คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชายหนุ่มผู้ออกเดินทางไปพร้อมกับรอยยิ้ม [2]
ค่ำคืนแรกพัดผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว....
“ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูเบาๆปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากที่นอน นี่เป็นเช้าวันแรกของผมในเมืองเรราเวนซ์แห่งนี้ แน่นอนมันเป็นเช้าแรกที่มีความหมาย กิจกรรมของบ่ายวันนี้ผมได้วางแผนไว้อย่างดิบดีตั่งแต่ก่อนออกเดินทาง ว่าจะมาสอบเข้าคัดเลือกเป็นหน่วยองครักษ์แห่งราเรเวน ผมจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างสดใสและไปเปิดประตูต้อนรับแขกประตูห้อง
“สวัสดีค่า ”
สาวน้อยอายุประมาณแปดปีในชุดเสื้อเอี้ยมสีชมพูตัวเล็กกระทัดรัดเจ้าของเสียงปลุกยืนอยู่หน้าประตูได้กล่าวคำชวนอย่างสดใส “ท่านแม่ให้ปลุกคุณพี่ลงไปทานอาหารที่ห้องโถงกลางชั้นหนึ่งค่า”
ผมตอบกลับไปอย่างจริงใจ “อ่า ครับขอบคุณครับ เดี๋ยวผมขอเวลาแต่งตัวก่อนจะรีบลงไปทันทีเลยครับ”
หลังจากนั้นด้วยเวลาไม่ถึงห้านาทีผมจัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างว่องไวและเดินลงบันไดลงมาถึงชั้นหนึ่งในส่วนของห้องโถงกลางที่ๆเป็นเหมือนห้องประชุมขนาดเล็ก ภายในโต๊ะอาหารนั่งอยู่ด้วยกลุ่มคนแปลกหน้าห้าคน ผมเดินเข้าไปแล้วกล่าวทักทายอย่างขัดเขิน “สวัสดีครับ ผมเชื่อเกียร์ครับเพิ่งย้ายมาจากเมืองโบอาล๊อคมาอยู่ที่นี่เมื่อวาน”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี !!”
“สวัสดีค่ะ”
เสียงตอบรับกลับมาจากเพื่อนใหม่ทุกคนทำให้หัวใจของผมมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเขาสามารถอยู่ที่นี่และทำงานอย่างมีความสุขได้แน่ ทุกคนได้เข้าร่วมวงสนทนาและแนะนำตัวกัน ได้แก่
“ลาซาน ” พี่ชายร่างใหญ่อายุประมาณสามสิบปีผิวสีดำเข้มหน้าตาค่อนข้างดุดันอยู่ในชุดคลุมของนักดาบ ลาซาน เป็นนักรบรับจ้างอยู่ในสังกัดของสมาพันธ์แห่งแสงสว่างซึ่งเป็นหนึ่งในสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของราเรเวนซ์คู่กับสมาพันธ์แห่งความมืด
“ไพโรป ” พี่สาวผมแดงอายุประมาณยี่สิบห้าปี เธอยู่ในชุดนางพยาบาลสีขาวสวยและสง่างาม แน่นอนเธอคือนางพยาบาล เธอทำงานบริการคนป่วยอยู่ในโรงบาลแห่งหนึ่งในเขตกลางของเมือง
“โดโรไลท์” สาวน้อยตัวเล็กดวงตากลมโต เพื่อนใหม่ของผมที่อุส่าไปปลุกผมขึ้นมาจากเตียง เธอเป็นลูกสาวของคุณป้าแอนดราไดท์ เจ้าของหอที่ตอนนี้กำลังเตรียมอาหารเช้ามาให้พวกเรารับประทาน
