ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : การพบกันของพ่อลูก
.
              “เดี๋ยวผมขอตัวขึ้นนอนก่อนนะที่รักวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วล่ะ เดี๋ยวไงช่วยจัดการดูแลเด็กๆสองคนให้เค้าเข้านอนกันไวๆนะอย่ามัวแต่เล่นเกมส์กันจนดึก”
              “ได้ค่ะ รีบขึ้นไปเลย ไม่ห่วงกันเลยนะ”
              ผมลืมไปสนิทว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอยังคงความกลัวอยู่ แต่ผมก็ไม่ค่อยไหวแล้วสำหรับคืนนี้ คงต้องขอตัวไปนอนก่อนแล้ว
              ก่อนนอนผมก็ยังไม่ลืมที่จะนำเครื่องลางอันนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเผื่อว่าคืนนี้ผมจะฝันอีกจะได้นำไปเก็บไว้ให้เข้าที่เดิม จะได้ไม่มีใครมาทวงถามได้อีกว่ามันอยู่ที่ไหน
              วันนี้ก็เหมือนทุกทีที่ผมฝันผมมายืนอยู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ผมเดินต่อไปยังทิศที่เป็นวัด ผมก้มลงดูทางเข้าของวัดซึ่งยังปิดสนิท แล้วก็มองไปยังรูที่เคยเข้าไป แต่ตอนนี้มันปิดเสียแล้ว แล้วนี่ผมจะเข้าไปได้อย่างไรล่ะ ผมจะเอาของชิ้นนี้ไปคืนไว้ที่ได้อย่างไร
              “กริ๊งๆ” เสียงเหมือนกริ่งรถจักรยานดังมาแต่ไกล ผมซึ่งไม่ค่อยได้ยินเสียงใครในยามค่ำคืนนี้เท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าไม่มีคนให้เห็นเลย ก็เป็นได้ ผมหลบเข้าที่มุมมืดเพื่อดูว่าใครกันแน่ที่มาค่ำๆมืดๆอย่างนี้
              เสียงจักรยานหยุดนิ่งห่างจากผมออกไปไม่ถึง 10 เมตร มีเด็กสามคนลงมาจากรถจักรยาน แล้วก็จอดจักรยานไว้ พร้อมทั้งปีนเข้าไปในวัดบนกำแพง
              ผมคิดออกทันทีว่าจะเข้าไปในวัดได้อย่างไร ง่ายนิดเดียวแค่ทำตามเด็กๆพวกนั้นก็สิ้นเรื่อง เด็กๆคงไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก
              ผมรีบปีนเข้าไปในทันที แต่เมื่อลงมากลับไม่เห็นเด็กๆทั้งสามคนนั้นแล้ว ผมไม่สนใจเพราะผมต้องทำภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นลงก่อนนั่นคือเอาของไปคืนที่ โบสถ์ไม่ได้ล็อค นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเอาของไปคืนไว้กับที่แล้วล่ะ
              ผมเข้าไปในโบสถ์ พร้อมทั้งรีบหาพานที่เคยมีวัตถุอันนี้อยู่ ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมคิดว่ามันคงจะย้ายที่เก็บไปแล้วแน่ๆเลย แต่ไงผมก็ไม่ยอมเสียความตั้งใจเดิม ผมจึงวางมันลงไว้ที่พานที่ว่างอันหนึ่ง แต่เมื่อผมหันหลังกลับไป ผมก็สังเกตได้ว่ามีเงาอยู่หลังพระประธานแน่ๆ แต่ผมก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ออกจากโบสถ์ไป แต่ก็ด้อมๆมองๆอยู่ข้างนอก
              ผมรอสักพักใหญ่ๆ เด็กๆทั้งสามก็ออกมา ผมแทบจะตาค้างไปเมื่อเห็นหน้าของเด็กสามคนนี้ชัดๆ แน่ๆ เด็กคนนึงนั่นคือลูกของผมเอง และอีกคนนึงเป็นเพื่อนที่ชื่อกิต ส่วนอีกคนหนึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่เป็นผู้หญิง รุ่นเดียวกันกับจิมแล้วก็กิต ผมยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป รอจนเด็กสามคนออกไปจากโบสถ์แล้วปีนรั้วออกไปสักครู่ใหญ่ ผมจึงปีนรั้วตามออกไป
