ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Diary Of King เปิดบันทึกลับจอมราชา

    ลำดับตอนที่ #1 : ชายหนุ่มผู้ออกเดินทางไปพร้อมกับรอยยิ้ม [1]

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 54




    ขอหนังสือเดินทางด้วยคะ    ขอหนังสือเดินทางด้วยคะ !!

    ผมสะดุ้งตื่นจากการถูกปลุกด้วยเสียงของผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง นี่ผมกำลังอยู่ในสถานที่ใดกันนะ  ผมเหลียวมองที่ด้านข้างมีผู้คนมากหน้าหลายตากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ละคนถือหนังสือเดินทางไว้บนมือ ทุกสายตารอบข้างนล้วนจ้องมองมาที่ผมทั้งนั้น

    น้องค่ะ ขอหนังสือเดินทางให้พี่ด้วยคะ

    ผมค่อยรู้สึกตัวว่านายขบวนหญิงคนหนึ่งกำลังขอหนังสือเดินทางจากผม ผมจึงรีบก้มหยิบหนังสือเดินทางเล่มสำคัญออกจากกระเป๋าเดินทางอย่างร้อนรน สายตาของผู้คนรอบข้างมองเข้ามามากมาย แถมยังมีเสียงหัวเราะประปราย ยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้สึกเขินอาย ลุกลี้ลุกลนมือไม้สั่น จนแทบไม่สามารถหยิบตั๋วออกจากประเป๋าเดินทางได้อย่างที่ตั้งใจไว้  นายขบวนหญิงคนนั้นมองผมด้วยท่าทางสนุก เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า   ไม่ต้องรีบนะคะ ไว้พี่ค่อยมาประทับตราให้น้องพรุ่งนี้ละกัน อิอิ   แหม..นี่มันอะไรกันเนี่ย พูดกันแบบนี้ ผมก็ยิ่งต้องพยายามตั้งสมาธิจนในที่สุดก็หยิบหนังสือเดินทางออกมาให้นายขบวนหญิงได้ประทับตาจนได้ ค่อยโล่งไปที 

    เสียงหัวเราะ  คิกคิกดังเบาๆมาจากหญิงสาวผมสั้นสีดำขลับในชุดสีเสื้อคลุมตัวเล็กๆสีดำ  ใบหน้าของเธอช่างดูคมสะดุดตาและน่าเอ็นดูชวนให้จ้องมองยิ่งนักแต่ผมหาได้รู้จักเธอไม่     ใช่แล้ว..ผมกำลังอยู่ในขบวนรถโดยสารเวทมนต์ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ราเรเวนซ์เมืองหลวงแห่งเดียวของโลก จุดศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจ เงินตรา เวทมนต์ และเทคโนโลยี  รถโดยสารที่ผมกำลังนั่งอยู่นี้ เป็นรถโดยสารนี้เป็นเพียงขบวนเดียวที่เดินทางผ่านซากัลซ่าเมืองบ้านนอกหลังเขาที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมไปยังราเรเวนซ์  และยังเป็นรถโดยสารพิเศษที่ใช้พลังงานเวทย์รุ่นใหม่ซึ่งมีความเร็วมากกว่าขบวนรถโดยสารพลังงานไอน้ำที่ใช้กันทั่วไปถึงสามเท่า   ซึ่งแน่นอนราคาค่าเดินทางของมันแพงจนกระเป๋าฉีกเลยทีเดียว

                โครกกกกกก คร๊ากกกก

    บ้าชะมัดเสียงท้องร้องของผมมันสร้างความอับอายให้แก่ผมแล้ว  ผมรู้สึกได้ว่าหญิงสาวผมสั้นที่อยู่ตรงหน้าผมคนนั้นเพ่งมองมาแน่ๆ จะทำยังไงดีเพราะการแต่งตัวของผมมันช่างน่าอายจริงๆ ผมสวมหมวกหนังเก่าๆใบหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีน้ำตาลอ่อนๆส่วนเสื้อด้านในเป็นเพียงเสื้อสีเก่าๆขาวธรรมดาๆรองเท้าผ้าใบก็ยังขาดเหวอะ แถมด้วยกระเป๋าเดินทางโทรมๆใบหนึ่ง ทำให้อดอายไม่ได้เพราะถ้าเทียบกันการชุดแต่งตัวของเธอแล้วราคามันคงต่างกันราวท้องฟ้ากับเหวลึก สาเหตุที่ผมต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดที่สะสมมาทั้งชีวิตสิบแปดปี ซื้อตั๋วขึ้นขบวนรถเวทย์มนสุดแสนไฮโซขบวนนี้มาก็เพราะมันดันเป็นสายเดียวที่ผ่านเมืองของผมมายังเรราเวนซ์นะสิ  

    ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรของเธออยู่ดีๆหญิงสาวผมสั้นคนนั้นก็ถามผมว่า   หิวไหม ? สั่งอาหารทานกันดีไหมคะ ?”

