดเห็นเช่นไร ติชมได้เต็มที่เลยครับ
ก่อน เริ่มต้นเรื่องนี้ ขอกล่าวถึงสิ่งหนึ่ง อุดมการณ์ที่ผู้คนมากมายไฝ่ฝันถึง "ความเท่าเทียม" แต่ทว่า สังคมของเรา ทุกคนสามารถเท่าเทียมกันได้จริงหรือ? ในธรรมชาติเองก็มีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น เช่นในสังคมหมาป่า มักจะมีหมาป่าอยู่หนึ่งตัวที่มีอำนาจและจุดยืนอยู่เหนือกว่าลูกฝูงทั้งมวล
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
จะเป็นเช่นไรหากเหล่าสรรพสัตว์ต่างเท่าเทียมกัน?
ในโลก หรือมิติที่แตกต่างจากโลกปัจจุบันซึ่งเราอาศัยอยู่ มิใช่เพียงมนุษย์ที่เสมอภาคกัน แม้แต่สุนัข นก แมว หรือสัตว์อื่นๆซึ่งเดิมเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงนั้นต่างเทียบเท่ามนุษย์ โลกที่พวกสัตว์พัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบฮิวแมนนอยด์[1]
ไม่ว่าจะเป็นคนขาว คนผิวสี สุนัขพันธุ์ชิวาวา สุนัขพันธุ์ทาง แมวเปอร์เซีย หรือแมวพันธุ์ผสม ทุกคน ทุกตัวสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษากลางที่ทุกคนทุกตัวต่างเข้าใจกัน ก่อเกิดความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
แต่แล้วสันติสุขกลับจากไป เนื่องจากเหตุอัญมณีล้ำค่านาม ‘โฮลี่ สตาร์’ ได้ หายสาปสูญไป ความสับสนอลหม่านเข้าแทนที่ และค่อยๆแพร่กระจายไปอาณาเขตต่างๆ นำมาสู่ความแตกแยก ผู้คนบางกลุ่มออกมาบอกว่าอัญมณีอาจไม่ได้หายไป แต่อาจถูกขโมยก็เป็นได้ แล้วใครคือคนขโมยล่ะ? เคยได้ยินวลีนี้หรือไม่? ‘แมวขโมย’ เนื่องจากความเชื่อเก่าๆที่มองว่าเหล่าแมวมีภาพพจณ์เป็นหัวขโมย ทำให้พวกแมวตกเป็นผู้ต้องสงสัย และกลายเป็นที่น่าเหยียดหยามในสังคม กาลเวลาผ่านไป การสืบหาอัญมณีไม่คืบหน้า และความเกลียดชังทวีขึ้นจนผู้คนขับไล่พวกแมวออกจากชุมชนที่พวกเขาเคยอยู่ ไปอาศัยในเขตย่านสลัม แมวถูกปฏิบัติดั่งชนชั้นล่าง ไร้ซึ่งการให้เกียรติ เป็นได้แค่ลูกไล่ของสัตว์อื่นๆ
ในที่สุดความสงบสุขก็กลับมาอีกครั้ง... จริงหรือ? ความ เท่าเทียมของเหล่าเผ่าพันธุ์ต่างๆค่อยๆแตกสลาย การแบ่งยึดอำนาจเกิดมากขึ้น การที่จะประสานรอยร้าวของสังคมจะต้องลดความขัดแย้ง สิ่งที่จะลดความขัดแย้งนั้นได้ดีที่สุดคือความจริง และพวกเขานี่เองคือผู้ที่จะสืบเสาะหาความจริง พวกเขาคือ...
“ห้างหุ้นส่วนสามัญการเงิน และการบัญชี สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ?” เด็กหนุ่มกล่าวทักทายคนหน้าเคาน์เตอร์พร้อมตะเบ๊ะแบบนายทหาร
“สวัสดีค่ะ ดิฉันมีความประสงค์ให้ทางคุณห้างหุ้นส่วนตรวจสอบบัญชีของบริษัทหนึ่งหน่อยน่ะค่ะ” หญิงสาววัยราว 25ปี กล่าวทักทายกลับ และตอบคำถามของเขา
“อ้อ! คุณลูกค้านี่เอง รอสักครู่นะครับ ผมจะไปเรียกคุณเบนเนตต์มาให้” แม้จะฟังดูเป็นแนวคิดพิสดารที่ไม่พิจารณาทันทีว่าบุคคลซึ่งเข้ามาเยือนร้าน เป็นลูกค้า แต่เพราะมีความเป็นไปได้ที่ว่าอีกฝ่ายอาจแค่เข้ามาถามทาง หรือขอเข้าห้องน้ำ
เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ติดล้อ หมุนตัวและเขยิบเข้าใกล้ประตู
“รอก่อนค่ะ ดิฉันมีคำถาม” เธอเอ่ยรั้งชายหนุ่มเอาไว้
“ถ้าเป็นเรื่องงาน ถามคุณเบนเนตต์ดีกว่าครับ ผมจะไปตามให้เดี๋ยวนี้เลย...”
เธอถามก่อนเขาพูดจบ “ทำไมคุณมาทำงานที่นี่หรือคะ?”
