ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #2 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ เจ้าสาวแห่งครูซ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.29K
      2
      18 มิ.ย. 50

    1

    เจ้าสาวแห่งครูซ


    กองไฟใหญ่ลุกโพลง สาดแสงสีส้มไปทั่วลานกว้าง พาให้อากาศที่ร้อนอบอ้าวอยู่แล้วดูจะร้อนระอุมากขึ้น ควันจากไม้หอมที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟคละคลุ้งตลบอบอวล 

    ผู้คนมากมายรายล้อมอยู่รอบลานอย่างเงียบกริบจนได้ยินเสียงไม้ในกองไฟแตกปะทุดังเปรี๊ยะๆ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เบียดเสียดยัดเยียดกันเพื่อจะดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตรงกลางลานชายในชุดขาวซึ่งเป็นนักบวชประจำหมู่บ้านสาดน้ำมนต์ไปบนพื้นพอเป็นพิธี ก่อนจะเริ่มสวด

    ขณะที่เสียงท้องบ่นมนตราดังต่อเนื่อง ชาวบ้านก็เริ่มเดินเวียนเป็นวงไปรอบๆ ช่อดอกไม้ในมือถูกขว้างเข้าไปในวงน้ำมนต์ ซึ่งมีร่างของเด็กผู้หญิงแต่งกายงดงามในชุดเจ้าสาวสีสันสดใสนอนนิ่งอยู่

    "ไม่!"

    เสียงกรีดร้องของหญิงชราทำให้พิธีกรรมหยุดชะงัก ร่างงองุ้มเหี่ยวย่นแหวกฝูงชนเข้ามา แต่ก็ถูกผู้ชายหลายคนจับเอาไว้ ไม่ยอมให้เข้าใกล้เด็กหญิงคนนั้น

    "จะเอาหลานข้าไปไหน เอสราคนหนึ่งแล้วยังไม่พออีกหรือ"

    หญิงชราคร่ำครวญหวนไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ชายชราร่างหนาไว้หนวดเครารกครึ้มซึ่งมีศักดิ์เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้าไปหานางแล้วเอ่ย

    "เอสราเป็นหญิงแพศยา แม้นางจะชดใช้บาปไปแล้วด้วยชีวิต แต่เด็กต้องสาปคนนี้ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่นางก่อ"

    "เอสราตายไปแล้ว ครูซก็ไม่ได้ส่งนิมิตอะไรมา ทำไมพวกเจ้าต้องเอาบาซันไปถวายด้วย"

    "แล้วจะปล่อยให้ครูซทรงพิโรธก่อนหรือไง หากพืชผลเสียหายไป ท่านจะรับผิดชอบพวกเราทั้งหมดได้หรือ"

    "แล้วเด็กอย่างบาซันจะทำอะไรได้ นางยังเด็กเพียงแค่นั้น ส่งนางไปครูซอาจจะยิ่งพิโรธ"

    เสียงซุบซิบเงียบลงทันใด หญิงชราดิ้นหลุดจากการเกาะกุม นางพาสังขารอันร่วงโรยไปร่ำไห้อยู่ข้างๆ เด็กหญิง ดวงตาของเด็กน้อยปิดสนิท ผิวขาวซีดที่ยามปกติมักขะมุกขะมอมไปด้วยคราบดินและสะอาดสะอ้านและถูกเขียนไว้ด้วยสีสันสวยงาม ร่างเล็กถูกจับให้นอนบนเสื่อ ไม่มีท่าทางว่าจะรับรู้ถึงพิธีกรรมที่เกิดขึ้น

    "นี่พวกเจ้าถึงกับวางยานางเชียวหรือ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าบาซันไม่มีทางจะขัดขืนพวกเจ้า"

    เมื่อสิบปีที่แล้ว นิมิตแห่งเทพได้ระบุนามเอสรา สร้างความตื่นเต้นยินดีให้กับผู้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างยิ่ง นิมิตครั้งสุดท้ายที่เคยมีก็คือเมื่อห้าสิบหกปีที่แล้ว เป็นหญิงสาวในหมู่บ้านห่างไกลทางทิศตะวันออกของหุบเขาหมอก หลังจากมีการถวายเจ้าสาวไป หมู่บ้านแห่งนั้นก็เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ แคล้วคลาดจากภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งถึงคราวที่หญิงสาวในหมู่บ้านของตนได้รับเลือก ชาวบ้านจึงจัดงานฉลองใหญ่โต

    แต่เอสราหนีไปในคืนนั้น...

