คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : บทที่ 23: โรงพยาบาลปาฏิหารย์
บทที่ 23: โรงพยาบาลปาฏิหารย์ [อัพครั้งแรก 9 ม.ค. 2550 เวลา 24.13น.]
เช้าวันอาทิตย์ตอนสิบเอ็ดโมง รินเพิ่งอาบน้ำแปรงฟันเสร็จและกำลังจะเดินลงมากินข้าวเช้า(ตอนสิบเอ็ดโมงเนี่ยนะ)โดยทิ้งฟรานเซียส ลอเรล และคทาไว้ที่ห้อง(เอมิลี่กลับไปที่บ้านของนิศาตั้งแต่ตีสามแล้ว) แต่เมื่อเดินมาถึงห้องครัวก็พบแต่ความว่างเปล่า
“อ้าว ไม่เหลืออะไรให้เลยแฮะ” รินบ่นกับตัวเองอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ตู้เย็น หยิบนมกล่องออกมาดื่ม พลางครุ่นคิดอย่างงงๆว่าทำไมวันนี้เขากินข้าวเช้าเสร็จกันเร็ว ทั้งๆที่ปกติแล้ววันอาทิตย์ ยัยนิน้องสาวจะตื่นประมาณเที่ยงครึ่งแท้ๆ ทุกคนก็จะเก็บข้าวเช้าไว้ให้... รึว่าวันนี้มันตื่นเช้า... เลยกินส่วนของเราหมดไม่เก็บไว้ให้... ฮึ่ม! ลืมกันได้นะ...
รินนั่งคิดนั่งบ่นอยู่ในใจคนเดียวจนไม่รู้สึกตัวว่า มีคนสามคนแอบสุ่มอยู่ที่ประตูห้องครัว
“เริ่มแผนได้เลยค่ะพ่อ”
“ฉันจะเอาใจช่วยนะคะคุณ”
ทั้งลูกสาวคนเล็กและศรีภรรยาเอ่ยให้กำลังใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะลี้ไปเชียร์อยู่ห่างๆ นายนิรันดร์ยิ้มแห้งๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวอย่างมาดมั่น
“เอ่อ รินลูก... วันนี้พ่อจะไปเยี่ยมเพื่อนของพ่อที่โรงพยาบาล ลูกไปเป็นเพื่อนพ่อหน่อยนะ” เขาเอ่ยขึ้นกับบุตรสาวคนโต
“เอ่อ... ทำไมไม่ชวนแม่ไปล่ะคะ” รินหยุดบ่นในใจ แล้วถามคำถามกลับ
“ก็... แม่เขาไม่อยู่น่ะสิลูก แม่เขาไป... ไปดูงานที่ค่ายเพลง” นายนิรันดร์ว่าต่อ
“แล้วยัยนิล่ะคะ”
“นิไปซ้อมกีฬาที่โรงเรียน เห็นบอกว่าใกล้งานกีฬาสีต้องซ้อมหนัก รินไปกับพ่อหน่อยนะลูก” ผู้เป็นพ่อเริ่มใช้น้ำเสียงอ้อนวอนลูกสาว... จะมีพ่อคนไหนบ้างนะที่ต้องอ้อนวอนลูกสาวตัวเองแบบนี้?
“ก็ได้ค่ะ” รินตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่นั่นเหมือนเป็นเสียงสวรรค์สำหรับเขาเลยทีเดียว
“งั้นก็ไปกันเลยลูก”
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
“พ่อตีบทแตกเลยนะคะ” นิภาพูดขึ้น หลังจากที่พ่อและพี่สาวขึ้นรถเบนซ์ออกไปจากบ้านแล้ว
“อืม ไปเป็นนักแสดงได้สบายๆเลยล่ะ” ผู้เป็นแม่เออออห่อหมกไปกับลูกสาวคนเล็กด้วย
“หวังว่าพี่รินกลับมาแล้วจะหายเป็นปรกตินะคะ”
“มะ...แม่ก็หวังอย่างนั้น มะ...เหมือนกันล่ะ...ลูก” นางนภาเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ แล้วทันใดนั้นเองน้ำตาใสๆก็ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
“แม่ร้องไห้ทำไมคะ” นิถามอย่างตกใจพลางรีบเข้าไปเช็ดน้ำตาของผู้เป็นมารดา
“กะ...ก็... แม่เป็นห่วงรินนี่...ลูกนิ ฮึก!” เธอว่าพลางร้องไห้หนักขึ้น
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะคะ คุณแม่คนดี๊คนดีของลูกนิ” ลูกสาวคนเล็กเข้าไปกอดปลอบแม่ของตน พลางช่วยซับน้ำตาให้
“แง้...”
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
...นี่ใครเป็นแม่ใครเป็นลูกกันแน่เนี่ย...
ฟรานเซียสและลอเรลที่ยืนสังเกตการณ์มาสักพักหนึ่งแล้วคิดตรงกันโโยมิได้นัดหมาย ทั้งสองจ้องมองแม่ลูกติ๊งต๊องคู่นี้อย่างอนาถจิต อยากไปสะกิดบอกเหลือเกินว่าให้อายเทพที่ยืนดูอยู่ตรงนี้บ้าง...ก็ไม่ได้... เดี๋ยวเขารู้ความลับสวรรค์กันหมด...