“สตาร์” ชายหนุ่มรูปหล่ออายุใกล้เคียงกับเกียร์ในเสื้อคลุมยาวสีดำสุดขรึม สตาร์ทำงานเป็นพนักงานขายของในร้านขายอุปกรณ์เวทมนต์เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตำราบรรจุเวทย์ เขายังชักชวนผมว่าถ้าว่างๆให้ไปลองเดินดูอุปกรณ์เวทมนต์ตอนเขาเข้างาน เพราะเขาสามารถให้ส่วนลดพิเศษได้
“ซาโวไรท์” ชายแก่อายุประมาณหกสิบห้าปี อยู่ในชุดนอนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เรื่อยเปื่อยเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ลาซานบอกว่า ครั้งหนึ่งซาโวไรท์เคยเป็นมือดีที่สุดของกลุ่มทหารรับจ้างในสังกัดสมาพันธ์แห่งความมืด
หลังจากพูดคุยแนะนำตัวกันได้ไม่นานนัก ป้าแอนดราไดท์ก็ยกหม้อโจ๊กสมุนไพรใบใหญ่จากห้องครัวออกมาที่โต๊ะอาหารจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของโดโรไลท์ในการแจกจ่ายอาหารให้ถึงหน้าโต๊ะของทุกคน แน่นอนป้าแอนดราไดท์ไม่ได้ใจดีอย่างที่คุณคิดค่าใช้จ่ายในการทำอาหารเช้าและอาหารค่ำถูกเก็บเข้ามาพร้อมค่าพักอาศัยของเดือนตั่งแต่แรกแล้ว
หลังรับประทานอาหารเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันออกไปยังที่ทำงานของตน แม้กระทั่ง โดโรไลท์เธอก็ต้องไปเรียนที่โรงเรียนในสังกัตสมาคมแห่งแสง ทำให้ในห้องโถงเหลือผู้คนเพียงสามคน ได้แก่ ผม,ป้าแอนดราไดท์และลุงซาโรไรท์
ผมเอ่ยปากถามแอนดราไดท์ “ป้าครับผมจะไปที่สำนักงานหน่วยองครักษ์แห่งราเรเวน ป้าพอเขียนแผนที่ให้ได้ไหมครับ”
แอนดราไดท์ขบคิดอยู่ซักพักจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เก็บของพร้อมกล่าวว่า “ป้าจำได้ว่าเคยมีแผนที่เมืองอยู่นะ ปีสองสามปีก่อน ทางการเขาเคยแจกให้หนนึง ขอป้าหาก่อน เอ๊ะ !! เจอแล้วๆ”
แอนดราไดท์หยิบแผนที่ขนาดใหญ่มากางลงบนโต๊ะในขณะที่ลุงซาโรไรท์ยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป แอนดราไดท์กล่าวพร้อมเอามือชี้ไปที่แผนที่เผื่อแนะนำสถานที่ต่างๆ “เมืองเรราเวนซ์แบ่งออกเป็นห้าเขตง่ายๆได้แก่เขตเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมนักฆ่าซึ่งเป็นสังกัดของสมาพันธ์แห่งความมืดเป็นสถานที่ที่ไม่แนะนำให้คนทั่วไปเข้าไปเพราะเขตเหนือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเมืองแห่งความตาย เขตตะวันออกเป็นที่ตั่งของสมาคมเวทมนต์ดำเป็นฐานใหญ่ของสมาสมาพันธ์แห่งความมืดเป็นเขตที่อยู่อาศัยของบรรดาพ่อมดแม่มดทั้งหลายที่ทำงานให้สมาพันธ์แห่งความมืด