ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : II - ชายหนุ่มแห่งวารี
II – ชายหนุ่มแห่งวารี
“คุเร.......”เสียงใสที่ยังไม่แตกหนุ่มดีเท่าไรเอ่ยถามคุเรที่กำลังเดินอย่างค่อนข้างเร่งรีบไปยังสวนหน้าปราสาทที่โคงาเนอิบอกว่า ไรฮะกำลังประมือกับผู้บุกรุก
“อะไรรึ”ร่างสูงมิได้ให้ความสนใจกับน้ำเสียงเศร้าๆของคนตัวเล็กสักเท่าไร นัยน์ตาสีม่วงเข้มดูเย็นชาจ้องไปยังทางทอดยาวด้านหน้าอย่างไม่มีท่าทีจะหันกลับมามองผู้ถาม
“เปล่า....ไม่มีอะไรหรอก”เด็กหนุ่มนามโคงาเนอิ คาโอรุกลับเป็นฝ่ายตอบปัดๆเสียเอง หางกับหูแมวบนหัวก็ตกลง ทำให้คุเรเอะใจเล็กน้อยแต่ก็มองข้ามมันไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับที่เขาและคาโอรุมาถึงสวนหน้าปราสาทพอดิบพอดี
ผลการต่อสู้ที่ทั้งคู่เห็นเป็นที่น่าทึ่งและน่าประหลาด ไรฮะอสูรหมาป่า ผู้ใช้เทพอัสนีนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นหญ้า แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ตายอีกทั้งอาวุธคู่กายก็ถูกปัดกระเด็นห่างตัว ไปไกล จึงไม่น่าแปลกที่เขาจะบาดเจ็บสาหัส ร่างบางรีบวิ่งไปหาคนที่แพ้พ่าย พร้อมอาวุธปริศนาในมือหลังพยุงคนเจ็บขึ้นมาอิงหน้าตักก็เริ่มถามไถ่อาการ พร้อมกับห้ามเลือด
“คนๆนั้นใช้ดาบเฮียวมง....หึๆ....น่าขันนะ เจ้าว่าไหม........ทั้งๆที่เทพอัสนีของข้าชนะธาตุดาบเอ็นซุยแต่ข้ากลับแพ้เขาอย่างราบคาบ.....ขอโทษนะครับ......ท่าน......คุเร”ไรฮะพูดติดขัดแต่ชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงเสียงทุ้มอ่อนโยน เพราะการเสียเลือดมากไปทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกวิงเวียนสุดท้ายก็หลุดเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พี่ชาย อย่าเป็นอะไรไปนะ......นอนพักก่อนเถอะ”โคงาเนอิเอ่ยเสียงสั่นๆ
“โคงาเนอิ ข้าจะพาไรฮะไปหาเนออนก่อน อย่างน้อยเขาก็พอจะรักษาได้ เจ้าจัดการเจ้านั่นให้ข้าด้วย หวังว่าข้าจะไม่ผิดหวังนะ”ชายหนุ่มผู้หยิบหน้ากากมาใส่ตอนไหนไม่ทราบพูดเสียงเย็น ก่อนจะช้อนตัวคนเจ็บหนักขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในความมืด
“ได้สิ”คนถูกสั่งรับคำเบาเสียงแผ่ว โดยไม่หวังให้คู่สนทนาได้ยิน
มือเล็กกำเครื่องมือพลังจิตของตนแน่นจนเลือดจาง นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยพินิจคู่ต่อสู้ที่ยืนย้อนแสงจันทร์ดวงโตกว่าราตรีไหน ผมยาวสีเงินสวยที่ถูกรวบไปเป็นหางม้าอย่างเรียบๆ ปลิวไหวตามแรงลม แววตาสีเดียวกันมองเด็กหนุ่มนิ่ง สูทสีขาวดูเรียบร้อยไม่มีรอยเลือดเลยแม้แต่น้อยก็พอจะทำให้เขารู้ว่าคนๆนี้เก่งพอตัวทีเดียว
เหมือนโกหกเพียงเสี้ยวพริบตาชายหนุ่มร่างโปร่งกลับเป็นฝ่ายประชิดตัวเขาเสียเอง ไม่ทันได้ตั้งรับดาบคมก็ฟันฉับลงบนต้นแขนเรียวด้านซ้าย เรียกเลือดและเสียงร้องได้ดียิ่งนัก
เมื่อตั้งสติได้คาโอรุจึงเริ่มเป็นฝ่ายรุก อาวุธปริศนาแบบแรกที่เป็นแบบปกติถูกมือคู่บางเหวี่ยงขึ้นง้างดาบวารีออกจากตัวด้วยกำลังเกินเด็ก ทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะรีบตั้งการ์ด เพื่อรับการโจมตีที่อัดแบบไม่ยั้งมือ เมื่อเห็นว่าการฟันตรงๆไม่ได้ผล คนบุก จึงกระโดดถอยห่างหวังไปไกลในระยะหนึ่ง ระหว่างลอยตัวกลางอากาศก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างเครื่องมือพลังจิตไปพลาง
“อ้ากก!!!!!”โคงาเนอิร้องลั่นเมื่อฝ่ายคู่ต่อสู้มิเปิดโอกาสให้เข้าได้แม้แตะพื้นดิน ชาวภูตน้ำผู้บุกรุกก็พุ่งเข้าฝังคมดาบเย็นเยียบที่แขนด้านขวา มือบางเกิดอาการอ่อนยวบเผลอปล่อยอาวุธคู่กายลงสู้พื้นหญ้าส่วนตัวกลับกระเด็นไถลไปกระแทกต้นไม้ใหญ่
ขณะพยายามตั้งตัวขึ้นยืน เจ้าแห่งดาบวารีก็กระแทกเรียวดาบยาวจมลึกลงที่โคนต้นไม้ที่โคงาเนอิใช้พยุงตน มือหนาอีกข้างคร่อมเขาให้ติดกับต้นไม้ ขาที่ยาวกว่าย่อลงกึ่งนั่งใบหน้าคมห่างจากหน้าของเขาเพียงคืบ
“นายแพ้แล้วล่ะ โคงาเนอิ”เด็กหนุ่มประหลาดใจที่คนๆนี้รู้ชื่อเขา แต่เมื่อรู้ว่าหมดทางสู้ก็เกิดอารมณ์โทสะขึ้น ตัวเขาไม่ชอบให้การต่อสู้จบโดยการไว้ชีวิต หากจะจบก็ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเลย มิใช่การละเว้นชีวิตแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม
“ข้าแพ้แล้วก็ฆ่าข้าซะ!!! ไม่ต้องมาไว้ชีวิตกันแบบนี้ มันทำให้ข้าสมเพชตัวเองจะฆ่าหรือทรมานข้าก็เชิญแต่อย่าไว้ชีวิตเหมือนสงสารข้าได้ไหม”คาโอรุพูดเสียงแข็ง คนได้เปรียบถอนดาบออกจากโคนต้นไม้ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า.....ฉันไม่ได้ไว้ชีวิตนายเพราะสงสาร แต่เพราะไม่มีธุระที่จะต้องฆ่าให้ตายก็เท่านั้น.......”ไม่ทันพูดจบผู้บุกรุกก็ต้องล้มลงไปนอนกับพื้นหลังได้รับแรงปะทะอย่างแรงจากลูกไฟสีแปลกตาที่ถูกปล่อยมาจากเจ้าของปราสาท
“เจ้าทำให้ข้าแอบผิดหวังเล็กๆนะ โคงาเนอิ”เสียงสุดท้ายที่เข้าสู้โสตประสาทพร้อมๆกับภาพที่มีใครสักคนใต้อาภรณ์สีแดงสดเดินตรงเข้ามาทางเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ท่านคุเร ให้ร่างของแกกับโมคุเร็นคนนี้แล้วถึงจะชอบผู้หญิงมากกว่าแต่หน้าสวยๆของแกนี่ก็น่าสนดีนะ” เสียงฟังดูไม่น่าไว้ใจดังลอดเข้าสู้ห้วงคิด เสียงที่ฟังดูเหมือนจะคุยคนเดียวเสียมากกว่า ทำให้ร่างเพรียวพยายามขยับน้อยๆแต่ก็ต้องชะงักกับความเจ็บปวดที่แล่นจากแผ่นหลังไปทั่วร่าง
