ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {GOT7} all about Jr. & Mark (NiorMark)

    ลำดับตอนที่ #1 : {OS} r e m e m b e r (Jr. x Mark)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 57








     

     

    มาร์ค ต้วน

    เขารู้จักคนชื่อนั้น

    เป็นชื่อที่ค่อนข้างจะคุ้นเคย

    เป็นชื่อที่ติดอยู่ในส่วนหนึ่งของความทรงจำ

    เฮ้ ถ้าบอกแบบนั้นจะดูน้ำเน่าไปหรือเปล่า

     

                    เอาเป็นว่าก็เคยรู้จักกันแค่นั้นล่ะน่า

     

     

    .

     

     

     

                    อากาศในตอนเที่ยง ใต้ถุนของตึกคณะไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ยังพอมีลมพัดให้อากาศถ่ายเทบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังคงเลวร้ายสำหรับคนขี้ร้อนอย่างปาร์คจินยองอยู่ดี

                    เขากำลังนั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ไม้เข้าชุดกับโต๊ะตัวยาว   ในความหมายที่ว่าตัวคนเดียวแบบโดดเดี่ยวน่ะนะ เพราะเก้าอี้ในฝั่งตรงข้ามกันนี้มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่

                    ปาร์คจินยองกำลังใช้สมาธิกับชิ้นส่วนพลาสติกเล็กๆที่เรียกว่าเลโก้อาจจะดูไร้สาระหากมีคนมาเห็นว่านักศึกษาชั้นปีที่สองอย่างเขากำลังจดจ่ออยู่กับมัน

                   

                    แต่คิดเหรอว่าเขาจะสนใจน่ะ                        

                    เลโก้ที่ค่อนข้างจะเป็นรูปร่างทำให้เดาออกได้ไม่ยากว่าจะเป็นรูปแบบไหน

                    อืม เขากำลังสร้างปราสาทที่มีเจ้าหญิงเจ้าชาย…. เป็นของขวัญวันเกิดให้น้องสาวข้างบ้าน(อายุอานามประมาณ 4 ขวบ)สุดแสนจ้ำม่ำ

     

                   

                    แล้วก็ย้ำอีกครั้ง

                    ปาร์คจินยองกำลังใช้สมาธิ

     

     

                    แต่ตอนนี้เขากำลังถูกทำลายสมาธิ

                   

                   

    “แต่เค้กกล่องนี้ฉันทำเองเลยนะคะ” เป็นเสียงหงอยๆที่ถูกดัดให้แปรผันตรงกับสีหน้าของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง

     

    แน่นอนว่าคนที่ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยไม่ใช่ปาร์คจินยอง

     

     

    แต่เป็นผู้ชายผมสีแดงสดที่ดูคุ้นตานั่นต่างหาก

     

     

                    “ช่วยรับมันหน่อยเถอะนะคะ”  เสียงเจื้อยแจ้วยังคงเอ่ยเซ้าซี้อย่างไม่หยุดหย่อนในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เอื้อมมือมารับสิ่งที่อยู่ในมือนั่นสักที

                   

                    กล่องเค้กในมือของฝ่ายหญิงเหมือนจะถูกทิ้งให้เป็นหม้ายก็ไม่ปาน

                    ดูที่ถุงก็รู้แล้วว่าเป็นเค้กร้านอร่อยที่เขากับเพื่อนชอบไปนั่งทานบ่อยๆ ทำเองงั้นเหรอ เชื่อก็แปลก

     
                   เป็นเขาถ้าเห็นถุงแบบนี้จะรีบรับแล้วสวาปามให้เกลี้ยง

     

    เอ่อ แต่ปาร์คจินยองไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรอกนะ

     

    “ถ้ารุ่นพี่ไม่ยอมรับมัน ฉันจะร้องไห้แล้วนะคะ” น้ำตาที่เริ่มคลอกับมุมปากที่ตกลงส่งเสริมคำพูดเป็นอย่างดีแต่บอกตรงๆเลย เขาชักจะรำคาญซะแล้ว

    เพราะหากยังต่อเจ้าเลโก้นี่ไม่ให้เสร็จมีหวังโดนเด็กอ้วนนั่นงอนเพราะจินยองอปป้าไม่มีของขวัญให้แน่ๆ

     

    ทำได้แค่ภาวนาให้เจ้าคนผมแดงรีบรับมันไปไวๆ 

     