    จะให้ผมตอบอย่างไรของกินในขบวนรถไฟไฮโซสายนี้มันต้องแพงมากแน่ๆยังไงผมก็ต้องเก็บเงินไว้ใช้สำหรับเป็นค่าเดินทางในอนาคต ทำให้ผมต้องตอบกลับไปว่า  ไม่เป็นไรครับ... ผมยังไม่หิว...

     

    โครกกกกกกกกก คร๊ากกกกกก

     

    อยากจะบ้า นี่มันน่าอายจริงๆ เสียงตอบที่ตามออกมาจากร่างกายของผม ทำเอาหญิงสาวผมสั้นที่อยู่เบื้องหน้าต้องกลั้นหัวเราะจนปวดท้อง   แล้วอยู่ๆเธอคนนั้นก็กดกระดิ่งเรียกพนักงานดูแลขบวนจากปุ่มข้างโต๊ะ ไม่นานนักก็มีหญิงวัยกลางคนในชุดพนักงานดูแลขบวนเดินออกมาทักทายทายพวกเราสองคนที่โต๊ะ

    พนักงานคนนั้นกล่าวตามมารยาทว่า สวัสดีคะ มิทราบท่านผู้โดยสารต้องการอะไรหรือคะ

    หญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับว่า  ขอชุดอาหารกลางวันคลาส A  สองที่คะ

    ผมได้ยินดังนั้นก็ตกใจ  ใช่แล้ว! ในสมองของผมกำลังย้อนทบทวนถึงคำว่า  สองที่ เธอต้องสั่งให้ผมด้วยแน่ๆ โธ่...คุณผู้หญิงครับ ของแพงขนาดนั้นผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะครับ ขณะที่ผมกำลังจะพูดปฏิเสธอะไรออกไป กลับถูกขัดจังหวะด้วยนิ้วชี้ของเธอ โดยการเอานิ้วชี้มาสัมผัสกับริมฝีปากของผมพร้อมส่งเสียง    ชู่…..”

    และเธอก็หันกลับไปกล่าวกับพนักงานดูแลขบวนที่ยืนมองอยู่ว่า   ทั้งหมดให้ลงบัญชีในชื่อของเรานะค่ะ

    ที่นี้จะให้ผมทำตัวอย่างไรละ ก็มันทั้งตกใจทั้งดีใจและเกรงใจจนไม่อาจพูดออกมาเป็นคำพูดได้ เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ชุดอาหารกลางวันคลาส A ประกอบด้วย อาหารชั้นเลิศนานาชนิดถึงแม้ผมจะไม่เคยได้เห็น หรือไม่เคยได้สัมผัสแต่ก็รู้โดยไม่ต้องบอกว่าราคาของมันแพงขนาดไหน    ผมได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งรวบรวมความกล้าจนในที่สุดก็สามารถพูดกล่าวออกมาอย่างเบาๆว่า ขอบคุณครับ

    หญิงสาวผมสั้นได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะอีกครั้งจากนั้นจึงพูดกับผมว่า  เรานั่งโต๊ะเดียวกัน ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทางกัน ถ้าไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันจะได้อย่างไรคะ

    ผมยิ้มเล็กน้อยแล้วบอกกับเธอว่า ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆครับ

    หญิงสาวผมสั้นเธอคงแกล้งทวนคำ ขอบคุณ ขอบคุณอีกแล้ว นายคนนี้พูดอย่างอื่นบ้างสิ

    ผมก็ได้แต่กล่าวคำ ขอโทษครับ ขอโทษครับ  ผมรู้สึกว่าคำตอบกลับแบบนี้ยิ่งทำให้หญิงสาวผมสั้นคนนั้นรู้สึกขำจนกลั่นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จึงหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเอง

    คิกคิก  เราชื่อ คอรันดัม อาเดล เรียกสั้นๆว่า อาเดลละกัน นายชื่อว่าอะไรล่ะคะ?