“อ้าว....ตื่นแล้วรึ ก็ดี ข้าจะได้ฟังเสียงเจ้าร้องด้วย”ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาประหลาดใจมาก บุรุษร่างสูงใหญ่ดูท่าทางวิปริตพิกลรวมกับกิ่งไม้มากมายที่งอกออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายทำให้เขาดูเหมือนคนโรคจิตมากขึ้นไปอีก
"ไหนดูซิ เริ่มจากส่วนไหนดี"โมคุเร็นพูดพลางไล้สายตาไปทั่วร่างที่ถูกพันธนาการไว้โดยกิ่งก้านสาขาที่แข็งแกร่งของต้นอะไรสักอย่างที่งอกออกมาจากกำแพง
กิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่งอกจากส่วนแขนด้านขวาของมันคืบคลานไปมาบนใบหน้าขาวก่อนจะเลื้อยไปตามลำตัวแล้วพุ่งเข้าขีดข่วนอย่างรุนแรงจนเสื้อสูทขาดติดไม้ไปพร้อมกับรอยเลือด แล้วรอยแผลจำนวนมากที่ทั้งลึกและกว้างถูกสร้างขึ้นบนร่างกายกำยำปราดเปรียว กระนั้นเชลยผู้ต้องโทษกลับไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้คนทรมานโมโหหนัก กิ่งไม้คมแทงทะลุผ่านเนื้อที่ขา เลือดสีข้นไหลรินเป็นทาง
"พอได้แล้ว โมคุเร็น"เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กร่างหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นตา เมื่อเพ่งดูก็พบว่าเด็กคนนั้นก็คือคนที่สู้กับเขาแล้วแพ้แต่ดันโวยวายไม่ให้ไว้ชีวิต โคงาเนอินั่นเอง
"อะไรกัน แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้านะเจ้าคาโอรุ"
"แล้วถ้าข้าบอกว่าเป็นคำสั่งของท่านคุเรล่ะ"โคงาเนอิพูดเสียงเย็น พลางสาวเท้าเข้ามาฟันเหล่าเถาวัลย์ที่พันตัวเขาทิ้ง ทำให้เขาล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นแต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้เพราะบาดแผลสาหัสที่ต้นขา
"อุ้มพี่ชายคนนี้ตามข้ามา"เสียงสั่งดูไม่หวาดหวั่นต่อโมคุเร็นทำให้คนถูกสั่งกัดฟันกรอดแต่ก็ทำตามแต่โดยดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดวงตาสีเงินสวยค่อยๆแง้มออก เมื่อมองเพดานก็ทำให้รู้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย ห้องนอนที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวเหลื่อมทองดูเรียบๆสบายตา ตัวเขานอนบนเตียงนอนขนาดสองคนพร้อมผ้านวมสีขาวนุ่มที่คลุมตัวครึ่งล่างอยู่ แขนแกร่งพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่งมาพิงหัวเตียง ก็เห็นว่าดาบวารีถูกตั้งอยู่ข้างตัวเขาที่โต๊ะไท้เนื้อดีข้างเตียง ก่อนจะละความสนใจจากการสำรวจห้องเมื่อประตูไม้สีขาวขอบทองถูกเปิดเข้ามาเบาๆ
"ตื่นแล้วเหรอพี่ชาย พี่ชายหลับไปหนึ่งวันเลยนะ นี่ก็กลางคืนแล้วด้วย"เด็กชายหน้าตาแก่นแก้วในชุดเสื้อยืดตัวยาวสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสามส่วนสีขาว หูและหางแมวสีน้ำตาลเข้มกระดิกไปมาอย่างเริงร่า คนครึ่งแมวค่อยๆเดินเข้ามาหาเขาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้บุด้วยกำมะหยี่ข้างเตียง
"ทำไมถึงช่วยฉัน"คนเจ็บถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบดาบวารีมาไว้ข้างตัวอย่างไม่ไว้ใจคนตรงหน้า
"หวาๆ.....ใจเย็นสิพี่ชาย ข้าไม่ทำอะไรหรอกน่า เพียงแค่ไม่ชอบวิธีการของเจ้าโมคุเร็นนั่นก็เท่านั้นแหละ ข้าไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่น่ะ"โคงาเนอิอธิบายเสียงร่าเริง ชายหนุ่มจึงยอมวางอาวุธคู่กายไว้ดังเดิม
"แล้วพี่ชายชื่ออะไรเหรอ"คนตัวเล็กเอ่ยถามต่อ หลังวางถาดอาหารและยาที่ถือเข้ามาไว้ข้างเตียงหลังจากนั้นก็ค่อยๆเปิดขวดยาสีฟ้าใสออกแล้วเทมันลงในถาดแก้วกลมขนาดเล็ก
"......"ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างสูงบนเตียง มีเพียงสายตาฉายแววงุนงงเล็กน้อยกับความไม่ระแวงของเด็กหนุ่มคู่สนทนา
"อ่า......ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ ข้าไม่ได้ว่าอะไร....แต่ช่วยถอดยูคาตะออกก่อนได้มั๊ย ข้าจะทำแผลให้"โคงาเนอิพูดแล้วยิ้มแห้งๆ พร้อมกับชูสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงๆ
"มิคางามิ โทคิยะ"คนถูกพยาบาลพูดเสียงไม่ใส่ใจทันทีที่ถอดยูคาตะครึ่งบนออก เรียกรอยยิ้มน้อยๆที่เรียวปากบางให้แย้มออก
"ข้าชื่อโคงาเนอิ คาโอรุยินดีที่ได้รู้จักนะ"คาโอรุแนะนำตัวพลางแตะลำสีลงบนแผลไฟลวกที่หลังของเขาซึ่งเป็นผลมาจากลูกไฟที่คุเรปล่อยมารุนแรงขนาดทำเขาสลบ ระหว่างทำแผลเขาก็ได้ยินร่างบางพึมพำทำนองว่า คุเรทำกับเขาหนักไปรึเปล่า
"อ๊ะ!!"โทคิยะร้องเสียงค่อย น้ำเสียงนุ่ม ทุ้มทำให้โคงาเนอิรีบชักมือออกจากบาดแผลทันที หูสองหูที่ยื่นออกมาจากศีรษะตั้งขึ้นอย่างตกใจ
"ข้าทำแรงไปเหรอ ขอโทษนะพี่ชาย เจ็บมากมั๊ย"คนทำแผลพูดเสียงร้อนรน ท่าทีกระวนกระวายถูกแสดงออกมาจนน่าขัน ขนาดเขาที่ว่าเย็นชายังอดขำเบาๆไม่ได้ แต่อาการลุกลี้ลุกลนก็หยุดชะงักลงเมื่อมิคางามิเอื้อมมือไปจับข้อมือบาง แล้วส่ายหน้า
"ข้าต้องขอโทษแทนท่านคุเรกับเจ้าโมคุเร็นด้วยนะ ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้อยากสู้กับพี่ชายหรอก แต่ท่านคุเรสั่งมา ข้าก็ต้องทำตามน่ะ ขอโทษจริงๆนะ"โคงาเนอิพูด ขณะที่มือสองข้างก็เริ่มทำแผลต่อ
"ช่างเถอะ"คำตอบสั้นแต่แฝงไปด้วยความไม่ถือสาทำให้เด็กน้อยยิ้มร่า ก่อนจะชวนมิคางามิคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