“ก็ผมถูกจ้างมาน่ะครับ” เขาตอบกลับ และใช้นิ้วชี้เกาใบหน้าตนเอง แสดงออกถึงความงุนงง
“ดิฉันหมายความว่า ทำไม ‘แมว’ เยี่ยงคุณถึงมาทำงานที่นี่ล่ะคะ?” เธอกล่าวถามแมวหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่มีน้ำหนัก
“…” เจ้าแมวอึ้งตะลึง ได้แต่นิ่งเงียบ เขาถอยหลัง และเปิดประตูอย่างเชื่องช้า แล้วตะโกนไปข้างหลังบานประตู
“นี่คุณวิลล์! มีคนมองผมออกด้วยว่าผมเป็นแมวก่อนผมแนะนำตัวว่าเป็นแมวเสียอีก!”
“มันชัดเจนจะตาย ฉันได้กลิ่นนายนิดเดียว ฉันก็รู้แล้วว่านายเป็นแมว” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นหลังประตู
“นั่นเป็นเพราะคุณวิลล์ยังมีสัญชาตญาณดิบอยู่เยอะต่างหาก!” เจ้าแมวสนทนาโต้ตอบกลับเจ้าของเสียงทุ้ม
เสียงฝีเท้าตึงตังๆดังขึ้นต่อเนื่อง และดังขึ้นเรื่อยๆ
“ว่าใครดิบเถื่อนไม่ทราบ ห๊ะ!? ไอ้เหมียวฟิล!” จู่ๆสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดมาดเข้มก็พรวดออกมาจากประตู ทำให้แมวกับเก้าอี้ติดล้อที่เขานั่งหมุนติ้วๆ
“อ่า... โลกหมุนไปหมดเลย ชักเวียนหัวซะแล้วสิ...” แมวชื่อฟิล ดีดตัวขึ้นยืน
“ซะเมื่อไหร่” เขาพะยุงร่าง และรักษาสมดุลตัวเองเอาไว้ พรางชูสองนิ้วมือขวาและยิ้มซุกซน
“ครึกครื้นกันจังเลยนะครับ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู แต่ครั้งนี้เป็นน้ำเสียงที่แสนเรียบ แต่ช่างอ่อนโยน
“โอ้! มีแขกด้วยหนิครับ” อีกคนที่ออกมาจากหลังประตูคือมนุษย์ เขายิ้มให้หญิงสาวหน้าเคาน์เตอร์
“เกือบลืมไปเลย นี่คุณเบนเนตต์ คุณผู้หญิงท่านนี้ต้องการให้ตรวจบัญชีเงินอะไรสักอย่างนี่แหละ” ฟิลบอกกับมนุษย์
“เรามีลูกค้ามาหรอกหรอ!? ขอประทานอภัยอย่างสูงที่พวกกระผมเสียมารยาทครับ” สุนัขนามวิลล์โค้งตัวขอโทษ
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่ใส่ใจอยู่แล้ว” หญิงสาวยังคงพูดโดยใช้น้ำเสียงนิ่งๆ
“แล้วนี่ต่อหน้าลูกค้าเรียกคุณเบนเนตต์ว่าคุณเบนเนตต์ได้ยังไง? ต้องเรียกว่าผู้จัดการสิ” วิลล์ต่อว่าฟิลจนหูแมวรู่ลงด้านข้างเล็กน้อย และหางฟูๆตก
“แต่เมื่อกี้วิลเลี่ยมก็เรียกผมว่าเบนเนตต์ต่อหน้าคุณลูกค้านะครับ” มนุษย์ชื่อเบนเนตต์ ผู้เป็นผู้จัดการพูดเหน็บแนมวิลล์ ทำให้วิลล์หูตกไปอีกตัว
“ไม่เอาน่าทุกคน เมื่อสักครู่ยังร่าเริงกันอยู่เลย อย่าพึ่งทำตัวเศร้าสร้อยต่อหน้าคุณลูกค้าสิ”
“คุณเป็นผู้จัดการที่นี่สินะคะ”
“ครับผม ขอเชิญคุณลูกค้าเข้ามาคุยรายละเอียดงานในร้านด้วยครับ”
ทั้งสี่เข้าไปภายในร้าน และนั่งบนเก้าอี้ 4ตัว 4ทิศล้อมรอบโต๊ะกลม
“สรุปคือคุณอีฟมีความประสงค์ให้ทางเราตรวจสอบบัญชีบริษัทบริลเลี่ยนใช่มั้ยครับ?” เบนเนตต์ถาม
ส่วนลูกค้า อีฟ ก็ตอบกลับ “ถูกต้องค่ะ” และเบนเนตต์ก็ลุกขึ้น
“งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมเอกสารสักครู่นะครับ” แล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร
“แต่คุณอีฟก็สุดยอดจริงๆนะครับที่มองฟิลออกว่าเป็นแมว คุณเป็น...” วิลล์กล่าวชมเชย และพูดทิ้งระยะด้วยความสงสัย
“ดิฉันเป็นนกอินทรีย์ค่ะ”
“ว้าว! แสดงว่าคุณอีฟต้องสายตาดีสุดๆไปเลยน่ะสิ” ฟิลแสดงออกถึงความตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เขายกพวงหางขึ้นชู
“เพราะฟิลเป็นแมวเมนคูน ตัวจึงสูงกว่า และหน้าตาไม่ค่อยเหมือนแมวปกติทั่วไป เลยไม่ค่อยมีใครสังเกตว่าเขาเป็นแมวได้โดยทันที” วิลล์เสริม
นกอินทรีย์ขึ้นชื่อเรื่องสายตาอันแหลมคม เป็นนกที่จัดได้ว่าเป็นสัตว์สายตาดีที่สุดในโลก ซึ่งทำให้นกอินทรีย์มีความสามารถในการเก็บลายระเอียดสิ่งต่างๆในวิสัยทัศน์ จดจำลักษณะเฉพาะต่างๆ รวมทั้งปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่ผู้คนเผ่าพันธุ์อื่นสังเกตเห็นได้ยาก
“แล้วคุณสองคน...”
