ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ห้วงแห่งความคิดคำนึง
“นั่นน่ะเหรออาคมที่คาโลโดน”  คิลเอ่ยขึ้นในที่สุด
   
ก่อนหน้านี้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  ขณะที่โรแผ่คลื่นพลังสีดำไปยังอักขระตัวนั้น  อาการทรมานของคาโลค่อยๆสงบลงก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติแล้วก็หมดสติไป
“ใช่” โรตอบสั้นๆ พลางมองคนที่นอนอยู่บนเตียงแทนเฟริน ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผู้ชายเรียบร้อยและกำลังกินอาหารด้วยการบังคับของคิล
“อักษรสีดำๆที่เห็นนั่นคือตัวอักขระเวทมนต์ของเอล์ฟดำ เกิดจากการสัมผัสกับผลึกอาคมโดยตรง” โรอธิบาย
“ดูเหมือนว่าเฟรินจะไปทำให้มันกำเริบ” นักฆ่าหนุ่มออกความเห็น 
   
หญิงสาวนั่งฟังตาปริบๆ  แม้เจ้าตัวจะดูตกใจกับความจริงที่รับรู้  แต่ก็กินอาหารได้มากกว่าทุกวันที่ผ่านมา  จนทำให้คิลอมยิ้ม  พอเฟรินเห็นสีหน้ายิ้มๆของเพื่อนซี้ก็รู้ทันหน้าแดงวูบขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มดีไป”
พอได้ยินเสียงเขินๆของเพื่อนสาว  นักฆ่าแห่งซาเรสก็แย้มรอยยิ้มกว้าง
“ยาของแกต้องเป็นมันจริงๆ”
“แกเงียบไปเลย”  เฟรินแยกเขี้ยว  ในใจแอบซาบซึ้งที่เพื่อนซี้แสดงความเป็นห่วงเป็นใย  ก่อนที่จะหันหน้าไปทางขอทานแห่งทริสทอร์  “นายแก้มันได้มั้ยโร”
“ไม่รู้สิ  ฉันยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร”
   
“แล้วเมื่อกี้ทำไมนายรักษาได้”
“ฉันไม่ได้รักษา ฉันแค่ถ่ายทอดคลื่นพลังที่เป็นแบบตรงกันข้ามเข้าไปเพื่อให้อาคมมันเป็นกลางเท่านั้นเอง”
   
“หมายความว่ายังไง”  นักฆ่าซัก
“อาคมนี้เป็นของพวกเอล์ฟดำซึ่งออกฤทธิ์ด้วยพลังปีศาจ ฉันเลยร่ายพลังเวทย์แบบเอเดนใส่คาโล”
“นี่นายรู้หรือนายมั่วเนี่ย” เสียงเฟรินชักจะกรุ่น
“มั่ว  ใครจะไปรู้ว่ามันจะสะเทินกันได้พอดี”
“แก  ไอ้โร  ถ้ามันอาการหนักขึ้นนายจะว่าไง  ที่มันลืมฉันนี่ยังไม่พอเรอะ”
“ล้อเล่นน่า  ฉันเคยรักษาอาคมของเอล์ฟดำมาก่อน  ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วไง  ”  ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเขียวค่อยๆยกชาขึ้นจิบ  เรียกความหมั่นไส้ให้คนตาสีม่วงไม่น้อย
“แปลว่ามันจะจำฉันได้”  ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างยินดี
“ไม่  อาคมยังไม่ถูกแก้  ฉันแค่สะกดอาการกำเริบเฉยๆ  ต้องให้อักขระนั่นลบออกไปอาถรรพ์ถึงจะหายไปโดยสมบูรณ์”
“งั้นเราจะทำไงดี”  คิลว่าแล้วก็นั่งลงบนเตียงแหงนหน้ามองเพดาน
“กลับไปถามไอ้โกโดมดีกว่า  มันว่ามันเป็นพ่อมดนี่”
“อืม  เจ้าเอวิเดสน่าจะรู้อะไรๆมากกว่าพวกเรา”  นักฆ่าหนุ่มเห็นด้วย  แต่สายตาโรกลับมีประกายแปลกๆ  ซึ่งก็ไม่รอดพ้นจากสายตาคมกริบของคิลไปได้
“ลองไปถามคนแคระพวกนี้ดูก่อน  พวกนั้นอยู่ใกล้ๆป่าหลงลืมอาจจะเคยเจอเรื่องแบบนี้”
“หรือพวกนายแวะมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้”  คิ้วเข้มเลิกสูง  ดวงตาสีม่วงจ้องหน้าคนผมสีชาซึ่งยิ้มน้อยๆแทนคำตอบ
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ”  เฟรินรีบลุก  แต่แล้วก็หน้ามืดต้องทรุดตัวลงนั่งตามเดิม
“นายรออยู่ที่นี่แหละ  อาการนายหนักกว่าหมอนั่นเยอะ  ขืนเอาไปด้วยก็มากเรื่องเปล่าๆ”  คิลผลักร่างหญิงสาวลงไปนอนบนเตียงเบาๆ  “นอนพักไปเถอะ”
“พวกแก”
“ไม่ต้องซ่ามาก เรื่องนี้พวกฉันจัดการเองได้ อ้อ แล้วอย่าทำอะไรไอ้คาโลมันล่ะ เดี๋ยวอาการมันกำเริบ”
   