    หล่อนหายไปเฉยๆ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ก่อนหน้าที่จะถึงวันถวายแค่วันเดียว ไม่มีใครได้ข่าวคราวของนางอีกเลยจนกระทั่งสามปีต่อมา หญิงสาวก็กลับมาที่หมู่บ้านพร้อมกับบุตรในท้องในสภาพมอมแมมกระเซอะกระเซิง ไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นของต่างแดน ความผิดหวังของชาวบ้านนั้นกลายเป็นความเจ็บแค้น มีเพียงมารดาชราคนเดียวที่ยืนยันว่าจะต้อนรับหล่อน แต่ก็ไม่วายถูกกลั่นแกล้งรังแกอยู่เนืองๆ ไม่มีใครแบ่งปันพืชผลให้ ไม่มีส่วนแบ่งในเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ ทำให้สองแม่ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น

    ไม่ว่ามารดาจะคาดคั้นทั้งขู่ทั้งปลอบอย่างไร หญิงสาวก็ไม่เคยปริปากแม้แต่คำเดียวว่าพ่อของเด็กในท้องคือใคร และวันที่ลูกสาวถือกำเนิด...ก็คือวันที่เอสราหมดลมหายใจ

    ผู้เป็นยายได้ตั้งชื่อให้ว่าบาซัน ซึ่งในภาษาของคนภูเขานั้นหมายถึง เด็กที่เกิดมาจากก้อนหิน ไม่มีบิดามารดา

    เด็กหญิงนามว่าบาซันไม่เคยพูดอะไรแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เกิดมา หล่อนมักจะนั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวไม่สนใจใคร กว่าผู้เป็นยายจะรู้ว่าหล่อนไม่ได้หูหนวกก็เมื่ออายุได้ห้าขวบแล้ว เด็กน้อยว่านอนสอนง่าย เรียนรู้ได้รวดเร็ว ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ บอกอะไรก็รู้เรื่อง เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็พูดตอบไม่ได้เท่านั้น

    "ลูกสาวหน้าตาสะสวยแบบนี้ ท่าทางเอสราจะท้องกับพวกหลอกลวงผู้หญิง"

    ปากคนพูดกันไปเรื่อย ใบหน้าของบาซันเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาที่เป็นสาวงามขึ้นชื่อของหมู่บ้านแบบไม่ผิดเพี้ยน แทบจะไม่มีเค้าหน้าจากทางบิดาเลย นอกจากสีผมที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนต่างกับเส้นผมสีดำสนิทของเอสรา จึงไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าบิดาของบาซันคือใคร

    เด็กน้อยเป็นที่รังเกียจของผู้คนในหมู่บ้าน แม้ความผิดปกติจะทำให้ชาวบ้านเลิกคิดที่จะรังแกสองยายหลาน แต่บางครั้ง เด็กๆ ในหมู่บ้านก็เห็นเป็นของสนุก บาซันเคยถูกทิ้งไว้ในบ่อน้ำสามวันสามคืนโดยไม่มีใครหาพบ เจ้าตัวก็ไม่อาจร้องให้คนช่วย จนกระทั่งเด็กพวกนั้นร้อนใจจนบอกพ่อแม่ของตน หญิงผู้เป็นแม่ของเด็กชายคนนั้นมาบอกนางซิเครมที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครยอมลงไปช่วย

    หญิงชราได้แต่ส่งอาหารลงไปในถัง แล้วหย่อนลงไปให้เด็กน้อยกิน บาซันติดอยู่ในนั้นราวสิบวันฝนก็ตก น้ำในบ่อเอ่อสูงจนนางซิเครมคว้าตัวออกมาได้ นางนึกว่าหลายสาวจะป่วยหนักเจียนตาย แต่บาซันก็ไม่เป็นอะไร นอกจากมีแผลถูกหินบาดและแผลเปื่อยน้ำเล็กน้อย ผู้เป็นยายจึงระลึกได้ว่า ตั้งแต่เกิดมา หลานสาวของตนไม่เคยเจ็บป่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    เมื่อเรื่องที่เด็กหญิงไม่เป็นอะไรเลยแพร่ไปทั้งหมู่บ้าน ข่าวลือใหม่ก็เริ่มแพร่กระจาย

