คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฝนแห่งความเศร้า
บทที่สี่ ฝนแห่งความเศร้า
สายฝนจากฟ้าพรั่งพรูลงมาไม่หยุดตั้งแต่บ่ายสองและไม่มีทีท่าว่าจะซาลง พอถึงเวลาเลิกเรียนจึงยังมีเด็กหลายคนที่ติดแหงกไปไหนไม่ได้ต้องอยู่โยงที่โรงเรียนจนกว่าฟ้าจะหยุดร้องไห้ เด็กหนุ่มร่างเล็กนามเกษมก็ด้วย
คนตัวเล็กยืนอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียน มองสายฝนที่ถูกลมซัดสาดเข้ามาจนเกือบถึงตัวเขาแล้วก็ถอนหายใจ
ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะวิ่งฝ่าฝนไปยังป้ายรถเมล์ได้ แต่ถ้าตกแรงขนาดนี้กว่าจะเดินไปถึงป้ายตัวเขาคงเปียกโชก เขาไม่ได้ห่วงตัวเองนักหรอก แต่กลัวว่าหนังสือเรียนในกระเป๋าเป้ที่กันน้ำไม่ได้นี่จะพลอยเสียหายเพราะถูกน้ำฝนต่างหาก
เกษมตัดสินใจว่าจะรอให้ฝนซาลงก่อน เด็กหนุ่มจึงเริ่มมองหาที่นั่งเพื่อรอคอย ใต้อาคารเรียนตึกนี้เปิดโล่ง มีโต๊ะกับเก้าอี้ยาวอยู่หลายชุด แต่ก็แทบไม่พอจะรองรับนักเรียนที่ติดฝนพร้อมกันทั้งโรงเรียนแบบนี้ ทุกโต๊ะถูกจับจองหมด เขากำลังคิดจะเดินกลับไปที่ห้องเรียนแต่มีเสียงหนึ่งเรียกไว้ก่อน
“เกษม!”
เมื่อหันไปตามเสียงเรียกก็พบเด็กหนุ่มร่างเล็กนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งไม่ไกลนัก เขาเดินเข้าไปหา
“นันทกร”
“นายกำลังจะกลับบ้านเหรอ” เจ้าเป็ดเอ่ยถาม “ฝนยังตกอยู่เลยนะ”
“ผมว่าจะรอให้ฝนซาก่อนน่ะครับแล้วค่อยกลับ”
“งั้นมานั่งกับฉันก่อนไหม นั่งๆๆ” เจ้าเป็ดเขยิบที่ว่างให้เกษมจนเบียดเด็กมัธยมหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ เกษมมองท่าทีกระตือรือร้นจนเกินเหตุของนันทกรแล้วชักรู้สึกสังหรณ์ยังไงชอบกล แต่กระนั้นก็ยอมนั่งลงข้างนันทกร
พอทรุดตัวนั่งลงก้นถึงเก้าอี้ยังไม่ถึงวินาทีเจ้าเป็ดก็เกาะแขนเขาหมับ เหมือนจะกันไม่ให้หนีไปไหน ก่อนจะเริ่มเกริ่นถึงเรื่องที่เขาคาดไว้แล้วว่านันทกรอาจจะมาถามกับเขา
“นี่เกษม นายรู้จักมัจฉามานานยัง”
“ก็รู้จักพอๆกับคุณนั่นแหละครับ” เกษมพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเพื่อน
“นายพอจะรู้ไหมว่ามัจฉาเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรบ้าง” นันทกรถามด้วยสายตาเป็นประกายอย่างคาดหวัง แต่มือที่เกาะแขนเกษมก็ยังเกาะแน่นไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ
“ไม่รู้ครับ ไม่ลองไปถามวิริยาดูล่ะครับ เขาสนิทกับคุณมัจฉามากกว่าผม” เกษมบอกปัดอย่างไม่ใยดี พูดไปงั้น เพราเขาก็รู้ว่าคนตรงหน้าไม่มีวันไปถามข้อมูลจากวิริยาได้แน่
“ยายจืดนั่นไม่ยอมบอกฉันหรอก น่าๆเกษมช่วยฉันหน่อยน้า เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เจ้าเป็ดเริ่มใช้ลูกอ้อน
“ผมไม่รู้จริงๆครับ”
“เกษม” เสียงหวานแต่แฝงแววทะนงทักขึ้น เด็กหญิงร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาคือมัจฉา หัวหน้ากองกำลังต่อต้านGM และเด็กสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆคือวิริยาที่มักติดมัจฉาเหมือนเงาตามตัว
“คุณมัจฉา มีอะไรรึเปล่าครับ” เกษมเอ่ยถาม
“เปล่าหรอก ปกติเห็นนายกลับบ้านเร็ว ไม่เคยเห็นนายอยู่เย็นเพื่อคุยเล่นกับเพื่อนเลยแปลกใจน่ะ”
มัจฉาตอบแต่ไม่ได้มองหน้าเกษม สายตาของเธอจ้องอยู่ที่มือของนันทกรที่เกาะแขนเกษมไว้แน่น เจ้าเป็ดรู้ตัวก็รีบปล่อยแทบไม่ทัน วิริยาที่ดูอยู่นั้นก็กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่
“แล้วคุณมัจฉาล่ะครับ วันนี้อยู่เย็นเหรอครับ” เกษมถามเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ได้แต่หวังว่า เขาคงไม่ถูกเข้าใจอะไรผิดๆไปหรอกนะ
“ใช่ ฉันต้องอยู่ช่วยงานห้อง วันนี้อาจจะเข้าเกมช้าหน่อย”
มัจฉาจะอยู่ช่วยงานห้องเหรอ โอกาสมาถึงแล้วสินะ โชคเข้าข้างแกแล้วนันทกรเอ๋ย!