"ว่าแต่.....พี่ชายเป็นพรายน้ำใช่มั๊ยล่ะ ดีจังนะข้าก็ชอบเล่นน้ำ ข้าน่ะเป็นเผ่าเอลฟ์ครึ่งแมวน่ะ"เมื่อพูดจบ คนเริ่มบทสนทนาก็มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด หูแมวสีน้ำตาลเข็มกับหางที่กระดิกไปมาก็ลู่ต่ำลง แม้เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็ไม่หลุดรอดสายตาคู่สนทนาไปได้ จะรอดพ้นได้ยังไงในเมื่อเขาจ้องหน้าคาโอรุอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้วคนเศร้าก็ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดขึ้น
"เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าพันแผลให้นะ"ว่าไปมือก็หยิบผ้าพันแผลม้วนหนึ่งขึ้นมา เพื่อพันไปรอบอกและหลังที่มีแผลลึก เด็กหนุ่มตัวเล็กจำเป็นต้องอ้อมมือสองข้างไปรัดผ้าพันแผลกับแผ่นหลังกว้างทำให้มันดูเหมือนเขากอดกับโทคิยะก็ไม่ผิด เมื่อคิดได้ดังนั้นคาโอรุก็หน้าขึ้นสีจัดมือน้อยก็เริ่มสั่นๆ แล้วผ้าพันแผลทบสุดท้ายก็ถูกพันและกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดเล็กๆ เจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
โทคิยะรับรู้ถึงความรู้สึกเศร้าสร้อยของเด็กน้อยแม้จะเสแสร้งเพียงใดก็ตาม เขาจึงคว้าคนตรงหน้ากอดหมับเข้าให้ แล้วลูบหัวเบาๆ
"เอ่อ......พี่ชาย......เป็นอะไรไปเหรอ"คนโดนกอดถามอย่างไร้เดียงสาสมเด็ก ใบหน้าหวานดูน่ารักแดงเรื่อๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรนักเพราะยังคงงุนงงกับเหตุผลที่โทคิยะกอดตนไว้ และนี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่มีคนกอดเขาเพราะต้องการกอด ไม่ใช่การกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในการต่อสู้
"นายเศร้าอะไรอยู่ ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าทำหน้าอย่างนั้นได้ไหม....เห็นแล้วไม่ชอบใจเท่าไหร่"มิคางามิพูด แม้เป็นคำพูดห้วนๆ สั้นๆแต่ก็ทำให้ร่างบางอุ่นใจขึ้นเยอะ จึงยอมให้กอดอยู่นิ่งๆโดยที่เขาเองไม่กล้าจะกอดตอบ
ไม่นาน ลำแขนแกร่งก็ปล่อยตัวเด็กชายจากอ้อมกอด ก่อนจะใส่เสื้อยูคาตะสีครีมให้เรียบร้อย แล้วหันไปมองหน้าคนอายุน้อยกว่าซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับถ้วยข้าวต้มที่กำลังจะเย็นเพราะถูกทิ้งไว้นานไป แต่เมื่อข้าวต้มนั้นยังคงอุ่นอยู่ โคงาเนอิจึงรีบให้โทคิยะทานมันทันที
"พี่ชายรีบกินเร็วเข้า เดี๋ยวมันเย็นหมด ขอโทษนะ ข้าน่าจะให้พี่ชายกินก่อน"ร่างเล็กพูดแล้วรีบถือถ้วยข้าวมานั่งข้างตัวคนเจ็บแล้วยื่นมันให้ด้วยรอยยิ้มเจื่อน พร้อมกับเอาผ้าขาวมารองเปื้อนไว้ที่ตักของเขา
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก แต่ร่างสูงก็หยิบช้อนจากในจานมาถือไว้เพื่อจะกินอาหารในนั้นแต่แล้ว....มือที่บาดเจ็บเพราะถูกโมคุเร็นแทงผ่านก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา ทำให้ต้องปล่อยมือออกจากช้อนนั้นเพื่อมากดแผลไว้ (ทีแรงกอดล่ะมีนะขอรับ)เนื่องจากไม่มีสิ่งใดมารองรับ ข้าวสีขาวขุ่นเลอะและช้อนเซรามิกก็ตกลงบนผ้ากันเปื้อนสีเดียวกัน โคงาเนอิอุทานเสียงค่อย แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้เขาเพื่อทำความสะอาด
"ข้าว่า พี่ชายคงเจ็บแผลใช่มั๊ยล่ะ...เอ่อ...งั้นข้าป้อน...ก็..ได้"น้ำเสียงติดขัดแสดงอารมณ์เขินอายออกมาอย่างสังเกตได้ ใบหน้านวลเนียนมีเลือดฝาดมากกว่าปกติเล็กน้อยทำให้เขารู้ทันทีว่าคนตรงหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
โทคิยะยิ้มรับน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณ มือหนายังคงกดปากแผลเพื่อระงับความเจ็บปวด ส่วนริมฝีปากเรียวบางก็คอยอ้ารับอาหารที่ถูกป้อนด้วยผู้หวังดี
การกระทำของร่างบางทำให้เขารู้สึกแปลกไปจากปกติ เพราะที่ๆเขาอาศัยอยู่แม้จะกินข้าวด้วยกันสักครั้งก็ยังไม่เคย นับตั้งแต่คนสำคัญคนนั้นตายไป เขาเองก็ปิดใจตัวเองมาตลอด ไม่ได้คุยกับใครด้วยคำพูดที่เป็นประโยคยาวมานานมาก จนเขาลืมไปเสียแล้วว่าความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้น ควรจะแสดงมันออกมาในรูปแบบไหน
"พอแล้ว"ชายหนุ่มผู้ใช้น้ำเอ่ยประโยคสั้นห้วน โคงาเนอิพยักหน้าแล้วจึงเก็บถ้วยจาน ร่างเล็กกว่าลุกขึ้นหลังจัดการกับข้าวต้มที่หกเลอะหน้าตักร่างสูง จึงหันมายิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อแผ่นหลังบางลับสายตาและประตูเนื้อไม้ชั้นสูงปิดลง คนที่เหลือตัวคนเดียวยกมือข้างขวาของตนที่มีผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ยาติดอยู่แน่นอนว่าคนที่ทำแผลให้ก็คือคนที่เพิ่งดินออกไปได้ไม่นานนี้ มิคางามิหลับตา
ลงอย่างใช้ความคิด
'ทำไมเรา.......'ห้วงความคิดไม่อาจเล็ดลอดออกสู้โลกภายนอก ความรู้สึกมากมายตีกันวุ่นวาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้คว้าตัวโคงาเนอิมากอดไว้ ทำไมถึงยอมให้เด็กคนนั้นป้อนข้าว ทำไมถึงไม่พอใจเมื่อเห็นเด็กคนนั้นเศร้า กระทั่งยอมให้พันผ้าพันแผลให้ รู้ทั้งรู้ว่าต้องอยู่ในท่ากอดแบบนั้นแต่ก็ไม่ค้านทั้งที่มีสิทธิ์
คนหนุ่มเหม่ออยูนานมาก แล้วความคิดก็ต้องหยุดชะงักเมื่อประตูไม้เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างคุ้นตาที่ปรากฏขึ้น ใบหน้าน่ารักยิ้มแหยๆ ต่างจากเดิมเพียงคนๆนี้เปลี่ยน ชุดเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งแขนยาวสีพื้นกับกางเกงขายาวสีน้ำตาล