“ขอโทษที่ยังไม่ได้แนะนำตัวนะครับ ผมวิลเลี่ยม เป็นสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด และพนักงานอีกคน...”
“ฟิลิปส์ครับผม หรือจะเรียกผมว่าฟิลก็ได้ เป็นแมวเมนคูนครับ”
“ที่ดิฉันอยากถามคือทำไมแมว กับสุนัขถึงดูสนิทสนมกันล่ะ?”
“นั่นคงเพราะ...”
“ยิ่งคุณวิลเลี่ยมที่เป็นเยอรมันเชพเพิร์ด ทั่วไปสุนัขสายพันธุ์เยี่ยงคุณน่าทำงานเป็นตำรวจ ไม่ก็ทหารไม่ใช่หรือ?”
“ความจริง เมื่อก่อนผมก็ทำงานเป็นทหารแหละครับ แต่เพราะตอนสงครามขับไล่แมวออกนอกพื้นที่ ผมหนีหน้าที่เลยถูกปลดออกน่ะครับ”
“เป็นเช่นนี้เอง ดูคุณเป็นคนมีฝีมือ ช่างน่าเสียดายซะจริง แต่ก็เอาเถอะ อย่าได้เก็บที่ดิฉันถามไปคิดมากเลย”
“งั้นหรอครับ แหะๆ”
“ห้างหุ้นส่วนแห่งนี้มีมนุษย์เป็นผู้จัดการเสียด้วย จึงพอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีแมวเป็นพนักงาน ก็แค่พวกเผ่าพันธุ์หยิ่งยะโสที่ชอบใช้งานชนชั้นซึ่งอยู่ล่างกว่า”
“คุณอีฟ!” วิลล์เรียกชื่ออีฟด้วยความตกใจ แต่มีอีกเสียงที่ดังขึ้นต่อพอดิบพอดี
“ห้ามว่าร้ายคุณเบนเนตต์นะ!!” ฟิลล์หูตั้งชัน และใช้น้ำเสียงดุดันต่างจากเสียงแบบเด็กๆที่ผ่านมา
“ใจเย็นก่อนฟิล...” วิลล์พยายามห้ามปรามแต่
“จริงอยู่ที่ผมเป็นแมวแท้ๆแต่หน้าตาไม่สมแมวทำให้ไม่มีแมวตัวไหนอยากยุ่งด้วย และเพราะเป็นแมวเลยถูกเผ่าพันธุ์อื่นดูถูก แต่คุณเบนเนตต์น่ะคอยดูแลผม แถมใจดี แถม... ฮือ...” ฟิลเริ่มปล่อยโฮ และวิ่งออกจากห้องไปก่อนจบการสนทนา
“...” อีฟนิ่งเงียบไม่แสดงอารมณ์อันใด
“ขอประทานโทษคุณลูกค้าที่พนักงานของเราแสดงกริยาไม่เหมาะสมนะครับ”
“ค่ะ”
“แต่หากคุณว่าร้ายคุณผู้จัดการไปมากกว่านี้ ผมไม่ยอมนะครับ” วิลล์พูดเสริมด้วยแววตาจริงจัง
หลังจากนั้นเบนเนตต์ก็กลับมาพร้อมรายละเอียดนัดหมายกำหนดการต่างๆ ทางด้านฟิลก็ขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัว ส่วนวิลล์ก็จ้องอีฟชนิดไม่ให้คลาดสายตา พอคุยงานเสร็จ อีฟจึงขอตัวลาไปก่อน
บริษัทบริลเลี่ยนเป็นบริษัทที่ถูกก่อตั้งมานาน เดิมนั้นเป็นเพียงบริษัทธรรมดาบริษัทหนึ่ง แต่หลังจากคดีอัญมณี โฮลี่ สตาร์ หายสาปสูญ และเกิดการขับไล่แมว บริษัทนี้ก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว และมหาศาลจนกลายมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลก มีผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ และสุนัขรองลงมา แรงงานเกือบทั้งหมดของบริษัทเป็นแมว
ยามดึก ณ บริเวณหลังสำนักงานบริษัทบริลเลี่ยนนี้เอง อีฟกำลังเตรียมการบางสิ่ง แต่เธอยังคงนึกถึงคำพูดของเบนเนตต์
ระหว่างที่เธอสนทนากับเขา พอวิลล์ลุกออกจากห้องไป เธอจึงถือโอกาสถามคำถามเบนเนตต์
“เหตุใดคุณเบนเนตต์ถึงได้รับแมว กับสุนัขทหารเป็นพนักงานล่ะคะ?”
