ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : โอดิน ราชาแห่งเทพ
บทที่4 โอดิน ราชาแห่งเทพ
โอดินดำรงฐานะจอมเทพ (เทพแห่งเทพ) สูงที่สุดในบรรดาเทพชาวเหนือทั้งหลาย แต่ชีวิตของพระองค์ไม่ได้สบายเหมือนกับตำแหน่ง กลับมีแต่ความรันทดมาตลอด สิ่งเดียวที่ช่วยพระองค์ไว้ตลอดเวลาก็คือความแข็งแกร่งครับท่านผู้อ่าน ความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบที่ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวเองและพวกพ้อง ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอหรือเขลาขลาดใดๆ ออกมา
ความแข็งแกร่งของจิตใจนี่ละครับที่เป็นจุดเด่นของโอดิน ทำให้ผู้คนทางยุโรปภาคกลางซึ่งก็คือคนเชื้อชาติเยอรมันแผ่ตัวลงไปยอมรับนับถือเป็นที่ยิ่ง แต่เรียกชื่อโอดินเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง เช่นว่า โวทัน-Wotan หรือ โวเดน-Woden เทพพิทักษ์นักรบเป็นที่มาของชื่อวันพุธ-Wednesday ในภาษาฝรั่งนั่นไง
อย่างที่เล่าไว้แต่ต้นว่า โอดินเป็นลูกของบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก และบรรดาเทพอื่นๆที่อยู่บนแอสการ์ดต่างก็เป็นลูกหลานของเทพองค์ซะเกือบทั้งสิ้น รูปร่างของโอดินในความนึกคิดของชาวเหนือส่วนใหญ่จึงเป็นชายชราสวมหมวกปีกกว้างซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ฮลิดสเกียบ-Hlidskialf ซึ่งทำให้สามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้ โดยมีฟริกก้าFrigga เมียคนที่สองแต่รักที่สุด นั่งเคียงข้างบนบัลลังก์องค์นี้ได้เพียงคนเดียว
อันที่จริงโอดินมีเมียหลายคนเชียวครับท่านผู้อ่านมีทั้งเทพด้วยกันและยักษีประเภทต่างๆ (ตามความนิยมในสมัยนั้น)ทว่าพวกที่ได้รับการยกย่องมีอยู่ไม่เท่าไหร่ คนแรกคือจอร์ดJord หรือเออดา Erda เป็นลูกของภาวะหมุนวนสับสนรอบๆ กินนันกาแก๊บกับยักษีตนหนึ่งไม่ปรากฏนาม (เป็นลักษณะการสืบพันธุ์ที่ประหลาดสิ้นดี) โอดินมีลูกกับเมียผู้มีกำเนิดค่อนข้างประหลาดคนนี้หนึ่งนั่นคือธอร์Thor เทพแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด เมียคนสามชื่อว่ารินด้าRinda คนนี้เป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ของแผ่นดินที่หนาวเหน็บในช่วงหน้าหนาว ตอนไหนที่เจ้าหล่อนไปอยู่กับสามี แผ่นดินที่เคยหนาวเหน็บจะอุ่นขึ้น (ก็เจ้าแม่แห่งความหนาวไม่อยู่เสียแล้วนี่) เป็นช่วงที่ตอนเหนือมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ควมที่รินด้าเจ้าแม่แห่งความแห้งแล้งจากแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แค่ช่วงสั้นๆ ชาวเหนือเลยทึกทักให้หล่อนเป็นภรรยาที่มีนิสัยค่อนข้างรังเกียจสามีเอามากๆ เจ้าหล่อนถึงให้เวลาโอดินอยู่ด้วยเพียงปีละช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่กับรินด้าคนนี้ละครับ ที่โอดินก็มีลูกด้วย ชื่อว่าวาลีVali เป็นหนึ่งในบรรดาเทพไม่กี่องค์ที่เหลือรอดจากรากน่าร็อกและเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับความตายของบาลเดอร์Balder เทพแห่งสัจจะและแสงสว่าง
