ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เมืองใต้ดิน
.
                  “เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะ ผมจะไปหลับแล้วล่ะ นี่ก็มืดมากแล้วล่ะ คุณไม่นอนหลับเหรอ “
                  “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวตื่นมาไม่เจอผมเค้าจะตกใจแตกตื่นกันหมด”
                  “คุณยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ ผมกลัวความปลอดภัยของคุณ ยิ่งตอนนี้เค้าได้ยินเสียงปืนกันทั่วไปหมดเลยล่ะ ตอนนี้ยังไปปลอดภัยแก่คุณแน่ ขนาดผมเองยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่เลย ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลอะไรมากมายหรอก พรุ่งนี้เย็นๆ คุณค่อยกลับก็แล้วกัน เอาให้ปลอดคนก่อนแล้วคุณก็กลับไปในที่คุณมาแล้วกัน จะได้ไม่มีใครสังเกตเห็นคุณได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะพาคุณเที่ยวในเมืองนี้ก็แล้วกัน คุณคงยังไม่เคยเห็นบรรยากาศตอนกลางวันสิ เอาล่ะถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมขอให้คุณนอนห้องนี้ไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะไปหาหมอนมาให้คุณ “
                  ผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย อาจจะเพราะว่าเนี่ยไม่ใช่ในความฝันเหมือนทุกๆคืนที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องใช้กำลังอย่างมากนั่นเอง ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เสียงนกแล้วก็แสงแดดส่องเข้ามาที่ตาของผม แดดตอนเช้าของที่นี่ค่อนข้างจะแรง ผมมองดูนาฬิกา อ้าวนี่ 10 โมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย ไม่มีใครปลุกผมเลยหรือเนี่ย
                  “คุณทีป ตื่นแล้วเหรอคะ” ผมหันไปมองตามเสียงนั้น
                  “ฉันเอมัวค่ะ ภรรยาของวินเค้าค่ะ วินเค้าออกไปทำงานน่ะคะ บ่ายๆเค้าออกเวรแล้วเค้าจะมารับคุณไปชมเมืองน่ะค่ะ เอ้อ อาหารเช้าของคุณฉันวางไว้บนโต๊ะอาหารแล้วนะคะ กินได้เลยค่ะ ฉันกับวินแล้วก็ลูกกินไปแล้วเมื่อเช้าน่ะค่ะ กินให้หมดนะคะ ฝีมือไม่อร่อยห้ามโทษกันนะคะ”
                  “ขอบคุณครับ”  ผมทานอาหารซึ่งบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอาหารแบบไหน มันทำจากผักที่ผมไม่รู้จักแต่ที่แน่ๆเนื้อหมูแน่ๆ ผมคิดอย่างนั้น
                  ผมปล่อยเวลาให้เดินผ่านไปจนกระทั่งบ่ายกับการรอคอยที่น่าเบื่อ แล้วก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย วินกลับมาถึงบ้าน
                  “คุณทีปรอผมนานไหม วันนี้มีงานเยอะมากเลย เคลียร์กันเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เรื่องที่ผู้ต้องหาโดนลักพาตัวออกไปจากห้องขังโดยกลุ่มคนร้าย แล้วก็ยิงตำรวจบาดเจ็บไปสามคน “
                  “อีมมูเหรอครับ”
                  “อ้าวคุณรู้ได้ไงเนี่ย ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลยนะ อีมมูเค้าเป็นทหารเฝ้าห้องผลึกเรนินน่ะ แล้วก็ปล่อยให้กลุ่มคนร้ายขโมยผลึกเรนินไปได้ จึงโดนจองจำไว้รอการตัดสินน่ะ “
                  “เอาล่ะเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ผมจะพาคุณไปท่องเที่ยวในเมืองนี้”
