ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Change มหาสงครามล่าข้ามภิภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : โจมตี

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 54


    เวลา นี้ ความน่าประหลาดของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้จิมเริ่มอยากจะรู้ทุกอย่างให้ ทะลุปรุโปร่ง เกรวี่ใช้โอกาสนี้ชวนจิมกลับไปยังอดีต แต่ด้วยเหตุผลใดนั้น จิมก็ยังไม่อาจรู้ได้ ด้วยความที่จิมอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งอัศจรรย์ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะตามเก รวี่ไปยังอดีต ทั้งสองคนขึ้นไทม์แมชชีนอีกครั้ง เกรวี่ตั้งเวลาย้อนกลับไปในอดีตเมื่อหมื่นล้านปีก่อน

     

     “คุณจะย้อนกลับไปไกลแค่ไหนจิมถามอย่างสงสัย

     

    ฉันคิดว่าซักหมี่นล้านปีเลยเป็นไง

     

    คุณบ้าไปแล้วแน่ๆ ป่านนั้นยังไม่มีโลกด้วยซ้ำ

     

    นั่นล่ะที่ฉันอยากจะลองล่ะ ว่าก่อนหน้านั้นจะเจออะไร” เกรวี่ตอบอย่างหน้าทะเล้นพลางตั้งเวลาเครื่องย้อนเวลาไปด้วย

     

    แล้ว ถ้าเกิดว่า โลกยังไม่มี เราไม่ลอยเคว้งในอวกาศเลยเหรอ แบบนั้นก็หมายความว่าพวกเรา...จิมทำหน้าขึงขังกับสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วพยายามจะห้ามเกรวี่ แต่ช้าเกินไป แสงสว่างวาบเกิดขึ้นในทันที เครื่องย้อนเวลาทำงาน จิมทำได้แค่เพียงก้มหน้าลง ราวกับว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง เพียงไม่กี่วินาทีแรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้นแล้วเครื่องย้อนเวลาก็หายไป

     

     

     

     

     

     

    --- โลก 10000 ล้านปีก่อน ---

     

    ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ดูจะยังไม่เจริญเท่ากับโลกปัจจุบันเลยสักนิด สาวน้อยคนหนึ่งกำลังเดินเล่นท่ามกลางลำธารเล็กๆข้างหมู่บ้านที่ทอดยาวไปถึง หน้าผากลายเป็นน้ำตกที่สูงชัน ชุดที่เธอสวมใส่เป็นชุดที่ดูจะย้อนยุคเสียด้วย เสื้อแขนยาวไม่มีลวดลาย กับกางเกงขายาวธรรมดาที่ถูกถกขากางเกงขึ้นเพื่อไม่ให้เปียกน้ำ มีสายคล้องคันธนูพาดอยู่ที่ไหล่

     

     “เซรี ลูก ขึ้นมาได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้วจ้ะผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกสาวน้อยคนนั้นจากหน้าบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลำธารมากนัก

     

     “อีกเดี๋ยวค่ะแม่ ขอเล่นน้ำต่ออีกหน่อยนะคะเซรีตะโกนกลับไปพร้อมกับวิ่งเล่นไปเรื่อยๆราวกับว่าไม่เคยเห็นน้ำมาก่อน

     

     “ไม่ได้แล้วจ้ะ ขึ้นมาได้แล้ว มืดแล้วนะเดี๋ยวไปไกลเกินไปมันจะไม่ดีนะลูก

     

     “ค่า คุณแม่ เดี๋ยวจะตามไปค่ะเซรีรับคำแต่ก็ยังคงวิ่งเล่นในลำธารโดยที่ไม่ทันรู้ตัวว่า ตัวเองใกล้เข้าหน้าผาไปทุกที เนื่องจากลำธารแห่งนี้เป็นลำธารที่มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ก้อนหินก้อนใหญ่และโขดหินมากมายเต็มไปด้วยตะไคร่ทำให้ลื่นล้มเอาได้ง่ายๆ สาวน้อยผู้กำลังสนุกกับการเล่นน้ำก็ลื่นล้มหงายหลังทำเอาเนื้อตัวเปียกปอนไป หมด เธอพยายามลุกขึ้นอย่างระวังแต่พื้นที่บริเวณนั้นลื่นมากทำให้เธอต้องยืน อย่างมั่นคงก่อนที่จะพยายามพาตัวเองออกมาจากลำธารแห่งนั้น วินาทีนั้นเองก็มีบางอย่างเกิดขึ้น พื้นที่บริเวณนั้นที่กำลังสลัวๆในยามเย็นกลับสว่างวาบขึ้นมาทันตา แสงสีขาวบนท้องฟ้าปรากฏขึ้นเหนือสาวน้อยนั้นเพียงไม่กี่เมตร สาวน้อยยกมือขึ้นบังแสงที่แยงตา ไม่นานนัก ร่างชายคนหนึ่งก็ลอยผ่านออกมาจากแสงสีขาวปะทะเข้ากับเซรีที่ยืนอยู่ ทั้งสองกอดกันและล้มลงกลิ้งไปกับพื้นลำธารด้วยแรงพอควร