เจ้าเป็ดเห็นช่องทางที่จะได้สนิทสนมกับมัจฉามากขึ้น ถ้าเขาอาสาไปช่วยงานห้องมัจฉา อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ที่ติดลบกลับมาเป็นบวกมั่งก็ได้
“มัจ ” เจ้าเป็ดกำลังจะเอ่ยปาก แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะก่อนเพราะมัจฉาสังเกตเห็นใครบางคนที่คุ้นตา
“นั่นอัษฎานี่”
ทุกคนมองตามสายตามองเด็กสาวไป ที่เสาต้นหนึ่งที่ใกล้โต๊ะพวกเขามากที่สุด ชายหนุ่มผมดำยืนหลบอยู่หลังเสาปูนนั่น ถึงชายหนุ่มจะยืนหลบจนเห็นหน้าไม่ชัด แต่เครื่องแบบของมหาวิทยาลัยข้างๆโรงเรียนของพวกเขา และท่าทางชอบหลบมุมแอบในหลืบแบบนั้นไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้นอกจากหัวหน้ากลุ่มสองของกองกำลังต่อต้านGM อัษฎา
“คุณอัษฎาไปทำอะไรตรงนั้นครับ” เกษมเอ่ยถามอย่างที่เขาถามเป็นประจำ เพราะเขาไม่เคยเข้าใจการกระทำแบบนี้ของคนๆนี้เลย
“นั่นสิ นายมาทำอะไรแถวนี้น่ะ” มัจฉาถาม
“ แค่เดินผ่านมาน่ะ” หัวหน้ากลุ่มสองตอบเสียงเรียบ
ช่างเป็นการแถที่ไม่มีชั้นเชิงจริงๆ
ตัวอาคารเรียนที่พวกเขาอยู่นี่อยู่ลึกเข้ามาในโรงเรียนเยอะ เดินจากประตูใหญ่ของโรงเรียนเข้ามาก็ต้องใช้เวลาประมาณสิบนาที จะเดินผ่านมาได้อีท่าไหนกัน
“มารับเกษมเหรอ” แม่สื่อวิริยาเล่นลูกตรง ถามคำถามที่คนถามเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจและไม่รอคำตอบของคนถูกถามด้วย
“คุณหนู นายก็จะรีบกลับบ้านไม่ใช่เหรอ กลับไปพร้อมกับอัษฎาเลยสิ”
“อะ เอ่อ ครับ”
เพราะวิริยาเล่นยิงกันตรงๆแบบนี้เกษมที่ไม่ทันตั้งตัวก็รับเข้าไปเต็มๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขากับคุณอัษฎาก็เดินอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกลางสายฝนแล้ว
ท่ามกลางหยาดน้ำที่ไหลลงมาจากฟ้า ร่มสีดำเคลื่อนที่ตัดผ่านสนามกลางโรงเรียน สีของร่มเกือบจะกลืนไปกับสีของพื้นซีเมนต์ที่เปียกชื้น ร่างสองร่างเดินเคียงกันภายใต้ร่มคันน้อยที่เริ่มต้านทานแรงของสายฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นไม่ไหว แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ยังฝืนเดินต่อไป ไม่มีบทสนทนาใดๆ มีเพียงเสียงของฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบผืนผ้าใบของร่ม
สำหรับเกษมแล้วช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับคุณอัษฎานั้น แม้ไม่มีบทสนทนาใดๆ เขาก็ไม่เคยอึดอัด เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นในความเงียบงัน แต่ในวันนี้ท่ามกลางความเงียบงันแบบเดิมแต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซีกซ้ายของคนข้างตัว ดวงตาของอัษฎาดูเหม่อลอย เหมือนกับมองตรงไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ได้มองจุดใดจุดหนึ่งเลย
เป็นเพราะสายฝนรึเปล่าที่ทำให้คุณดูเศร้ามากขนาดนี้
หรือมีเรื่องไม่สบายใจอะไร
คุณบอกผมได้นะคุณอัษฎา
ผมยินดีรับฟังทุกเรื่องของคุณ
ทั้งๆที่ใจอยากจะเอ่ยออกไป แต่ปากมิอาจทำตามได้ดังใจ เกษมข่มความรู้สึกไว้ข้างใน ก่อนจะเอ่ยทำลายความเงียบที่ดูคล้ายคลึงความเศร้านี่
“ขอบคุณมากนะครับคุณอัษฎาที่ให้ผมติดร่มมาด้วย” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสดใสให้คนข้างกาย แต่อัษฎาไม่ได้หันมามองเขาเลย รอยยิ้มสดใสนั่นจึงค่อยๆจางหายไปจากใบหน้า