นอกจากภาพที่ปรากฏกับบรรดาเมียเหล่านี้แล้ว โอดินจอมเทพยังมักแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักรบเสมอๆ เทพจะถือหอกกังเนอร์Gungnir อาวุธประจำกาย ใส่แหวนดรอพเนอร์Draupnir (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะเป็นแหวงหรือกำไลแขน มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป ที่มาของหอกและแหวนอยู่ในบทของคนแคระครับแหวนหรือกำไลแขนดรอบเนอร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษตรงที่เกิดใหม่ทุก 7 วัน ว้าจะเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย เอางี้นะครับ ลองนึกว่าแหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนดรอบเนอร์ใหม่อยู่เสมอ) มีอีกาชื่อฮิวกินHugin-ความคิด และมิวนินMunin-ความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวาคอยกระซิบบอกข่าวใหม่ๆ ที่นายสั่งให้มันบินออกไปสังเกตเป็นพิเศษ นอกจากนกทั้งสองตัวนี่แล้ว เทพยังมีสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นหมาป่าอีกสองตัวชื่อ เกอรี่Geri และเฟรกีFreki ซึ่งมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับเขามาก นัยว่านิสัยของมันคือสัญชาตญาณการล่ามที่มีอยู่ในตัวมหาเทพเอง หมาป่าทั้งสองตัวมักจะคอยอยู่ข้างๆ นาย รับอาหารจำพวกเนื้อที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าโอดิน ในเมื่อจอมเทพไม่กินเนื้อ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังชีพในสวรรค์ได้เป็นอย่างดีคือเหล้าน้ำผึ้ง อาหารซึ่งมีให้กินอย่างไม่อั้นในวัลฮัลลาValhalla โถงแห่งวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือก หมาป่าทั้งสองก็เปรมไปละครับ
ที่มาของปัญญา
นอกจากโอดินจะได้การยกย่องว่าเป็นเทพแห่งนักรบแล้วนะครับ ท่านยังเป็นเทพแห่งปัญญาและภูมิรู้ด้วย และภูมิรู้ที่มากเกินบรรยายนั้นโอดินได้มาตั้งแต่ครั้งแรกสร้างโลกนั่นแหละ
ก็หลังจากที่โอดินกับน้องๆ ช่วยกันสร้างโลกจากร่างของอีเมอร์เสร็จแล้วนั่นแหละ เขาก็รี่ไปหาไมเมอร์ อารักษ์แห่งน้ำพุปัญญา ด้วยรู้ว่าน้ำที่นี่ หากใครได้ดื่มจะได้ความรู้สรรพวิชา รวมทั้งเห็นกาลในอนาคตอย่างชัดเจน ติดอยู่แต่ว่าไมเมอร์ย่อมไม่ให้คนที่ไม่มีเหตุผลพอจะได้ดื่ม ได้ลิ้มรสน้ำจากแหล่งนี้
โอดินถึงขนาดต้องอ้อนวอน อ้างว่าด้วยตำแหน่งราชาแห่งเทพ เขาจำเป็นต้องมีรอบรู้ไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนเพื่อให้การปกครองของเขาราบรื่นที่สุด ไมเมอร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงโดยมีข้อแลกเปลี่ยน เขาว่า หากโอดินต้องการความรู้มากจริงๆ จะต้องควักตาข้างหนึ่งออกมาแลกกับการดื่มน้ำครั้งเดียว แต่เพราะความกระหายในวิชาต่างๆ ทำให้โอดินไม่หยุดคิดอะไรต่อไป เขาควักตาข้างหนึ่งแลกกับน้ำซึ่งไมเมอร์ตักใส่จอกส่งให้ ไมเมอร์นำดวงตาข้างนั้นของโอดินทิ้งลงในบ่อแลกกับความรู้ที่แฝงไปกับน้ำ “ดวงตาของโอดิน”ดวงกลมๆ สีเหลืองนวลยังคงอยู่กับบ่อน้ำทุกบ่อ น้ำทุกแหล่งในคืนวันเพ็ญมาจนทุกวันนี้ (ก็คือเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำนั่นไงครับ เข้าใจคิดเหมือนกันแฮะ ส่วนตาข้างที่เหลืออยู่ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ไปโดยปริยาย)
โอดินค่อยๆ ละเลียดน้ำวิเศษผ่านลำคอ ความรู้ของสรรพวิชาต่างๆ ที่เขากระหายอยากได้ก็ค่อยๆไหลเข้าสู่ร่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องกวีนิพนธ์ ไสยเวทย์หรืออื่นใด จากนั้นเป็นต้นมาเทพองค์นี้จึงกลายเป็นเทพอุปถัมภ์ หมอดู กวีนิพนธ์และพ่อมดไปในทันที ทว่าสิ่งที่รวมมากับน้ำคือการเห็นอนาคตข้างหน้าที่เขาต้องการหนักหนากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้
เพราะนอกจากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นความตายของลูกรัก ยังได้เห็นช่วงเวลาจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือช่วง แร็กนาร็อค-Ragnarok ซึ่งภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวโอดินแค่ช่วงเสี้ยววินาที ชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปทำให้ใบหน้าซึ่งเคยสดใสร่าเริงของโอดินหมองลง บางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึมตั้งแต่นั้น ไม่กินอาหาร ดื่มแต่เฉพาะเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อให้ความเมาสลายความทุกข์ลงไปบ้าง
เหตุที่ต้องสร้างวัลฮัลลา และวัลคีรี
ด้วยเหตุนี้อีกละครับที่ทำให้โอดินคิดจะเริ่มสะสมกำลังไว้ข้างหน้าอย่างน้อยก็ไม่ได้ตายอย่างเสียเกียรติเกินไป เทพจัดตั้งกองทัพวัลคิรีขึ้น นางคือนางฟ้าดำแห่งความตาย ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์งดงาม ผิวขาว ผมทอง เป็นสาวพรหมจรรย์ซึ่งมีฐานะกึ่งเทพ วัลคีรีที่แท้จริงคือแรงเร้าแห่งการฆ่า พวกนางมีหน้าที่สองอย่างคือ สรรหาเลือกเฟ้นวิญญาณนักรบผู้กล้ากับคอยดูแลเลี้ยงดูพวกเขาในวัลฮัลลา
เมื่อไรก็ตามที่เกิดการรบขึ้นในโลกมนุษย์ โอดินจะส่งวัลคิรี ไปรอดู นักรบคนใดที่สู้ตายชนิดยังมีความกระหายสงครามค้างอยู่ในดวงตาและมือเต็มไปด้วยเลือด วัลคิรีก็จะเลือกคนนั้นไปกับพวกหล่อนข้ามสะพานรุ้งน้ำแข็งขึ้นไปบนวัลฮัลลา วิญญาณนักรบพวกนี้เรียกกันว่าพวกเอนเฮเรียร์ ครับ
งานเลี้ยงพวกเอนเฮเรียร์Einheriar
โอดินมีพระราชวังใหญ่ๆ อยู่สามแห่งในแอสการ์ด คือแกลดเฮม-Gladsheim โถงที่ประชุมของเทพ วาลาสเคียฟ- Valaskialf ซึ่งฮลิดสเคียฟ-Hlidskialf ตั้งอยู่ และวัลฮัลลา-Valhalla พระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือกขึ้นมา อันนี้ตั้งอยู่ในเกลเซอร์-Glasir กลางป่าวิเศษซึ่งใบไม้ในป่านี้เป็นที่ทองอมแดง
วัลฮัลลา คือพระราชวังที่มีขนาดมหัศจรรย์ เล่ากันว่ามีประตูเข้าออกถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างพอที่จะให้นักรบตัวโตๆ แปดคนเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปได้อย่างสบายๆ ที่นี่มีโต๊ะยาวเป็นจำนวนมากให้พวกเอนเฮเรียร์เขาประจำที่ คบไฟจุดไว้ตามผนัง แสงคบเพลิงสะท้อนใบหอกเป็นประกายวาววับอยู่ในแสงไฟ อาหารเตรียมพร้อมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่างเบียร์หรือเหล่าน้ำผึ้ง
ในเวลานี้ครับ วัลคีรีจะมีหน้าที่ๆ ดุเดือดน้อยลงเยอะ คือเจ้าหล่อนเหล่านั้นจะเป็นผู้นำอาหารมาเสิร์ฟให้นักรบ คอยดูแลไม่ให้จานอาหารของเขาพร่อง หรือเขาสัตว์ที่ใช้แทนด้วยดื่มน้ำจะมีเหล้าไม่เต็ม นมแพะที่นำมาให้นักรบดื่มมาจากเต้าของแพะเฮดรัน เนื้อที่ใช้เสิร์ฟบนวัลฮัลลาเป็นเนื้อที่มาจากหมูป่าของเทพตัวหนึ่งชื่อ แซริมเนอร์-Saehrim มันจะถูกพ่อครัว แอนด์ริมเนอร์-Andhrimnir เชือดทุกวัน พอการเลี้ยงเสร็จสิ้นลง หมูแซริมเนอร์ก็รวมตัวกันขึ้นใหม่ กลายเป็นหมูป่าสำหรับพ่อครัวเชือดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้วัลฮัลลาไม่เคยขาดเนื้อในการเลี้ยงเลย
