ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ คลังเก็บความเพ้อเจ้อ ]

    ลำดับตอนที่ #2 : [OneShot] Somewhere in the Hospital

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 57


    OneShot : Somewhere in the Hospital


     

    ############

                     ตามทางเดินขาวสะอาดที่เจือไปด้วยกลิ่นของยาและแอลกอฮอล์  ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสับขาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต  เม็ดเหงื่อเกาะพราวตามใบหน้าทั้งที่โรงพยาบาลเปิดแอร์เย็นเฉียบ  เขาเสยเส้นผมสีดำที่ตกลงมาระใบหน้าขึ้นไปอย่างลวกๆ  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจางจนเกือบคล้ายสีทองเหลียวมองไปข้างหลัง  ก่อนจะตระหนักได้ว่าไม่น่าทำแบบนั้นเลย

     

                    เพราะภาพของ ไฮยีน่าฝูงใหญ่แบกกล้องใบโตที่วิ่งไล่ตามเขามาติดๆอย่างไม่ลดละ  ทำเอากำลังขาคล้ายจะลดอย่างฮวบฮาบลงอย่างไร้สาเหตุ

     

                    โอเค...การเปรียบเทียบเหล่านักข่าวหรือปาปารัสซี่ว่าเป็นไฮยีน่าคงจะฟังดูโอเว่อร์เกินไปหน่อย  แต่ในความคิดของ จักร  จักรพรรดิ   วรปรัชญ์  นักแสดงหนุ่มดาวรุ่งวัยใกล้เลขสามนำหน้า  เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกกวางเพิ่งคลอดที่แม่ไม่ใยดีจะเลี้ยงดูและปล่อยให้ไฮยีน่าฝูงใหญ่มาแทะกินเขาได้ตามใจชอบก็ไม่ปาน

     

                    และไอ้อาการปวดท้องจนทำให้ต้องมาหาหมอที่โรงพยาบาลนี่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยซักนิด  มีแต่จะทำให้เขาช้าไปกว่าเดิมจนแทบจะโดนตะครุบได้อยู่ร่อมร่อ

     

                    แน่นอนว่าถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงยิ้มหวานจนเห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง  แล้วเดินอกผ่ายไล่ผึงไปให้เหล่านักข่าวรุมสัมภาษณ์และถ่ายรูปจนหน้ำใจแน่นอน  แต่อารมณ์ในตอนนี้ทำให้เขาไม่อยากเจอใครมากกว่าหมอหรือพยาบาลเพื่อรักษาอาการปวดท้องบ้าๆนี่ให้หายขาดไปซักที

     

                    รวมทั้งเขาไม่อยากมานั่งอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง เรื่องนั้นด้วย

     

                            กล้ามเนื้อขาเริ่มกรีดร้องขอการพักผ่อน  แต่สมองของเขาปฏิเสธที่จะรับรู้ถึงการโวยวายนั้นทำให้การไล่ล่าในทุ่งหญ้าสะวันนานามโรงพยาบาลยังคงดำเนินต่อไป

     

                    แต่ตอนที่เลี้ยวหักศอกอย่างกะทันหัน  จักรก็เกือบชนเข้ากับร่างบางในเสื้อกาวน์ที่กำลังเดินมาพอดี  เขาเบรกตัวเองได้ทัน  แต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขาคงทำให้เธอค่อนข้างตกใจอยู่ดีเพราะร่างบางถึงกับหยุดชะงักไป  เขาเหลียวมองเธอเพียงเล็กน้อยแต่ไม่มีเวลาจะขอโทษเพราะไฮยีน่าแบกกล้องกำลังตามมาติดๆ

     

                    จักรตั้งท่าจะออกวิ่งต่อแต่ร่างบางกลับเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อของเขาไว้

     

                    “เฮ้ย!

     

                    อุทานประท้วงได้แค่นั้นก่อนร่างในเสื้อกาวน์จะเหวี่ยงเขาเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อยู่ใกล้ๆกัน  แล้วปิดประตูดังปังโดยไร้คำอธิบาย

     

                    จักรอ้าปากจะตะโกนถามแต่เสียงตึกตักของฝีเท้าจำนวนมากทำให้เขายั้งตนเองไว้ได้ทัน

     

                    “หายไปไหนแล้ว”

     

                    แว่วเสียงคนตะโกนถาม

     

                    “ทางนั้นแน่ๆ ฉันเห็นหลังอยู่ไวๆ”

     

                    อีกคนตอบอย่างคาดเดา

     