    แล้วก็เหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้คำขอของเขาอย่างไรอย่างนั้น

    สายตาเลิ่กลั่กหันมาสบกับเขา ปากขยับพูดแบบไม่มีเสียงเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่นี้เป็นคนที่ตนรู้จัก

     

    ช่วยหน่อย

     

    ช่วยหน่อย

     

    ช่วย

     

    จริงๆจะทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจมันเลยก็ได้  ถ้าคำสั้นๆเพียงสองพยางค์นั้นไม่ได้มาจากปากของมาร์ค ต้วนอีเอิน

     

     

    แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเขาจะช่วยยังไงนี่ล่ะ

     

    ยังไม่ทันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นร่างที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ก็มานั่งแหมะลงอยู่ที่ข้างกายเขาซะก่อน

    “รรับไม่ได้หรอก ขอโทษด้วยนะ” เป็นประโยคที่คนข้างกายเขาในตอนนี้เอ่ยกับหญิงสาวที่ยังคงถือกล่องเค้กเก้อ และคงจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษถ้ามาร์คคนฮอตไม่สอดแขนมาคล้องไว้กับแขนของเขา

     

     

     

    “เดี๋ยวแฟนหึง”

     

     

     

     

    .

     

     

     

     

     

     

                    เหมือนความอ่อนล้าจะเป็นเส้นชัยที่เอาไว้พุ่งชน  และถ้าเปรียบแบบนั้นประตูห้องก็คงจะเป็นเส้นชัย

                    จินยองล้มตัวนอนบนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากนำกระดานที่รองปราสาทเลโก้กับบรรดาชิ้นส่วนที่ยังต่อไม่เสร็จวางไว้บนโต๊ะทำงานเมื่อผ่านเส้นชัยมาได้แล้ว

     

    ยังคงต่อไม่เสร็จ

    จริงๆต้องบอกว่าไม่คืบหน้าจากเดิมเลยคงจะดีกว่า

                   

     ก็ใครใช้ให้คนอย่างมาร์ค ต้วนพูดออกมาแบบนั้นกัน ความรู้สึกในตอนนั้นคือดีใจมากๆ ใจเต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกมา แต่นั่นก็เพียงแค่ชั่ววูบก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยคำที่ทำให้ใจดวงเดิมนั้นห่อเหี่ยวและแฟบยิ่งกว่าลูกโป่งถูกปล่อยลม

    ขอโทษด้วยนะ พูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกไป

    ขอโทษทำไมกัน

    ขอโทษที่ทำให้รู้สึกดีใจเก้อหรือยังไง

    ขอโทษที่พูดออกมาจนทำให้เขาเกือบจะถามว่าจริงหรือใช่รึเปล่า

    หรือว่าขอโทษที่พูดคำที่ไม่วันกลับมาเป็นได้

     

     

    ยอมรับเลยก็ได้ ว่าปาร์คจินยองคิดถึงไอ้คนตัวเล็กผมแดงนั่นมากแค่ไหน

    แฟนเก่าที่หลายๆคนใช้เป็นคำนิยามจำกัดความสัมพันธ์ของพวกเขานั่นไม่ทำให้รู้สึกใจหายเท่ากับท่าทีที่ทำเหมือน คนไม่รู้จักกันของมาร์คหรอก

     

                    เหนื่อยใจ

                ก่อนจะกลับมาที่ห้องที่อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยนี่ก็นั่งห่อเหี่ยวอยู่หลายสิบนาที คิดว่าแค่อยากจะพัก  จนลืมไปเสียสนิทว่าห้องนี้ก็สามารถทำให้เขาห่อเหี่ยวมากกว่าเดิมได้เหมือนกัน

     

                    ก็เตียงข้างๆกันนี่ก็ของมาร์ค

                    ตู้เสื้อผ้าว่างเปล่าข้างๆเตียงว่างเปล่านั่นก็เคยใส่เสื้อผ้าของมาร์ค

                    แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว แม้แต่รองเท้าแตะเก่าๆคู่หนึ่งบนชั้นรองเท้านั่นก็ของมาร์ค

                    ร่องรอยทั้งหมดของมาร์คยังคงอยู่ในเมื่อไม่มีใครย้ายมาเข้ามาเป็นรูมเมทคนใหม่ของเขาสักที

     

                    ทั้งอดีตรูมเมท อดีตแฟน

                    มาร์คเหมามันทุกตำแหน่งเลย

     

     

     

    .