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ นักรบเอนเฮเรียร์จะพากันจับอาวุธออกไปที่ลานรอบวัง ฝึกปรือการต่อสู้ หรือส่วนใหญ่ต่อสู้กันจริงให้ตาย (หลอกๆ เพราะถึงแก่ความตายจากบนโลกมาทีหนึ่งแล้ว) รอจนกระทั่งเสียงเป่าเขาเรียกกินอาหารเย็น จึงเข้าร่วมโต๊ะกันอีกหน โดยมีโอดินนั่งเป็นประธานที่สุดห้องโถง พระองค์จะนั่งดูนักรบเหล่านั้นสนทนาพูดคุยกันอย่างมีความสุข หวังเพียงแต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลานักรบพวกนี้จะสามัคคีร่วมมือในศึกครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด
อย่างนี้คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่า โอดินจะชอบพระราชวังไหนมากที่สุด ใช่แล้วละ วัลฮัลลานั่นแหละ นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เห็นภาพอนาคตโอดินก็ตกอยู่ในความขมขื่น พระองค์มักจะสิงอยู่ในวัลฮัลลาครั้งละนานๆ ดื่มเหล้าพลางมองพวกนักรบซ้อมๆ กันไปพลาง วัลฮัลลากลายเป็นสวรรค์แสนสุขของนักรบ คนมีฝีมือในการรบทุกคนในสมัยนั้นฝันถึงวัลฮัลลา ทำให้ผู้ชายจากมิดการ์ด (ก็คือมนุษย์เรานี่ละครับ) มีศรัทธาต่อการได้ขึ้นสวรรค์แบบนี้มาก สงครามจึงกลายเป็นความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ควรทำและทำอย่างดุเดือดโหด มในวัยหนุ่ม เพราะการตายด้วยวัยชราที่ปราศจากคมหอกคมดาบ เป็นการตายที่น่าอายที่สุด (การขึ้นสวรรค์วัลฮัลลานี่ ภายหลังเชื่อว่ามีทางลัดด้วย คือการผูกคอตายครับ อันนี้เขาคงเอาไปปนกับความเชื่อตอนที่โอดินแขวนคอตัวเองบนต้นอิกดราซิล แต่ผลจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่าไม่รับรอง)
เล่ากันว่าพวกที่โอดินชอบที่สุดเห็นจะเป็นวิญญาณนักรบที่มีสมญานามว่า เบอร์เซอร์คBerserk มาจากพวกที่สวมเสื้อหนังหมี-Bearskin แทนเกราะ (เหตุที่เขาใส่เพียงหนังหมีเพราะเชื่อว่าโอดินเทพเจ้าของเขาจะเป็นโล่ป้องกันอยู่แล้ว) นักรบพวกนี้จึงเป็นพวกที่กล้าหาญที่สุด ร้ายกาจที่สุด จะฆ่าศัตรูไม่ว่าหน้าไหนไม่เว้นกระทั่งศัตรูนั้นจะเป็นญาติพี่น้องของตนเอง
สร้างอักษรรูน-Rune
เรื่องเล่าของโอดินนี่คงจบไม่ได้นะครับถ้าหากขาดสิ่งที่เชื่อว่าเขาประดิษฐ์ไว้ให้มนุษย์ นั่นคืออักษรรูนครับท่านผู้อ่าน (คุ้นๆ กับแฟนๆ พ่อมดน้อยไหมนี่)
เนื่องด้วยโอดินตระหนักในค่าแห่งความรู้ที่เขาได้มาว่ายากเย็นและเจ็บปวดเพียงใด เขาเลยแขวนคอตัวเองกับกิ่งอิกดราซิลอยู่เก้าวันเก้าคืน จ้องมองไปยังแผ่นดินมันมืดมิดของนิฟล์เฮม พิจารณาความรู้อันกว้างไกลของพระองค์ คิดหาทางจะให้เทพและมนุษย์อื่นเข้าถึงได้บ้าง
ความทรมานที่ได้รับระหว่างเก้าวันเก้าคืน บวกกับการเพ่งพิจารณา (เหมือนการเข้าฌานสมาธินะครับเนี่ย แต่วิธีแปลกจัง) อย่างละเอียด วินาทีที่โอดินพบความลับบางอย่างของความตายร่างกายของพระองค์ก็ทนไม่ไหว หยุดทำงานไปดื้อๆ (ก็ตายนั่นละครับ) ทว่าความลับของความตายที่โอดินได้พบมาหยกๆ ยังคงค้างอยู่ในสมอง เมื่อผนวกกับแรงปรารถนายิ่งใหญ่ แล้วมันก็มากพอที่จะผลักดันตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้นี่ละครับที่ทำให้โอดินประดิษฐ์อักษรรูนขึ้น ความที่มันเกิดจากความตาย อักษรรูนจึงกลายเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้กับการเสกคาถา ร่ายคำสาปในวิชาไสยเวทย์ (ตรงนี้ทำให้โอดินมีฐานะเป็นพ่อมดคนแรกของโลกนะครับนี่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กับการจารลงบนอาวุธเพื่อให้ไม่พลาดเป้า
