ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เต้ย ตอน ภัสตราวรณ์

    ลำดับตอนที่ #2 : หีบเหล็ก (๑)

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 53


    บทที่ ๒

    หีบเหล็ก


    นับตั้งแต่จำความได้ สิ่งเดียวที่เต้ยจำขึ้นใจไม่เคยลืมเลือน คือ เบื้องหลังของชายสูงสง่าแต่งตัวประหลาดยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าในความฝัน ในวันที่เขาดีใจที่สุด เศร้าใจที่สุด ตกใจที่สุด กระวนกระวายที่สุด กังวลที่สุด หรือเสียใจมากที่สุด แต่เท่าที่ผ่านมานั้น ชีวิตดูจะเสียใจมากที่สุด สาเหตุหนึ่งเดียวก็น่าจะมาเกิดจากผู้ปกครองคนเดียวของเขา ป้าของแท้ๆ เขานั่นเอง แม้จะไม่ใช่หลานที่สืบสายเลือดกันมาโดยตรงก็ตาม 

    เพราะไม่กี่ปีก่อนเต้ยได้รู้จากปากของลุงชาติว่า ตัวเองไม่ใช่หลานแท้ๆ เพราะพ่อของเต้ยเป็นลูกติดของย่าก่อนมาแต่งงานกับปู่ ซึ่งเป็นพ่อของลุงชาติและป้ามล แกจึงบอกว่า ป้ามลแกเกลียดพ่อของเต้ย เพราะคิดว่าเป็นคนทำให้แม่หรือเมียคนแรกของปู่ตาย แต่ลุงชาติไม่คิดอย่างนั้น เพราะสนิทกับพ่อของเต้ยด้วยความที่นอนด้วยกันตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านซอยปรารถนา ซึ่งเป็นบ้านเก่าประจำตระกูลของเต้ย ก่อนจะรื้อหลังเก่าแล้วสร้างใหม่เป็นบ้านที่เขาอาศัยอยู่ปัจจุบัน

    ดังนั้นกว่าสิบห้าปีที่ผ่านมาไม่มีความรู้สึกดีใดๆ เลยที่เต้ยจะใช้อธิบายความเป็นป้ามลได้ หรือที่คนในละแวกบ้านรู้จักในชื่อ ป้าอารี ครูสอนโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด โรงเรียนเดียวกับที่เต้ยเรียนก่อนจะย้ายไปเรียนโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำจังหวัดเมื่อสามปีที่แล้ว 

    และตอนนี้ชีวิตเด็กม.ต้นของเขาก็จบลงไปได้สองเดือนกว่าๆ กับทางเลือกใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อได้รับอนุญาตอย่างไม่เต็มใจให้ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ซึ่งเหตุผลจริงๆ ที่เขาเลือกจะไปสอบนั้นป้ามลคงไม่มีทางรู้

    สิ่งหนึ่งที่เต้ยประหลาดใจเกี่ยวกับป้าของเขาเอง คือ แกจะอัธยาศัยดีกับทุกคนรอบข้าง ยกเว้นคนเดียวคือหลานของแกเอง ลุงชาติเคยให้เหตุผลอย่างขำๆ อีกข้อว่า

    “อารมณ์เหงาของสาวทึนทึกไงละ” และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ป้ามลไล่ตีเต้ยรอบบ้าน และไม่คุยด้วยเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เมื่อคำพูดนี้หลุดจากปากเต้ยเข้าหูแก

    ส่วนลุงชาตินั้นเป็นพี่ชายของป้ามล ญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เต้ยสนิทด้วยที่สุด แม้ว่าจะอยู่กันคนละบ้านก็ตาม เพราะแกมีบ้านสวนปลูกส้มอยู่แถวสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่ย้ายไปหลังแต่งงาน เนื่องจากป้านี เมียแกเป็นลูกสาวคนเดียว และห่วงสวนที่ตกทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่ด้วยความที่เอ็นดูเต้ยเป็นพิเศษ แกจึงบอกป้ามลให้ส่งเต้ยมาอยู่กับแกทุกๆ ปิดเทอม

    ลุงชาติแกเป็นคนขี้เล่น ติดตลก และมีอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา ผิดกันราวฟ้ากับเหวกับป้ามล น้องสาวแท้ๆ ที่เงียบขรึม เจ้าระเบียบ และหน้ามึนตึงอยู่ตลอดเวลา

    คำถามเดียวที่เต้ยเฝ้าถามคนอื่นบ่อยๆ ตั้งแต่จำความได้ คือเรื่องพ่อแม่ เพราะไม่เคยมีใครเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และทุกครั้งที่ถามลุงชาติก็จะเงียบไม่ตอบก่อนจะเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น 