     

     

    โอ๊ย ว๊ายยยยยยยยเสียงเซรีกรีดร้องอย่างตกใจ

     

    สิ้น เสียงนั้นร่างทั้งสองคนที่กอดกันอยู่อย่างนิ่งๆที่ปลายลำธาร นั่นหมายความว่าไม่กี่เซนติเมตรพวกเขาทั้งสองคนก็จะตกลงไปพร้อมกับธารน้ำตก แล้ว ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นโดยมีร่างหญิงสาวกอดอยู่ที่คอของเขาพร้อมกับหลับตา ปี๋ จิมพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆก็สังเกตเห็นว่าตัวเองถูกร่างหญิงสาวทับพร้อม กับสวมกอดอยู่ที่ปลายน้ำตก จิมในสภาพที่นอนอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องล่างของหน้าผาซึ่งมีความ สูงหลายสิบเมตร สายน้ำเย็นยะเยือกยังคงไหลผ่านร่างทั้งสองคนอย่างไม่ขาดสาย มันไหลรุนแรงกว่าทางต้นลำธารมากนัก

     

    นี่คุณ ช้าๆนะ เป็นอะไรรึเปล่าจิมสะกิดหญิงสาวที่หลับตาปี๋ หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นในอ้อมแขนของจิม

     

     “ว๊าย อีตาบ้า นายมีสิทธิ์อะไรมากอดฉันแบบนี้เซรีพูดพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างรัวตีที่อกของจิม ด้วยแรงสั่นสะเทือนนั้นเองทำให้ทั้งสองคนร่วงลงมาจากปลายน้ำตกจนได้

     

    อ๊า กกกกกกกกกกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดเสียงกรีดร้องดังทั่วบริเวณทั้งสองคนกอดกันร่วงลงมาจากยอดน้ำตก ไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงกระแทกน้ำดังซู่ม จิมพยายามว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำเขาโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำพร้อมกับสูดอากาศเฮือกใหญ่

     

     “ก็บอกแล้วว่าช้าๆจิมพึมพำกับตัวเองในขณะที่ตั้งสติและลอยคออยู่กลางแม่น้ำ ว่าแต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้...

     

    จิมพูดจบก็รีบดำลงน้ำไปอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็ขึ้นมาพร้อมกับเซรีที่ไม่ได้สติ เขาพาเซรีเข้าฝั่ง ทำการผายปอด และปั๊มหัวใจ

     

     “เราคงทำได้แค่นี้ล่ะนะจิมยังคงพึมพำกับตัวเอง

     

     “แค่ก ๆเซรีสำลักน้ำออกมา เธอฟื้นแล้วแต่ก็ยังคงมึนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานนักเธอก็สลบไปอีกครั้ง

     

    เดี๋ยวๆ ตื่นก่อนสิ อะไรกันนี่ ที่นี่มันที่ไหน แล้วเกรวี่หายไปไหนนะ ท่าทางมันชักจะแปลกๆซะแล้ว ไม่เหมือนกับที่ทดลองให้ดูก่อนหน้านี้เลยสักนิด

     

    เมื่อ จิมเห็นว่าอาการเซรีปลอดภัยจากการสำลักเอาน้ำออกมาแล้ว จิมจึงประคองร่างของเซรีที่ไม่ได้สติขึ้นหลังพร้อมกับเป้สะพายข้างที่ติดมา จากโลกปัจจุบันในชุดเปียกๆ ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ยอดน้ำตกแห่งนั้น เมื่อขึ้นมาถึงยอดก็มองเห็นบ้านหลายๆหลังตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนักทำด้วยฟาง และไม้โดยมีลำธารไหลผ่านข้างๆหมู่บ้าน จิมสันนิษฐานได้อย่างเดียวว่า สาวน้อยผู้ไม่ได้สติต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เป็นแน่ จิมไล่เคาะประตูบ้านไปทีละคนและถามเจ้าของบ้านว่ารู้จักเซรีไหม ไม่นานนักก็มาถึงบ้านของเซรี

     

    ขอโทษครับ มีใครอยุ่ไหมครับ

     

     