                  คราวนี้ผมได้มองออกไปพร้อมกับมองเห็นเมืองซึ่งไม่มืดเหมือนเคย มันก็เหมือนกับเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดนี่เอง รถราวิ่งกันขวักไขว่ไปมาไม่ต่างจากกรุงเทพเท่าไหร่ต่างแต่ว่ารถวิ่งกันน้อยมากเท่านั้นเอง วินพาผมซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ของเค้าออกไปตามท้องถนน ผมสังเกตเห็นตามข้างทางมีผู้ชาย ผู้หญิง มากมาย มีทุกเพศทุกวัย ต่างทำงานของตนกันหน้าที่ที่ตนต้องกระทำ วินพาผมมายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองนี้ แล้วพาผมไปที่ร้านอาหารภายในห้างนั้น พร้อมทั้งกับสั่งอาหาร
                  “ผัดกี่ดง 1 จาน แล้วก็ แกงจืดเต้าหู้นิ่มเส็งจาน ข้าวเปล่า 2”
                  ผมฟังชื่ออาหารแล้วก็รู้สึกแปลกๆ กับรายการอาหารเหล่านี้ แต่ก็ไม่กล้าถามไรมาก เพราะเมื่อเช้าผมก็กินอาหารแปลกๆมาแล้ว
                  หลังจากเรากินอาหารกันเสร็จแล้ว วินก็เรียกพนักงานมาเช็คเงิน
                  “120 ดีน่าค่ะ”
                  ผมได้ยินหน่วยเงินนี่อีกแล้ว มันช่างไม่เหมือนกับหน่วยเงินในเมืองของผมเลย
                  “เอาล่ะ ผมจะพาคุณไปยังสถานที่คุณจะต้องไม่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ที่ผมเล่าให้คุณฟังเมื่อคืนนี้ เมืองใต้ดิน ทางเข้าอยู่ชั้นใต้ดินของห้างนี้แหละ แต่ว่าจะเข้าจากบ้านผมก็ได้นะ เพราะว่ามันมีทางเข้าอยู่ทุกบ้านนั่นแหละ”
                  เมื่อผมมายืนอยู่ตรงบันได ที่ค่อนข้างชัน และเมื่อวินเดินลงบันไดลงไปนั้น ภายในทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก ข้างล่างนี่คือเมืองอีกเมืองนึงเลยเหรอเนี่ย
                  ตามข้างทางมีร้านค้าต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคนประจำร้านเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะขายด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ใครอยากได้อะไรก็หยอดเหรียญหรือสอดบัตรเข้าไป จะมีของออกมาเอง ภายในแม้ว่าจะเป็นชั้นใต้ดิน แต่ก็มีแสงสว่างจากดวงไฟนีออน ซึ่งทำให้สว่างเหมือนกับเดินในห้างสรรพสินค้าที่ผมพึ่งจะลงมานั่นเอง วินพาผมเดินไปเรื่อย จนถึงสถานีรถไฟฟ้าของที่นี่
                  “รถไฟฟ้าของที่นี่เป็นรถไฟสาธารณะน่ะ ไม่ต้องจ่ายเงินก็สามารถไปที่ไหนของเมืองนี้ก็ได้น่ะ ผมจะพาไปดูพิพิธภัณฑ์ของเมืองนี้ คงต้องนั่งรถไฟไปกันล่ะ “
                  ผมขึ้นรถไฟไปกับวิน ขณะรถไฟวิ่งผมมองไปนอกหน้าต่างมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่ารถไฟคันนี้วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่กันแน่ พอผมรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อวินบอกว่า ลงได้แล้วล่ะทีป
                  “อะไรกัน ผมว่าผมพึ่งก้าวขึ้นมาได้ไม่ถึง 10 วินาทีเลยนะ อะไรมันจะถึงเร็วขนาดนี้ นี่มันห่างจากที่เดิมแค่ไหนเชียว ถ้าแค่นี้ผมว่าคุณพาผมเดินมาก็ได้นะ”
                  “เดินกันไม่ไหวกันหรอกทีป ที่นี่มันห่างจากที่เรามาเกือบ 50 กิโลเมตรนะ ถ้าเราไม่มารถไฟเมื่อไหร่ที่เราจะมาถึง “