"พี่ชาย....ข้าขอนอนด้วย จะว่าอะไรมั๊ย คือท่านคุเรไม่ยอมให้ข้านอนด้วยน่ะ แล้วห้องข้าก็...ถูกเจ้าโมคุเร็นกับมันยึดไป"โคงาเนอิถามเสียงไม่มั่นใจหางเล็กยาวสะบัดไปมา เขี้ยวเล็กๆมองเห็นได้ชัดเมื่อร่างเล็กยิ้ม ในมือถือหมอนสีขาวใบใหญ่
"...."คนนั่งอยู่บนเตียงมองเด็กน้อยอย่างฉงน แต่ก็พยักหน้า แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โซฟา แต่คนมาขอนอนกลับห้ามปรามแล้วไปนอนเสียเอง มิคางามิไม่ได้พูดอะไรแล้วล้มตัวลงนอนเงียบเชียบ
เสียงนาฬิกาในปราสาทจากที่ไหนสักแห่ง ตีระฆังบอกเวลาเที่ยงคืน บรรยากาศในห้องยังคงเงียบสนิท ในตาสีเงินสวยยังคงเหม่อมองดวงจันทร์เต็มดวง ใบหน้าสวยเกินสตรีมีร่องรอยความกังวลอยู่น้อยนิด ผมยาวสลวยถูกปล่อยออกปลิวไหวตามแรงลมเอื่อยที่พัดพากลิ่นราตรีเข้ามาเพราะบานกระจกที่ไม่ได้ปิด นัยน์ตาสวยเบิกขึ้นเล็กๆ อย่างได้สติ เนื่องจากเสียงเล็กเสียงหนึ่งที่ไม่ใช่คำพูด
"ฮือ...ฮือ...อึก!!!"น้ำเสียงกลั้นสะอื้นดังมาจากด้านหลังร่างโปร่งที่นอนอยู่ ชายหนุ่มหันไปหาต้นเสียงที่เรียกสติแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างบางที่เคยทอดตัวยาวนอนบนโซฟาตอนนี้ขดตัวเข้าหากัน ไหล่เล็กสั่นไหวไม่เป็นเป็นจังหวะราวกับคนตื่นกลัว มือสองมือถูกซุกไว้แนบอก คนเจ็บลุกขึ้นจากเตียงโดยเงียบที่สุด แล้วก้าวย่างไปหาหนุ่มน้อยโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัว มือหนาแตะไหล่คาโอรุอย่างเบามือแต่ทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง
ใบหน้าหวานหันมาทันควัน คราบน้ำตาเลอะที่ใต้ดวงตากลมโต นัยน์ตาแดงเรื่ออย่างคนร้องไห้หนัก ปลายแขนเสื้อสองข้างเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำใส คนเพิ่งรู้ตัวดูตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่มิคางามิทำ น้ำตามากมายยังคงไหลออกมาไม่ขาดสายแม้แขนเรียวบางพยายามจะเช็ดเพียงใดก็ตาม
"ข้า...ฮึก....ข้าทำพี่ชาย...ฮึก...ตื่นเหรอ...ขอ...ขอโทษนะ ข้าจะเงียบ"
โคงาเนอิพูดน้ำเสียงขาดห้วงขั้นด้วยเสียงสะอื้นไห้เป็นระยะจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แขนเสื้อยาวยังคงถูกใช้ต่างผ้าซับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จบ มิคางามิอึ้งกับภาพที่เห็น เขาไม่เคยปลอบคน อย่าว่าแต่ปลอบเลย เห็นคนร้องไห้ยังไม่เคยคิดจะสนใจเสียอีก
มือแกร่งลูบหัวคนตัวเล็กกว่าแผ่วเบา แล้วคว้าตัวเข้ามายังแผ่นอกกว้าง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขากอดเด็กคนนี้ โดยที่ไม่เข้าใจตัวเอง เจอกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกอบอุ่น ผูกพัน ห่วงหาอาทรอย่างน่าประหลาด เหมือนคนรู้จักกันที่ต้องลาจากเมื่อนานแสนนานสุดท้ายก็พบกันอีกครั้ง รู้สึกเหมือนเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง ริมฝีปากบางจูบซับน้ำตานุ่มนวล
"อย่าร้อง..."มิคางามิพูดทั้งที่ยังไม่ปล่อยคนในอ้อมกอด แต่กลับช้อนตัวร่างเล็กไปวางบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่เตียงเดิมที่เขานอนพัก ร่างเล็กดูยังตกใจไม่หาย จนเขาต้องอธิบายสิ่งที่ทำ
"นอนด้วยกัน ...นายจะได้ไม่ร้อง พอจะช่วยได้ไหม"เสียงเย็นชาพูดขึ้น แก้มเนียนขึ้นสีเล็กน้อยสายตาเย็นชากลับดูอ่อนโยนลงแต่ก็เบนไปทางอื่นไม่สบตรงๆ เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายแค่ทำตามแบบที่พี่สาวทำตอนเขาร้องไห้เมื่อยังเป็นเด็ก เมื่อนานมาแล้วแต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสได้รับความรักอีกหลังพี่ตาย
"ขอบ...ขอบคุณนะ พี่ชาย"
หากคืนจันทร์เต็มดวง มีผู้ใดหาปราสาทแห่งนี้พบ และมองเข้าไปผ่านบานหน้าต่างใหญ่ที่หอคอยทิศเหนือ ก็จะเห็นสองร่างนอนกอดกันดั่งคนรัก หนึ่งเป็นบุรุษรูปงาม ชายปริศนาจากเผ่าภูตน้ำ ผมที่งดงามแผ่กระจายบนผืนผ้าสีขาวสะอาด ภายในอกแกร่งมีร่างเล็ก ใบหน้าขึ้นสีแดงอ่อนๆจากการร่ำไห้ ใบหน้าหวานน่ารักดูน่าถนอมซุกลงเล็กน้อยทำให้หน้าผากเล็กชนแผงอกอีกฝ่าย แต่อาจมีเพียงดวงดาวและสายลมที่พานพบเท่านั้นที่รู้เห็น และเมื่ออาทิตย์ฉายฉาน จักมีใครหรือไม่ที่จะจดจำเวลาเหล่านั้นไว้ คงไม่อาจรู้ได้
-------------------------------------------
จบตอนที่สอง ต้องขอโทษที่บรรยายได้ไม่เท่าไหร่ ขอโทษนะครับ
ผมลงตอนนี้เร็วไปจากปกติเยอะ เพราะอยู่ๆก็ฮึดขึ้นมาครับ เวลาอัพของผมจะไม่แน่นอน
แต่ตอนนี้ผมว่ามันน้ำเน่าไปหน่อย ใครที่ไม่ชอบก็ไม่ว่ากันครับ
ผมไม่แต่งใหม่นะครับ พอใจเท่านี้แหละ ^_^
ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าช่วยคอมเม้นด้วยจะดีมากเลย แต่อ่านอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร
แต่เท่าที่ผมสังเกต สาวกเรกกะในเวปนี้หายากนะครับ
ไม่ค่อยมีเลย ถ้ามีก็แสดงตัวหน่อยก็ดีครับ ผมอยากรู้ว่าจะมีกันขนาดไหน
P.S.ต้องขอบคุณ คุณPlasiwodo (เขียนถูกมั๊ย) ผมเพิ่งได้อ่านการ์ตูนของเรกกะ
ตอนแรกดูแค่เอนิเมะ ก็ไม่ได้คิดจะแต่งฟิค แต่ก็ชอบคู่เรกกะกับคุเร แล้วก็โทคิยะกับคาโอรุ ก็เลยลองมาหาอ่านดู เจอฟิคสั้นของสองคู่นี้ อ่านแล้วก็อยากแต่งบ้างเลยคลอดฟิคนี้ขึ้นมา ขอบคุณนะครับ
เจอกันตอนที่สามนะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่ตามอ่านครับ ถึงจะมีคนอ่านน้อยก็เถอะ