เบนเนตต์นิ่งไปชั่วครู่ และเอ่ยกึ่งถามกึ่งตอบ
“คุณอีฟเคยได้ยินมั้ยครับ? ‘ไม่สำคัญว่าแมวเป็นสีอะไร ขอให้จับหนูได้เป็นพอ’”
“…”
“สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สุนัขเทอร์เรีย แมวเปอร์เซีย อดีตสุนัขทหาร แมวเมนคูน หรือนก ขอแค่เป็นคนดีก็พอครับ” แล้วเขาก็ยิ้มให้เธอ
ประโยคนั้น และใบหน้ายามเบนเนตต์ยิ้มกริ่มยังค้างคาอยู่ในใจของเธอ เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ หรือพูดให้ดูดี ยิ่งเป็นคำพูดจากปากมนุษย์ ทำไมเธอถึงเก็บมาคิดจริงจัง ทำไมเธอถึงลืมรอยยิ้มของเบนเนตต์ไม่ลง ทั้งที่ตอนนี้เธอมีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าต้องทำ
อีฟเคยได้เข้าร่วมการเยี่ยมชมบริษัทหาผู้ร่วมลงทุนที่บริษัทบริลเลี่ยนจัดขึ้น และเธอก็สังหรณ์ใจถึงความผิดปกติ ทำให้เธอเริ่มสืบค้นบริษัทบริลเลี่ยนจนทราบว่าทางบริษัทพยายามปกปิดบางสิ่ง ถึงแม้บริษัทจะอ้างว่าให้ค่าแรง และเงินเดือนพนักงานสูง แต่ดูจากความมั่งคั่ง มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทนี้โกงเงินเดือนพนักงาน และสาเหตุที่ตำรวจไม่ดำเนินการคงเป็นเพราะเหล่าผู้เสียหายคือแมว เธอเคยแอบเข้าไปดูบัญชีที่ภายในบริษัทจัดทำ เธอจึงลองจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีภายนอกมาทำบัญชีจริงๆของบริษัท เพื่อพิสูจน์ว่าทางบริษัทได้ชอบโกงจริงหรือไม่... เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าทางบริษัทพยายามปิดบังอะไร... และในค่ำคืนนี้ เธอจะแอบลอบเข้าบริษัทอีกครั้ง
จากที่เคยเข้าร่วมการเยี่ยมชมบริษัท และการแอบลอบเข้าไปดูบัญชีบริษัทคราวก่อน อีฟพบว่ามีบริเวณหนึ่งของบริษัทที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเขา และไม่มีข้อมูลว่าบริเวณนั้นคืออะไร รวมทั้งจากการสังเกตการณ์คราวก่อน แม้จะมียามรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่ แต่กลับไม่มีการเข้าออกห้องในบริเวณนี้เลย อีฟจึงตัดสินใจไปตรวจสอบให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร
แต่ทว่า...
เพราะเหตุอันใดไม่อาจทราบ เหล่ายามรักษาความปลอดภัยที่เดิมจะเป็นแมว วันนี้กลับกลายเป็นสุนัข และนก ทำให้แผนวันนี้ของเธอล้มเหลว การแอบลอบเข้าไปในบริษัทยามวิกาลเป็นไปอย่างยากลำบาก และแล้วก็มียามบางส่วนพบเห็นเธอ แม้จะไม่ใช่การพบกันซึ่งๆหน้า แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในสถานที่นี้ อีฟหนีขึ้นไปชั้นบน คอยนึกไตร่ตรองถึงที่ซ่อนอันดีที่สุด ณ ตอนนี้ เธอเข้าไปซ่อนตัวในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเล็กๆซึ่งมืดสลัว มีเพียงแสงจันทราจากภายนอกส่องผ่านช่องหน้าต่าง
อีฟกำลังเข้าตาจน สถานการณ์เข้าใกล้คำว่าวิกฤตเข้าไปทีละนิด หรือจะว่าทีละฝีเท้าของหน่วยรักษาความปลอดภัยดี? เธอจะมาจนตรอกตรงนี้ไม่ได้ ต้องมีทางออกสิ คิดๆๆๆ ต้องมีทางรอดออกจากสถานการณ์แสนขับขันนี้ เธอบ่นพึมพำ
“ถ้าทางออก อยู่นี่แล้วครับ” เสียงเด็กหนุ่มดังก้องภายในห้องเก็บอุปกรณ์ซึ่งไม่น่ามีผู้อื่นนอกจากอีฟ
“เสียงนี้ เหมือนเคยได้ยิน...” เธอกล่าวลอยเบาๆ
“เราพึ่งคุยกันเมื่อเช้าเองนะครับ อย่าทำเป็นลืมกันสิ...”
