คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : {OS} r e m e m b e r (Jr. x Mark)
มาร์ค ต้วน
เขารู้จักคนชื่อนั้น
เป็นชื่อที่ค่อนข้างจะคุ้นเคย
เป็นชื่อที่ติดอยู่ในส่วนหนึ่งของความทรงจำ
เฮ้ ถ้าบอกแบบนั้นจะดูน้ำเน่าไปหรือเปล่า
เอาเป็นว่าก็เคยรู้จักกันแค่นั้นล่ะน่า
.
อากาศในตอนเที่ยง ใต้ถุนของตึกคณะไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ยังพอมีลมพัดให้อากาศถ่ายเทบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังคงเลวร้ายสำหรับคนขี้ร้อนอย่างปาร์คจินยองอยู่ดี
เขากำลังนั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ไม้เข้าชุดกับโต๊ะตัวยาว ในความหมายที่ว่าตัวคนเดียวแบบโดดเดี่ยวน่ะนะ เพราะเก้าอี้ในฝั่งตรงข้ามกันนี้มีนักศึกษาผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่
ปาร์คจินยองกำลังใช้สมาธิกับชิ้นส่วนพลาสติกเล็กๆที่เรียกว่า ‘เลโก้’ อาจจะดูไร้สาระหากมีคนมาเห็นว่านักศึกษาชั้นปีที่สองอย่างเขากำลังจดจ่ออยู่กับมัน
แต่คิดเหรอว่าเขาจะสนใจน่ะ
เลโก้ที่ค่อนข้างจะเป็นรูปร่างทำให้เดาออกได้ไม่ยากว่าจะเป็นรูปแบบไหน
อืม เขากำลังสร้างปราสาทที่มีเจ้าหญิงเจ้าชาย…. เป็นของขวัญวันเกิดให้น้องสาวข้างบ้าน(อายุอานามประมาณ 4 ขวบ)สุดแสนจ้ำม่ำ
แล้วก็ย้ำอีกครั้ง
ปาร์คจินยองกำลังใช้สมาธิ
แต่ตอนนี้เขากำลังถูกทำลายสมาธิ…
“แต่เค้กกล่องนี้ฉันทำเองเลยนะคะ” เป็นเสียงหงอยๆที่ถูกดัดให้แปรผันตรงกับสีหน้าของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง
แน่นอนว่าคนที่ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยไม่ใช่ปาร์คจินยอง
แต่เป็นผู้ชายผมสีแดงสดที่ดูคุ้นตานั่นต่างหาก
“ช่วยรับมันหน่อยเถอะนะคะ” เสียงเจื้อยแจ้วยังคงเอ่ยเซ้าซี้อย่างไม่หยุดหย่อนในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เอื้อมมือมารับสิ่งที่อยู่ในมือนั่นสักที
กล่องเค้กในมือของฝ่ายหญิงเหมือนจะถูกทิ้งให้เป็นหม้ายก็ไม่ปาน
ดูที่ถุงก็รู้แล้วว่าเป็นเค้กร้านอร่อยที่เขากับเพื่อนชอบไปนั่งทานบ่อยๆ ทำเองงั้นเหรอ เชื่อก็แปลก
เป็นเขาถ้าเห็นถุงแบบนี้จะรีบรับแล้วสวาปามให้เกลี้ยง
เอ่อ แต่ปาร์คจินยองไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรอกนะ
“ถ้ารุ่นพี่ไม่ยอมรับมัน ฉันจะร้องไห้แล้วนะคะ” น้ำตาที่เริ่มคลอกับมุมปากที่ตกลงส่งเสริมคำพูดเป็นอย่างดี… แต่บอกตรงๆเลย เขาชักจะรำคาญซะแล้ว
เพราะหากยังต่อเจ้าเลโก้นี่ไม่ให้เสร็จมีหวังโดนเด็กอ้วนนั่นงอนเพราะจินยองอปป้าไม่มีของขวัญให้แน่ๆ
ทำได้แค่ภาวนาให้เจ้าคนผมแดงรีบรับมันไปไวๆ
แล้วก็เหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้คำขอของเขาอย่างไรอย่างนั้น
สายตาเลิ่กลั่กหันมาสบกับเขา ปากขยับพูดแบบไม่มีเสียงเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่นี้เป็นคนที่ตนรู้จัก
‘ช่วยหน่อย’
ช่วยหน่อย
ช่วย…
จริงๆจะทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจมันเลยก็ได้ ถ้าคำสั้นๆเพียงสองพยางค์นั้นไม่ได้มาจากปากของมาร์ค ต้วนอีเอิน
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเขาจะช่วยยังไงนี่ล่ะ…
ยังไม่ทันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นร่างที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ก็มานั่งแหมะลงอยู่ที่ข้างกายเขาซะก่อน
“ร…รับไม่ได้หรอก ขอโทษด้วยนะ” เป็นประโยคที่คนข้างกายเขาในตอนนี้เอ่ยกับหญิงสาวที่ยังคงถือกล่องเค้กเก้อ และคงจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษถ้ามาร์คคนฮอตไม่สอดแขนมาคล้องไว้กับแขนของเขา
“เดี๋ยวแฟนหึง”
.