    ผมจึงตอบกลับว่า ผมชื่อ อาคารัน เกียร์... เรียกว่า เกียร์เฉยๆก็ได้ครับ    

    ใช่แล้วชื่อของผมคือ ชื่อ อาคารัน เกียร์ ผมก็เป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งที่รักในอุดมการณ์,งานและเงิน

    ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ สถานีต่อไป  อัลชาวัล เมืองแห่งดอกไม้  ท่านผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะลงสถานีนี้ กรุณาเตรียมตัวให้พร้อมและเช็คสัมภาระด้วยคะ..    

    ขบวนรถโดยสารเวทมนต์แวะจอดรับส่งผู้โดยสาร  ณ สถานี อัลซาวัล ผมกวาดสายตามองทิวทัดรอบข้างจากทางหน้าต่าง จนต้องแอบลอบชมเชยในใจว่า สมแล้วที่เป็นเมืองแห่งดอกไม้ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีสันสวยงามยิ่งดดอกไม้นานาพันธุ์ที่ถูกปลูกให้ล้อมลอบกำแพงเมืองดูแล้วนึกอิจฉาผู้คนในเมืองยิ่งนัก...

                    เป็นที่รู้กันว่าเมื่อถึงอัลชาวัลเมืองแห่งดอกไม้นานาพรรณแล้วก็หมายความว่า ขบวนรถโดยสารได้เดินทางเข้าสู่เขตการปกครองหลวง หรือก็คือรถโดยสารขบวนนี้กำลังเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของโลก  เมืองหลวงเรราเวนซ์แล้ว อีกเพแค่เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย

                    เมื่อขบวนรถโดยสารเวทมนต์ออกวิ่งอีกครั้ง อาเดลถามกับผมว่า นายจะเดินทางไปราเรเวนซ์หรือ?”

                    ผมตอบกลับเต็มปากเต็มคำเป็นครั้งแรกว่า ใช่ครับ!! ผมจะไปสมัครเข้าทดสอบเพื่อเป็นหนึ่งในหน่วยองครักษ์แห่งราเรเวน

                    อาเดลได้ฟังดังนั้นทวนคำ   หน่วยองครักษ์แห่งราเรเวนเนี่ยนะ? แสดงว่านายก็เก่งไม่เบานะซิ

                    ผมจึงตอบกลับไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่า  จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะว่าผมเกิดในโบอาล๊อค เมืองแห่งช่างตีอาวุธ ดังนั้นจึงพอมีฝีมือในเชิงดาบ เชิงต่อสู้อยู่บ้าง

                    อาเดลนั่งขบคิดชั่วขณะจากนั้นจึงกล่าวว่า แล้วนายอ่านภาษาอักขระเวทมนต์โบราณได้ด้วยหรือ ? ”

                    ผมรู้สึกสงสัยจึงถามเธอกลับไปว่า อักขระเวทมนต์โบราณมันคืออะไร?”

                    อาเดลกล่าวว่า อักขระเวทมนต์โบราณเป็นอักษรเวทมนต์ชั้นสูงมีเพียงคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นมันได้ เอาเป็นว่าถ้านายไปเข้ารับการทดสอบก็คงจะรู้เอง แต่ถ้านายเกิดมองไม่เห็นขึ้นมาหรือว่าสอบคัดเลิอกไม่ผ่านแล้วไม่มีที่ไปละก็...

                    อาเดลล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อคลุมสีดำตัวเล็กๆหยิบเอา ตราสัญลักษณ์อันเล็กๆรูปทรงห้าเหลี่ยมสีเงินประกายเงาวาววับ ด้านในตราสัญลักษณ์สลักไว้ด้วยลวดลายของมังกรโบราณยื่นส่งให้กับเกียร์พร้อบพูดต่อว่า นายก็เอาตราสัญลักษณ์อันนี้ติดต่อมาหาฉันได้....

                    ผมรับตราสัญลักษณ์มาด้วยความงง ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ก็บอกขอบคุณพร้อมด้วยรอยยิ้มอันน่ารักน่าชังเช่นเคย