อีฟพยายามจับต้นเสียง แล้วเธอก็พบ... แม้จะอยู่ในห้องมืดสลัว ที่มีเพียงแสงรอดจากกระจกที่เปิดอ้าไว้ แต่ก็พอเห็นเค้าโครง
“สวัสดียามดึกครับ” คนที่ปรากฏตรงนั้นคือแมวเมนคูนผู้ดูไม่สมเป็นแมว
“คุณฟิลิปส์!?”
“ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ผมยังไม่หายงอนเรื่องที่คุณอีฟพูดหรอก ต้องเกาคางผมเสียก่อนถึงหายงอนจะบอกให้” น้ำเสียงเด็กๆขี้เล่นแบบนี้ เจ้าพนักงานแมวจากห้างหุ้นส่วนการเงิน และการบัญชีจากก่อนหน้านี้ ใช่ฟิลแน่นอน
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?” เธอหลุดถามเบาๆเพราะประหลาดใจ
“ก็ปีนขึ้นมาสิครับ แค่ชั้น3เอง” ฟิลตอบ อีฟเอามือมาบังปาก ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ทั้งที่เธอพูดเบาเสียจนไม่น่ามีใครนอกจากเธอได้ยิน แล้วทำไม แมวหนุ่มตัวนี้ถึงได้ยิน และสามารถตอบโต้กับเธอได้อีก
“หนีไปไหนแล้ว!?”
“พวกนายไปตรวจดูบริเวณนู้น พวกฉันตรวจห้องบริเวณนี้เอง” เสียงสนทนาของเหล่ายามข้างนอกดังขึ้น
“ฟังจากเสียงคงอยู่ห่างไปประมาณ200เมตร และจากเสียงเท้าก็คงจะไปตรวจสอบห้องข้างๆก่อน” ฟิลวิเคราะห์อย่างสุขุม และอีฟก็นึกขึ้นได้
“คุณฟิลิปส์บอกว่ารู้ทางออกหรอคะ?”
“ใช่ครับผม”
“งั้นรีบหนีกันเถอะค่ะ!”
“เอาไงดีน๊า ผมยังงอนคุณอีฟอยู่เลย”
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนั้นนะคะ”
“ก็คุณอีฟดันกล่าวหาคุณเบนเนตต์หนิ ถึงจะเกาคางผม ผมก็หายงอนแค่70%” อีฟแอบนึกโมโหฟิลที่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้กาลเทศะ
“พวกข้างนอกอยู่ห่างจากบานประตู100กว่าเมตร...” ฟิลกล่าว เคยได้ยินว่าแมวเป็นสัตว์ที่ประสาทการได้ยินเยี่ยมยอด คงเป็นเรื่องที่มีมูลความจริง ทั้งสามารถได้ยินเสียงพูดค่อยๆของอีฟ และวัดระยะห่างจากเสียงข้างนอก แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น
“ถ้าดิฉันเกาคางให้ คุณฟิลิปส์จะยอมช่วยดิฉันสินะคะ?”
“เอาไงดี...” ฟิลพูดยังไม่จบ อีฟก็ลงมือลูบเกาคางของฟิล เขายิ้มเคลิ้ม หลับตาพลิ้ม หูกระดิกอย่างสุขใจ พร้อมครางเบาๆ
กึก! เสียงบิดกลอนประตูห้องด้านซ้ายมือดังขึ้น พวกยามใกล้เข้ามาแล้ว
“เอาล่ะ” ฟิลกระโดดถอยหลังไปนั่งเขย่งบนขอบหน้าต่าง
“เอ๊ะ!” อีฟตกใจจนเผลออุทาน
กึกๆ! “ประตูบานนี้ถูกล๊อคอยู่!”