วันนี้ผมอาจจะอัพ 2-3 ตอนเลยนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“คุเร.......”เสียงใสที่ยังไม่แตกหนุ่มดีเท่าไรเอ่ยถามคุเรที่กำลังเดินอย่างค่อนข้างเร่งรีบไปยังสวนหน้าปราสาทที่โคงาเนอิบอกว่า ไรฮะกำลังประมือกับผู้บุกรุก
“อะไรรึ”ร่างสูงมิได้ให้ความสนใจกับน้ำเสียงเศร้าๆของคนตัวเล็กสักเท่าไร นัยน์ตาสีม่วงเข้มดูเย็นชาจ้องไปยังทางทอดยาวด้านหน้าอย่างไม่มีท่าทีจะหันกลับมามองผู้ถาม
“เปล่า....ไม่มีอะไรหรอก”เด็กหนุ่มนามโคงาเนอิ คาโอรุกลับเป็นฝ่ายตอบปัดๆเสียเอง หางกับหูแมวบนหัวก็ตกลง ทำให้คุเรเอะใจเล็กน้อยแต่ก็มองข้ามมันไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับที่เขาและคาโอรุมาถึงสวนหน้าปราสาทพอดิบพอดี
ผลการต่อสู้ที่ทั้งคู่เห็นเป็นที่น่าทึ่งและน่าประหลาด ไรฮะอสูรหมาป่า ผู้ใช้เทพอัสนีนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นหญ้า แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ตายอีกทั้งอาวุธคู่กายก็ถูกปัดกระเด็นห่างตัว ไปไกล จึงไม่น่าแปลกที่เขาจะบาดเจ็บสาหัส ร่างบางรีบวิ่งไปหาคนที่แพ้พ่าย พร้อมอาวุธปริศนาในมือหลังพยุงคนเจ็บขึ้นมาอิงหน้าตักก็เริ่มถามไถ่อาการ พร้อมกับห้ามเลือด
“คนๆนั้นใช้ดาบเฮียวมง....หึๆ....น่าขันนะ เจ้าว่าไหม........ทั้งๆที่เทพอัสนีของข้าชนะธาตุดาบเอ็นซุยแต่ข้ากลับแพ้เขาอย่างราบคาบ.....ขอโทษนะครับ......ท่าน......คุเร”ไรฮะพูดติดขัดแต่ชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงเสียงทุ้มอ่อนโยน เพราะการเสียเลือดมากไปทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกวิงเวียนสุดท้ายก็หลุดเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พี่ชาย อย่าเป็นอะไรไปนะ......นอนพักก่อนเถอะ”โคงาเนอิเอ่ยเสียงสั่นๆ
“โคงาเนอิ ข้าจะพาไรฮะไปหาเนออนก่อน อย่างน้อยเขาก็พอจะรักษาได้ เจ้าจัดการเจ้านั่นให้ข้าด้วย หวังว่าข้าจะไม่ผิดหวังนะ”ชายหนุ่มผู้หยิบหน้ากากมาใส่ตอนไหนไม่ทราบพูดเสียงเย็น ก่อนจะช้อนตัวคนเจ็บหนักขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในความมืด
“ได้สิ”คนถูกสั่งรับคำเบาเสียงแผ่ว โดยไม่หวังให้คู่สนทนาได้ยิน
มือเล็กกำเครื่องมือพลังจิตของตนแน่นจนเลือดจาง นัยน์ตาสีน้ำตาลสวยพินิจคู่ต่อสู้ที่ยืนย้อนแสงจันทร์ดวงโตกว่าราตรีไหน ผมยาวสีเงินสวยที่ถูกรวบไปเป็นหางม้าอย่างเรียบๆ ปลิวไหวตามแรงลม แววตาสีเดียวกันมองเด็กหนุ่มนิ่ง สูทสีขาวดูเรียบร้อยไม่มีรอยเลือดเลยแม้แต่น้อยก็พอจะทำให้เขารู้ว่าคนๆนี้เก่งพอตัวทีเดียว
เหมือนโกหกเพียงเสี้ยวพริบตาชายหนุ่มร่างโปร่งกลับเป็นฝ่ายประชิดตัวเขาเสียเอง ไม่ทันได้ตั้งรับดาบคมก็ฟันฉับลงบนต้นแขนเรียวด้านซ้าย เรียกเลือดและเสียงร้องได้ดียิ่งนัก
เมื่อตั้งสติได้คาโอรุจึงเริ่มเป็นฝ่ายรุก อาวุธปริศนาแบบแรกที่เป็นแบบปกติถูกมือคู่บางเหวี่ยงขึ้นง้างดาบวารีออกจากตัวด้วยกำลังเกินเด็ก ทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะรีบตั้งการ์ด เพื่อรับการโจมตีที่อัดแบบไม่ยั้งมือ เมื่อเห็นว่าการฟันตรงๆไม่ได้ผล คนบุก จึงกระโดดถอยห่างหวังไปไกลในระยะหนึ่ง ระหว่างลอยตัวกลางอากาศก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างเครื่องมือพลังจิตไปพลาง
“อ้ากก!!!!!”โคงาเนอิร้องลั่นเมื่อฝ่ายคู่ต่อสู้มิเปิดโอกาสให้เข้าได้แม้แตะพื้นดิน ชาวภูตน้ำผู้บุกรุกก็พุ่งเข้าฝังคมดาบเย็นเยียบที่แขนด้านขวา มือบางเกิดอาการอ่อนยวบเผลอปล่อยอาวุธคู่กายลงสู้พื้นหญ้าส่วนตัวกลับกระเด็นไถลไปกระแทกต้นไม้ใหญ่
ขณะพยายามตั้งตัวขึ้นยืน เจ้าแห่งดาบวารีก็กระแทกเรียวดาบยาวจมลึกลงที่โคนต้นไม้ที่โคงาเนอิใช้พยุงตน มือหนาอีกข้างคร่อมเขาให้ติดกับต้นไม้ ขาที่ยาวกว่าย่อลงกึ่งนั่งใบหน้าคมห่างจากหน้าของเขาเพียงคืบ
“นายแพ้แล้วล่ะ โคงาเนอิ”เด็กหนุ่มประหลาดใจที่คนๆนี้รู้ชื่อเขา แต่เมื่อรู้ว่าหมดทางสู้ก็เกิดอารมณ์โทสะขึ้น ตัวเขาไม่ชอบให้การต่อสู้จบโดยการไว้ชีวิต หากจะจบก็ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเลย มิใช่การละเว้นชีวิตแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม
“ข้าแพ้แล้วก็ฆ่าข้าซะ!!! ไม่ต้องมาไว้ชีวิตกันแบบนี้ มันทำให้ข้าสมเพชตัวเองจะฆ่าหรือทรมานข้าก็เชิญแต่อย่าไว้ชีวิตเหมือนสงสารข้าได้ไหม”คาโอรุพูดเสียงแข็ง คนได้เปรียบถอนดาบออกจากโคนต้นไม้ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า.....ฉันไม่ได้ไว้ชีวิตนายเพราะสงสาร แต่เพราะไม่มีธุระที่จะต้องฆ่าให้ตายก็เท่านั้น.......”ไม่ทันพูดจบผู้บุกรุกก็ต้องล้มลงไปนอนกับพื้นหลังได้รับแรงปะทะอย่างแรงจากลูกไฟสีแปลกตาที่ถูกปล่อยมาจากเจ้าของปราสาท
“เจ้าทำให้ข้าแอบผิดหวังเล็กๆนะ โคงาเนอิ”เสียงสุดท้ายที่เข้าสู้โสตประสาทพร้อมๆกับภาพที่มีใครสักคนใต้อาภรณ์สีแดงสดเดินตรงเข้ามาทางเขา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ท่านคุเร ให้ร่างของแกกับโมคุเร็นคนนี้แล้วถึงจะชอบผู้หญิงมากกว่าแต่หน้าสวยๆของแกนี่ก็น่าสนดีนะ” เสียงฟังดูไม่น่าไว้ใจดังลอดเข้าสู้ห้วงคิด เสียงที่ฟังดูเหมือนจะคุยคนเดียวเสียมากกว่า ทำให้ร่างเพรียวพยายามขยับน้อยๆแต่ก็ต้องชะงักกับความเจ็บปวดที่แล่นจากแผ่นหลังไปทั่วร่าง