                    แล้วเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆดังห่างออกไปเรื่อยๆ  วินาทีนั้นเองที่ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าร่างบางในเสื้อกาวน์เพิ่งจะช่วยให้เขารอดจากการโดนนักข่าวรุมทึ้งมาหมาดๆ

     

                    ไม่นานประตูก็เปิดออก  ผู้ช่วยชีวิตเขายืนอยู่ตรงนั้น  คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆแต่สีหน้ากลับราบเรียบไร้ความรู้สึก  ดูเหมือนการที่เธอขมวดคิ้วจะเป็นกริยาตามธรรมชาติมากกว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกอย่างที่คนทั่วไปมักเป็นกัน

     

                    “ออกมาได้แล้ว” เสียงใสบอกแกมบังคับ “ไปกันหมดแล้ว”

     

                    จักรก้าวออกมาแล้วเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย  ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตไปด้วย  หญิงสาวร่างเล็กบางที่ส่วนสูงเพียงแค่อกของเขามีผิวขาวซีดจนแทบจะทำให้เธอจมหายไปกับเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่  ดูแล้วอายุคงพอๆกันหรืออาจอ่อนกว่าเขานิดหน่อย   ผมสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นหางม้าอย่างง่ายๆแต่ยังมีปอยผมสองสามปอยที่รวบไปไม่หมดบ่งบอกว่าเธอเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องทรงผม  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนิ่งเรียบไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆเหมือนกันสีหน้าของเธอในขณะนี้

     

                            จากท่าทางแล้วเธอคนนี้เป็นหมออย่างไม่ต้องสงสัย  แต่คำถามคือเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาโดนนักข่าวไล่ตามอยู่?? 

     

    แน่นอนว่านักข่าวพวกนั้นไล่ตามเขามาติดๆ  แต่อย่าลืมสิว่าเขาเพิ่งจะวิ่งเลี้ยวพ้นมุมมาเองนะ  คนทั่วไปน่าจะคิดว่าเขาเป็นแค่คนไข้ผู้รีบร้อนที่กำลังผิดนัดหมอซะมากกว่า  ใช่...คนทั่วไปคงไม่จับยัดคนที่เพิ่งเจอหน้าใส่ในตู้ที่เต็มไปด้วยไม้ถูพื้นหรอก 

     

    “ฉันได้ยินเสียงแฟลช”

     

    อยู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา  จักรเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยกว่าเดิมก่อนจะอุทานอย่างลืมตัว

     

    “ห๊า?”

     

    “นายกำลังสงสัยอยู่ว่าฉันรู้ได้ไงว่านายโดนนักข่าวไล่ตาม  มันแสดงออกมาทางสีหน้านายหมดเลยว่ากำลังคิดอะไร  นายคงเล่นโป๊กเกอร์แพ้ตลอดเลยสินะถ้าให้ทาย  โอ้ไม่เดี๋ยว  คำว่าทายคงไม่ถูกต้องเท่าไหร่เพราะมันเป็นการคาดเดาแบบเอนเอียงไปทางสุ่มมัว  แต่เพราะฉันรู้ว่านายเล่นไพ่แพ้ตลอด  เอาเป็นว่าใช้คำว่าฉันรู้แล้วกัน...นายชอบเล่นไพ่กับญาติหรือพี่น้อง  มันปลอดภัยกับสวัสดิภาพของเงินในกระเป๋านายมากกว่าเพราะตอนจบเกมกลังจากเยาะเย้ยนายจนพอใจแล้วพวกเขาจะคืนเงินให้นายเสมอ”

     

    ยังไม่ทันที่จักรจะอ้าปากถามต่อว่ารู้ได้ยังไง  ร่างในเสื้อกาวน์ก็วกกลับไปหัวข้อเดิมเรื่องที่นักข่าวไล่ตามเขามา

     

    “เชิ้ตนายเรียบกริบมีกลิ่นน้ำหอมของ CK แต่นายกลับเหงื่อออกทั้งที่ยังไม่แปดโมงเช้า  แน่นอนว่านายคงไม่ไปวิ่งออกกำลังกายทั้งชุดแบบนี้แน่ๆ   แปลว่าคงต้องวิ่งหนีใครมา  เมื่อรวมเข้ากับเสียงแฟลชรัวๆที่ฉันได้ยินตอนที่เจอนายแปลว่านายวิ่งหนีนักข่าวมา”

     

    ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยชมความช่างสังเกตของเธอ  ร่างบางก็พูดต่อทันที

     