“พังมันไปเลย!” พวกยามมากันถึงหน้าประตูแล้ว อีฟหันไปมองประตูอย่างร้อนรน และหันกลับมามองฟิล
“เร็วเข้าสิครับ พวกคนข้างนอกมากันแล้วนะครับ” ฟิลหย่อนตัวออกไปข้างนอกอาคารผ่านช่องกระจกจนถึงหน้าอก จากที่เห็นข้างนอก ตรงห้องนี้ของตึกไม่มีระเบียงให้ยืน เขาน่ากำลังใช้แขนเกี่ยวขอบหน้าต่างประคองตัวเอาไว้
ตึง! เหล่ายามรักษาความปลอดภัยเริ่มกระแทกบานประตู
“มาจับข้อมือผมได้เลยครับคุณอีฟ” ฟิลเปลี่ยนท่ามาเป็นใช้มือยันตัวเองขึ้นมาจากขอบหน้าต่างถึงรอบเอว
ตึง! เสียงกระแทกดังซ้ำอีกครั้ง
เวลานี้คงได้แต่เชื่อใจฟิล อีฟจับข้อมือฟิลตามที่เขาบอก
“เอาล่ะนะครับ” ฟิลทิ้งตัวออกไปข้างนอก เขาจับแขนอีฟไว้แน่น ฉุดเธอออกไปอีกตัว
ตึง! “หยุดอยู่ตรง...นั้น...?” พวกยามพังประตูเข้ามาได้สำเร็จ ทว่าไม่เหลือใครอยู่ในห้องเก็บของแล้ว
ส่วน ด้านฟิลกับอีฟซึ่งแม้เธอจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่กลับเงียบสงัด ไร้เสียงกรีดร้อง ทั้งคู่กำลังล่วงลงจากตึก แม้จะตกลงมาจากแค่ชั้นสาม ทว่าในมุมมองของอีฟ มีโอกาสพิการได้ ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์นก แต่ในโลกที่สัตว์ส่วนใหญ่พัฒนาเป็นรูปแบบฮิวแมนนอยด์ และมีสิ่งประดิษฐ์มากมาย การบินด้วยปีกของเหล่าสัตว์ปีกจึงค่อยๆหายไป
เมื่อถึงพื้นนอกอาคาร ฟิลเอาเท้าลง ค่อยๆย่อตัว เอนไปข้างหลัง รับร่างอีฟเอาไว้ ม้วนหลังหนึ่งตลบ วางอีฟที่แข็งถือ แล้วจึงยืนขึ้น
“หากจำไม่ผิด นกเมื่อก่อนบินด้วยตัวเองได้ ผมเลยนึกว่าคุณอีฟจะไม่กลัวความสูงซะอีก ดูท่าคุณจะเสียสัญชาตญาณไปโขเลย ฮะๆฮ่ะ” ฟิลขำ พร้อมยื่นมือ
“ไหวมั้ยครับ?” อีฟไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่งมือให้ฟิล เธอยังคงอาการขวัญผวา เขาดึงเธอขึ้นมายืน คอยประคองเธอไว้
“ผู้บุกรุกต้องยังอยู่แถวนี้แน่ รีบไปหาตัวเร็ว!” เหล่ายามกล่าวผ่านเครื่องกระจายเสียงของบริษัท
“พวกเราก็รีบไปหาที่ปลอดภัยก่อนเถอะครับ” แล้วฟิลก็เริ่มพาอีฟหนี ในสถานการณ์เช่นนี้เธอคงต้องตามฟิลไปก่อน
“คุณฟิลิปส์คะ” อีฟเรียกฟิลระหว่างที่เขาพาเธอหนีอยู่
“อะไรหรอครับ?”
“ทำไม คุณฟิลิปส์ถึงมาอยู่กับมนุษย์ และสุนัขทหารสองคนนั้นได้ ทั้งๆที่แมวอย่างคุณน่าจะจงเกลียดจงชังพวกมนุษย์ กับสุนัขยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์อื่นไม่ใช่หรือคะ?” เนื่องจากมนุษย์นั้นมีความละโมบจนเอ่อล้น เลยเอาแต่เบียดเบียนสัตว์อื่น และเพราะสุนัขถูกมองว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์จึงได้รับการดูแลเป็น พิเศษจากมนุษย์จนผยอง อีฟรู้ดีว่าแม้นี่จะเป็นคำถามที่ดูไม่เหมาะสม ยิ่งเวลาเช่นนี้ แต่มันเป็นข้อสงสัยอย่างมากสำหรับเธอ
“ผมน่ะเกลียดทุกคนไม่ลงหรอกครับ”
“…”
“การจะเกลียดเผ่าพันธุ์ไหนสักเผ่าหมายถึงการเกลียดทุกคนที่ร่วมเผ่าพันธุ์นั้น เกลียดแม้แต่คนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ผมทำเรื่องใหญ่โตแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“…” พอเธอได้ยินฟิลตอบ อีฟก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“และผมก็เชื่อว่า ในสังคมนั้นยังมีคนดีๆเหมือนคุณเบนเนตต์ กับคุณวิลล์แน่นอนครับ” เขาหันหลัง พร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตรให้
“แล้วผมจะเกลียดพวกเขาลงได้ยังไง?”
“คุณฟิลิปส์...นั่นสินะคะ ถ้าอยากให้เกิดสันติสุข แต่หากมัวคิดอคติกับฝ่ายต่างๆ ความสงบสุขที่แท้จริงจะกลับมาได้ยังไง” เธอยิ้มตอบ แม้จะเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ แต่นั่นคือใบหน้ามีความสุขที่เธอไม่เคยแสดงให้พวกเขาเห็นมาก่อน ฟิลหัวเราะคิกคักเล็กน้อยก่อนหยุดนิ่ง
“ถึงแล้วล่ะครับ” ฟิลเอ่ย อีฟมองไปรอบๆ ไม่มีประตู หรือทางเข้าออกอาคาร มีแต่รั้วกำแพงกั้นพื้นที่ของบริษัทจากภายนอก อีฟสรุปได้ว่าพวกเธอกำลังปีนหนีจากทางนี้
“ฮึบ!” ฟิลกระโดดสูง แต่ไม่ได้ไปข้างหน้าทางกำแพง แต่ตีลังกากลับหลังไปนั่งยองบนขอบระเบียงชั้น2
“คุณอีฟโดดขึ้นสูงที่สุดเท่าที่ทำได้เลยครับ”
“เอาจริงๆหรือคะ?”