“ไอ้บ้า ฉันป่วยๆอย่างงี้จะไปทำอะไรมันได้” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ใจก็พาลนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่ม
“ใครจะไปรู้” คิลยักไหล่ “ก็ภาพมันฟ้องอยู่กะตา ขนาดหมอนั่นมันจำนายไม่ได้ฉันออกไปแป๊บเดียวดันลงไปนัวเนียกันที่พื้นได้ไงก็ไม่รู้”
“พวกแกรีบๆออกไปเลย” คราวนี้เลือดสูบฉีดจนความร้อนเริ่มพุ่งออกทางหู มือบางคว้าหมอนเตรียมจะขว้างใส่หน้าเพื่อนแต่ก็ไม่มีแรง ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ราตรีสวัสดิ์เฟริน”
สองหนุ่มพากันก้าวออกจากห้องไปโดยเปิดไฟทิ้งเอาไว้ทั้งๆที่ไล่เธอไปนอน  แสดงว่าไม่ไว้ใจสถานการณ์ตรงหน้า
ถ้ากลัวนักทำไมต้องเอามันมานอนห้องนี้ด้วย  เดี๋ยวมันเกิดตื่นขึ้นมาต่อจากเมื่อกี้จะทำยังไง
สองคนนั่นคงคิดว่าระหว่างเธอกับมันเลยเถิดกันไปถึงไหนแล้ว 
เจ้าพวกนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลย  เธอเองพอคบกันแบบชายหญิงแล้วถึงได้รู้ว่าเจ้าชายมาดมากนั่นเป็นสุภาพบุรุษพอตัว  จะทำอะไรก็เบามือ  ถนอมเธอยังกะไข่ในหิน  ไม่เคยทำอะไรบุ่มบ่ามให้เธอต้องกลัวมัน  เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เธอรู้สึกว่ามันช่างสมกับเป็นเจ้าชายมาดนิ่งผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี  ตรงข้ามกับเธอตอนเป็นผู้ชายลิบลับ
อย่าให้มีโอกาส  พ่อฟาดเรียบ
คิดแล้วเจ้าตัวดีก็หัวเราะหึๆ
บรรยากาศคึกครื้นที่ห่างหายไปนานทำให้เฟรินรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจ
อะไรบางอย่างที่อบอุ่นและอ่อนโยน
อะไรบางอย่างที่เคยแห้งผากไปพร้อมกับการจากไปของใครบางคน
หญิงสาวนั่งมองร่างที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงข้างๆอย่างเงียบๆ หล่อนยกมือลูบต้นแขนทั้งสองข้างที่เริ่มจะเจ็บๆแล้วก็เลิกแขนเสื้อขึ้นมาดู
   
รอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆแสดงถึงการถูกบีบอย่างแรงปรากฏอยู่บนผิวขาวเนียน  เฟรินเหยียดยิ้มน้อยๆ
ไม่ออมมือเลยนะแก
   