    มีครั้งหนึ่งที่แกหลุดปากพูดเรื่องแม่ออกมาตอนที่นอนเอกเขนกบนเก้าอี้ยาวนอกชานเรือนรับลมเย็นทุกคืนหลังอาหารเย็น ซึ่งปกติแกจะเล่าเรื่องราวของปู่และย่าให้ลูกหลานที่นั่งอ้าปากหวอฟังทุกคืนๆ แต่พอแกรู้ตัวว่าหลุดอะไรออกไป แกก็ไม่กลับไปพูดถึงมันอีก

    “ครอบครัวทางแม่แก เขาเจออุบัติเหตุรถระเบิดตายยกครัว แกก็เหลือแต่ลุงกับป้านี่แหล่ะไอ้เต้ยเอ๊ย” เต้ยตบยุงที่มากัดต้นแขน ก่อนจะพูดเสียงแจ้วๆ ไปยังลุงชาติ

    “แล้วแม่ละ” ลุงชาติแกสูบบุหรี่เข้าไปจนปลายแดงวาบ

    “หายไปไหนไม่รู้ ไม่ติดต่อกลับมา ป่านนี้คงหนีไปมีผัวใหม่แล้วมั้ง” ลุงชาติพูดลอยๆ ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พระจันทร์สีขาวสะอาดลอยเด่นอยู่บนนั้น

    “ไม่จริง” เต้ยโพล่งเสียงดังขึ้น จนไอ้รอด ลูกพี่ลูกน้องอายุอ่อนว่าที่นั่งสัปหงกข้างๆ สะดุ้งขึ้น ลุงชาติแกจึงเอามือไปตบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู

    “เออ ไม่จริงก็ไม่จริงวะ แต่ไม่แน่ถ้าเอ็ง เป็นเด็กดี เรียนเก่งๆ สอบได้ที่หนึ่ง สักวันแม่แกอาจจะกลับมาหาเข้าก็ได้” ก่อนจะรู้ความจริงในประโยคนี้ว่ามันไม่จริงก็ต่อเมื่อนั่นเต้ยตั้งใจเรียนจนสอบได้ที่หนึ่ง เขาไปนั่งที่บันไดหน้าบ้านจ้องไปทางประตูรั้วบ้านไม่วางตาหวังว่าแม่จะกลับมาพาเขาออกไปจากบ้านหลังนี้ จนดึกดื่นป้ามลต้องมาลากเข้าบ้านทั้งตีทั้งดุด่า เขาก็ยังคงมานั่งอย่างนั้นจนเป็นไข้เลือดออก พอหายป่วยเต้ยก็สำนึกได้เองว่า คำพูดหลอกเด็กของผู้ใหญ่ เชื่อไม่ได้เอาเสียเลย 

    นับแต่ครั้งนั้นเขาก็เฝ้าถามลุงเรื่องนี้บ่อยๆ ด้วยความสนิทสนม จนในที่สุดคำตอบที่ออกมาจากปากดูเหมือนจะหัวเสียกับการที่เต้ยถามเรื่องนี้หนักขึ้น

    “ไปถามป้าแกนู้น”  

    และเมื่อเขาทำอย่างนั้นป้ามลก็จะทำกิริยาเหมือนลุงชาติในตอนแรกๆ แต่เต้ยรู้วิธีหาคำตอบจากป้ามล  เพราะประสบการณ์หลายปีที่อยู่ด้วยกันมา คือ ถามบ่อยๆ แต่เว้นช่วงนานๆ ครั้งแล้วถามอีก ซึ่งต่างจากการถามลุงชาติที่ถามได้เรื่อยๆ  แต่ครั้งสุดท้ายที่เต้ยถาม ไม่รู้เพราะป้าแกไปหงุดหงิดอะไรมาจากที่ไหนหรือเพราะความรำคาญ

    เต้ยจำวันนั้นได้ดีราวกับมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหนราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมฯ โรงเรียนเดียวกันกับที่ป้ามลสอรอยู่ วันนั้นเป็นวันแม่ที่โรงเรียนจัดกิจกรรมและหยุดโรงเรียนครึ่งวัน และเป็นวันหนึ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุด เพราะปมที่ถูกล้อเรื่องแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก เขาจึงแกล้งป่วยขอคุณครูแล้วกลับมาดูโทรทัศน์ที่บ้าน  

    ในตอนเย็นหลังจากที่ป้ากลับมาจากโรงเรียน เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์คุ้นหูของรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของแกดังมาแต่ไกล และต้องรีบวิ่งไปรับของก่อนที่จะโดนดุ ทั้งๆ ที่การ์ตูนอิ๊กคิวซังของโปรดกำลังเล่นอยู่ในจอทีวี  เมื่อมาถึงป้าก็ดุเต้ยยกใหญ่ฐานที่เขารีบกลับมาไม่บอกก่อน เพราะปกติป้าต้องรอเต้ยกลับพร้อมกันทุกครั้ง แต่จะให้เต้ยไปบอกได้ไง เมื่อป้าขึ้นไปช่วยงานวันแม่บนหอประชุมตั้งแต่เช้า ที่ที่เขาไม่อยากย่างกรายเข้าไปมากที่สุดวันนี้  เขาเลยนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านก่อน