“จริงแท้แน่นอน” ถ้าถามว่าอีฟรู้สึกเช่นไร เธอคงบรรยายสิ่งที่เธอคิดไม่ถูก ฟิลดันทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคาดเดามาก่อน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพวกตนพึ่งโดดลงมาจากชั้น3ของตึกโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ และภาพตอนนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าก่อนหน้าที่ฟิลกล่าวว่าปีนขึ้นตึกนั้นเป็นจริง
พวกยามจะมาเจอเธอที่นี่เมื่อไร เธอไม่อาจรู้ได้ เธอรู้แค่เพียงว่า เธอต้องเชื่อใจแมวตัวนี้
“โดดล่ะนะคะ” อีฟกระโดดเต็มแรงให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็มิอาจสูงใกล้เคียงระเบียงชั้น2เลย เธอลอยเคว้งคว้างกลางอากาศ
“โดดได้สวยมากครับ” ฟิลเปลี่ยนท่ามาเป็นใช้เท้าเกี่ยวขอบระเบียง ทิ้งตัวมาจับแขนทั้ง2ข้างของอีฟไว้ และดีดตัวกลับ
อีฟถูกฉุดขึ้นไป และไม่เพียงเท่านั้น ฟิลเหวี่ยงตัวเธอสูงขึ้นไปอีก พอเธอลอยขึ้นไปถึงชั้น3 ก็มีมือลอดออกมาจากช่องหน้าต่างดึงตัวเธอเข้าไปในอาคาร ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเสียจนเธอจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คุณอีฟไม่เป็นอะไรนะครับ…? ให้ตายเถอะ เจ้าฟิลนี่เล่นแรงเอาเรื่องนะเนี่ย” เสียงทุ้มซึ่งคุ้นหูดังขึ้นเหนือหัวอีฟ ประชิดเธอเลยว่าได้ ไออุ่น และสัมผัสอ่อนนุ่มโอบล้อมเธอเอาไว้
“!” พออีฟตั้งสติได้ เธอจึงสังเกตว่ามีคนโอบกอดเธอไว้ เธอประคองตนเอง และดันอีกฝ่ายออกห่างช้าๆ และคนที่ช่วยเธอไม่ใช่ใครอื่น แม้ห้องจะมืด แต่แสงจากภายนอกก็พอทำให้เห็นลางๆ สุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด สุนัขตัวนี้คือวิลล์นี่เอง
“ถึงจะดูน่าหวาดเสียว แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีทีเดียวนะครับ” ชายในความมืดผู้น้ำเสียงเรียบ และอ่อนโยนเอ่ย
“เราย้ายไปห้องนั้นเลยดีมั้ยครับ?” วิลล์หันไปทางความมืด และถาม พรางจับบ่าอีฟเอาไว้หลวมๆ
“นั่นสินะครับ ดูเหมือนฟิลิปส์จะไปเตรียมตัวที่ห้องนั้นเรียบร้อยแล้วเสียด้วย” พอชายผู้นั้นพูดจบ วิลล์ก็จูงอีฟไปส่งต่อให้เขาช่วยดูแล และเดินหายไปในความมืด อีฟสัมผัสมือปริศนาในเงามืด มือของมนุษย์
“คุณคือ...คุณเบนเนตต์”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” เบนเนตต์กล่าวทักทายด้วยวลีที่ปกติใช้ยามกล่าวก่อนเข้านอน แต่นี่ก็เป็นเวลาควรนอนจริงๆ
ครืดดด! เสียงเลื่อนวัตถุหนักดังขึ้น
“ไปกันเถอะครับ” เบนเนตต์จูงมืออีฟให้ตามเข้าไปในความมืด จู่ๆก็มีแสงสว่างแยงตาอีฟทำให้เธอหลี่ตาลงโดยทันที พอดวงตาเริ่มคุ้นเคย ปรับเข้ากับสภาพรอบข้างได้ อีฟจึงพบว่าตนอยู่ในห้องสีขาวที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนจนกลายเป็นห้องทำ งานขนาดย่อมที่ไร้หน้าต่าง มีเพียงประตูเดียวที่เป็นทางเข้าออก และหลอดไฟซุปเปอร์แอลอีดี2ดวงให้แสงสว่างกับห้อง
“จริงสิ งานทำบัญชีของบริษัทบริลเลี่ยนตั้งแต่6ปีก่อนถึงวันที่ปัจจุบันเสร็จแล้วนะครับ คุณลูกค้าสนใจดูเลยหรือไม่ครับ?” เบนเนตต์ถามอีฟ ขณะเขากำมือของเธอเอาไว้
“เอ๊ะ!” อีฟรีบฉุดมือของเธอกลับมาจากเบนเนตต์ แล้วถอยหลังสร้างระยะห่าง เธอยังคงสับสนกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งๆที่เธอสืบบริษัทบริลเลี่ยนมาได้สักพักใหญ่แล้ว แต่เธอไม่รู้เรื่องห้องนี้เลย และเหล่าพนักงาน รวมทั้งผู้จัดการร้านห้างหุ้นส่วนที่พึ่งพบเจอกันได้ไม่นาน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ แถมยังดูชำนาญสถานที่มากเสียด้วย และยังเรื่องงานบัญชีอีก เธอพึ่งจะขอให้ทำบัญชีได้ไม่ถึงวัน แล้วทำไมถึงทำย้อนหลังไปได้ถึง6ปีเชียว
“คราวนี้นายเล่นแรงไปจริงๆนะฟิล” วิลล์ตำหนิฟิล
“ก็สถานการณ์มันบีบนี่นา” ฟิลพยายามพูดแก้ตัว
“ผมว่าฟิลิปส์อยากเล่นสนุกมากกว่านะครับ ก็ฟิลิปส์ชอบโลดโผนนี่เนอะ” คราวนี้เบนเนตต์เหน็บแนมฟิล
“ขอโทษครับ” ฟิลเศร้า
“แต่ก็ดีแล้วที่ฟิลิปส์ปลอดภัย” เบนเนตต์เดินตรงไปลูบหัว เกาคางฟิล
“หมิวๆ” ฟิลหัวเราะ ยิ้มเล็กยิ้มใหญ่ร่าเริงมีความสุข
“พวกคุณเป็นใครกันแน่?”