เขตตะวันตกเป็นที่ตั้งของสมาคมเวทมนต์ขาวซึ่งเป็นฐานใหญ่ของสมาคมแห่งแสงสว่างเป็นเขตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรปกติทั่วไปในเรราเวนซ์ เขตใต้หรือก็คือเขตที่พวกเราอยู่เป็นที่ตั้งของสมาคมนักดาบแน่นอนอยู่สังกัดของสมาพันธ์แห่งแสง และเขตกลางศูนย์รวมอำนาจของโลกเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางและนักรบชั้นสูงรวมถึงครอบครัวของหน่วยองครักษ์และเป็นตั้งของหน่วยหน่วยองครักษ์แห่งราเรเวนที่รวบรวมเอาแต่หัวกะทิของโลกเข้าเป็นสมาชิก แน่นอนว่าหัวหน้าสมาพันธ์แห่งแสงสว่างและหัวหน้าสมาพันธ์แห่งความมืดทุกรุ่นก็อยู่ใต้สังกัดนี้หน่วยองครักษ์แห่งราเรเวนแต่หากได้รับอภิสิทธิ์ให้ทำหน้าที่ขึ้นตรงพระราชาโดยตรง ส่วนลึกสุดของส่วนกลางคือพระมหาราชวังเรราเวนซ์เป็นเขตหวงห้าม”
หลังจากบรรยายส่วนต่างๆภายในเมืองแล้วแอนดราไดท์ก็ได้ลอกแผนที่เล็กๆที่เข้าใจง่ายให้กับผมเพื่อเดินทางเข้าไปยังเขตกลางโดยหารู้ไม่ว่าการเดินทางของเกียร์ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราววุ่นวายครั้งใหญ่ตัวเอง
รถรางโดนสารพลังเวทมนต์ที่จะทำการวิ่งวนรอบเมืองเปิดให้บริการฟรีทุกๆสิบนาที ผมกำลังเข้าแถวเพื่อรอรถรางเพื่อมุ่งหน้าไปยังเขตกลาง ผมรู้สึกชอบที่นี่เป็นอย่างมากในเมืองบ้านเกิดของผม ทุกคนเดินทางกันด้วยเท้าหรือถ้าเป็นคนมีเงินก็ใช้รถม้าบ้าง ใช้รถเวทมนต์บ้าง วิ่งกันวุ่นวายไปหมด แต่ที่นี่เป็นระเบียบเรียบร้อย ใครอยากจะเดินก็ได้ จะขึ้นรถรางก็ได้ เพราะถนนทุกสายในเรราเวนซ์นอกจากรถรางแล้ว ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องโดยสารที่ไม่ได้รับอนุญาตทุกชนิด
รถรางจอดสุดสายที่หน้ากำแพงของเขตกลางเพราะที่นี่เป็นเขตปกครองพิเศษของเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงขนาดใหญ่เพื่อรักษาความปลอดภัยใหญ่อีกชั้นหนึ่ง ผมไม่รีบร้อนเท่าไหร่นักค่อยๆเดินดูลายสลักบนกำแพงและต้นไม้ประดับไปเรื่อยเปื่อยจนค่อยๆมองไปเห็นประตูเข้าโซนเขตกลางอยู่ลิบตา
“นายคนนั้นแหน่ะ!!”
เสียงหวานๆของผู้หญิงเรียกที่ดูเหมือนจะเรียกผมดังขึ้นมาจากด้านบนกำแพง หา..อะไรนะ...ไม่ผิดหรอก เสียงดังมาจากข้างบนกำแพงจริงๆ ผมแหงนหน้ามองดูพบกับสาวน้อยผมยาวสีชมพู ดูท่าทางจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็บปี กำลังนั่งยองๆอยู่บนกำแพงและชี้นิ้วมาที่ผม ผมรู้สึกแปลกใจกำแพงมันสูงออกขนาดนั้นแถมไม่ใช่ที่น่าจะขึ้นไปยืนเลยซักนิดจึงถามกลับไปว่า “ทำอะไรของเธอหน่ะ”
สาวน้อยยิ้มหวานให้ผมพร้อมกับพูดเบาๆว่า “รับเราด้วย”
ผมกำลังทวนคำ “รับ?”