    บรรยากาศในห้องครัวยังคงเหมือนเดิม ตอนนั้นเต้ยจำได้ว่าเขาอายุประมาณสิบขวบและยังช่างพูดช่างคุยและช่างถามมากกว่านี้  ซึ่งป้ามลก็จะให้คำตอบเฉพาะคำถามที่ตอบได้เท่านั้น เขานั่งขูดมะพร้าวบนกระต่าย ก่อนจะโพล่งขึ้นมาตอนที่ป้ามลกำลังตักน้ำแกงขึ้นมาชิมรสจากหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊ส น้ำแกงในหม้อเดือดปุดๆ  ส่งกลิ่นเครื่องแกงฉุนไปทั่ว 

    “ป้า พ่อกับแม่เต้ยอยู่ไหนอ่ะ” เขามองไม่เห็นสีหน้าของป้าเพราะแกหันหลังให้ แต่เต้ยสังเกตเห็นมือของป้าหยุดชะงักก่อนที่แกจะทำท่าเหมือนชิมน้ำแกงตามปกติ แล้วเดินไปหยิบขวดน้ำปลามาเหยาะลงบนช้อนแล้วเทลงในหม้อ

    “วันนี้วันแม่ ครูให้ร้อยมาลัยตอนเช้า ทุกคนมีพวงมาลัยไปให้แม่ แต่เต้ยไม่มีคนให้ร้อยให้ ก็เลยเอาไปไหว้พระแทน” เต้ยพูดเหมือนเล่าเรื่องไปเรื่อย น้ำเสียงของเขาดูร่าเริง คงเพราะเขาชินชากับความที่เด็กแถวบ้านชอบเรียกว่า ไอ้เด็กไม่มีพ่อมีแม่ หรือ ไอ้ลูกกำพร้า เสียแล้วมั้ง

    “แกอย่ามาพูดเรื่องพ่อแม่ให้ฉันได้ยินอีก รำคาญ” น้ำเสียงเรียบและเย็นชาดังมาจากด้านหลังของหญิงสูงวัยกว่า

    “งั้นป้าก็บอกมาซะทีชิว่า พ่อแม่อยู่ไหน จะได้เลิกถาม” เต้ยขึ้นเสียงขึ้นนิดนึง คราวนี้ป้าหันหน้ามาเผชิญกับเต้ยแล้วขว้างช้อนในมือลงบนพื้นเสียงดังแคร้ง ร่างผอมสูงของแกสั่นเทิ้ม ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นแข็งทื่อ

    “แก...อย่า...มา...ขึ้น...เสียง...กับ...ฉันนะ” ป้ามลเค้นคำพูดและลงน้ำหนักเสียงชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาที่ขอบตา

    “เต้ยไม่ได้ขึ้นเสียงนะ” เต้ยกัดฟันกรอดลอดเสียงผ่านไรฟัน

    “อย่ามาเถียง ฉันนี่มันหาเรื่องจริงๆ เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอม นอกจากแกจะไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังเนรคุณอีกต่างหาก ไม่เคยสำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดหัวแกอยู่ทุกวันเลยใช่มั๊ย บอกไม่รู้จักฟัง...” ป้ามลตวาดแหวกลับมา 

    “ทำไมป้าไม่ให้เต้ยไปอยู่กับคนอื่นหล่ะ ไปอยู่กับลุง..” เต้ยตัวสั่นเทิ้มเขาโกรธกับความไม่มีเหตุผลของป้าและทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาเอ่อล้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโกรธและกลัว เพราะป้ามลไม่เคยดุขนาดนี้มาก่อน

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทำไม แกอยู่กับฉันแล้วมันทรมานมากหรือไง ฉันเลี้ยงแกมาเนี่ย อยู่แล้วมันลำบากลำบนอึดอัดมากใช่มั๊ย” ป้ามลเดินค้ำสะเอวเข้ามาใกล้ เสียงสั่นเทิ้มดังขึ้นๆ จนก้องหูเต้ยไปหมด

    “ป้าก็บอกมาซิว่า พ่อแม่เต้ย...” เต้ยตะโกนสุดเสียงดังออกไปโดยไม่รู้ตัว

    “หุบปาก แกรู้ไปจะช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมั๊ย แม่แกจะกลับมามั๊ย ไปซิไปนั่งคอยอีกซิ แกนั่งจนตายมันก็ไม่กลับมาหรอก” น้ำตาของเต้ยเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    “พ่อแกมันตายไปนานแล้ว ตั้งแต่แกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ส่วนแม่แกมันก็ไม่ดูดำดูดีหนีไปซุกหัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ป่านนี้มันคงมีผัวใหม่ มีลูกใหม่ไปเรียบร้อยแล้วมั้ง มันไม่มาแยแสแกหรอก แกมันก็แค่หมาหัวเน่า ลูกนอกคอก ไม่มี...”