              หลังจากนั้น ผมซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกจนกว่าจะเช้าก็ได้เดินตามทางไปเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัวใครจะมาพบ เพราะว่ามั่นใจว่าไม่มีใครกล้าออกมาในกลางค่ำกลางคืนแบบนี้แน่ๆ ผมยังจำแผนที่ในเกมส์ของลูกชายตัวดีได้ ผมเดินห่างจากวัดไป ซึ่งก็มาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งใครๆก็คิดว่ามันจะต้องเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ไม่เลย ที่นี่เงียบมาก เหมือนจะไม่มีตำรวจอยู่เลยสักคนเดียว ผมเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย เพราะกุญแจไม่ได้ล็อคเอาไว้
              ผมเข้าไปจนถึงสถานที่ที่เรียกว่ากรงขัง แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงคราง ฮือๆ ออกมาจากในกรง แน่แล้วต้องมีคนอยู่ในกรงนั่นแน่ๆเลย ลองไปสอบถามเค้าดูดีกว่า ว่าที่นี่มันที่ไหน
              “สวัสดีครับ คุณ”
              “อะไรกันวะ เอ็งจะมาสวัสดีอะไรข้า ปล่อยข้าไปนะ ไอ้สันดาน”
              “เอ่อ ผมไม่มีกุญแจน่ะครับ ที่นี่มันที่ไหนกันครับ”
              “อะไรเอ็งจะมากวนประสาทข้าเหรอไง ใครๆเค้าก็รู้ว่าที่นี่เมืองไทย”
              “เมืองไทย ผมอุทาน ผมก็อยู่เมืองไทย ยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองที่แปลกประหลาดอย่างนี้เลย แล้วนี่ส่วนไหนของเมืองไทยล่ะ” ผมถามเค้าออกไปอีก
              “เจนิสตะวันตก”
              อะไรนะ เมืองไทยมีเมืองอย่างนี้ด้วยเหรอ ผมเก็บคำถามไว้แล้วถามต่อไปว่า
              “แล้วคุณเป็นใครทำไมมาติดคุกอยู่ในนี้อย่างนี้ล่ะ”
              “ข้าชื่อ อีมมู เป็นทหารเอกของแนชิน”
              “ใครคือแนชินเหรอ “
              “ถามมากจริงโว๊ย ทำอย่างกับข้าตอบแล้วเอ็งจะปล่อยข้างั้นแน่ะ แนชินคือตำแหน่งของผู้ปกครองเมืองนี้น่ะ ตอนนี้ไสวันเป็นคนปกครองที่นี่อยู่ ข้าโดนจับอยู่อย่างงี้เพราะละเลยหน้าที่ปล่อยให้ผลึกเรนินถูกขโมยไปจากห้องเก็บซึ่งข้าเฝ้าอยู่หน้าห้อง “
              “ผมคงต้องไปแล้วล่ะ ไว้ถ้าผมมาคราวหน้าผมจะติดเลื่อยมาช่วยคุณก็แล้วกัน ขอบใจนะ”
              ผมซึ่งในตอนนี้ไม่อาจจะช่วยอะไรเค้าได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ให้ความหวังเค้าว่าจะกลับมาช่วยเค้า ผมเดินออกจากสถานีตำรวจแห่งนั้นเพื่อกลับมาสู่ที่ๆผมออกมา ซึ่งก็ไม่รู้อยู่ดีว่าออกมาจากช่องไหน แล้วเด็กๆสามคนนี้มากันได้อย่างไร เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พรุ่งนี้ผมจะต้องถามลูกของผมให้ได้ความจริงให้ได้
              วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ผมตื่นออกมาแม้ตายังดูไม่แจ่มใสเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นสายตาที่ครุ่นคิดที่จะเอาความจริงจะลูกของผมให้ได้
              “จิม เมื่อคืนหลับสบายไหม ผมแกล้งถามลูกเพราะรู้ว่าเมื่อคืนได้ไปเจอลูกที่ไหน กิตล่ะหลับสบายดีกันทั้งคู่ไหม”
              “อ๋อเมื่อคืนผมเล่นเกมส์กันจนดึกน่ะครับพ่อ นอนกันแป๊บเดียวเอง นี่ยังง่วงอยู่เลยนะครับเนี่ย”
              “เหรอ ชุดมอมแมมกันจังนะสองหนุ่มนี่ เหมือนไปเล่นซุกซนปีนกำแพงที่ไหนมาเลยนะ “
              “เปล่าครับๆ” กิตพูดออกมาเหมือนทำให้จับพิรุธได้ “ไม่ได้ไปปีนกำแพงที่ไหนนะครับ”
              “จิม เดี๋ยวมาหาพ่อที่ห้องพ่อหน่อยนะ”
              “ครับพ่อ”
              “เมื่อคืนลูกไปไหนมาบอกพ่อมาซะดีๆนะ แล้วเด็กคนนั้นน่ะใครกัน ผู้หญิงที่ตาโตไว้ผมเปียคนนั้น” คราวนี้ได้ผลจิม เงียบไม่พูดอะไรเลย จนมีเสียงนึงดังออกจากปากของจิม
              “พ่อรู้ได้ไงครับเนี่ย”