“ นายกับเพื่อนคนนั้นดูสนิทกันมากเลยนะ” จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยขึ้น คนร่างเล็กกว่าเงยหน้ามองคนถามที่สีหน้านิ่งไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ ก่อนจะตอบว่า
“ไม่ได้สนิทอะไรหรอกครับ”
“งั้นเหรอ”
อัษฎาตอบเสียงนิ่งเหมือนไม่ใส่ใจทั้งที่จิตใจไม่ได้นิ่งเหมือนน้ำเสียง
เกษมอยากอธิบายใจแทบขาดว่าที่นันทกรมาตีซี้กับเขาเพราะจะให้เขาช่วยเรื่องมัจฉา แต่เพื่อนย่อมไม่ขายเพื่อน มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนันทกร เขาไม่ควรจะมาพูดให้คนอื่นฟัง ถึงคนๆนั้นจะเป็นคุณอัษฎา คนที่เขารักมากก็เถอะ
แล้วม่านหมอกความเงียบก็ปกคลุมทั้งสองอีกครั้ง
ระยะทางจากอาคารเรียนของเขากับหน้าประตูโรงเรียนดูเหมือนจะไกลมากขึ้นเมื่อต้องเดินฝ่าสายฝน สายลมพัดพาเอาสายฝนมาต้องผิวกายหลายครั้งจนแขนข้างซ้ายของเกษมเปียกชุ่ม เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใต้ร่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แขนขวาของเขาแทบจะแนบชิดกับร่างสูง แขนเล็กที่ถูกตัวอัษฎาทำเอาชายหนุ่มใจเต้นแรง ได้แต่ภาวนาว่าร่างเล็กจะไม่ได้ยินเสียง
สงบลงหน่อยเถอะหัวใจ
ขืนยังเต้นแรงอยู่แบบนี้ เด็กคนนี้จะได้ยินสิ่งที่ฉันพยายามเก็บไว้
และแล้วทั้งคู่ก็มาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนจนได้ รถที่เกษมต้องการจะขึ้นผ่านมาพอดี เด็กหนุ่มบอกลาเขาก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถสีครีมแดงขันใหญ่ไป
ชายหนุ่มยืนมองตามรถคันนั้นไป จนมันไปไกลเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นได้อีก หัวใจของเขาค่อยๆเต้นช้าลง จนเขาคิดว่ามันจะหยุดเต้นไปเสียแล้ว
เขาไม่อยากทำให้เด็กคนนั้นต้องลำบากใจกับความรู้สึกของเขา
สิ่งที่เขาเก็บไว้ เขาจะไม่มีทางบอกออกไป
บอกออกไปไม่ได้
อัษฎาเงยหน้ามองหยาดน้ำที่พรั่งพรูลงมาไม่หยุด สายตาของเขาดูจะตัดพ้อต่อน้ำตาจากฟ้า
ฝน ไม่น่าตกลงมาเลย
---------------
ย้อนกลับไปทางด้านมัจฉา วิริยา และนันทกร หลังจากคุณกระต่ายจัดการส่งเกษมกับอัษฎาออกไปจากวงแล้ว สงครามชิงปลาระหว่างเป็ดกับกระต่ายก็เริ่มขึ้น วิริยาและนันทกรต่างเสนอตัวจะช่วยงานห้องมัจฉา แต่กลับโดนเจ้าแม่ปลาปฏิเสธทั้งคู่
“พวกเธออยู่ห้องเดียวกับฉันรึไง แล้วอีกอย่างพวกเธอทำภารกิจที่ฉันสั่งเสร็จแล้วรึไง กลับบ้านไปเข้าเกมเดี๋ยวนี้เลย!”
บทสรุปของศึกครั้งนี้คือเป็ดและกระต่ายต้องยกธงขาว และกลับบ้านไปทั้งคู่ตามประกาศิตของราชินีมัจฉา
------------------------------
เซอร์วิสสาวกอัษฎาเกษม (เขียนสนองneedตัวเองชัดๆ!!!)
เพื่อวายฉันทำได้ทุกอย่างสินะ กระทั่งเขียนฟิคได้สองตอนในวันเดียวอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน =_="
พลังม่วงช่างยิ่งใหญ่นัก กรั่กๆ
ประโยคต่อไปนี้อนุญาตให้ท่านผู้อ่านตะโกนไปพร้อมๆกับข้าน้อยได้...
"นี่มันฟิคเป็ดกระต่ายแน่เหรอวะเนี่ย!!!"
(มั่นคงไว้ลูก เป็ดกระต่าย เป็ดกระต่าย เป็ดกระต่าย ท่องสามจบก่อนนอนแล้วพรุ่งนี้แต่งเป้ดกระต่ายนะลูก)
ปล. อย่าสนใจในวงเล็บ คนเขียนกำลังเพียรบอกตัวเองอยู่ค่ะ
ความคิดเห็น