โอดินดำรงฐานะจอมเทพ (เทพแห่งเทพ) สูงที่สุดในบรรดาเทพชาวเหนือทั้งหลาย แต่ชีวิตของพระองค์ไม่ได้สบายเหมือนกับตำแหน่ง กลับมีแต่ความรันทดมาตลอด สิ่งเดียวที่ช่วยพระองค์ไว้ตลอดเวลาก็คือความแข็งแกร่งครับท่านผู้อ่าน ความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบที่ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวเองและพวกพ้อง ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอหรือเขลาขลาดใดๆ ออกมา
ความแข็งแกร่งของจิตใจนี่ละครับที่เป็นจุดเด่นของโอดิน ทำให้ผู้คนทางยุโรปภาคกลางซึ่งก็คือคนเชื้อชาติเยอรมันแผ่ตัวลงไปยอมรับนับถือเป็นที่ยิ่ง แต่เรียกชื่อโอดินเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง เช่นว่า โวทัน-Wotan หรือ โวเดน-Woden เทพพิทักษ์นักรบเป็นที่มาของชื่อวันพุธ-Wednesday ในภาษาฝรั่งนั่นไง
อย่างที่เล่าไว้แต่ต้นว่า โอดินเป็นลูกของบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก และบรรดาเทพอื่นๆที่อยู่บนแอสการ์ดต่างก็เป็นลูกหลานของเทพองค์ซะเกือบทั้งสิ้น รูปร่างของโอดินในความนึกคิดของชาวเหนือส่วนใหญ่จึงเป็นชายชราสวมหมวกปีกกว้างซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ฮลิดสเกียบ-Hlidskialf ซึ่งทำให้สามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้ โดยมีฟริกก้าFrigga เมียคนที่สองแต่รักที่สุด นั่งเคียงข้างบนบัลลังก์องค์นี้ได้เพียงคนเดียว
อันที่จริงโอดินมีเมียหลายคนเชียวครับท่านผู้อ่านมีทั้งเทพด้วยกันและยักษีประเภทต่างๆ (ตามความนิยมในสมัยนั้น)ทว่าพวกที่ได้รับการยกย่องมีอยู่ไม่เท่าไหร่ คนแรกคือจอร์ดJord หรือเออดา Erda เป็นลูกของภาวะหมุนวนสับสนรอบๆ กินนันกาแก๊บกับยักษีตนหนึ่งไม่ปรากฏนาม (เป็นลักษณะการสืบพันธุ์ที่ประหลาดสิ้นดี) โอดินมีลูกกับเมียผู้มีกำเนิดค่อนข้างประหลาดคนนี้หนึ่งนั่นคือธอร์Thor เทพแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด เมียคนสามชื่อว่ารินด้าRinda คนนี้เป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ของแผ่นดินที่หนาวเหน็บในช่วงหน้าหนาว ตอนไหนที่เจ้าหล่อนไปอยู่กับสามี แผ่นดินที่เคยหนาวเหน็บจะอุ่นขึ้น (ก็เจ้าแม่แห่งความหนาวไม่อยู่เสียแล้วนี่) เป็นช่วงที่ตอนเหนือมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ควมที่รินด้าเจ้าแม่แห่งความแห้งแล้งจากแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แค่ช่วงสั้นๆ ชาวเหนือเลยทึกทักให้หล่อนเป็นภรรยาที่มีนิสัยค่อนข้างรังเกียจสามีเอามากๆ เจ้าหล่อนถึงให้เวลาโอดินอยู่ด้วยเพียงปีละช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่กับรินด้าคนนี้ละครับ ที่โอดินก็มีลูกด้วย ชื่อว่าวาลีVali เป็นหนึ่งในบรรดาเทพไม่กี่องค์ที่เหลือรอดจากรากน่าร็อกและเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับความตายของบาลเดอร์Balder เทพแห่งสัจจะและแสงสว่าง
