ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
ชาวเหนือที่เป็นต้นตำนานเรื่องราวของเทพเจ้าอันแสนสนุกนี้ก็คือพวกไวกิ้งไงครับ พวกเขาเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเชื้อสายเยอรมัน รักการต่อสู้ (ทั้งกับคนอื่น และในภาวะปรกติก็ด้วยกันเอง) ตำนานของพวกเขามีทั้งเทพเจ้าซึ่งมีความตายเป็นที่ยุติ (หมายถึงตายได้ ไม่เหมือนเทพเจ้าที่เป็นอมตะของพวกโรมัน) วีรบุรุษ คนทรยศ แม่มด คนแคระ ของและอาวุธวิเศษมากมาย ไม่ต้องแปลกใจนะครับว่า อ่านๆ ไปแล้ว ท่านอาจจะอดนึกถึงเรื่อง วงแหวนแห่งมหันตภัย (The Lord of the Rings) และนิยายอื่นๆ ไม่ได้
แต่เห็นจะต้องบอกความเป็นมากันเสียก่อนว่า ตำนานของชาวเหนือพวกนี้ก็มาจากตำนานเทพอื่นๆ มาผสมกันบ้าง ไม่ใช่เป็นของชาวเหนือโดยแท้ บางทีก็เป็นรูปลักษณะ บางทีก็เป็นคุณสมบัติ เช่นว่าลักษณะของรถพระอาทิตย์ที่เห็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองโคเปนฮาเกน ก็มีรูปแบบเหมือนกับรถพระอาทิตย์ที่มาจากตะวันออก เป็นแบบที่คล้ายกับความเชื่อของคน เซลท์ ลาติน สลาฟ ซึ่งนับกันว่าเป็นสาขาหนึ่งของคนอินโด-ยูโรเปียน ว่าที่จริงศาสนาของคนโบราณเนี่ยมันก็คล้ายกันเกือบหมดแหละ ไม่ว่าจะมาจากเปอร์เซีย กรีซหรือโรม
แล้วเรื่องราวของตำนานเทพชาวเหนือแผ่ออกไปในความเชื่อของคนในยุโรปได้อย่างไร? อันนี้ก็ตอบได้ดังนี้ครับ
คือก่อนหน้านี้ ชาวไวกิ้งที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวเดนมาร์ก นอร์เวย์ หรือสวีเดน เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่รักการผจญภัย การค้าขาย และการต่อสู้ ถึงขนาดมีวลีที่ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่อย่าง “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราไปปล้น” คุณสมบัติสองสามข้อที่ว่านี่แหละที่ทำให้ต่อมาเขาแบ่งออกเป็นสามพวก พวกที่อยู่กับถิ่นเกิดขยายบ้านเรือนขึ้นไปถึงพรมแดนทางด้านเหนือจนหมดคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย อีกสองพวกที่ออกเดินทางจากที่เกิด พวกที่ไปทางยุโรปตะวันออกเรียกกันว่า เยอรมันตะวันออก (อย่าสับสนกับประเทศนะครับ เรากำลังพูดถึงคนเชื้อสายเยอรมัน ไม่ได้พูดถึงประเทศเยอรมันซึ่งกว่าจะตั้งเป็นประเทศชื่อนี้ได้ก็ต้องร้องเพลงรอไปจนกระทั่งอีกเป็นพันปีต่อมา คือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เล็กน้อย)พวกนี้เดินทางจนถึงทะเลดำซึ่งต่อมาก็เรียกว่าพวก โกธ (Goth) มีพัฒนาการทางภาษาของตัวเองจนแตกต่างกับของเดิมมาก กับอีกพวกที่ไปทางตะวันตก เรียกว่าเยอรมันตะวันตก พวกนี้เดินทางเข้าไปในดินแดนยุโรปแล้วแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือพวกที่ไปทางแม่น้ำดานูบพวกหนึ่ง ต่อลงใต้ถึงโบฮีเมียอีกพวกหนึ่ง และสู่แม่น้ำไรน์ทางตะวันตก และเลยต่อไปถึงเกาะอังกฤษซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเส้นการเดินทาง
เดินทางไปมากทางขนาดเนี่ยะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นอกจากพวกเขาจะเรียนรู้อารยธรรมใหม่ของผู้คนพื้นถิ่น เขาก็ยังพกพาเอาความเชื่อของตัวเองไปด้วย สิ่งนั้นก็คือเทพเจ้า ซึ่งเราค้นพบภายหลังว่า ความเชื่ออย่างเหนียวแน่นในเรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการขยายถิ่น ด้วยการรบ!!