     

     

     

              “จ้องขนาดนั้น เดินเข้าไปแล้วงับเขาเข้าไปทั้งตัวเลยง่ายกว่ามั้ยวะ”  เสียงของเพื่อนตัวสั้นดังขัดในขณะที่เขากำลังเหม่อ  “ไม่เรียกเขามานั่งด้วยกันวะ” คำพูดคำจาแต่ละคำก็น่าจะเอาช้อนในมือนี่ตีหัวให้แตก

                   

    เขากับแจ็คสันกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหารที่มีประชากรอยู่หลายล้านคน…. เอ่อ นั่นก็เวอร์ไปหน่อย เอาเป็นว่ามันแออัดมากๆเลยก็แล้วกัน  ยังดีที่เจ้าเพื่อนตัวดีนี่เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนอื่นเขาไปหมดเลยได้ยืนรอแค่ไม่กี่นาที

                   

    แน่นอนว่าจินยองหิว  เกือบจะกินหัวไอ้สั้นข้างๆนี่อยู่แล้วที่อาจารย์ปล่อยช้า แต่ที่ถือช้อนที่มีข้าวอยู่ค้างไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เรื่องเดิมๆกับคนเดิมๆ มาร์ค ต้วน

     

                    เห็นร่างบางๆนั่นเดินวนไปวนมาหาที่นั่งอยู่นานสองนาน จนกลับมายืนที่เดิมแล้วก็ยังไม่หยุดที่จะกวาดสายตาไปเรื่อย

     

    “ยุ่ง” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้นแล้วลงมือกินข้าวที่อยู่ตรงหน้านี้เสียที แม้จะยังแอบเหลือบมองร่างคุ้นตานั่นอยู่ก็ตาม

    “มาทำเป็นใจแข็ง ลอกบทพระเอกช่องไหนมาวะ” พูดพลางหัวเราะเพื่อนที่นั่งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา เห็นอยู่ตำตาว่าอยากให้เขามานั่งด้วยชัดๆ

    “สารคดีสัตว์ป่าน่ารักมั้ง”

    “แหน่ะ มีตบมุก บางทีเขาอาจจะรอให้มึงตื๊ออยู่ก็ได้นะ”

    “กินๆ ไปเถอะน่า”

    “เอ๊อ จะไปซื้อน้ำ เอาอะไรปะ”

    “น้ำแดงแก้วใหญ่”

    “โอเคๆ”

    ไม้รูสิ เห็นแบบนี้แจ็คสัน หวังเกิดอาการอยากกลายร่างเป็นคิวปิดตะหงิดๆ

     

     

     

     

    เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาหยุดลงเมื่อถึงที่หมาย เสียงจานกระทบโต๊ะ อีกทั้งแก้วน้ำแดงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

    แจ็คสันซื้อข้าวเพิ่มอีกจานงั้นเหรอ

    ตะกละ

     

     

    “เฮ้ย”  จากที่ตั้งใจจะเงยหน้ามาด่าเพื่อนสนิทตัวเองกลับต้องชะงักตาค้าง

     

     

    อะไร

     

     

    หวังแจ็คสันแปลงร่างเป็นมาร์คต้วนได้ยังไง

     

     

    “แจ็คสันให้เอาน้ำมาให้” ไขข้อสงสัยเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย “แล้วก็ บอกว่าให้นั่งตรงนี้ได้”

    “อ๋อ”

     

    ความเงียบไม่ใช่บ่อเกิดของความอึดอัด

    อันนี้ปาร์คจินยองรู้ดี

    เพราะข้างในใจกับในหัวสมองเขาตอนนี้ต่างหากที่กำลังทำให้เขาอึดอัด

    อยากจะชวนคุย แต่กลัวอีกฝ่ายไม่อยากคุย อยากไถ่ถามสารทุกสุขดิบ แต่กลัวอีกฝ่ายไม่อยากตอบ

    ตีกันให้วุ่นไปเสียหมด

     

    “ยังกินช้าเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มยังคงน่าฟัง แอบแปลกใจที่อีกฝ่ายยังคงจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาได้อยู่บ้าง

    “ก็เหมือนคนแถวนี้ที่ยังชอบกินแต่เมนูเดิมๆ” เพราะเหลือบเห็นจานข้าวของอีกฝ่ายในตอนแรกเลยย้อนกลับไปแบบนั้น

     

    ไม่รู้ทำไม เหมือนจะเป็นแค่บทสนทนาธรรมดา แต่กลับรู้สึกดีใจลึกๆ  เป็นความรู้สึกที่เกิดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

    ที่บนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นก็มีมันด้วยเหมือนกัน

     

     

     

    .