                  “10 วินาที 50 กิโลเมตร อะไรมันจะชวนให้ขำอย่างงั้น ขนาดรถไฟที่เร็วที่สุดในโลกของผมยังทำไม่ได้เลย “
                  “อะไรกันรถไฟของคุณวิ่งช้าขนาดนั้นเลยเหรอ รถไฟที่นี่วิ่งด้วยระบบเหนี่ยวนำมวลสารน่ะ มันถึงได้เร็วอย่างนี้น่ะ “
                  “เหนี่ยวนำมวลสาร ผมว่าในโลกที่ผมอยู่ยังไม่มีประเทศไหนที่สามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้เลยกับการเคลื่อนย้ายมวลสาร ไม่รู้ว่าต้องใช้สักกี่ปีถึงจะทำได้อย่างที่นี่ มันชวนให้ตกใจเสียนี่”
                  “เอาล่ะ เราจะไปที่พิพิธภัณฑ์กัน เดินตรงไปสักหน่อยก็ถึงแล้วล่ะครับ ตรงนี้เค้าเรียกว่าเขตแมนี่สตรีท เป็นย่านอนุรักษ์ของเมืองเราน่ะครับ ตรงนี้ต้องรักษาความสะอาดอย่างมากเลยครับ เอาล่ะก่อนที่จะไปเราต้องไปผมจะพาคุณไปห้องฆ่าเชื้อก่อนนะครับ ตามผมมา อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะ ต้องทำตามกฎน่ะครับ ผมเป็นผู้รักษากฎหมายจะไม่ทำตามกฎก็ไม่ได้ต้องขออภัยด้วยนะครับ”
                  วินพาผมเข้ามายังห้องเล็กๆซึ่งมีคนต่อคิวอยู่ค่อนข้างมาก แต่ด้วยจำนวนห้องซึ่งมีอยู่มากทำให้เราสองคนรอกันไม่นานก็ได้เข้าไป
                  ภายในห้องนี้ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จะสแกนถึงจำนวนเปอร์เซ็นต์เชื้อโรคทั้งหมดแล้วก็พ่นสารออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งหลังจากสแกนอีกครั้งจำนวนเชื้อโรคจะเหลือไม่ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ประตูก็จะเปิดให้ผมออกไปข้างนอกซึ่งวินรออยู่แล้ว
                  “เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะ ผมจะไปหลับแล้วล่ะ นี่ก็มืดมากแล้วล่ะ คุณไม่นอนหลับเหรอ “
                  “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวตื่นมาไม่เจอผมเค้าจะตกใจแตกตื่นกันหมด”
                  “คุณยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ ผมกลัวความปลอดภัยของคุณ ยิ่งตอนนี้เค้าได้ยินเสียงปืนกันทั่วไปหมดเลยล่ะ ตอนนี้ยังไปปลอดภัยแก่คุณแน่ ขนาดผมเองยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่เลย ผมว่าคุณไม่ต้องกังวลอะไรมากมายหรอก พรุ่งนี้เย็นๆ คุณค่อยกลับก็แล้วกัน เอาให้ปลอดคนก่อนแล้วคุณก็กลับไปในที่คุณมาแล้วกัน จะได้ไม่มีใครสังเกตเห็นคุณได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะพาคุณเที่ยวในเมืองนี้ก็แล้วกัน คุณคงยังไม่เคยเห็นบรรยากาศตอนกลางวันสิ เอาล่ะถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมขอให้คุณนอนห้องนี้ไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะไปหาหมอนมาให้คุณ “
                  ผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย อาจจะเพราะว่าเนี่ยไม่ใช่ในความฝันเหมือนทุกๆคืนที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องใช้กำลังอย่างมากนั่นเอง ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เสียงนกแล้วก็แสงแดดส่องเข้ามาที่ตาของผม แดดตอนเช้าของที่นี่ค่อนข้างจะแรง ผมมองดูนาฬิกา อ้าวนี่ 10 โมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย ไม่มีใครปลุกผมเลยหรือเนี่ย