    ปัง! และเสียงสุดท้ายที่เต้ยได้ยินก่อนสติทั้งหมดจะดับวูบลง คือ

    “แกหายหัวไปไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ อย่าคิดว่าจะหนีฉันพ้น” ภาพสุดท้ายที่เต้ยเห็นผ่านม่านน้ำตามัวๆ คือ ห้องครัวที่สั่นไหวเลือนรางไปหมด

    หลังจากนั้นก็มีคนพบเต้ยนอนขดอยู่หลังกองขยะท้ายซอยตอนเช้า พอพากลับมาที่บ้านก็ไข้ขึ้นสูงจนลุกจากเตียงไม่ได้ ลุงชาติต้องมาจากบ้านสวนและอยู่เฝ้าไข้แทนป้ามลที่ไม่ยอมเหยียบพ้นประตูห้องของเต้ยเข้ามาเลย  หลายครั้งที่เต้ยเห็นป้าแกยืนจ้องมองด้วยสายตาเย็นชามาจากด้านนอกขอบประตู 

    ในช่วงที่ไม่สบายนั้น เต้ยจำได้ลางๆ ว่า กลางดึกที่ตื่นขึ้นมาก็จะได้ยินเสียงผู้หญิงมาร้องกล่อมให้หลับทุกคืน เต้ยคิดว่านั่นคือเสียงแม่ที่กลับมาหา แใ้อยากจะลืมตามาดูหน้าแม่และถามว่า แม่ทิ้งเขาไปทำไม แต่พิษไข้ก็กดเปลือกตาเขาไว้จนเปิดขึ้นมาได้ยาก ก่อนสติจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

    นับจากนั้นเต้ยก็ไม่คุยกับป้าอย่างมากก็แค่ถามคำตอบคำและไปนั่งรอแม่ที่หน้าบ้านเป็นเวลาเกือบสองเดือน เดือดร้อนจนลุงชาติต้องขับรถมายกเหตุผลร้อยแปดกับเต้ย เรื่องก็จบลงเมื่อเต้ยยอมออกไปขอโทษป้าที่มีทีท่าเฉยชา และนั่นเป็นการทะเลาะกับป้ามลรุนแรงที่สุดตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่นับรวมการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ที่จบลงด้วยความปราชัยของเต้ยและบทลงโทษนับไม่ถ้วนสารพัดวิธีที่ทำให้จำไปตลอดช่ัวชีวิตของเต้ยจนถึงตอนนี้

    “ทำไมลุงชาติไม่เอาเต้ยมาอยู่ด้วย ป้ามลแกเกลียดเต้ยจะตาย” อีกคำถามหนึ่งที่เต้ยชอบไถ่ถาม นอกจากเรื่องของพ่อและแม่ และทุกครั้งก็จะได้คำตอบจากปากลุงชาติว่า

    “ป้าแกตัวคนเดียว เลี้ยงแกได้สบายกว่าไหนๆ ดูลุงซิ ไหนจะป้านี ไอ้หลง ไอ้รอด คนงานในสวนอีก บ้านลุงหน่ะมันบ้านนอกไม่ดีเท่าในเมืองหรอก” เต้ยก็จะสวนค้านกลับทุกครั้งแต่ก็ยอมเงียบแล้วไม่ถามอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้ารอด สนับสนุนพ่อไปทุกครั้งเพราะมันอยากอยู่ในเมืองแต่กลัวป้ามล และโดยเมื่อเต้ยพยายามขอป้ามาอยู่กับลุงชาติ แกก็จะขู่ไม่ให้เต้ยมาหาลุงชาติ ถ้ายังพูดเรื่องนี้อีก

    “พ่อบอกว่า ป้ามล นอกจากแกจะดุแกยังงกอีกด้วย หีบที่อยู่ในห้องพระนะ เขาว่ามีแต่เหรียญทองเป็นกำๆ แต่ที่แกหวงสุด พ่อบอกว่าอยู่ในหีบเหล็กข้างเตียงแก” ข้อความที่ไอ้รอดเล่าให้ฟังยังวนเวียนวนหัวจนตอนที่เต้ยพยายามแงะหีบทั้งหมดในห้องพระ หรือแม้แต่แอบเข้าไปงัดหีบเหล็กในห้องนอนป้ามล แต่ก็ไม่สำเร็จแถมยังถูกจับได้และโดนฟาดด้วยไม้ขนไก่ เขาจึงไม่ไปยุ่งกับหีบเหล่านั้นอีก

    *

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×