“ว่าแต่จะเอาไงดีล่ะ ท่านหัวม่วง” ฟรานเซียสเอ่ยถามแบบสุภาพที่สุดแล้ว แต่ยังไม่วายแอบแขวะเรื่องสีผมของลอเรล
“ข้าจะไปรู้เรอะ เจ้าเทพบุตรหัวแดง” ลอเรลตอบกลับอย่างกวนๆ
“ท่านนี่พึ่งไม่ได้เลย อยู่นานกว่าข้ามาเป็นล้านๆปีแล้วแท้ๆ” ฟรานเซียสต่อว่า พลางหลับตาส่ายหน้าเหมือนระอาใจอย่างจงใจกวนคู่สนทนา
“นี่เจ้า! เก่งจริงเจ้าก็คิดเองสิ” ลอเรลท้า พลางค้อนใส่ฟรานเซียส
“งั้นข้าจะไปหายัยเตี้ย” ฟรานเซียสว่า
“เจ้ารู้แล้วเรอะว่าครอบครัวท่านรินวางแผนอะไรไว้” ลอเรลถาม
“..............”
เงียบกันไปครู่ใหญ่...
“เอ่อ... ไม่รู้ดิ” ฟรานเซียสสารภาพแต่โดยดี
“ไม่รู้แล้วจะไปบอกท่านรินยังไงล่ะ เจ้านี่ไม่มีหัวคิดซะเลย” ลอเรลเป็นฝ่ายส่ายหัวอย่างระอาบ้าง
...ฝากไว้ก่อนเถอะ... ฟรานเซียสคิดในใจอย่างเคืองๆที่เถียงไม่ขึ้น
“แล้วจะเอาไง ท่านฉลาดนักก็คิดเซ่!”
“ดูอยู่เฉยๆ”
“หา... ว่าอะไรนะ” ฟรานเซียสถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“เจ้าหูหนวกรึไง ดูอยู่เฉยๆ แล้วทุกอย่างจะดีเองเชื่อข้าสิ” ลอเรลบอกเสียงเรียบ แต่ฟรานเซียสรู้สึกว่าประโยคนั้นมันมีอะไรเป็นนัยน์แอบแฝงอยู่...
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
อาคารสีขาวที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ในเขตที่คนพลุกพล่านของกรุงเทพฯ ป้ายบนดาดฟ้าตึกที่ใหญ่เห็นเด่นชัดสีขาว มีตัวอักษรสีแดงเขียนไว้ว่า “โรงพยาบาลปาฏิหารย์” ที่อยู่คู่กันนั้นคือตราประจำโรงพยาบาลที่เป็นรูปตัว P แล้วมีกระดูกไขว้เป็นกากบาททับตัว P ไว้
โรงพยาบาลปาฏิหารย์นี้เป็นโรงพยาบาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนมานี่ ที่จริงก็มีโครงการสร้างมาเป็นปีแล้ว แต่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อสองเดือนก่อน ถึงจะเปิดมาตั้งสองเดือนแล้วก็เถอะ แถมตั้งอยู่ในที่ๆคนพลุกพล่านแบบนี้ด้วยแล้ว ทว่า โรงพยาบาลนี้กลับไม่ค่อยมีคนไข้... นั่นก็เพราะว่า โรงพยาบาลปาฏิหารย์เป็น... โรงพยาบาลจิตเวชที่รับรักษาคนป่วยเป็นโรคจิต...
และ... ลูกค้ากระเป๋าหนักรายหนึ่งกำลังจะเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลแห่งนี้... ลูกค้าที่เป็นถึงเจ้าของค่ายเพลงชื่อดังเสียด้วย...
“พ่อคะ พ่อมีเพื่อนเป็นคนไข้ของที่นี่เหรอคะ” รินเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาเลี้ยวรถเข้ามาที่แห่งนี้ เธอรู้ดีว่านี่เป็นโรงพยาบาลจิตเวชเลยถามขึ้นมาเพื่อความชัวร์ว่าไม่เข้าผิดโรงพยาบาล
“เอ่อ... รินลูก ลูกฟังพ่อนะ” นายนิรันดร์เอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ ขณะที่เขาหยุดรถในที่จอดรถของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
“คือว่า... นิเขาได้ยินลูกพูดอะไรอยู่คนเดียวทุกคืน... นิมาบอกพ่อกับแม่ และแม่เขาก็เป็นห่วงลูกมาก เลยขอให้พ่อพารินมาที่นี่ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ได้เป็นโรคจิต แต่รินไปตรวจหน่อยนะ เพื่อความสบายใจของแม่เขา” ผู้เป็นบิดาเอ่ยรวดเดียวจบ
“หะ...” รินนั่งอึ้งกิมกี่ อ้าปากค้าง ทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
“พ่อเชื่อว่าลูกไม่ได้เป็นโรคจิต แต่ว่าไปให้หมอตรวจหน่อยเถอะนะริน เพื่อแม่ของลูกนะ”
เด็กสาวนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง เหมือนว่ากำลังใช้ความคิด ก่อนจะตอบว่า...
“ก็ได้ค่ะพ่อ”
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
บทนี้ก็สั้นอีกแหละ แต่ก็นะ... ช่างมันเถอะ = ="
บทต่อไป... ติดตามกันเอาเอง (ยังไม่ได้คิดเลย)
ความคิดเห็น