    “มีคนอยู่สามประเภทที่โดนนักข่าววิ่งไล่  หนึ่งคือฆาตกรโรคจิต  แต่นายไม่มีกุญแจมือและนักโทษคงไม่ใส่เชิ้ต ralph lauren ราคาห้าพันอย่างนายแน่ๆ   สองคือนักการเมือง  แต่หน้าตานายดูไม่น่าฉลาดพอจะเล่นการเมืองและนายอายุน้อยไป  จึงเหลือแค่ข้อสามคือดารานักร้อง  หน้าตานายเข้ากฎสัดส่วนทองคำแปลว่าคงทำอาชีพที่ใช้หน้าตาแบบนี้ได้  ตอนที่พูดขอบคุณฉันเสียงนายยังโอเคอยู่ไม่มีปัญหาเรื่อง Vocal Cord อย่างที่นักร้องมักเป็นกัน  สรุปว่านายเป็นดาราที่โดนนักข่าววิ่งไล่  แต่เพราะไม่อยากให้สัมภาษณ์เลยวิ่งหนีมา”

     

    ว้าว...คำนี้ตรงตัวที่สุดแล้วจริงๆสำหรับเหตุการณ์ที่จักรเจอในตอนนี้..ว้าว...ผู้หญิงส่วนมากจำเขาได้เพราะหน้าตาและรอยยิ้ม  ไม่ใช่สรุปว่าเขาเป็นดาราจากการสังเกตท่าทางและเสื้อผ้าแบบนี้  ชายหนุ่มยอมรับเลยว่าอีโก้ในตัวเจ็บปวดมากที่หน้าตาอันหล่อเหลาของเขาไม่ได้มีผลใดๆกับเธอเลยแม้แต่น้อย  เธอไม่กรี๊ดกร๊าด  ไม่หน้าแดง  ไม่มีแม้แต่ท่าทีเขินอายให้เห็นเลยด้วยซ้ำ  ทั้งหมดที่มีคือใบหน้านิ่งเรียบและน้ำเสียงติดจะเย้ยหยันนิดๆที่พูดวิเคราะห์เขาเป็นส่วนๆเหมือนกำลังแยกชิ้นส่วนวิทยุออกมาดูก็ไม่ปาน

     

    เขารู้สึกเหมือนถูกด่าว่าโง่ และถูกชมว่าหล่อตามกฎเรขาคณิตไปด้วยในเวลาเดียวกัน

     

    แต่ถึงอย่างนั้น  จักรก็ประทับใจในความช่างสังเกตและความฉลาดของอีกฝ่ายมากพอที่จะรู้สึกดีมากกว่ารู้สึกแย่เมื่อถูกวิจารณ์ออกมาตรงๆเช่นนั้น  อีกอย่างเธอคนนี้เพิ่งช่วยเขาไว้จากฝูงไฮยีน่าแบกกล้องเชียวนะ

     

    บางทีเขาน่าจะถามชื่อเธอไว้

     

    แค่ถามชื่อเอง  ไม่ได้คิดจะจีบซักหน่อย  ใช่แล้ว...แค่ถามชื่อเท่านั้น  รู้จักคนฉลาดๆน่าสนใจแบบนี้ไว้ไม่เสียหายซักหน่อย  หรืออย่างน้อยเขาก็น่าจะตอบแทนที่เธอช่วยด้วยการเลี้ยงกาแฟก็ยังดี  พวกหมอน่าจะชอบดื่มกาแฟไม่ใช่หรอ...เขาคิด

     

    แต่ยังไม่ทันไรกระดาษสีขาวที่มีตัวอักษรตัวโตเขียนไว้ที่หัวว่าใบสั่งยาก็ถูกยื่นมาให้เขาซะก่อน

     

    “ห๊ะ?!” รอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วไม่รู้ตั้งแต่ได้เจอเธอที่จักรต้องอุทานเช่นนี้

     

    “นายกุมท้องอยู่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้มาโรงพยาบาลด้วยสินะและดูท่าคงไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”  สีหน้าเธอเรียบเฉยไม่ต่างจากเดิม “รีบไปรับยาและกลับไปทำงานซะ  มือถือนายสั่นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วผู้จัดการนายคงอยากให้ไปแคสบทจะแย่”

     

    เพราะมัวแต่เหม่อคิดว่าจะทำยังไงดีให้สามารถรู้จักกับร่างบางตรงหน้าได้มากกว่านี้โดยไม่ดูน่าเกลียดหรือกะลิ้มกะเลี่ยเกินไปนัก  จักรจึงไม่ทันสังเกตว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงของตนสั่นอยู่จนคนตรงหน้าทักขึ้นมา  เขาล้วงหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงขึ้นมาพร้อมกับรับใบสั่งยามาจากอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน

     