เหมือนความอ่อนล้าจะเป็นเส้นชัยที่เอาไว้พุ่งชน และถ้าเปรียบแบบนั้นประตูห้องก็คงจะเป็นเส้นชัย
จินยองล้มตัวนอนบนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากนำกระดานที่รองปราสาทเลโก้กับบรรดาชิ้นส่วนที่ยังต่อไม่เสร็จวางไว้บนโต๊ะทำงานเมื่อผ่านเส้นชัยมาได้แล้ว
ยังคงต่อไม่เสร็จ
จริงๆต้องบอกว่าไม่คืบหน้าจากเดิมเลยคงจะดีกว่า
ก็ใครใช้ให้คนอย่างมาร์ค ต้วนพูดออกมาแบบนั้นกัน ความรู้สึกในตอนนั้นคือดีใจมากๆ ใจเต้นแรงจนมันแทบจะหลุดออกมา แต่นั่นก็เพียงแค่ชั่ววูบก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยคำที่ทำให้ใจดวงเดิมนั้นห่อเหี่ยวและแฟบยิ่งกว่าลูกโป่งถูกปล่อยลม
‘ขอโทษด้วยนะ’ พูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกไป
ขอโทษทำไมกัน
ขอโทษที่ทำให้รู้สึกดีใจเก้อหรือยังไง
ขอโทษที่พูดออกมาจนทำให้เขาเกือบจะถามว่าจริงหรือใช่รึเปล่า
หรือว่าขอโทษที่พูดคำที่ไม่วันกลับมาเป็นได้
ยอมรับเลยก็ได้ ว่าปาร์คจินยองคิดถึงไอ้คนตัวเล็กผมแดงนั่นมากแค่ไหน
‘แฟนเก่า’ที่หลายๆคนใช้เป็นคำนิยามจำกัดความสัมพันธ์ของพวกเขานั่นไม่ทำให้รู้สึกใจหายเท่ากับท่าทีที่ทำเหมือน ‘คนไม่รู้จักกัน’ ของมาร์คหรอก
เหนื่อยใจ
ก่อนจะกลับมาที่ห้องที่อยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยนี่ก็นั่งห่อเหี่ยวอยู่หลายสิบนาที คิดว่าแค่อยากจะพัก จนลืมไปเสียสนิทว่าห้องนี้ก็สามารถทำให้เขาห่อเหี่ยวมากกว่าเดิมได้เหมือนกัน
ก็เตียงข้างๆกันนี่ก็ของมาร์ค
ตู้เสื้อผ้าว่างเปล่าข้างๆเตียงว่างเปล่านั่นก็เคยใส่เสื้อผ้าของมาร์ค
แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว แม้แต่รองเท้าแตะเก่าๆคู่หนึ่งบนชั้นรองเท้านั่นก็ของมาร์ค
ร่องรอยทั้งหมดของมาร์คยังคงอยู่ในเมื่อไม่มีใครย้ายมาเข้ามาเป็นรูมเมทคนใหม่ของเขาสักที
ทั้งอดีตรูมเมท อดีตแฟน
มาร์คเหมามันทุกตำแหน่งเลย
.