“อ้าว....ตื่นแล้วรึ ก็ดี ข้าจะได้ฟังเสียงเจ้าร้องด้วย”ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาประหลาดใจมาก บุรุษร่างสูงใหญ่ดูท่าทางวิปริตพิกลรวมกับกิ่งไม้มากมายที่งอกออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายทำให้เขาดูเหมือนคนโรคจิตมากขึ้นไปอีก
"ไหนดูซิ เริ่มจากส่วนไหนดี"โมคุเร็นพูดพลางไล้สายตาไปทั่วร่างที่ถูกพันธนาการไว้โดยกิ่งก้านสาขาที่แข็งแกร่งของต้นอะไรสักอย่างที่งอกออกมาจากกำแพง
กิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่งอกจากส่วนแขนด้านขวาของมันคืบคลานไปมาบนใบหน้าขาวก่อนจะเลื้อยไปตามลำตัวแล้วพุ่งเข้าขีดข่วนอย่างรุนแรงจนเสื้อสูทขาดติดไม้ไปพร้อมกับรอยเลือด แล้วรอยแผลจำนวนมากที่ทั้งลึกและกว้างถูกสร้างขึ้นบนร่างกายกำยำปราดเปรียว กระนั้นเชลยผู้ต้องโทษกลับไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้คนทรมานโมโหหนัก กิ่งไม้คมแทงทะลุผ่านเนื้อที่ขา เลือดสีข้นไหลรินเป็นทาง
"พอได้แล้ว โมคุเร็น"เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กร่างหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นตา เมื่อเพ่งดูก็พบว่าเด็กคนนั้นก็คือคนที่สู้กับเขาแล้วแพ้แต่ดันโวยวายไม่ให้ไว้ชีวิต โคงาเนอินั่นเอง
"อะไรกัน แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้านะเจ้าคาโอรุ"
"แล้วถ้าข้าบอกว่าเป็นคำสั่งของท่านคุเรล่ะ"โคงาเนอิพูดเสียงเย็น พลางสาวเท้าเข้ามาฟันเหล่าเถาวัลย์ที่พันตัวเขาทิ้ง ทำให้เขาล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นแต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้เพราะบาดแผลสาหัสที่ต้นขา
"อุ้มพี่ชายคนนี้ตามข้ามา"เสียงสั่งดูไม่หวาดหวั่นต่อโมคุเร็นทำให้คนถูกสั่งกัดฟันกรอดแต่ก็ทำตามแต่โดยดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดวงตาสีเงินสวยค่อยๆแง้มออก เมื่อมองเพดานก็ทำให้รู้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาคุ้นเคย ห้องนอนที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวเหลื่อมทองดูเรียบๆสบายตา ตัวเขานอนบนเตียงนอนขนาดสองคนพร้อมผ้านวมสีขาวนุ่มที่คลุมตัวครึ่งล่างอยู่ แขนแกร่งพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่งมาพิงหัวเตียง ก็เห็นว่าดาบวารีถูกตั้งอยู่ข้างตัวเขาที่โต๊ะไท้เนื้อดีข้างเตียง ก่อนจะละความสนใจจากการสำรวจห้องเมื่อประตูไม้สีขาวขอบทองถูกเปิดเข้ามาเบาๆ
"ตื่นแล้วเหรอพี่ชาย พี่ชายหลับไปหนึ่งวันเลยนะ นี่ก็กลางคืนแล้วด้วย"เด็กชายหน้าตาแก่นแก้วในชุดเสื้อยืดตัวยาวสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสามส่วนสีขาว หูและหางแมวสีน้ำตาลเข้มกระดิกไปมาอย่างเริงร่า คนครึ่งแมวค่อยๆเดินเข้ามาหาเขาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้บุด้วยกำมะหยี่ข้างเตียง
"ทำไมถึงช่วยฉัน"คนเจ็บถามพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบดาบวารีมาไว้ข้างตัวอย่างไม่ไว้ใจคนตรงหน้า
"หวาๆ.....ใจเย็นสิพี่ชาย ข้าไม่ทำอะไรหรอกน่า เพียงแค่ไม่ชอบวิธีการของเจ้าโมคุเร็นนั่นก็เท่านั้นแหละ ข้าไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่น่ะ"โคงาเนอิอธิบายเสียงร่าเริง ชายหนุ่มจึงยอมวางอาวุธคู่กายไว้ดังเดิม
"แล้วพี่ชายชื่ออะไรเหรอ"คนตัวเล็กเอ่ยถามต่อ หลังวางถาดอาหารและยาที่ถือเข้ามาไว้ข้างเตียงหลังจากนั้นก็ค่อยๆเปิดขวดยาสีฟ้าใสออกแล้วเทมันลงในถาดแก้วกลมขนาดเล็ก
"......"ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างสูงบนเตียง มีเพียงสายตาฉายแววงุนงงเล็กน้อยกับความไม่ระแวงของเด็กหนุ่มคู่สนทนา
"อ่า......ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ ข้าไม่ได้ว่าอะไร....แต่ช่วยถอดยูคาตะออกก่อนได้มั๊ย ข้าจะทำแผลให้"โคงาเนอิพูดแล้วยิ้มแห้งๆ พร้อมกับชูสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงๆ
"มิคางามิ โทคิยะ"คนถูกพยาบาลพูดเสียงไม่ใส่ใจทันทีที่ถอดยูคาตะครึ่งบนออก เรียกรอยยิ้มน้อยๆที่เรียวปากบางให้แย้มออก
"ข้าชื่อโคงาเนอิ คาโอรุยินดีที่ได้รู้จักนะ"คาโอรุแนะนำตัวพลางแตะลำสีลงบนแผลไฟลวกที่หลังของเขาซึ่งเป็นผลมาจากลูกไฟที่คุเรปล่อยมารุนแรงขนาดทำเขาสลบ ระหว่างทำแผลเขาก็ได้ยินร่างบางพึมพำทำนองว่า คุเรทำกับเขาหนักไปรึเปล่า
"อ๊ะ!!"โทคิยะร้องเสียงค่อย น้ำเสียงนุ่ม ทุ้มทำให้โคงาเนอิรีบชักมือออกจากบาดแผลทันที หูสองหูที่ยื่นออกมาจากศีรษะตั้งขึ้นอย่างตกใจ
"ข้าทำแรงไปเหรอ ขอโทษนะพี่ชาย เจ็บมากมั๊ย"คนทำแผลพูดเสียงร้อนรน ท่าทีกระวนกระวายถูกแสดงออกมาจนน่าขัน ขนาดเขาที่ว่าเย็นชายังอดขำเบาๆไม่ได้ แต่อาการลุกลี้ลุกลนก็หยุดชะงักลงเมื่อมิคางามิเอื้อมมือไปจับข้อมือบาง แล้วส่ายหน้า
"ข้าต้องขอโทษแทนท่านคุเรกับเจ้าโมคุเร็นด้วยนะ ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้อยากสู้กับพี่ชายหรอก แต่ท่านคุเรสั่งมา ข้าก็ต้องทำตามน่ะ ขอโทษจริงๆนะ"โคงาเนอิพูด ขณะที่มือสองข้างก็เริ่มทำแผลต่อ
"ช่างเถอะ"คำตอบสั้นแต่แฝงไปด้วยความไม่ถือสาทำให้เด็กน้อยยิ้มร่า ก่อนจะชวนมิคางามิคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