                  “คุณทีป ตื่นแล้วเหรอคะ” ผมหันไปมองตามเสียงนั้น
                  “ฉันเอมัวค่ะ ภรรยาของวินเค้าค่ะ วินเค้าออกไปทำงานน่ะคะ บ่ายๆเค้าออกเวรแล้วเค้าจะมารับคุณไปชมเมืองน่ะค่ะ เอ้อ อาหารเช้าของคุณฉันวางไว้บนโต๊ะอาหารแล้วนะคะ กินได้เลยค่ะ ฉันกับวินแล้วก็ลูกกินไปแล้วเมื่อเช้าน่ะค่ะ กินให้หมดนะคะ ฝีมือไม่อร่อยห้ามโทษกันนะคะ”
                  “ขอบคุณครับ”  ผมทานอาหารซึ่งบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอาหารแบบไหน มันทำจากผักที่ผมไม่รู้จักแต่ที่แน่ๆเนื้อหมูแน่ๆ ผมคิดอย่างนั้น
                  ผมปล่อยเวลาให้เดินผ่านไปจนกระทั่งบ่ายกับการรอคอยที่น่าเบื่อ แล้วก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย วินกลับมาถึงบ้าน
                  “คุณทีปรอผมนานไหม วันนี้มีงานเยอะมากเลย เคลียร์กันเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เรื่องที่ผู้ต้องหาโดนลักพาตัวออกไปจากห้องขังโดยกลุ่มคนร้าย แล้วก็ยิงตำรวจบาดเจ็บไปสามคน “
                  “อีมมูเหรอครับ”
                  “อ้าวคุณรู้ได้ไงเนี่ย ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังเลยนะ อีมมูเค้าเป็นทหารเฝ้าห้องผลึกเรนินน่ะ แล้วก็ปล่อยให้กลุ่มคนร้ายขโมยผลึกเรนินไปได้ จึงโดนจองจำไว้รอการตัดสินน่ะ “
                  “เอาล่ะเราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ผมจะพาคุณไปท่องเที่ยวในเมืองนี้”
                  คราวนี้ผมได้มองออกไปพร้อมกับมองเห็นเมืองซึ่งไม่มืดเหมือนเคย มันก็เหมือนกับเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดนี่เอง รถราวิ่งกันขวักไขว่ไปมาไม่ต่างจากกรุงเทพเท่าไหร่ต่างแต่ว่ารถวิ่งกันน้อยมากเท่านั้นเอง วินพาผมซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ของเค้าออกไปตามท้องถนน ผมสังเกตเห็นตามข้างทางมีผู้ชาย ผู้หญิง มากมาย มีทุกเพศทุกวัย ต่างทำงานของตนกันหน้าที่ที่ตนต้องกระทำ วินพาผมมายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองนี้ แล้วพาผมไปที่ร้านอาหารภายในห้างนั้น พร้อมทั้งกับสั่งอาหาร
                  “ผัดกี่ดง 1 จาน แล้วก็ แกงจืดเต้าหู้นิ่มเส็งจาน ข้าวเปล่า 2”
                  ผมฟังชื่ออาหารแล้วก็รู้สึกแปลกๆ กับรายการอาหารเหล่านี้ แต่ก็ไม่กล้าถามไรมาก เพราะเมื่อเช้าผมก็กินอาหารแปลกๆมาแล้ว
                  หลังจากเรากินอาหารกันเสร็จแล้ว วินก็เรียกพนักงานมาเช็คเงิน
                  “120 ดีน่าค่ะ”
                  ผมได้ยินหน่วยเงินนี่อีกแล้ว มันช่างไม่เหมือนกับหน่วยเงินในเมืองของผมเลย
                  “เอาล่ะ ผมจะพาคุณไปยังสถานที่คุณจะต้องไม่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ที่ผมเล่าให้คุณฟังเมื่อคืนนี้ เมืองใต้ดิน ทางเข้าอยู่ชั้นใต้ดินของห้างนี้แหละ แต่ว่าจะเข้าจากบ้านผมก็ได้นะ เพราะว่ามันมีทางเข้าอยู่ทุกบ้านนั่นแหละ”
                  เมื่อผมมายืนอยู่ตรงบันได ที่ค่อนข้างชัน และเมื่อวินเดินลงบันไดลงไปนั้น ภายในทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก ข้างล่างนี่คือเมืองอีกเมืองนึงเลยเหรอเนี่ย