    จ้ะ มาแล้วๆแม่ของเซรีรับคำพร้อมกับเดินออกมาเปิดประตูบ้าน ทันทีที่เธอมองเห็นเซรีบนหลังจิมก็ถึงกับตะลึงรีบกุลีกุจอเข้ามาใกล้ๆ จิมได้แต่อธิบายว่าสาวน้อยคนนี้ตกน้ำ แม่ของเซรีก็เชิญจิมเข้าบ้านเพื่อถามถึงเรื่องราวทั้งหมด

     

    เซ รีนอนอยู่ใกล้ๆเตาผิงกลางบ้าน โดยมีแม่ของเซรีกับจิมนั่งอยู่รอบกองไฟนั้นเช่นเดียวกัน แสงไฟกลางบ้านพร้อมกับซุปร้อนๆในหม้อที่ถูกตั้งอยู่บนเปลวไฟนั้นทำให้ บรรยากาศในยามค่ำๆแบบนี้ดูอบอุ่นขึ้น

     

    เรื่องมันไปยังไงมายังไงกันพ่อหนุ่ม

     

     “คือ มันก็...จิมหยุดคิดนิดนึง ถ้าเราบอกเขาไปว่ามาจากอนาคตคงต้องหาว่าเราบ้าแน่ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้คงต้องบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น จิมพยายามพูดให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดเนื่องจากว่าจิมไม่อยากโกหกใคร และก็ไม่มีความจำเป็นด้วย

     

    มัน เป็นอุบัติเหตุน่ะครับจิมตอบอย่างตะกุกตะกักคือผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เอาเป็นว่าผมเห็นลูกของคุณป้าตกน้ำและก็ช่วยเธอเอาไว้ จากนั้นก็เดาว่าคงอาศัยอยู่หมู่บ้านแถบนี้ จึงเดินถามชาวบ้านมาเรื่อยๆ พอดีมีคนรู้จักลูกของคุณป้าและก็บอกว่าอยู่หลังนี้น่ะครับ

     

     “อ๋อ ขอบใจมากนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม ถ้าไม่ได้เธอไม่รู้ว่าลูกเซรีของป้าจะเป็นอย่างไรบ้าง

     

    เอ่อ คือ ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

     

    งั้น ก็ทานอาหารเย็นด้วยกันซะที่นี่เลยนะ ป้าทำเสร็จพอดีแม่ของเซรีลุกขึ้นไปหยิบชามใบย่อมๆมาตักน้ำซุปในหม้อกลางบ้านแล้วยื่นให้กับ จิม

     

    ขอบคุณมากครับจิมรับอย่างไม่ต้องคิดเพราะว่านี่มันควรจะเป็นอาหารมื้อกลางวันของเขาด้วยซ้ำ

     

    ป้าคนนี้ก็ใจดีจริงๆ ไม่นึกว่าคนสมัยก่อนก็ใจดีมีน้ำใจเหมือนกัน จิมได้แต่คิดเงียบๆ

     

    ป้า ชื่อ ไซรี อาศัยอยู่ในหมู่บ้านธารน้ำตกนี่มานานแล้วล่ะจ้ะ แล้วพ่อหนุ่มล่ะมาจากที่ไหน คงไม่ใช่คนที่นี่สินะเสียงที่ฟังดูชราแต่แฝงไปด้วยความใจดีแนะนำตัวเอง

     

     “ครับ ผมชื่อจิม มาจากต่างเมืองน่ะครับจิมคงไม่ตอบว่ามาจากโลกปัจจุบันเป็นแน่

     

    อย่าง นั้นรึ คืนนี้ก็พักที่นี่สักคืนสิความใจดีระลอกสองเชิญชวนให้จิมค้างที่นี่ด้วยกัน จิมเองซึ่งยังเคว้งคว้างจากบ้านมาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นชีวิตยังไงต่อก็คงต้อง ยอมรับคำเชิญของคุณป้าไซรีโดยปริยาย


    ขอบคุณมากครับ

     

    กลับมาแล้วจ้ะ ชายชราผู้หนึ่งเดินผ่านประตูบ้านเข้ามาเมื่อเห็นจิมกับลูกสาวตัวเองซึ่งนอน ไม่ได้สติจึงตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไซรีเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีเธอฟัง และคุณลุงคนนี้ก็ต้อนรับขับสู้จิมเป็นอย่างดี

     