    บาซันอาจจะเป็นลูกสาวของครูซ...เอสราอาจจะถูกเทพเจ้าลักซ่อนเหมือนในพระคัมภีร์

    แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง เอสราย่อมต้องเป็นอมตะ แต่เป็นที่รู้กันว่าหญิงสาวตายไปตอนคลอดลูก ข่าวลือที่ไม่มีมูลจึงเงียบหายไปตามกาลเวลา แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครมากลั่นแกล้งบาซันอีก นางซิเครมจึงโล่งใจไปได้

    แต่จู่ๆ ศาสนจักรก็ออกประกาศเรื่องภัยธรรมชาติที่จะรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

    หุบเขาหมอกขึ้นชื่อเรื่องน้ำป่าและลมพายุรุนแรง ชาวบ้านจึงแตกตื่นขึ้นมาทันที อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพืชผลทั้งหมดก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยว หากถูกพายุทำลายไปหมด หมู่บ้านนี้คงจะล่มสลาย

    หลังจากการประชุมยาวนานโดยมี เมราซ นักบวชประจำหมู่บ้านเป็นแกนนำ บทสรุปที่ออกมาก็คือการถวายเจ้าสาวอีกครั้ง พวกชาวบ้านบอกว่าเพื่อให้ครูซทรงพอพระทัย

    ไม่มีทางที่เด็กเก้าขวบจะเป็นเจ้าสาวที่ใครพอใจได้ ยิ่งครูซแล้ว จะทรงส่งนิมิตไปหาแต่สตรีที่ดีเลิศ นางซิเครมจึงได้รับรู้ว่า จริงๆ แล้วก็คือการขับไล่ 'ตัวซวย' ออกไปจากหมู่บ้าน

    พิธีโบราณถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาวจะได้รับการสวดอวยพรจากนักบวช ได้รับดอกไม้ที่กองสูงจนท่วมร่าง ก่อนที่จะถูกนำไปปล่อยไว้ในวิหารร้างในป่าลึก

    ป่าลึกที่เต็มไปด้วยหมอกพิษจากเห็ดราและสุนัขป่า...ไม่เคยมีเจ้าสาวคนไหนได้กลับออกมาบอกเล่าถึงความเป็นอมตะและความสุขสบายบนสรวงสวรรค์เลยสักครั้งเดียว แม้แต่องค์หญิงสูงศักดิ์นามว่าองค์หญิงกลอเรีย ผู้เป็นพี่สาวของประมุขของศาสนจักรแห่งนิกายครูเซเรีย

    ยิ่งศาสนจักรมีอำนาจล้นฟ้า ยิ่งไม่อาจขัดพระประสงค์แห่งครูซ...เทพเจ้าสูงสุดแห่งนิกายครูเซเรีย

    องค์ชายแลนดีสแห่งอินดราเซียผู้เป็นคนต่างศาสนาทรงพิโรธมากที่พระคู่หมั้นถูกประชาชนในประเทศของตนสังเวยให้แก่เทพเจ้า จนกลายเป็นความเกลียดชังต่อศาสนจักรครูเซน เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงประกาศสงครามกับครูเซน แต่ยังไม่ทันเคลื่อนทัพก็ถูกลอบปลงพระชนม์ หลังจากนั้นไม่นาน อินดราเซียก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของศาสนจักรครูเซน เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วแผ่นดินว่า อินดราเซียต้องย่อยยับไปเพราะกษัตริย์แลนดีสต่อต้านพระประสงค์ของครูซ