              “เดี๋ยวผมขอตัวขึ้นนอนก่อนนะที่รักวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วล่ะ เดี๋ยวไงช่วยจัดการดูแลเด็กๆสองคนให้เค้าเข้านอนกันไวๆนะอย่ามัวแต่เล่นเกมส์กันจนดึก”
              “ได้ค่ะ รีบขึ้นไปเลย ไม่ห่วงกันเลยนะ”
              ผมลืมไปสนิทว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอยังคงความกลัวอยู่ แต่ผมก็ไม่ค่อยไหวแล้วสำหรับคืนนี้ คงต้องขอตัวไปนอนก่อนแล้ว
              ก่อนนอนผมก็ยังไม่ลืมที่จะนำเครื่องลางอันนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเผื่อว่าคืนนี้ผมจะฝันอีกจะได้นำไปเก็บไว้ให้เข้าที่เดิม จะได้ไม่มีใครมาทวงถามได้อีกว่ามันอยู่ที่ไหน
              วันนี้ก็เหมือนทุกทีที่ผมฝันผมมายืนอยู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ผมเดินต่อไปยังทิศที่เป็นวัด ผมก้มลงดูทางเข้าของวัดซึ่งยังปิดสนิท แล้วก็มองไปยังรูที่เคยเข้าไป แต่ตอนนี้มันปิดเสียแล้ว แล้วนี่ผมจะเข้าไปได้อย่างไรล่ะ ผมจะเอาของชิ้นนี้ไปคืนไว้ที่ได้อย่างไร
              “กริ๊งๆ” เสียงเหมือนกริ่งรถจักรยานดังมาแต่ไกล ผมซึ่งไม่ค่อยได้ยินเสียงใครในยามค่ำคืนนี้เท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าไม่มีคนให้เห็นเลย ก็เป็นได้ ผมหลบเข้าที่มุมมืดเพื่อดูว่าใครกันแน่ที่มาค่ำๆมืดๆอย่างนี้
              เสียงจักรยานหยุดนิ่งห่างจากผมออกไปไม่ถึง 10 เมตร มีเด็กสามคนลงมาจากรถจักรยาน แล้วก็จอดจักรยานไว้ พร้อมทั้งปีนเข้าไปในวัดบนกำแพง
              ผมคิดออกทันทีว่าจะเข้าไปในวัดได้อย่างไร ง่ายนิดเดียวแค่ทำตามเด็กๆพวกนั้นก็สิ้นเรื่อง เด็กๆคงไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก
              ผมรีบปีนเข้าไปในทันที แต่เมื่อลงมากลับไม่เห็นเด็กๆทั้งสามคนนั้นแล้ว ผมไม่สนใจเพราะผมต้องทำภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นลงก่อนนั่นคือเอาของไปคืนที่ โบสถ์ไม่ได้ล็อค นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเอาของไปคืนไว้กับที่แล้วล่ะ
              ผมเข้าไปในโบสถ์ พร้อมทั้งรีบหาพานที่เคยมีวัตถุอันนี้อยู่ ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมคิดว่ามันคงจะย้ายที่เก็บไปแล้วแน่ๆเลย แต่ไงผมก็ไม่ยอมเสียความตั้งใจเดิม ผมจึงวางมันลงไว้ที่พานที่ว่างอันหนึ่ง แต่เมื่อผมหันหลังกลับไป ผมก็สังเกตได้ว่ามีเงาอยู่หลังพระประธานแน่ๆ แต่ผมก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ออกจากโบสถ์ไป แต่ก็ด้อมๆมองๆอยู่ข้างนอก
              ผมรอสักพักใหญ่ๆ เด็กๆทั้งสามก็ออกมา ผมแทบจะตาค้างไปเมื่อเห็นหน้าของเด็กสามคนนี้ชัดๆ แน่ๆ เด็กคนนึงนั่นคือลูกของผมเอง และอีกคนนึงเป็นเพื่อนที่ชื่อกิต ส่วนอีกคนหนึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่เป็นผู้หญิง รุ่นเดียวกันกับจิมแล้วก็กิต ผมยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป รอจนเด็กสามคนออกไปจากโบสถ์แล้วปีนรั้วออกไปสักครู่ใหญ่ ผมจึงปีนรั้วตามออกไป