     

     

    ปาร์คจินยองคนโลภ

    โอเค ถ้าตอนนี้มีคนมาด่าเขาด้วยคำนี้เขาก็จะไม่โกรธ

    เพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

     

    “มีเรียนตอนบ่ายอีกรึเปล่า”  คำถามที่หลุดจากเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ออกมาจากโรงอาหาร

    “วันนี้มีแค่เทสต์ย่อยตอนเช้า” แค่ยังไม่อยากให้หมดเรื่องคุย

    “งั้น….. เดินกลับหอด้วยกันได้มั้ย”

     

    แล้วที่ชวนเนี่ย ก็แค่ไม่มีเรื่องจะถามแล้วแค่นั้นล่ะน่า

    ไม่ได้อยากจะได้บรรยากาศเดินกลับหอด้วยกันแบบเมื่อก่อนหรอก

    จริงๆนะ

     

     

     

     

    ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยใดๆ น่าอึดอัดอยู่หน่อยๆ แต่ก็นับว่ายังดี การเดินทางใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย อาจเพราะว่าเป็นหอพักในเลยต้องอยู่ใกล้ๆเพื่ออำนวยความสะดวกของนักศึกษา

    เป็นความสะดวกที่ลดเวลาแห่งความสุขของจินยองในตอนนี้ 

     

    กำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อบอกลา

     

    แต่คำถามที่ได้ยินก็ทำเอางงเป็นไก่ตาแตก

     

    “รูมเมทคนใหม่นิสัยดีมั้ย…..

     

    รูมเมท  รูมเมทที่แปลว่าเพื่อนร่วมห้องน่ะนะ ปาร์คจินยองมีแค่ความเหงา ความเงียบ ความมืด แล้วก็อากาศเท่านั้นแหละ
     

    “ยังไม่ใครย้ายเข้ามาเลย”

    “ยังอยู่คนเดียวงั้นเหรอ” ไม่อยากได้รูมเมทคนใหม่

    “ยังรอให้รูมเมทคนเก่าเปลี่ยนใจย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันต่างหาก”

     

     

    ความกล้าที่ไม่รู้ว่าพกมาจากไหนสั่งการให้ปากเอ่ยไปแบบนั้น

    ไม่ได้คิดว่าถ้าหากโดนหัวเราะกลับมาจะเป็นยังไง

    ไม่ได้คิดว่าถ้าหากโดนเงียบใส่จะเป็นยังไง

    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะแสดงออกมาในลักษณะไหน

    แต่ที่แอบคิดไว้ต้องไม่ใช่ในแบบที่ได้ยินนี่แน่ๆ

    เสียงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาหากชัดเจนในความรู้สึกของปาร์คจินยองซะเหลือเกิน

     

     

     

    ต้องหูฝาดไปแน่ๆ

     

     

     

     

     

                   "คงเร็วๆนี้ล่ะมั้ง




    .
    .
    .
    .
     

     

    fin





    รู้สึกว่ามันออกทะเล55555555555555555555555555555555
    แต่ในที่สุดมันก็จบได้ในตัวของมันเองค่ะ ฮรี่
    คอมเม้นติชมกันได้น่อ ทำได้ทุกอย่างยกเว้นสาปแช่งเรา
    อย่าสาปแช่งเรานะ ; _ ; 
    เอนจอยฟิคชั่นค่า

    แวะมาแก้คำผิด แต่ไม่รู้ยังมีผิดอยู่อีกหรือเปล่า orzzzz เจอคำผิดโปรดบอกข่า ._.
    แล้วก็เห็นคนพูดถึงตอนต่อไป ฮือ ขอโทษนะคะ มันคงไม่มี เพราะจั่วหัวไว้แล้วว่าเป็น OS จบในตอน
    แต่ถึงให้แต่งต่อก็คงตันค่ะ เค้นได้แค่นี้ 55555555555555555555555555
    (เวิ่นยาวอีกแล้ว o<-< )


     


    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×