“จ้องขนาดนั้น เดินเข้าไปแล้วงับเขาเข้าไปทั้งตัวเลยง่ายกว่ามั้ยวะ” เสียงของเพื่อนตัวสั้นดังขัดในขณะที่เขากำลังเหม่อ “ไม่เรียกเขามานั่งด้วยกันวะ” คำพูดคำจาแต่ละคำก็น่าจะเอาช้อนในมือนี่ตีหัวให้แตก
เขากับแจ็คสันกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหารที่มีประชากรอยู่หลายล้านคน…. เอ่อ นั่นก็เวอร์ไปหน่อย เอาเป็นว่ามันแออัดมากๆเลยก็แล้วกัน ยังดีที่เจ้าเพื่อนตัวดีนี่เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนอื่นเขาไปหมดเลยได้ยืนรอแค่ไม่กี่นาที
แน่นอนว่าจินยองหิว เกือบจะกินหัวไอ้สั้นข้างๆนี่อยู่แล้วที่อาจารย์ปล่อยช้า แต่ที่ถือช้อนที่มีข้าวอยู่ค้างไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เรื่องเดิมๆกับคนเดิมๆ มาร์ค ต้วน
เห็นร่างบางๆนั่นเดินวนไปวนมาหาที่นั่งอยู่นานสองนาน จนกลับมายืนที่เดิมแล้วก็ยังไม่หยุดที่จะกวาดสายตาไปเรื่อย
“ยุ่ง” ตอบกลับไปเพียงแค่นั้นแล้วลงมือกินข้าวที่อยู่ตรงหน้านี้เสียที แม้จะยังแอบเหลือบมองร่างคุ้นตานั่นอยู่ก็ตาม
“มาทำเป็นใจแข็ง ลอกบทพระเอกช่องไหนมาวะ” พูดพลางหัวเราะเพื่อนที่นั่งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา เห็นอยู่ตำตาว่าอยากให้เขามานั่งด้วยชัดๆ
“สารคดีสัตว์ป่าน่ารักมั้ง”
“แหน่ะ มีตบมุก บางที…เขาอาจจะรอให้มึงตื๊ออยู่ก็ได้นะ”
“กินๆ ไปเถอะน่า”
“เอ๊อ จะไปซื้อน้ำ เอาอะไรปะ”
“น้ำแดงแก้วใหญ่”
“โอเคๆ”
ไม้รูสิ เห็นแบบนี้แจ็คสัน หวังเกิดอาการอยากกลายร่างเป็นคิวปิดตะหงิดๆ
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาหยุดลงเมื่อถึงที่หมาย เสียงจานกระทบโต๊ะ อีกทั้งแก้วน้ำแดงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
แจ็คสันซื้อข้าวเพิ่มอีกจานงั้นเหรอ
ตะกละ
“เฮ้ย” จากที่ตั้งใจจะเงยหน้ามาด่าเพื่อนสนิทตัวเองกลับต้องชะงักตาค้าง
อะไร
หวังแจ็คสันแปลงร่างเป็นมาร์คต้วนได้ยังไง
“แจ็คสันให้เอาน้ำมาให้” ไขข้อสงสัยเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย “แล้วก็… บอกว่าให้นั่งตรงนี้ได้”
“อ๋อ”
ความเงียบไม่ใช่บ่อเกิดของความอึดอัด
อันนี้ปาร์คจินยองรู้ดี
เพราะข้างในใจกับในหัวสมองเขาตอนนี้ต่างหากที่กำลังทำให้เขาอึดอัด
อยากจะชวนคุย แต่กลัวอีกฝ่ายไม่อยากคุย อยากไถ่ถามสารทุกสุขดิบ แต่กลัวอีกฝ่ายไม่อยากตอบ
ตีกันให้วุ่นไปเสียหมด
“ยังกินช้าเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มยังคงน่าฟัง แอบแปลกใจที่อีกฝ่ายยังคงจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาได้อยู่บ้าง
“ก็เหมือนคนแถวนี้ที่ยังชอบกินแต่เมนูเดิมๆ” เพราะเหลือบเห็นจานข้าวของอีกฝ่ายในตอนแรกเลยย้อนกลับไปแบบนั้น
ไม่รู้ทำไม เหมือนจะเป็นแค่บทสนทนาธรรมดา แต่กลับรู้สึกดีใจลึกๆ เป็นความรู้สึกที่เกิดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
ที่บนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นก็มีมันด้วยเหมือนกัน
.