                    ทันใดนั้นจมูกของผมก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นหอมหวานอันโอชะของอาหารลอยโชยมาแต่ไกล เมื่อหันมองไปทางประตูทางเข้าห้องขบวนก็เห็น พนักงานดูแลขบวนกำลังนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ใช่แล้ว.. ชุดมันคือกลิ่นอาหารของพวกเขานั่นเอง เมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารลงบนโต๊ะเสร็จแล้วก็เดินจากไป ผมกำลังกลืนน้ำลายมองอาหารบนโต๊ะพวกนี้อย่างเกรงอกเกรงใจ ร่างกายของผมกำลังเรียกร้องให้รีบจับ อาหารพวกนี้เข้าปาก แต่ผมยังทำไม่ได้เพราะอาหารพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลองมาก่อน นอกจากหน้าตากับกลิ่นที่หอมหวานนั้น ผมก็ไม่รู้จักชื่อของอาหารพวกนี้เลยเลย แต่แน่นอนผมรู้ด้วยความรู้สึกว่ามันแพงมาก ความเงียบเริ่มก่อเกิดขึ้นระหว่างทั้งผมกับเธอ จนในที่สุด อาเดลก็ชิงกล่าว ทานกันเถอะ เกรงใจอะไรกัน ของพวกนี้เราจ่ายได้สบายๆ ไม่เป็นปัญหาหรอกน่า

                    ถึงผมจะมีข้อสงสัยมากมายต่ออาเดลแต่ผมก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามเพราะด้วยเพราะความเกรงใจในหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่อาเดลได้มอบให้แก่คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักอย่างผมแค่นั้นผมก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้ว ดังนั้นผมจีงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารชุดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอาเดลก็ทานเพียงเล็กน้อยแค่พอเป็นพิธีจากนั้นก็นั้นเธอก็เอาแต่นั่งมองหน้าผม.....จ้องมองกันนานๆแบบนี้ผมก็เขินแย่นะซิ

                    หลังจากทานอาหารเสร็จไม่นานนักขบวนรถขนส่งเวทมนต์ก็เทียบท่าจอดที่สถานีปลายทาง  เมืองหลวงเรราเวนซ์ เมืองแห่งการปกครองจุดศูนย์กลางของโลก ผมและอาเดลจึงได้เวลาบอกลากัน ก่อนจากกันอาเดลบอกกับผมว่าถ้ามีหากปัญหาขัดสนอย่างไร ให้นำตราสัญลักษณ์ที่เธอให้ไปที่ร้านแลกเงินแล้วเอ่ยถึงชื่อเธอจะสามารถใช้เบิกยืมเงินจำนวนหนึ่งมาใช้ก่อนได้        

                    เมื่อแยกกับอาเดลแล้วผมจึงเตรียมตัวเดินออกจากชานชะลาเพื่อมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเมื่อก้าวพ้นออกประตูของชานชะลาผมจึงได้รู้ว่า เรราเวนซ์ นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ผมเคยคาดคิดไว้มาก ทิวทัศน์ที่มองออกไปยังเบื้องหน้าเป็นถนนที่สร้างจากหินอ่อนสีดำก้อนเล็กๆปูทางลาดยาวคู่กับต้นแอปเปิลเรียงรายไปตลอดทางไปถึงสะพานใหญ่ที่ทอดยาวเข้าไปยังเขตกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนขนาดใหญ่จัดวางอย่างเป็นระเบียบสวยงาม  ตัวเมืองขนาดใหญ่ทั้งสี่ทิศถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำสายเล็กๆช่างดูคล้ายดินแดนแห่งเทพนิยายยิ่งนัก เกียร์ยืนยิ้มแสดงความดีใจและออกก้าวเดินตามผู้คนเข้าไปยังเขตกำแพงเมืองเขาเข้าเมืองจากประตูทางทิศใต้ของเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกับขบวนรถโดยสาร

                    หลังจากเข้ามาในเมืองแล้วความคิดแรกของสุดของผมร์คือหาที่สถานที่อยู่อาศัยราคาถูกจากนั้นค่อยเข้าไปรับการทดสอบคัดเลือกเป็นหน่วยองครักษ์แห่งราเรเวนในวันพุ่งนี้  ที่พักราคาถูกที่ผมหาได้อยู่ลึกเข้าไปในเขตเมืองเก่าทางทิศใต้สุดของเมือง บริเวณเมืองแถวนี้แตกตางจากส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นแหล่งรวมที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ของประชากรชั้นแรงงานหรือกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ ห้องของเขาห้องขนาดเล็กชั้นบนสุดของอาคารเก่าหลังหนึ่งภายในห้องขนาดเล็กของเขาประกอบด้วยเตียงเก่าๆตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของเล็กๆอันหนึ่ง  หลังจากได้ห้องพักแล้วเกียร์ก็นอนหลับเป็นตายเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าจากการเดินทางระยะยาวถึงสามวันบนขบวนรถโดยสาร



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×