ยังไม่ทันทำความเข้าใจ สาวน้อยหน้าหวานคนนั้นก็กระโดดลงมาจากกำแพงสูง ผมตกใจจนไม่สามารถขยับตัวได้แต่ไม่ทราบว่าสาวน้อยคนนี้คำนวนอย่างดิบดีแล้วก่อนกระโดดลงมาหรือว่าโชคช่วยเธอกันแน่ ร่างของเธอจึงตกลงมาทับอยู่บนหลังของผมพอดี
“ตุ๊บ”
“โอ๊ย ลุกหน่อยสิครับ” ผมบ่นพึมพำเพราะว่าสาวน้อยคนนี้กำลังนั่งทับหลังผมอยู่
สาวน้อยหน้าหวานลุกขึ้นมาขัดแข้งปัดขาพร้อมแนะนำตัว “เราชื่ออนาตาเลีย นับจากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
เอ๋!! อะไรกันเนี่ย ยัยคนนี้อยู่ๆก็กระโดดลงมาแถมยังมาตีสนิดอีกตะหาก ผมลุกขึ้นจากพื้นแล้วลองมองเธอดีๆ ชุดที่เธอใส่อยู่นี่มันชุดนอนนี่หว่า แถมยังเป็นชุดนอนสีขาวปักลายแมวอีกนะเนี่ย แต่เนื้อผ้าพวกนี้มันอะไรกัน ลูกคนรวยชัดๆเลยนี่หว่า
อนาตาเลียจ้องมาทางผมแล้วพูดว่า “นี่นาย !! เราแนะนำตัวไปแล้ว ถ้านายมีมารยาทก็ควรจะแนะนำตัวด้วยสิ”
อ่าว...ชะเฮ้ย!!? ผมอยู่ของผมดีๆยัยนี่ มาว่าผมไม่มีมารยาทซะเฉยเลยซะเฉยเลย เอิ่ม....แค่บอกชื่อไปก็คงไม่เป็นไรมั้ง คิดได้ดังนั้นผมเลยตอบเธอกลับไป “ผมชื่อเกียร์ครับ”
อยู่ๆอนาตาเซียก็เข้ามาจับมือผมพร้อมตะโกนว่า “วิ่ง!!”
ผมกำลังสับสนเล็กน้อยแต่ก็วิ่งตามเธอไปจากนั้นจึงค่อยถามว่า “ทำไมต้องวิ่งด้วยละ?”
อนาตาเซียหันมาทำหน้าเครียตแล้วบอกว่า “บอกให้วิ่งก็วิ่งเถอะน่า”
ผมหันกลับไปมองด้านหลังก็ไม่เห็นสิ่งใดที่กำลังจะไล่ตามพวกเรามาซักหน่อย แต่ก็ผมไม่มีเวลาให้คิดมากนักจึงได้แต่วิ่งตามเธอไป ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกต้องเรียกว่าถูกเธอลากไปถึงจะถูก แต่ยังไงผมก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีจึงถามออกไปว่า “เธอหนีใครอยู่หรอ ?”
อนาตาเซียตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ฉันไม่ได้หนีใคร แค่อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้ไวๆก็เท่านั้น”
ผมไม่อยากจะถามเธอแบบนี้หรอกนะแต่มันคาใจ “เธอเป็นขโมยหรอ?...”
อนาตาเซียไม่ตอบอะไรผม พวกเรายังคงวิ่งจูงมือกันไปเหมือนเดิม แถมดูเหมือนเธอจะพยายามวิ่งเร็วขึ้นอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเธอจะเป็นขโมยหรือเป็นอะไร ตอนนี้คงได้แต่รอให้เธอสงบลงเสียก่อนค่อยหาโอกาศถามเธอ... เธอพาผมวิ่งมาตลอดทางและแล้วรู้สึกตัวอีกทีพวกเราก็มาหยุดอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้หน้าวิหารแห่งหนึ่ง.....
ผมกล่าว “หยุดเถอะ...มาไกลขนาดนี้ คงไม่มีใครตามพวกเรามาแล้วละ...”
อนาตาเซียหันมองซ้ายขวา อย่าลุกลี้ลุกลน จากนั้นเธอจึงชวนผมเข้าไปในวิหาร
ที่นี่คือวิหารโอปาลหนึ่งในวิหารเล็กๆหลายสิบแห่งภายในเมืองที่อยู่ภายใต้สังกัดของสมาคมแห่งแสง
ความคิดเห็น