    ทั้ง สามคนกับอีกหนึ่งคนที่นอนอยู่ ยังคงอยู่หน้ากองไฟในคืนที่หนาวเหน็บ พูดคุยถึงสภาพแวดล้อมต่างๆทำให้จิมพอจะจับใจความได้ว่า ที่นี่เป็นเมืองๆหนึ่งในทวีปซึ่งจิมก็ไม่คิดว่าจะมีในแผนที่ที่เคยเรียนมา และที่นี่ก็คือหมู่บ้านธารน้ำตกหนึ่งในเจ็ดหมู่บ้านของเมืองนี้ โดยบ้านที่เขากำลังพักอยู่นี่เป็นบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั่นก็คือ คุณลุงคนนี้นั่นเอง ซึ่งเขามีชื่อว่า เนเกลีย สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปรอบๆหมู่บ้านคือป่า และน้ำตก โดยมีชาวบ้านเก็บผลไม้และล่าสัตว์เพื่อยังชีพ

     

    หลัง จากมื้ออาหารเย็น ไซรีก็หาเสื้อผ้าแห้งๆให้จิมเปลี่ยน โดยไม่ต้องไปหาจากใครที่ไหนก็จากเนเกลียหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้นั่นเอง ชุดที่จิมใส่ทำจากหนังสัตว์เป็นเสื้อแขนสั้นสีน้ำตาล และกางเกงทำจากหนังสัตว์ชนิดเดียวกัน มองดูราวกับคนป่าแต่หน้าตาทันสมัย

     

    ทั้ง สามคนก็ออกมานั่งคุยกันที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน ชมแสงจันทร์ แสงดาว และเสียงแมลงที่กรีดร้องราวมีการแสดงคอนเสิร์ตขนาดย่อม อากาศเย็นๆทำให้จิมจามออกมา เนเกลียเห็นดังนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านไม่นานนักเขาก็กลับออกมาพร้อมกับ ดาบเล่มหนึ่ง

    นี่พ่อหนุ่ม รับนี่ไปสิ เนเกลียยื่นดาบให้กับจิม

     

    อะไรเหรอครับ จิมทำหน้างงแต่ก็ยังไม่กล้ารับสิ่งนั้นไว้

     

    เจ้าหนาวไม่ใช่รึ

     

    ครับ คงไม่ได้หมายความว่า ดาบนี้จะทำให้...

     

    ถูกแล้วล่ะ มันทำให้เจ้าอุ่นขึ้นได้

     

    ไม่น่าเชื่อ

     

    ไม่เชื่อ เจ้าก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ

     

    พ่อหนุ่ม รับไว้เถอะ ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยลูกสาวป้าเอาไว้ ไซรีคะยั้นคะยอให้จิมรับดาบนั้นไว้ให้ได้

     

    เจ้าจะเดินทางไปไหนมาไหน โดยไม่มีอาวุธได้อย่างไร หือ เนเกลียพูดจบก็นั่งลง

     

    จิ มถูกคะยั้นคะยอขนาดนี้ก็มิอาจปฏิเสธได้ ได้แต่รับดาบเล่มนั้นเข้ามาไว้ในมือ มันเป็นดาบสีทองปลายแหลมขนาดไม่ใหญ่มากเกินไป น้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ตัวดาบทำจากเหล็กที่ถูกตีอย่างดีด้วยความร้อนที่เหลือคณานับ และด้วยความร้อนนั้นเองที่ละลายทองคำให้มาอาบอยู่ทั่วทั้งเล่ม ที่ปลายสุดของด้ามมีเพชรเม็ดหนึ่งถูกตรึงอยู่ภายใน แสงจันทร์ทอลงมาจับกับปลายดาบทำให้ดูเป็นประกายงดงามยิ่ง มิอาจแยกแยะได้เลยว่าแสงประกายที่ส่องมานั้น มาจากประกายของแสงจันทร์หรือทองคำกันแน่ จิมยกมันขึ้นแล้วชูแกว่งไปมา เขารู้สึกถึงความอุ่นที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดจากกายบริหารเป็นแน่

     

    เปลวไฟสองสามดวงลอยขึ้นจากพื้นดินในระยะที่ไกลออกไปประมาณสามร้อยเมตร จิมสังเกตเห็นและก็จับจ้องไปที่มัน มันค่อยๆลอยสูงขึ้นและเมื่อมันถึงจุดสูงสุด มันก็ลอยต่ำลง แต่มันกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ และก็ใกล้เข้ามาทางจิมมากขึ้นเรื่อยๆ

     

    ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้เสียงตะโกนจากเพื่อนบ้าน

     

    หลังจากนั้นก็มีเปลวไฟอีกมากมายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จิมสังเกตเห็นบางอันมาตกลงใกล้บริเวณที่เขาใช้พักผ่อน

     

    มันคือธนูเพลิง ที่ถูกยิงออกมา เพื่อเผาหมู่บ้านแห่งนี้

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×