"ว่าแต่.....พี่ชายเป็นพรายน้ำใช่มั๊ยล่ะ ดีจังนะข้าก็ชอบเล่นน้ำ ข้าน่ะเป็นเผ่าเอลฟ์ครึ่งแมวน่ะ"เมื่อพูดจบ คนเริ่มบทสนทนาก็มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด หูแมวสีน้ำตาลเข็มกับหางที่กระดิกไปมาก็ลู่ต่ำลง แม้เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็ไม่หลุดรอดสายตาคู่สนทนาไปได้ จะรอดพ้นได้ยังไงในเมื่อเขาจ้องหน้าคาโอรุอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้วคนเศร้าก็ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดขึ้น
"เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าพันแผลให้นะ"ว่าไปมือก็หยิบผ้าพันแผลม้วนหนึ่งขึ้นมา เพื่อพันไปรอบอกและหลังที่มีแผลลึก เด็กหนุ่มตัวเล็กจำเป็นต้องอ้อมมือสองข้างไปรัดผ้าพันแผลกับแผ่นหลังกว้างทำให้มันดูเหมือนเขากอดกับโทคิยะก็ไม่ผิด เมื่อคิดได้ดังนั้นคาโอรุก็หน้าขึ้นสีจัดมือน้อยก็เริ่มสั่นๆ แล้วผ้าพันแผลทบสุดท้ายก็ถูกพันและกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดเล็กๆ เจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
โทคิยะรับรู้ถึงความรู้สึกเศร้าสร้อยของเด็กน้อยแม้จะเสแสร้งเพียงใดก็ตาม เขาจึงคว้าคนตรงหน้ากอดหมับเข้าให้ แล้วลูบหัวเบาๆ
"เอ่อ......พี่ชาย......เป็นอะไรไปเหรอ"คนโดนกอดถามอย่างไร้เดียงสาสมเด็ก ใบหน้าหวานดูน่ารักแดงเรื่อๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรนักเพราะยังคงงุนงงกับเหตุผลที่โทคิยะกอดตนไว้ และนี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่มีคนกอดเขาเพราะต้องการกอด ไม่ใช่การกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในการต่อสู้
"นายเศร้าอะไรอยู่ ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่อย่าทำหน้าอย่างนั้นได้ไหม....เห็นแล้วไม่ชอบใจเท่าไหร่"มิคางามิพูด แม้เป็นคำพูดห้วนๆ สั้นๆแต่ก็ทำให้ร่างบางอุ่นใจขึ้นเยอะ จึงยอมให้กอดอยู่นิ่งๆโดยที่เขาเองไม่กล้าจะกอดตอบ
ไม่นาน ลำแขนแกร่งก็ปล่อยตัวเด็กชายจากอ้อมกอด ก่อนจะใส่เสื้อยูคาตะสีครีมให้เรียบร้อย แล้วหันไปมองหน้าคนอายุน้อยกว่าซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับถ้วยข้าวต้มที่กำลังจะเย็นเพราะถูกทิ้งไว้นานไป แต่เมื่อข้าวต้มนั้นยังคงอุ่นอยู่ โคงาเนอิจึงรีบให้โทคิยะทานมันทันที
"พี่ชายรีบกินเร็วเข้า เดี๋ยวมันเย็นหมด ขอโทษนะ ข้าน่าจะให้พี่ชายกินก่อน"ร่างเล็กพูดแล้วรีบถือถ้วยข้าวมานั่งข้างตัวคนเจ็บแล้วยื่นมันให้ด้วยรอยยิ้มเจื่อน พร้อมกับเอาผ้าขาวมารองเปื้อนไว้ที่ตักของเขา
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก แต่ร่างสูงก็หยิบช้อนจากในจานมาถือไว้เพื่อจะกินอาหารในนั้นแต่แล้ว....มือที่บาดเจ็บเพราะถูกโมคุเร็นแทงผ่านก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา ทำให้ต้องปล่อยมือออกจากช้อนนั้นเพื่อมากดแผลไว้ (ทีแรงกอดล่ะมีนะขอรับ)เนื่องจากไม่มีสิ่งใดมารองรับ ข้าวสีขาวขุ่นเลอะและช้อนเซรามิกก็ตกลงบนผ้ากันเปื้อนสีเดียวกัน โคงาเนอิอุทานเสียงค่อย แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้เขาเพื่อทำความสะอาด
"ข้าว่า พี่ชายคงเจ็บแผลใช่มั๊ยล่ะ...เอ่อ...งั้นข้าป้อน...ก็..ได้"น้ำเสียงติดขัดแสดงอารมณ์เขินอายออกมาอย่างสังเกตได้ ใบหน้านวลเนียนมีเลือดฝาดมากกว่าปกติเล็กน้อยทำให้เขารู้ทันทีว่าคนตรงหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
โทคิยะยิ้มรับน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณ มือหนายังคงกดปากแผลเพื่อระงับความเจ็บปวด ส่วนริมฝีปากเรียวบางก็คอยอ้ารับอาหารที่ถูกป้อนด้วยผู้หวังดี
การกระทำของร่างบางทำให้เขารู้สึกแปลกไปจากปกติ เพราะที่ๆเขาอาศัยอยู่แม้จะกินข้าวด้วยกันสักครั้งก็ยังไม่เคย นับตั้งแต่คนสำคัญคนนั้นตายไป เขาเองก็ปิดใจตัวเองมาตลอด ไม่ได้คุยกับใครด้วยคำพูดที่เป็นประโยคยาวมานานมาก จนเขาลืมไปเสียแล้วว่าความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้น ควรจะแสดงมันออกมาในรูปแบบไหน
"พอแล้ว"ชายหนุ่มผู้ใช้น้ำเอ่ยประโยคสั้นห้วน โคงาเนอิพยักหน้าแล้วจึงเก็บถ้วยจาน ร่างเล็กกว่าลุกขึ้นหลังจัดการกับข้าวต้มที่หกเลอะหน้าตักร่างสูง จึงหันมายิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อแผ่นหลังบางลับสายตาและประตูเนื้อไม้ชั้นสูงปิดลง คนที่เหลือตัวคนเดียวยกมือข้างขวาของตนที่มีผ้าพันแผลและพลาสเตอร์ยาติดอยู่แน่นอนว่าคนที่ทำแผลให้ก็คือคนที่เพิ่งดินออกไปได้ไม่นานนี้ มิคางามิหลับตา
ลงอย่างใช้ความคิด
'ทำไมเรา.......'ห้วงความคิดไม่อาจเล็ดลอดออกสู้โลกภายนอก ความรู้สึกมากมายตีกันวุ่นวาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้คว้าตัวโคงาเนอิมากอดไว้ ทำไมถึงยอมให้เด็กคนนั้นป้อนข้าว ทำไมถึงไม่พอใจเมื่อเห็นเด็กคนนั้นเศร้า กระทั่งยอมให้พันผ้าพันแผลให้ รู้ทั้งรู้ว่าต้องอยู่ในท่ากอดแบบนั้นแต่ก็ไม่ค้านทั้งที่มีสิทธิ์
คนหนุ่มเหม่ออยูนานมาก แล้วความคิดก็ต้องหยุดชะงักเมื่อประตูไม้เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างคุ้นตาที่ปรากฏขึ้น ใบหน้าน่ารักยิ้มแหยๆ ต่างจากเดิมเพียงคนๆนี้เปลี่ยน ชุดเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งแขนยาวสีพื้นกับกางเกงขายาวสีน้ำตาล