นอกจากภาพที่ปรากฏกับบรรดาเมียเหล่านี้แล้ว โอดินจอมเทพยังมักแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักรบเสมอๆ เทพจะถือหอกกังเนอร์Gungnir อาวุธประจำกาย ใส่แหวนดรอพเนอร์Draupnir (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะเป็นแหวงหรือกำไลแขน มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป ที่มาของหอกและแหวนอยู่ในบทของคนแคระครับแหวนหรือกำไลแขนดรอบเนอร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษตรงที่เกิดใหม่ทุก 7 วัน ว้าจะเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย เอางี้นะครับ ลองนึกว่าแหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนดรอบเนอร์ใหม่อยู่เสมอ) มีอีกาชื่อฮิวกินHugin-ความคิด และมิวนินMunin-ความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวาคอยกระซิบบอกข่าวใหม่ๆ ที่นายสั่งให้มันบินออกไปสังเกตเป็นพิเศษ นอกจากนกทั้งสองตัวนี่แล้ว เทพยังมีสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นหมาป่าอีกสองตัวชื่อ เกอรี่Geri และเฟรกีFreki ซึ่งมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับเขามาก นัยว่านิสัยของมันคือสัญชาตญาณการล่ามที่มีอยู่ในตัวมหาเทพเอง หมาป่าทั้งสองตัวมักจะคอยอยู่ข้างๆ นาย รับอาหารจำพวกเนื้อที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าโอดิน ในเมื่อจอมเทพไม่กินเนื้อ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังชีพในสวรรค์ได้เป็นอย่างดีคือเหล้าน้ำผึ้ง อาหารซึ่งมีให้กินอย่างไม่อั้นในวัลฮัลลาValhalla โถงแห่งวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือก หมาป่าทั้งสองก็เปรมไปละครับ
ที่มาของปัญญา
นอกจากโอดินจะได้การยกย่องว่าเป็นเทพแห่งนักรบแล้วนะครับ ท่านยังเป็นเทพแห่งปัญญาและภูมิรู้ด้วย และภูมิรู้ที่มากเกินบรรยายนั้นโอดินได้มาตั้งแต่ครั้งแรกสร้างโลกนั่นแหละ
ก็หลังจากที่โอดินกับน้องๆ ช่วยกันสร้างโลกจากร่างของอีเมอร์เสร็จแล้วนั่นแหละ เขาก็รี่ไปหาไมเมอร์ อารักษ์แห่งน้ำพุปัญญา ด้วยรู้ว่าน้ำที่นี่ หากใครได้ดื่มจะได้ความรู้สรรพวิชา รวมทั้งเห็นกาลในอนาคตอย่างชัดเจน ติดอยู่แต่ว่าไมเมอร์ย่อมไม่ให้คนที่ไม่มีเหตุผลพอจะได้ดื่ม ได้ลิ้มรสน้ำจากแหล่งนี้
โอดินถึงขนาดต้องอ้อนวอน อ้างว่าด้วยตำแหน่งราชาแห่งเทพ เขาจำเป็นต้องมีรอบรู้ไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนเพื่อให้การปกครองของเขาราบรื่นที่สุด ไมเมอร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงโดยมีข้อแลกเปลี่ยน เขาว่า หากโอดินต้องการความรู้มากจริงๆ จะต้องควักตาข้างหนึ่งออกมาแลกกับการดื่มน้ำครั้งเดียว แต่เพราะความกระหายในวิชาต่างๆ ทำให้โอดินไม่หยุดคิดอะไรต่อไป เขาควักตาข้างหนึ่งแลกกับน้ำซึ่งไมเมอร์ตักใส่จอกส่งให้ ไมเมอร์นำดวงตาข้างนั้นของโอดินทิ้งลงในบ่อแลกกับความรู้ที่แฝงไปกับน้ำ “ดวงตาของโอดิน”ดวงกลมๆ สีเหลืองนวลยังคงอยู่กับบ่อน้ำทุกบ่อ น้ำทุกแหล่งในคืนวันเพ็ญมาจนทุกวันนี้ (ก็คือเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำนั่นไงครับ เข้าใจคิดเหมือนกันแฮะ ส่วนตาข้างที่เหลืออยู่ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ไปโดยปริยาย)
โอดินค่อยๆ ละเลียดน้ำวิเศษผ่านลำคอ ความรู้ของสรรพวิชาต่างๆ ที่เขากระหายอยากได้ก็ค่อยๆไหลเข้าสู่ร่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องกวีนิพนธ์ ไสยเวทย์หรืออื่นใด จากนั้นเป็นต้นมาเทพองค์นี้จึงกลายเป็นเทพอุปถัมภ์ หมอดู กวีนิพนธ์และพ่อมดไปในทันที ทว่าสิ่งที่รวมมากับน้ำคือการเห็นอนาคตข้างหน้าที่เขาต้องการหนักหนากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้
เพราะนอกจากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นความตายของลูกรัก ยังได้เห็นช่วงเวลาจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือช่วง แร็กนาร็อค-Ragnarok ซึ่งภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวโอดินแค่ช่วงเสี้ยววินาที ชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปทำให้ใบหน้าซึ่งเคยสดใสร่าเริงของโอดินหมองลง บางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึมตั้งแต่นั้น ไม่กินอาหาร ดื่มแต่เฉพาะเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อให้ความเมาสลายความทุกข์ลงไปบ้าง
เหตุที่ต้องสร้างวัลฮัลลา และวัลคีรี
ด้วยเหตุนี้อีกละครับที่ทำให้โอดินคิดจะเริ่มสะสมกำลังไว้ข้างหน้าอย่างน้อยก็ไม่ได้ตายอย่างเสียเกียรติเกินไป เทพจัดตั้งกองทัพวัลคิรีขึ้น นางคือนางฟ้าดำแห่งความตาย ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์งดงาม ผิวขาว ผมทอง เป็นสาวพรหมจรรย์ซึ่งมีฐานะกึ่งเทพ วัลคีรีที่แท้จริงคือแรงเร้าแห่งการฆ่า พวกนางมีหน้าที่สองอย่างคือ สรรหาเลือกเฟ้นวิญญาณนักรบผู้กล้ากับคอยดูแลเลี้ยงดูพวกเขาในวัลฮัลลา
เมื่อไรก็ตามที่เกิดการรบขึ้นในโลกมนุษย์ โอดินจะส่งวัลคิรี ไปรอดู นักรบคนใดที่สู้ตายชนิดยังมีความกระหายสงครามค้างอยู่ในดวงตาและมือเต็มไปด้วยเลือด วัลคิรีก็จะเลือกคนนั้นไปกับพวกหล่อนข้ามสะพานรุ้งน้ำแข็งขึ้นไปบนวัลฮัลลา วิญญาณนักรบพวกนี้เรียกกันว่าพวกเอนเฮเรียร์ ครับ
งานเลี้ยงพวกเอนเฮเรียร์Einheriar
โอดินมีพระราชวังใหญ่ๆ อยู่สามแห่งในแอสการ์ด คือแกลดเฮม-Gladsheim โถงที่ประชุมของเทพ วาลาสเคียฟ- Valaskialf ซึ่งฮลิดสเคียฟ-Hlidskialf ตั้งอยู่ และวัลฮัลลา-Valhalla พระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือกขึ้นมา อันนี้ตั้งอยู่ในเกลเซอร์-Glasir กลางป่าวิเศษซึ่งใบไม้ในป่านี้เป็นที่ทองอมแดง
วัลฮัลลา คือพระราชวังที่มีขนาดมหัศจรรย์ เล่ากันว่ามีประตูเข้าออกถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างพอที่จะให้นักรบตัวโตๆ แปดคนเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปได้อย่างสบายๆ ที่นี่มีโต๊ะยาวเป็นจำนวนมากให้พวกเอนเฮเรียร์เขาประจำที่ คบไฟจุดไว้ตามผนัง แสงคบเพลิงสะท้อนใบหอกเป็นประกายวาววับอยู่ในแสงไฟ อาหารเตรียมพร้อมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่างเบียร์หรือเหล่าน้ำผึ้ง
ในเวลานี้ครับ วัลคีรีจะมีหน้าที่ๆ ดุเดือดน้อยลงเยอะ คือเจ้าหล่อนเหล่านั้นจะเป็นผู้นำอาหารมาเสิร์ฟให้นักรบ คอยดูแลไม่ให้จานอาหารของเขาพร่อง หรือเขาสัตว์ที่ใช้แทนด้วยดื่มน้ำจะมีเหล้าไม่เต็ม นมแพะที่นำมาให้นักรบดื่มมาจากเต้าของแพะเฮดรัน เนื้อที่ใช้เสิร์ฟบนวัลฮัลลาเป็นเนื้อที่มาจากหมูป่าของเทพตัวหนึ่งชื่อ แซริมเนอร์-Saehrim มันจะถูกพ่อครัว แอนด์ริมเนอร์-Andhrimnir เชือดทุกวัน พอการเลี้ยงเสร็จสิ้นลง หมูแซริมเนอร์ก็รวมตัวกันขึ้นใหม่ กลายเป็นหมูป่าสำหรับพ่อครัวเชือดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้วัลฮัลลาไม่เคยขาดเนื้อในการเลี้ยงเลย