              หลังจากนั้น ผมซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกจนกว่าจะเช้าก็ได้เดินตามทางไปเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัวใครจะมาพบ เพราะว่ามั่นใจว่าไม่มีใครกล้าออกมาในกลางค่ำกลางคืนแบบนี้แน่ๆ ผมยังจำแผนที่ในเกมส์ของลูกชายตัวดีได้ ผมเดินห่างจากวัดไป ซึ่งก็มาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งใครๆก็คิดว่ามันจะต้องเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ไม่เลย ที่นี่เงียบมาก เหมือนจะไม่มีตำรวจอยู่เลยสักคนเดียว ผมเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย เพราะกุญแจไม่ได้ล็อคเอาไว้
              ผมเข้าไปจนถึงสถานที่ที่เรียกว่ากรงขัง แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงคราง ฮือๆ ออกมาจากในกรง แน่แล้วต้องมีคนอยู่ในกรงนั่นแน่ๆเลย ลองไปสอบถามเค้าดูดีกว่า ว่าที่นี่มันที่ไหน
              “สวัสดีครับ คุณ”
              “อะไรกันวะ เอ็งจะมาสวัสดีอะไรข้า ปล่อยข้าไปนะ ไอ้สันดาน”
              “เอ่อ ผมไม่มีกุญแจน่ะครับ ที่นี่มันที่ไหนกันครับ”
              “อะไรเอ็งจะมากวนประสาทข้าเหรอไง ใครๆเค้าก็รู้ว่าที่นี่เมืองไทย”
              “เมืองไทย ผมอุทาน ผมก็อยู่เมืองไทย ยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองที่แปลกประหลาดอย่างนี้เลย แล้วนี่ส่วนไหนของเมืองไทยล่ะ” ผมถามเค้าออกไปอีก
              “เจนิสตะวันตก”
              อะไรนะ เมืองไทยมีเมืองอย่างนี้ด้วยเหรอ ผมเก็บคำถามไว้แล้วถามต่อไปว่า
              “แล้วคุณเป็นใครทำไมมาติดคุกอยู่ในนี้อย่างนี้ล่ะ”
              “ข้าชื่อ อีมมู เป็นทหารเอกของแนชิน”
              “ใครคือแนชินเหรอ “
              “ถามมากจริงโว๊ย ทำอย่างกับข้าตอบแล้วเอ็งจะปล่อยข้างั้นแน่ะ แนชินคือตำแหน่งของผู้ปกครองเมืองนี้น่ะ ตอนนี้ไสวันเป็นคนปกครองที่นี่อยู่ ข้าโดนจับอยู่อย่างงี้เพราะละเลยหน้าที่ปล่อยให้ผลึกเรนินถูกขโมยไปจากห้องเก็บซึ่งข้าเฝ้าอยู่หน้าห้อง “
              “ผมคงต้องไปแล้วล่ะ ไว้ถ้าผมมาคราวหน้าผมจะติดเลื่อยมาช่วยคุณก็แล้วกัน ขอบใจนะ”
              ผมซึ่งในตอนนี้ไม่อาจจะช่วยอะไรเค้าได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ให้ความหวังเค้าว่าจะกลับมาช่วยเค้า ผมเดินออกจากสถานีตำรวจแห่งนั้นเพื่อกลับมาสู่ที่ๆผมออกมา ซึ่งก็ไม่รู้อยู่ดีว่าออกมาจากช่องไหน แล้วเด็กๆสามคนนี้มากันได้อย่างไร เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พรุ่งนี้ผมจะต้องถามลูกของผมให้ได้ความจริงให้ได้
              วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ผมตื่นออกมาแม้ตายังดูไม่แจ่มใสเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นสายตาที่ครุ่นคิดที่จะเอาความจริงจะลูกของผมให้ได้
              “จิม เมื่อคืนหลับสบายไหม ผมแกล้งถามลูกเพราะรู้ว่าเมื่อคืนได้ไปเจอลูกที่ไหน กิตล่ะหลับสบายดีกันทั้งคู่ไหม”
              “อ๋อเมื่อคืนผมเล่นเกมส์กันจนดึกน่ะครับพ่อ นอนกันแป๊บเดียวเอง นี่ยังง่วงอยู่เลยนะครับเนี่ย”
              “เหรอ ชุดมอมแมมกันจังนะสองหนุ่มนี่ เหมือนไปเล่นซุกซนปีนกำแพงที่ไหนมาเลยนะ “
              “เปล่าครับๆ” กิตพูดออกมาเหมือนทำให้จับพิรุธได้ “ไม่ได้ไปปีนกำแพงที่ไหนนะครับ”
              “จิม เดี๋ยวมาหาพ่อที่ห้องพ่อหน่อยนะ”
              “ครับพ่อ”
              “เมื่อคืนลูกไปไหนมาบอกพ่อมาซะดีๆนะ แล้วเด็กคนนั้นน่ะใครกัน ผู้หญิงที่ตาโตไว้ผมเปียคนนั้น” คราวนี้ได้ผลจิม เงียบไม่พูดอะไรเลย จนมีเสียงนึงดังออกจากปากของจิม
              “พ่อรู้ได้ไงครับเนี่ย”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น