                  ตามข้างทางมีร้านค้าต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคนประจำร้านเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะขายด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ใครอยากได้อะไรก็หยอดเหรียญหรือสอดบัตรเข้าไป จะมีของออกมาเอง ภายในแม้ว่าจะเป็นชั้นใต้ดิน แต่ก็มีแสงสว่างจากดวงไฟนีออน ซึ่งทำให้สว่างเหมือนกับเดินในห้างสรรพสินค้าที่ผมพึ่งจะลงมานั่นเอง วินพาผมเดินไปเรื่อย จนถึงสถานีรถไฟฟ้าของที่นี่
                  “รถไฟฟ้าของที่นี่เป็นรถไฟสาธารณะน่ะ ไม่ต้องจ่ายเงินก็สามารถไปที่ไหนของเมืองนี้ก็ได้น่ะ ผมจะพาไปดูพิพิธภัณฑ์ของเมืองนี้ คงต้องนั่งรถไฟไปกันล่ะ “
                  ผมขึ้นรถไฟไปกับวิน ขณะรถไฟวิ่งผมมองไปนอกหน้าต่างมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่ารถไฟคันนี้วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่กันแน่ พอผมรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อวินบอกว่า ลงได้แล้วล่ะทีป
                  “อะไรกัน ผมว่าผมพึ่งก้าวขึ้นมาได้ไม่ถึง 10 วินาทีเลยนะ อะไรมันจะถึงเร็วขนาดนี้ นี่มันห่างจากที่เดิมแค่ไหนเชียว ถ้าแค่นี้ผมว่าคุณพาผมเดินมาก็ได้นะ”
                  “เดินกันไม่ไหวกันหรอกทีป ที่นี่มันห่างจากที่เรามาเกือบ 50 กิโลเมตรนะ ถ้าเราไม่มารถไฟเมื่อไหร่ที่เราจะมาถึง “
                  “10 วินาที 50 กิโลเมตร อะไรมันจะชวนให้ขำอย่างงั้น ขนาดรถไฟที่เร็วที่สุดในโลกของผมยังทำไม่ได้เลย “
                  “อะไรกันรถไฟของคุณวิ่งช้าขนาดนั้นเลยเหรอ รถไฟที่นี่วิ่งด้วยระบบเหนี่ยวนำมวลสารน่ะ มันถึงได้เร็วอย่างนี้น่ะ “
                  “เหนี่ยวนำมวลสาร ผมว่าในโลกที่ผมอยู่ยังไม่มีประเทศไหนที่สามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้เลยกับการเคลื่อนย้ายมวลสาร ไม่รู้ว่าต้องใช้สักกี่ปีถึงจะทำได้อย่างที่นี่ มันชวนให้ตกใจเสียนี่”
                  “เอาล่ะ เราจะไปที่พิพิธภัณฑ์กัน เดินตรงไปสักหน่อยก็ถึงแล้วล่ะครับ ตรงนี้เค้าเรียกว่าเขตแมนี่สตรีท เป็นย่านอนุรักษ์ของเมืองเราน่ะครับ ตรงนี้ต้องรักษาความสะอาดอย่างมากเลยครับ เอาล่ะก่อนที่จะไปเราต้องไปผมจะพาคุณไปห้องฆ่าเชื้อก่อนนะครับ ตามผมมา อย่าหาว่าผมเรื่องมากเลยนะ ต้องทำตามกฎน่ะครับ ผมเป็นผู้รักษากฎหมายจะไม่ทำตามกฎก็ไม่ได้ต้องขออภัยด้วยนะครับ”
                  วินพาผมเข้ามายังห้องเล็กๆซึ่งมีคนต่อคิวอยู่ค่อนข้างมาก แต่ด้วยจำนวนห้องซึ่งมีอยู่มากทำให้เราสองคนรอกันไม่นานก็ได้เข้าไป
                  ภายในห้องนี้ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จะสแกนถึงจำนวนเปอร์เซ็นต์เชื้อโรคทั้งหมดแล้วก็พ่นสารออกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งหลังจากสแกนอีกครั้งจำนวนเชื้อโรคจะเหลือไม่ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ประตูก็จะเปิดให้ผมออกไปข้างนอกซึ่งวินรออยู่แล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น