"พี่ชาย....ข้าขอนอนด้วย จะว่าอะไรมั๊ย คือท่านคุเรไม่ยอมให้ข้านอนด้วยน่ะ แล้วห้องข้าก็...ถูกเจ้าโมคุเร็นกับมันยึดไป"โคงาเนอิถามเสียงไม่มั่นใจหางเล็กยาวสะบัดไปมา เขี้ยวเล็กๆมองเห็นได้ชัดเมื่อร่างเล็กยิ้ม ในมือถือหมอนสีขาวใบใหญ่
"...."คนนั่งอยู่บนเตียงมองเด็กน้อยอย่างฉงน แต่ก็พยักหน้า แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โซฟา แต่คนมาขอนอนกลับห้ามปรามแล้วไปนอนเสียเอง มิคางามิไม่ได้พูดอะไรแล้วล้มตัวลงนอนเงียบเชียบ
เสียงนาฬิกาในปราสาทจากที่ไหนสักแห่ง ตีระฆังบอกเวลาเที่ยงคืน บรรยากาศในห้องยังคงเงียบสนิท ในตาสีเงินสวยยังคงเหม่อมองดวงจันทร์เต็มดวง ใบหน้าสวยเกินสตรีมีร่องรอยความกังวลอยู่น้อยนิด ผมยาวสลวยถูกปล่อยออกปลิวไหวตามแรงลมเอื่อยที่พัดพากลิ่นราตรีเข้ามาเพราะบานกระจกที่ไม่ได้ปิด นัยน์ตาสวยเบิกขึ้นเล็กๆ อย่างได้สติ เนื่องจากเสียงเล็กเสียงหนึ่งที่ไม่ใช่คำพูด
"ฮือ...ฮือ...อึก!!!"น้ำเสียงกลั้นสะอื้นดังมาจากด้านหลังร่างโปร่งที่นอนอยู่ ชายหนุ่มหันไปหาต้นเสียงที่เรียกสติแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างบางที่เคยทอดตัวยาวนอนบนโซฟาตอนนี้ขดตัวเข้าหากัน ไหล่เล็กสั่นไหวไม่เป็นเป็นจังหวะราวกับคนตื่นกลัว มือสองมือถูกซุกไว้แนบอก คนเจ็บลุกขึ้นจากเตียงโดยเงียบที่สุด แล้วก้าวย่างไปหาหนุ่มน้อยโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัว มือหนาแตะไหล่คาโอรุอย่างเบามือแต่ทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง
ใบหน้าหวานหันมาทันควัน คราบน้ำตาเลอะที่ใต้ดวงตากลมโต นัยน์ตาแดงเรื่ออย่างคนร้องไห้หนัก ปลายแขนเสื้อสองข้างเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำใส คนเพิ่งรู้ตัวดูตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่มิคางามิทำ น้ำตามากมายยังคงไหลออกมาไม่ขาดสายแม้แขนเรียวบางพยายามจะเช็ดเพียงใดก็ตาม
"ข้า...ฮึก....ข้าทำพี่ชาย...ฮึก...ตื่นเหรอ...ขอ...ขอโทษนะ ข้าจะเงียบ"
โคงาเนอิพูดน้ำเสียงขาดห้วงขั้นด้วยเสียงสะอื้นไห้เป็นระยะจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แขนเสื้อยาวยังคงถูกใช้ต่างผ้าซับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่รู้จบ มิคางามิอึ้งกับภาพที่เห็น เขาไม่เคยปลอบคน อย่าว่าแต่ปลอบเลย เห็นคนร้องไห้ยังไม่เคยคิดจะสนใจเสียอีก
มือแกร่งลูบหัวคนตัวเล็กกว่าแผ่วเบา แล้วคว้าตัวเข้ามายังแผ่นอกกว้าง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขากอดเด็กคนนี้ โดยที่ไม่เข้าใจตัวเอง เจอกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกอบอุ่น ผูกพัน ห่วงหาอาทรอย่างน่าประหลาด เหมือนคนรู้จักกันที่ต้องลาจากเมื่อนานแสนนานสุดท้ายก็พบกันอีกครั้ง รู้สึกเหมือนเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง ริมฝีปากบางจูบซับน้ำตานุ่มนวล
"อย่าร้อง..."มิคางามิพูดทั้งที่ยังไม่ปล่อยคนในอ้อมกอด แต่กลับช้อนตัวร่างเล็กไปวางบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่เตียงเดิมที่เขานอนพัก ร่างเล็กดูยังตกใจไม่หาย จนเขาต้องอธิบายสิ่งที่ทำ
"นอนด้วยกัน ...นายจะได้ไม่ร้อง พอจะช่วยได้ไหม"เสียงเย็นชาพูดขึ้น แก้มเนียนขึ้นสีเล็กน้อยสายตาเย็นชากลับดูอ่อนโยนลงแต่ก็เบนไปทางอื่นไม่สบตรงๆ เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายแค่ทำตามแบบที่พี่สาวทำตอนเขาร้องไห้เมื่อยังเป็นเด็ก เมื่อนานมาแล้วแต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสได้รับความรักอีกหลังพี่ตาย
"ขอบ...ขอบคุณนะ พี่ชาย"
หากคืนจันทร์เต็มดวง มีผู้ใดหาปราสาทแห่งนี้พบ และมองเข้าไปผ่านบานหน้าต่างใหญ่ที่หอคอยทิศเหนือ ก็จะเห็นสองร่างนอนกอดกันดั่งคนรัก หนึ่งเป็นบุรุษรูปงาม ชายปริศนาจากเผ่าภูตน้ำ ผมที่งดงามแผ่กระจายบนผืนผ้าสีขาวสะอาด ภายในอกแกร่งมีร่างเล็ก ใบหน้าขึ้นสีแดงอ่อนๆจากการร่ำไห้ ใบหน้าหวานน่ารักดูน่าถนอมซุกลงเล็กน้อยทำให้หน้าผากเล็กชนแผงอกอีกฝ่าย แต่อาจมีเพียงดวงดาวและสายลมที่พานพบเท่านั้นที่รู้เห็น และเมื่ออาทิตย์ฉายฉาน จักมีใครหรือไม่ที่จะจดจำเวลาเหล่านั้นไว้ คงไม่อาจรู้ได้
-------------------------------------------
จบตอนที่สอง ต้องขอโทษที่บรรยายได้ไม่เท่าไหร่ ขอโทษนะครับ
ผมลงตอนนี้เร็วไปจากปกติเยอะ เพราะอยู่ๆก็ฮึดขึ้นมาครับ เวลาอัพของผมจะไม่แน่นอน
แต่ตอนนี้ผมว่ามันน้ำเน่าไปหน่อย ใครที่ไม่ชอบก็ไม่ว่ากันครับ
ผมไม่แต่งใหม่นะครับ พอใจเท่านี้แหละ ^_^
ขอบคุณที่อ่านนะครับ ถ้าช่วยคอมเม้นด้วยจะดีมากเลย แต่อ่านอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร
แต่เท่าที่ผมสังเกต สาวกเรกกะในเวปนี้หายากนะครับ
ไม่ค่อยมีเลย ถ้ามีก็แสดงตัวหน่อยก็ดีครับ ผมอยากรู้ว่าจะมีกันขนาดไหน
P.S.ต้องขอบคุณ คุณPlasiwodo (เขียนถูกมั๊ย) ผมเพิ่งได้อ่านการ์ตูนของเรกกะ
ตอนแรกดูแค่เอนิเมะ ก็ไม่ได้คิดจะแต่งฟิค แต่ก็ชอบคู่เรกกะกับคุเร แล้วก็โทคิยะกับคาโอรุ ก็เลยลองมาหาอ่านดู เจอฟิคสั้นของสองคู่นี้ อ่านแล้วก็อยากแต่งบ้างเลยคลอดฟิคนี้ขึ้นมา ขอบคุณนะครับ
เจอกันตอนที่สามนะครับ ขอบคุณอีกครั้งที่ตามอ่านครับ ถึงจะมีคนอ่านน้อยก็เถอะ
วันนี้ผมอาจจะอัพ 2-3 ตอนเลยนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น