ก็พวกไวกิ้งเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกคงทนถาวร ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง มนุษย์เราไม่ได้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ต้องมีที่ไป สุดแต่จะไปอยู่ที่ใด แต่ดินแดนหลังความตายที่พวกเขาถือว่าเป็นสุดยอดปรารถนา ที่นั่นคือวัลฮัลลา สวรรค์ของนักรบ มีแต่คนตายในที่รบและต้องรบอย่างกล้าหาญเท่านั้นจึงมีสิทธิได้รับเลือกให้ขึ้นไปอยู่ รอจะตายจริงๆ อีกครั้งในช่วงเวลา แร็กนาร็อก(Ragnarok) ไวกิ้งจึงไม่กลัวตาย ชอบรุกรานและย่ำยีจนได้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งนั่นก็เป็นวิธีของคนเถื่อน สมแล้วละที่ถูกเรียกว่าเป็นคนเถื่อน และกลายเป็นคนที่ได้รับการดูถูกตลอดมาในประวัติศาสตร์
น้องๆ อย่าเอาอย่างนะครับ การรุกรานย่ำยีไม่ใช่วิถีของปัญญาชน ที่สำคัญตำนานเป็นเพียงความเชื่อของคนโบราณ ส่วนประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราควรพิจารณารับเอาสิ่งที่ดี ทิ้งส่วนที่เลวไป (เชื่อไหมล่ะว่าประวัติศาสตร์เนี่ยมันย้อนรอยเสมอ และเดี๋ยวนี้ทำท่าจะบ่อยเสียด้วย)
ตอนนี้เรามาอ่านตำนานเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความมันแต่ประการเดียวกันเถอะ
ชาวเหนือที่เป็นต้นตำนานเรื่องราวของเทพเจ้าอันแสนสนุกนี้ก็คือพวกไวกิ้งไงครับ พวกเขาเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเชื้อสายเยอรมัน รักการต่อสู้ (ทั้งกับคนอื่น และในภาวะปรกติก็ด้วยกันเอง) ตำนานของพวกเขามีทั้งเทพเจ้าซึ่งมีความตายเป็นที่ยุติ (หมายถึงตายได้ ไม่เหมือนเทพเจ้าที่เป็นอมตะของพวกโรมัน) วีรบุรุษ คนทรยศ แม่มด คนแคระ ของและอาวุธวิเศษมากมาย ไม่ต้องแปลกใจนะครับว่า อ่านๆ ไปแล้ว ท่านอาจจะอดนึกถึงเรื่อง วงแหวนแห่งมหันตภัย (The Lord of the Rings) และนิยายอื่นๆ ไม่ได้
แต่เห็นจะต้องบอกความเป็นมากันเสียก่อนว่า ตำนานของชาวเหนือพวกนี้ก็มาจากตำนานเทพอื่นๆ มาผสมกันบ้าง ไม่ใช่เป็นของชาวเหนือโดยแท้ บางทีก็เป็นรูปลักษณะ บางทีก็เป็นคุณสมบัติ เช่นว่าลักษณะของรถพระอาทิตย์ที่เห็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองโคเปนฮาเกน ก็มีรูปแบบเหมือนกับรถพระอาทิตย์ที่มาจากตะวันออก เป็นแบบที่คล้ายกับความเชื่อของคน เซลท์ ลาติน สลาฟ ซึ่งนับกันว่าเป็นสาขาหนึ่งของคนอินโด-ยูโรเปียน ว่าที่จริงศาสนาของคนโบราณเนี่ยมันก็คล้ายกันเกือบหมดแหละ ไม่ว่าจะมาจากเปอร์เซีย กรีซหรือโรม
แล้วเรื่องราวของตำนานเทพชาวเหนือแผ่ออกไปในความเชื่อของคนในยุโรปได้อย่างไร? อันนี้ก็ตอบได้ดังนี้ครับ