    หมู่บ้านที่อยู่ในป่าลึกเช่นนี้ ได้รับผลกระทบจากสงครามเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่ชาวบ้านหวาดกลัวยิ่งกว่าสงครามก็คือภัยธรรมชาติที่ไม่อาจต้านทานได้ ลึกๆ ในใจของชาวบ้านทุกคนล้วนมีความหวาดกลัวเรื่องที่เอสราขัดพระประสงค์ของครูซอยู่แล้ว หากมีอะไรที่พอจะช่วยให้ความกลัวลดน้อยลง พวกเขาก็ทำไม่เลือก

    หญิงชรายังคงร่ำไห้ มือก็เขย่าร่างหลานสาว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่รู้สึกตัว

    "ท่านจะกังวลไปใยซิเครม เจ้าสาวของครูซจะได้รับวิญญาณอมตะ เสพสุขอยู่ในแดนสวรรค์ชั่วนิรันดร์"

    "หากเจ้าเชื่อเช่นนั้น ทำไมไม่เอาลูกสาวตัวเองถวายเสียล่ะ อูล"

    คำโต้ตอบของหญิงชราทำให้หัวหน้าหมู่บ้านนามอูลนิ่งขึงไป ยายเฒ่าซิเครมจึงรีบเอ่ยต่อ

    "พวกราชวงศ์ก็ถวายองค์หญิงกลอเรียไปแล้ว พวกเจ้ายังจะถวายอะไรอีก"

    นักบวชผู้หยุดบริกรรมคาถาเดินเข้ามาแทรก ศีรษะผอมซูบที่ไร้เส้นผมและดวงตาแห้งผากทำให้เขาดูเหมือนคนตายมากกว่านักบวช

    "แม้ครูซจะได้รับองค์หญิงกลอเรียเป็นการขอขมา แต่ความจริงที่ว่าหมู่บ้านเราละเลยพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง"

    ผู้คนส่งเสียงครางฮืออย่างหวาดหวั่น ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหุบเขาหมอกกลัวกันนักหนา

    "แล้วที่ครูซทรงประสงค์องค์หญิงกลอเรียแทนที่สามัญชนอย่างเอสรา แสดงว่าทรงพิโรธหนักแล้ว จึงได้ทรงกลั่นแกล้งพรากองค์หญิงไปจากพระคู่หมั้น นี่ถ้าหากทางศาสนจักรรู้ว่าครูซส่งนิมิตไปยังองค์หญิงกลอเรียเพราะเอสราหนีไป พวกเราทั้งหมู่บ้านจะต้องเคราะห์ร้ายแน่ๆ"

    สิ้นคำของนักบวชเมราซ สายตาทิ่มแทงอย่างตำหนิติเตียนจากคนทั้งหมู่บ้านก็ส่งมาที่หญิงชรา ราวกับเป็นความผิดที่นางต้องน้อมรับ ยาเฒ่าซิเครมได้แต่สะอื้นอยู่บนพื้นโดยไม่อาจโต้เถียง

    "แล้วท่านก็บอกเองว่าที่เด็กคนนี้ไม่ตายตอนคลอด ก็เพราะพระประสงค์ของครูซไม่ใช่หรือไง"

    นางซิเครมก้มหน้านิ่ง นางพูดแบบนั้นก็เพื่อให้คนในหมู่บ้านไว้ชีวิตบาซันเท่านั้นเอง ใจจริงของนางยังกังขา

    ครูซมีจริงหรือ...

    คัมภีร์ของศาสนจักรบอกว่า ครูซ...บิดาแห่งพื้นพิภพ มีร่างจำแลงเป็นสุนัขป่า สามารถบันดาลให้ทุกสิ่งในธรรมชาติเป็นไปตามพระประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสายลม แสงแดด ดิน และน้ำ ทุกชีวิตล้วนอยู่ภายใต้พระเมตตาของครูซทั้งนั้น หากครูซประสงค์ พระอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันตกได้

                    ชั่วชีวิตของนางซิเครม ไม่เคยพบปาฏิหาริย์เลยสักครั้ง นางจึงกราบไหว้บูชาครูซเพราะบรรพบุรุษเคยทำเท่านั้นเอง จนกระทั่งนิมิตปรากฏแก่เอสรา

