ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงมีพระนามเดิมว่า พระเชษฐา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จพระราชสมภพเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๐๑๕ ที่เมืองพิษณุโลก ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานถึง ๓๘ ปี นับเป็นลำดับที่สองรองจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผู้เป็นพระราชบิดา
ก่อนขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๘ พระเชษฐาทรงมีพระชันษาได้ ๑๓ พรรษา สมเด็จพระราชบิดาพระราชทานอภิเษกให้เป็นพระมหาอุปราช ทรงดำรงตำแหน่งมาด้ ๓ ปี สมเด็จพระราชบิดาเสด็จสวรรคต ตอนนั้นพระองค์มีพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระองค์ยอมถวายราชสมบัติแก่พระบรมราชา ผู้เป็นพระเชษฐาพระมารดา และครองกรุงศรีอยุธยา อยู่ในเวลานั้น ส่วนพระองค์เสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก อยู่ในตำแหน่งพระมหาอุปราชอีก ๓ ปี
การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๐๓๔ พระเชษฐาจึงเสด็จจากพิษณุโลกมาเสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อมีพระชันษาได้ ๑๙ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี
พระราชกรณียกิจ
การพระศาสนา
• พ.ศ. ๒๐๓๕ สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่เพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ <ในเขตพระบรมหาราชวัง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ใหญ่เพื่อประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในวัดเดียวกัน
• พ.ศ. ๒๐๔๒ สมเด็จพระรามาธิบดีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารในวัดศรีสรรเพชญ์
• พ.ศ. ๒๐๔๓ สมเด็จพระรามาธิบดีหล่อโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูป พระศรีสรรเพชญ์ เริ่มหล่อในวันอาทิตย์ ขึ้น ๘ ค่ำ
เดือน ๖
• พ.ศ. ๒๐๔๖ ทรงให้มีงานฉลองสมโภชพระศรีสรรเพชญ์ วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘
การเจริญสัมพันธไมตรีกับโปรตุเกส
ใน พ.ศ. ๒๐๕๔ ทูตนำสารของ อัลฟองโซ เดอร์ก แม่ทัพใหญ่ของโปรตุเกส ได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้า พระองค์ทรงตอบรับไมตรีจากโปรตุเกส และได้ทำสัญญาทางราชไมตรีกับทางการค้าต่อกัน ใน พ.ศ. ๒๐๕๙ นับเป็นสัญญาฉบับแรกที่ไทยทำกับต่างประเทศ โปรตุเกสจึงนับเป็นประเทศแรกในทวีปยุโรป ที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา ผลจากการเข้ามาสร้างไมตรีของชาวโปรตุเกส ได้มีการนำเอาอาวุธแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเข้ามาถวาย ได้แก่ ปืนประเภทต่าง ๆ และกระสุนดินดำ ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เข้ามาเป็นทหารอาสาฝรั่ง ได้ช่วยฝึกวิธีการใช้อาวุธแบบตะวันตกกับกรุงศรอยุธยา
ราชการสงคราม
ราชการสงคราม
สงครามกับมะละกา
เมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๓ พระองค์ทรงส่งกองทัพทั้งทางบกและทางเรือไปทำสงครามกับมะละกา ถึงสองครั้ง โดยเข้าโจมตีชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก แม้ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็ทำให้มะละกาได้ตระหนักถึงอำนาจของอยุธยาที่มีอิทธิพลเหนือหัวเมืองในคาบสมุทรภาคใต้ โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ใช้เป็นฐานในการควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ในคาบสมุทรแห่งนี้ กษัตริย์มะละกาผู้ปกครอง ปัตตานี ปาหัง กลันตัน และเมืองท่าที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทั้งหมดต้องส่งบรรณาการต่อกษัตริย์อยุธยาทุกปี
สงครามกับล้านนา
•พ.ศ. ๒๐๕๖พระเมืองแก้ว กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ แห่งอาณาจักรล้านนา ยกทัพมาตีกรุงสุโขทัย สมเด็จพระรามาธิบดีได้ทรงออกทัพขึ้นไปป้องกันทางเหนือ จนกองทัพเชียงใหม่แตกกลับไป
•พ.ศ. ๒๐๕๘ พระองค์ได้ทรงยกกองทัพขึ้นไปตีล้านนาอีกหน คราวนี้ทรงตีเมืองลำปางได้
สถาปนาพระมหาอุปราช
พ.ศ. ๒๐๖๙ พระองค์ได้ทรงสถาปนาพระอาทิตย์วงศ์ พระราชโอรสให้เป็นพระบรมราชาตำแหน่งสมเด็จหน่อพระพุทธางกูร หรือสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้ารัชทายาท โปรดเกล้า ฯ ให้ปกครองหัวเมืองเหนือประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก ทำให้ราชอาณาจักรล้านนาไม่มารบกวนเมืองเหนืออีกตลอดรัชสมัยของพระองค์
การจัดระเบียบกองทัพ
สมเด็จพระรามาธิบดีที ทรงจัดให้มีการจัดระเบียบกองทัพ และแต่งตำราพิชัยสงคราม ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดทำบัญชีกำลังพล เมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๑ เพื่อเกณฑ์พลเมืองเข้ารับราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โดยกำหนดให้ไพร่ที่เป็นชาย อายุตั้งแต่ ๑๘ - ๖๐ ปี ต้องเข้ารับราชการทหาร ยกเว้นผู้ที่มีบุตรชายแล้วเข้ารับราชการ ตั้งแต่สามคนขึ้น ผู้เป็นบิดาจึงพ้นหน้าที่รับราชการทหารชายที่มีอายุ ๑๘ ปี ต้องขึ้นทะเบียนทหารเพื่อเข้ารับการฝึกหัดทหาร เรียกว่า ไพร่สม เมื่ออายุ ๒๐ ปี จึงเรียกเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการเรียกว่า ไพร่หลวง ส่วนพวกที่ไม่สามารถมารับราชการทหารได้ ก็ต้องมีของมาให้ราชการเป็นการชดเชยเรียกว่า ไพร่ส่วย
ได้มีการตั้งกรมพระสุรัสวดี ให้เป็นหน่วยรับผิดชอบ โดยมีออกพระราชสุภาวดี เป็นเจ้ากรมรับผิดชอบในมณฑลราชธานี พระสุรัสวดีขวา รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือ และพระสุรัสวดีซ้าย รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายใต้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น