คือก่อนหน้านี้ ชาวไวกิ้งที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวเดนมาร์ก นอร์เวย์ หรือสวีเดน เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่รักการผจญภัย การค้าขาย และการต่อสู้ ถึงขนาดมีวลีที่ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่อย่าง “ยามศึกเรารบ ยามสงบเราไปปล้น” คุณสมบัติสองสามข้อที่ว่านี่แหละที่ทำให้ต่อมาเขาแบ่งออกเป็นสามพวก พวกที่อยู่กับถิ่นเกิดขยายบ้านเรือนขึ้นไปถึงพรมแดนทางด้านเหนือจนหมดคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย อีกสองพวกที่ออกเดินทางจากที่เกิด พวกที่ไปทางยุโรปตะวันออกเรียกกันว่า เยอรมันตะวันออก (อย่าสับสนกับประเทศนะครับ เรากำลังพูดถึงคนเชื้อสายเยอรมัน ไม่ได้พูดถึงประเทศเยอรมันซึ่งกว่าจะตั้งเป็นประเทศชื่อนี้ได้ก็ต้องร้องเพลงรอไปจนกระทั่งอีกเป็นพันปีต่อมา คือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เล็กน้อย)พวกนี้เดินทางจนถึงทะเลดำซึ่งต่อมาก็เรียกว่าพวก โกธ (Goth) มีพัฒนาการทางภาษาของตัวเองจนแตกต่างกับของเดิมมาก กับอีกพวกที่ไปทางตะวันตก เรียกว่าเยอรมันตะวันตก พวกนี้เดินทางเข้าไปในดินแดนยุโรปแล้วแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือพวกที่ไปทางแม่น้ำดานูบพวกหนึ่ง ต่อลงใต้ถึงโบฮีเมียอีกพวกหนึ่ง และสู่แม่น้ำไรน์ทางตะวันตก และเลยต่อไปถึงเกาะอังกฤษซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเส้นการเดินทาง
เดินทางไปมากทางขนาดเนี่ยะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นอกจากพวกเขาจะเรียนรู้อารยธรรมใหม่ของผู้คนพื้นถิ่น เขาก็ยังพกพาเอาความเชื่อของตัวเองไปด้วย สิ่งนั้นก็คือเทพเจ้า ซึ่งเราค้นพบภายหลังว่า ความเชื่ออย่างเหนียวแน่นในเรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการขยายถิ่น ด้วยการรบ!!
ก็พวกไวกิ้งเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกคงทนถาวร ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง มนุษย์เราไม่ได้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ต้องมีที่ไป สุดแต่จะไปอยู่ที่ใด แต่ดินแดนหลังความตายที่พวกเขาถือว่าเป็นสุดยอดปรารถนา ที่นั่นคือวัลฮัลลา สวรรค์ของนักรบ มีแต่คนตายในที่รบและต้องรบอย่างกล้าหาญเท่านั้นจึงมีสิทธิได้รับเลือกให้ขึ้นไปอยู่ รอจะตายจริงๆ อีกครั้งในช่วงเวลา แร็กนาร็อก(Ragnarok) ไวกิ้งจึงไม่กลัวตาย ชอบรุกรานและย่ำยีจนได้ในสิ่งที่ปรารถนาซึ่งนั่นก็เป็นวิธีของคนเถื่อน สมแล้วละที่ถูกเรียกว่าเป็นคนเถื่อน และกลายเป็นคนที่ได้รับการดูถูกตลอดมาในประวัติศาสตร์
น้องๆ อย่าเอาอย่างนะครับ การรุกรานย่ำยีไม่ใช่วิถีของปัญญาชน ที่สำคัญตำนานเป็นเพียงความเชื่อของคนโบราณ ส่วนประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราควรพิจารณารับเอาสิ่งที่ดี ทิ้งส่วนที่เลวไป (เชื่อไหมล่ะว่าประวัติศาสตร์เนี่ยมันย้อนรอยเสมอ และเดี๋ยวนี้ทำท่าจะบ่อยเสียด้วย)
ตอนนี้เรามาอ่านตำนานเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความมันแต่ประการเดียวกันเถอะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น