    'นิมิต' นั้นเห็นได้ชัดเจนจนไม่ต้องป่าวประกาศ ร่างของหญิงสาวถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีทองเรืองรอง ยามก้าวเดินเหมือนเท้าไม่ติดพื้น เช่นเดียวกับที่ได้ยินว่าเกิดขึ้นกับสตรีในพระคัมภีร์ และต่อมาก็เกิดกับองค์หญิงกลอเรีย

    นางไม่เคยรู้เลยว่าเอสรามีคนรักแล้ว บุตรีของนางเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส ไม่มีความลับอะไร เพิ่งจะมาเงียบขรึมลงเมื่อมีนิมิตปรากฏ ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ได้บอกอะไรนางแม้แต่คำเดียว

    บทสวดอวยพรดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งเรไรในป่า ผู้คนเริ่มเดินเวียนรอบเจ้าสาว ช่อดอกไม้กองสูงขึ้นๆ จนท่วมร่างของเด็กน้อย

    หญิงชราได้แต่ร่ำไห้ ร่างของนางถูกคนหลายคนช่วยกันจับยึดไว้ นางได้แต่มองดูเฉยๆ และกรีดร้อง เมื่อร่างเล็กของหลานสาววัยเก้าขวบถูกหามขึ้นบนแคร่ แล้วถูกหามหายลับเข้าไปในป่าลึก ท่ามกลางความมืดและเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า

    แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามเดือน เด็กหญิงก็เดินกลับมาเองในสภาพสกปรกมอมแมม ในมือหิ้วกระต่ายป่าที่ไร้ชีวิตมาด้วย ชาวบ้านที่มาพบต่างหน้าซีดเหมือนถูกผีหลอก นางซิเครมที่เจ็บป่วยด้วยความตรอมใจดีใจจนลุกจากเตียงได้

    หลังจากนั้น เด็กหญิงที่ดูเหมือนคนไม่ปกติก็สามารถเข้าไปล่าสัตว์ในป่าเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายในหมู่บ้าน สามารถปลูกพืชผักโดยที่ผู้เป็นยายไม่ต้องคอยบอกทีละขั้นตอน

    ชาวบ้านบางคนก็บอกว่า...บาซันดูเหมือนมนุษย์มากขึ้น

    คำกล่าวในทางที่ดีนั้นทำให้นางซิเครมไม่กล้าบอกใคร ว่าทุกๆ ปี หลานของนางจะหายตัวไปในฤดูฝน เป็นเวลาราวสามเดือน ไม่ว่าจะซักถามอย่างไรก็ไม่ยอมบอกว่าไปไหนมา ราวกับจำไม่ได้เสียอย่างนั้น หญิงชราเคยพยายามเดินตามไป แต่เด็กสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างคล่องแคล่วว่องไวราวกับติดปีกจนนางตามไม่ทัน สุดท้ายก็คลาดกันในป่าลึก นางไม่กล้าตามรอยต่อไป เพราะอีกไม่นานก็จะถึงบริเวณที่เต็มไปด้วยหมอกพิษของหุบเขาหมอก

    ไม่มีใครเคยเข้าไปลึกกว่านั้นแล้วกลับออกมาได้ นอกจากหลานของนาง

    ห้าปีผ่านไป เด็กหญิงเติบโตจนกลายเป็นสาวน้อย แต่บาซันก็ยังไม่พูดกับใคร และยังคงหายตัวไปเมื่อสายลมพัดพาเอาเมฆฝนเข้ามาปกคลุมหุบเขาหมอก

    จนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูหนาว เด็กสาวกลับมาจากการหาของป่า ในมือถือนกมาด้วยสองสามตัว นางซิเครมพิจารณาดูแล้วคิดได้ว่า การจับนกดูเหลือเชื่อสำหรับเด็กผู้หญิงที่มีเพียงมีดเล่มเดียวเป็นอาวุธ จึงเอ่ยถามออกไปโดยไม่ทันคิดว่าหลานสาวไม่อาจตอบ

    "บาซัน เจ้าล่านกได้ยังไง"

    แล้วเด็กหญิงที่ไม่เคยพูดเลยแม้แต่คำเดียวก็เอ่ยปาก

    "ปกติ...จับเอง แต่พวกนี้ ครูซ...ยกให้"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×