    “ฮะ เฮ้ เดี๋ยวสิ” จักรร้องทักขึ้นเมื่อเห็นร่างบางหมุนตัวเดินจากไป “คุณชื่ออะไร  อย่างน้อยบอกชื่อให้ผมรู้หน่อยสิ  หรือไม่ก็ให้ผมเลี้ยงกาแฟตอบแทนคุณก็ได้”

     

    แต่เพียงประโยคถัดมาก็เหมือนจะตัดรอนความหวังเขาได้อย่างสิ้นเชิง

     

    “ฉันเกลียดกาแฟ”

     

    เธอตอบอย่างเรียบง่าย

     

    “นายนี่โง่กว่าที่คิดอีกนะ”

     

    แถมท้ายด้วยคำด่าที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาที่มุมปากก่อนจะเดินจากไป   รอยยิ้มอันเรียบง่ายที่ไม่ได้มีความอ่อนหวานและติดจะดูขำขันในคำถามของเขาด้วยซ้ำ  ถึงกระนั้นมันก็ทำให้หัวใจของเขากระตุกอย่างแรงตามด้วยอาการหน้าแดงแปร๊ดจนรู้สึกได้  ให้ตายสิ...นี่เขากลายเป็นสาวน้อยผู้แสนอ่อนไหวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

    ดาราหนุ่มได้แต่ยืนหน้าแดงโดยมีโทรศัพท์ที่กำลังสั่นในมือขวาและใบสั่งยาในมือซ้าย  ถ้านักข่าวพวกนั้นวกกลับมาเก็บภาพเขาในตอนนี้ได้ละก็  มันคงเป็นภาพที่ดูโง่มากอย่างที่ร่างบางในชุดกาวน์ว่าไว้แน่

     

    ใช้เวลาหลังจากนั้นพักใหญ่กว่าเขาจะได้รู้ชื่อเธอ  และได้รู้ว่าทำไมเธอจึงด่าเขาว่าโง่เป็นการทิ้งท้าย

     

    เพราะใบสั่งยาจะต้องมีชื่อของแพทย์เซ็นต์กำกับไว้ด้วยเสมอ  การถามชื่อเธอทั้งๆที่กระดาษในมือมีชื่อเธอโชว์หราอยู่มันทำให้เขาดูเป็นคนโง่จริงๆด้วย  แม้ในตอนแรกจะอ่านลายมือหวัดๆและยุ่งเหยิงของเธอไม่ออก  แต่พอได้ยามาแล้วฉลากข้างๆที่เป็นตัวพิมพ์ของมันก็ให้คำตอบที่เขาต้องการได้เป็นอย่างดี

     

    ...แพทย์หญิง ชาลิสา โฮป...

     

    และจากการพูดคุยกับประชาสัมพันธ์สาวที่เป็นแฟนละครตัวยงของเขา  จักรก็ได้รู้เพิ่มเติมว่าชื่อเล่นของเธอคือชาร์  ลูกครึ่งที่มีพ่อเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกา  และเป็นหลานสาว  ซึ่งลุงของเธอเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้

     

     

    อาการปวดท้องยังคงอยู่  แถมเพิ่มมาด้วยความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อจากการวิ่ง  แต่จักรกลับรู้สึกอารมณ์ดีมากจนเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว   รอยยิ้มนั้นมาพร้อมกับความคิดที่ว่า...ดูท่าทางว่าเขาอาจต้องมาโรงพยาบาลนี้อีกหลายครั้งเลยก็เป็นได้

     

    ############


    TalK : จริงๆมันไม่ใช่วันช็อตหรอกค่ะ  เหมือนบทนำของนิยายอีกเรื่องที่อยากแต่งมากกว่า  แต่ไม่มีเวลาและสมองมากพอจะแต่ง(ตอนนี้ในหัวมีแต่มังกรบินไปบินมา 55) เลยระบายออกมาเป็นตอนสั้นๆจบในตอนมาให้ได้อ่านกันไปก่อน  ถ้ามังกรจบอาจแต่งเรื่องนี้ต่อก็ได้นะคะ (#แค่อาจ)


    นางเอกได้แรงบันดาลใจมากจากเชอร์ล็อค โฮล์มค่ะ :)  ตอนเจอวัตสันทีแรกเชอร์ลี่ก็พูดเอาๆ ปล่อยให้หมอวัตสันงงอยู่นั้นแหละว่ารู้เยอะขนาดนี้ได้ไง  ชอบอารมณ์ของฉากประมาณอย่างงั้นมากเลยค่ะ เลยออกมาเป็นเรื่องสั้นเรื่องนี้เฉยเลย 55


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×