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ นักรบเอนเฮเรียร์จะพากันจับอาวุธออกไปที่ลานรอบวัง ฝึกปรือการต่อสู้ หรือส่วนใหญ่ต่อสู้กันจริงให้ตาย (หลอกๆ เพราะถึงแก่ความตายจากบนโลกมาทีหนึ่งแล้ว) รอจนกระทั่งเสียงเป่าเขาเรียกกินอาหารเย็น จึงเข้าร่วมโต๊ะกันอีกหน โดยมีโอดินนั่งเป็นประธานที่สุดห้องโถง พระองค์จะนั่งดูนักรบเหล่านั้นสนทนาพูดคุยกันอย่างมีความสุข หวังเพียงแต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลานักรบพวกนี้จะสามัคคีร่วมมือในศึกครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด
อย่างนี้คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่า โอดินจะชอบพระราชวังไหนมากที่สุด ใช่แล้วละ วัลฮัลลานั่นแหละ นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เห็นภาพอนาคตโอดินก็ตกอยู่ในความขมขื่น พระองค์มักจะสิงอยู่ในวัลฮัลลาครั้งละนานๆ ดื่มเหล้าพลางมองพวกนักรบซ้อมๆ กันไปพลาง วัลฮัลลากลายเป็นสวรรค์แสนสุขของนักรบ คนมีฝีมือในการรบทุกคนในสมัยนั้นฝันถึงวัลฮัลลา ทำให้ผู้ชายจากมิดการ์ด (ก็คือมนุษย์เรานี่ละครับ) มีศรัทธาต่อการได้ขึ้นสวรรค์แบบนี้มาก สงครามจึงกลายเป็นความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ควรทำและทำอย่างดุเดือดโหด มในวัยหนุ่ม เพราะการตายด้วยวัยชราที่ปราศจากคมหอกคมดาบ เป็นการตายที่น่าอายที่สุด (การขึ้นสวรรค์วัลฮัลลานี่ ภายหลังเชื่อว่ามีทางลัดด้วย คือการผูกคอตายครับ อันนี้เขาคงเอาไปปนกับความเชื่อตอนที่โอดินแขวนคอตัวเองบนต้นอิกดราซิล แต่ผลจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่าไม่รับรอง)
เล่ากันว่าพวกที่โอดินชอบที่สุดเห็นจะเป็นวิญญาณนักรบที่มีสมญานามว่า เบอร์เซอร์คBerserk มาจากพวกที่สวมเสื้อหนังหมี-Bearskin แทนเกราะ (เหตุที่เขาใส่เพียงหนังหมีเพราะเชื่อว่าโอดินเทพเจ้าของเขาจะเป็นโล่ป้องกันอยู่แล้ว) นักรบพวกนี้จึงเป็นพวกที่กล้าหาญที่สุด ร้ายกาจที่สุด จะฆ่าศัตรูไม่ว่าหน้าไหนไม่เว้นกระทั่งศัตรูนั้นจะเป็นญาติพี่น้องของตนเอง
สร้างอักษรรูน-Rune
เรื่องเล่าของโอดินนี่คงจบไม่ได้นะครับถ้าหากขาดสิ่งที่เชื่อว่าเขาประดิษฐ์ไว้ให้มนุษย์ นั่นคืออักษรรูนครับท่านผู้อ่าน (คุ้นๆ กับแฟนๆ พ่อมดน้อยไหมนี่)
เนื่องด้วยโอดินตระหนักในค่าแห่งความรู้ที่เขาได้มาว่ายากเย็นและเจ็บปวดเพียงใด เขาเลยแขวนคอตัวเองกับกิ่งอิกดราซิลอยู่เก้าวันเก้าคืน จ้องมองไปยังแผ่นดินมันมืดมิดของนิฟล์เฮม พิจารณาความรู้อันกว้างไกลของพระองค์ คิดหาทางจะให้เทพและมนุษย์อื่นเข้าถึงได้บ้าง
ความทรมานที่ได้รับระหว่างเก้าวันเก้าคืน บวกกับการเพ่งพิจารณา (เหมือนการเข้าฌานสมาธินะครับเนี่ย แต่วิธีแปลกจัง) อย่างละเอียด วินาทีที่โอดินพบความลับบางอย่างของความตายร่างกายของพระองค์ก็ทนไม่ไหว หยุดทำงานไปดื้อๆ (ก็ตายนั่นละครับ) ทว่าความลับของความตายที่โอดินได้พบมาหยกๆ ยังคงค้างอยู่ในสมอง เมื่อผนวกกับแรงปรารถนายิ่งใหญ่ แล้วมันก็มากพอที่จะผลักดันตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ความรู้นี่ละครับที่ทำให้โอดินประดิษฐ์อักษรรูนขึ้น ความที่มันเกิดจากความตาย อักษรรูนจึงกลายเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้กับการเสกคาถา ร่ายคำสาปในวิชาไสยเวทย์ (ตรงนี้ทำให้โอดินมีฐานะเป็นพ่อมดคนแรกของโลกนะครับนี่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กับการจารลงบนอาวุธเพื่อให้ไม่พลาดเป้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น