ปาร์คจินยองคนโลภ
โอเค ถ้าตอนนี้มีคนมาด่าเขาด้วยคำนี้เขาก็จะไม่โกรธ
เพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
“มีเรียนตอนบ่ายอีกรึเปล่า” คำถามที่หลุดจากเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ออกมาจากโรงอาหาร
“วันนี้มีแค่เทสต์ย่อยตอนเช้า” แค่ยังไม่อยากให้หมดเรื่องคุย
“งั้น….. เดินกลับหอด้วยกันได้มั้ย”
แล้วที่ชวนเนี่ย ก็แค่ไม่มีเรื่องจะถามแล้วแค่นั้นล่ะน่า
ไม่ได้อยากจะได้บรรยากาศเดินกลับหอด้วยกันแบบเมื่อก่อนหรอก
จริงๆนะ
ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยใดๆ น่าอึดอัดอยู่หน่อยๆ แต่ก็นับว่ายังดี การเดินทางใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย อาจเพราะว่าเป็นหอพักในเลยต้องอยู่ใกล้ๆเพื่ออำนวยความสะดวกของนักศึกษา
เป็นความสะดวกที่ลดเวลาแห่งความสุขของจินยองในตอนนี้
กำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อบอกลา
แต่คำถามที่ได้ยินก็ทำเอางงเป็นไก่ตาแตก
“รูมเมทคนใหม่นิสัยดีมั้ย…..”
รูมเมท รูมเมทที่แปลว่าเพื่อนร่วมห้องน่ะนะ ปาร์คจินยองมีแค่ความเหงา ความเงียบ ความมืด แล้วก็อากาศเท่านั้นแหละ
“ยังไม่ใครย้ายเข้ามาเลย”
“ยังอยู่คนเดียว…งั้นเหรอ” ไม่อยากได้รูมเมทคนใหม่
“ยังรอให้รูมเมทคนเก่าเปลี่ยนใจย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันต่างหาก”
ความกล้าที่ไม่รู้ว่าพกมาจากไหนสั่งการให้ปากเอ่ยไปแบบนั้น
ไม่ได้คิดว่าถ้าหากโดนหัวเราะกลับมาจะเป็นยังไง
ไม่ได้คิดว่าถ้าหากโดนเงียบใส่จะเป็นยังไง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะแสดงออกมาในลักษณะไหน
แต่ที่แอบคิดไว้ต้องไม่ใช่ในแบบที่ได้ยินนี่แน่ๆ
เสียงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาหากชัดเจนในความรู้สึกของปาร์คจินยองซะเหลือเกิน
ต้องหูฝาดไปแน่ๆ
.
fin
รู้สึกว่ามันออกทะเล55555555555555555555555555555555
แต่ในที่สุดมันก็จบได้ในตัวของมันเองค่ะ ฮรี่
คอมเม้นติชมกันได้น่อ ทำได้ทุกอย่างยกเว้นสาปแช่งเรา
อย่าสาปแช่งเรานะ ; _ ;
เอนจอยฟิคชั่นค่า
<
แวะมาแก้คำผิด แต่ไม่รู้ยังมีผิดอยู่อีกหรือเปล่า orzzzz เจอคำผิดโปรดบอกข่า ._.
แล้วก็เห็นคนพูดถึงตอนต่อไป ฮือ ขอโทษนะคะ มันคงไม่มี เพราะจั่วหัวไว้แล้วว่าเป็น OS จบในตอน
แต่ถึงให้แต่งต่อก็คงตันค่ะ เค้นได้แค่นี้ 55555555555555555555555555
(เวิ่นยาวอีกแล้ว o<-< )
ความคิดเห็น