“งั้นคงต้องพักเรื่องงานไว้ก่อนสินะครับ...” เบนเนตต์หยุดลูบหัวเกาคางฟิล แล้วหันทั้งตัวมาทางอีฟ
“ผมเป็นมนุษย์ มีชื่อว่า ‘เบนเนตต์’ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เบนเนตต์กล่าวแนะนำตัวใหม่ ตอนนี้เธอเห็นชัดว่าเขาเปลี่ยนมาใส่เสื้อโค้ทดำยาวทับเสื้อเชิ้ดสีเทาเข้ม และกางเกงดำขายาว
“และนี่สหายของผม ฟิลิปส์แมวเมนคูน และวิลเลี่ยมสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ด” อีฟเลื่อนตามองวิลล์ที่ยืนตรงมือขัดหลัง และเลื่อนตาไปทางฟิลที่ยืนโยกเยกไปมาพรางตะเบ๊ะขวา
“พวกผมเห็นแล้วว่าคุณมีจุดประสงค์อันใด คุณเชื่อว่าบริษัทบริลเลี่ยนนี้เป็นคนขโมยอัญมณี โฮลี่ สตาร์ และโยนความผิดให้พวกแมวใช่ไหมครับ?”
“!”
“ดูท่าจะใช่นะครับ คุณเบนเนตต์” ฟิลกล่าวจากที่วิเคราะห์ท่าทางของอีฟที่ตอบสนองคำถามของเบนเนตต์
“แต่คุณอีฟครับ ความจริงแล้วบริษัทนี้ไม่ใช่คนขโมยหรอกนะครับ” เบนเนตต์เอ่ย
“ว่าไงนะ!?” อีฟอุทาน
“จากที่พวกผมสืบกันมาหลายปีนี้ เราพบว่าบริษัทนี้ไม่ใช่ขโมย แต่บริษัทนี้มีเบาะแสของอัญมณีอยู่ครับ” วิลล์เสริม
“คุณ อีฟคิดว่าถ้าความจริงของอัญมณีถูกเปิดเผย สันติสุขจะกลับมาสินะครับ แท้จริงแล้วรอยแตกร้าวของสังคมคงไม่สามารถสมานได้ทันที แม้อัญมณีจะถูกพบ แต่มันก็เป็นแค่ก้อนหินที่นำมาเป็นเพียงข้ออ้างแห่งความขัดแย้ง ความสงบสุขที่แท้จริงจะยังไม่กลับมา เพราะฉะนั้น...” เบนเนตต์ล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทด้วยมือซ้าย และยื่นมือขวา
“คุณอีฟครับ สนใจมาร่วมค้นหาความจริง พร้อมนำความสงบสุข และความเสมอภาคกลับมากับพวกผมมั้ยครับ?” เบนเนตต์ก็ยิ้มเล็กน้อย แต่กลับแลดูอ่อนโยนมาก อ่อนโยนจนเธอรู้สึกอบอุ่น ไร้ความสับสน
อีฟนิ่งเงียบครู่หนึ่ง เธอยื่นมือขวาไปจับมือขวาของเบนเนตต์ไว้แน่น และจึงค่อยเอ่ย
“ขอฝากเนื้อฝากตัวค่ะ”
นี่คือการพานพบของอีฟ กับอดีตสุนัขทหารผู้ปฏิเสธภารกิจอยุติธรรม และทำตามความเชื่อมั่นของตนเอง แมวผู้ไม่สมแมวซึ่งเป็นที่เหยียดหยามของสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ และเป็นที่หวาดกลัวของเผ่าพันธุ์ตนเอง แต่ยังคงพร้อมรักผู้คน และมนุษย์ที่น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เห็นแก่ตัว และหยิ่งที่สุด แต่กลับอ่อนโยนอย่างน่ามหัศจรรย์จนเป็นที่รักของมิตรสหาย
และนี่ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับการผจญภัยตามล่าหาความเท่าเทียม และความสุขอันแท้จริงกลับมาสู่สังคม
ผลงานอื่นๆ ของ ArtibeNecoL ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ArtibeNecoL
ความคิดเห็น