ตั้งแต่เลิกเป็นผู้ชาย  มันก็ไม่เคยเล่นแรงๆกับเธออีกเลย
ตอนนั้นความจริงหล่อนเจ็บเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  แต่เหมือนสมองไม่รับรู้  ทั้งความโกรธ  ความเศร้า  ความน้อยใจมันถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันจนหล่อนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น  มีแต่ภาพของคนตรงหน้าที่ทำให้หล่อนเคลื่อนไหวไปตามความรู้สึก
มือเล็กแหวกคอเสื้อก้มลงมองผลงานของอดีตคนรัก  ใบหน้าขาวแดงก่ำ  เธอไม่เคยถูกมันล่วงเกินถึงขนาดนี้มาก่อน  ความคิดในใจทำให้หล่อนต้องกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ
ที่ผ่านมาความรักของเขาและเธอถูกบ่มเพาะอย่างนุ่มนวล  ไม่เคยรู้ว่ามันจะมีด้านที่ร้อนแรงแบบนี้  สัมผัสอันเต็มไปด้วยความกระหายอย่างที่ไม่เคยถูกใครสัมผัสทำให้หล่อนร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง  ความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักพาให้สติสัมปชัญญะกระเจิดกระเจิง 
ถ้าไม่มีใครเข้ามาคงจะหยุดไม่อยู่  ในเมื่อหล่อนไม่สามารถขัดขืนได้อย่างที่ใจคิด 
สองแขนขยับโอบร่างตนเพื่อขับไล่ความหวั่นไหวในใจ  นึกเกลียดความใจร้อนของตัวเอง
เพราะแรงโกรธที่ทำให้หล่อนมองไม่เห็นความจริงที่ปรากฏอยู่ชัดๆ
เพราะหล่อนคิดถึงเขาจนพ่ายแพ้ต่อสัมผัสเพียงผิวเผิน
เพราะหล่อนโหยหาคนตรงหน้าจนควบคุมหัวใจตัวเองไว้ไม่ได้
แขนเรียวกอดร่างที่สั่นเทาของตัวเองแน่นเข้า  เรื่องเมื่อครู่ราวกับฝันร้าย  หล่อนเกือบทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
หากเกิดเรื่องที่ผิดพลาดขึ้นแล้วหล่อนมารู้ทีหลังว่าเขาจำหล่อนไม่ได้ 
หากมารู้ทีหลังว่าเป็นเพียงสัญชาติญาณของหญิงและชาย
ความเสียใจคงทบร้อยเท่าพันทวี
ร่างบางค่อยๆขยับไปนั่งที่เตียงข้างๆ  มือน้อยลูบเบาๆที่ใบหน้าที่คุ้นเคยราวกับกลัวเขาจะตื่น  ท่ามกลางความเศร้าและความผิดหวัง  ใจจริงแล้วหล่อนแอบมีความหวังอยู่นิดๆเมื่อรู้ว่าคาโลลืมเรื่องทุกอย่างไปหมดสิ้นความรักของเขากับหล่อนจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง 
มันจะไปยากอะไร  ในเมื่อเธอรู้ดีทุกอย่างว่าคนอย่างหมอนี่ชอบกินอะไร  ชอบอ่านอะไร  ชอบฟังอะไร 
รู้แม้กระทั่งว่าเมื่อถูกดวงตาสีน้ำตาลของหล่อนจับจ้องอย่างออดอ้อนเขาจะต้องตามใจเธอทุกอย่าง  รู้แม้กระทั่งว่าเขาชอบหน้าตาแบบนี้ของเธอแค่ไหนจนตกหลุมรักตั้งแต่วินาทีแรกที่พบ  หล่อนไม่กลัวเลยสักนิดที่จะสร้างความรักขึ้นมาใหม่จากศูนย์  คราวนี้หล่อนจะไม่ยอมสูญเสียเขาไปอีก  ขอเพียงมีโอกาส
คิดอะไรโง่ๆแท้ๆ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นราวกับเย้ยหยันตัวเอง
ในเมื่อปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไป  ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาแบบหมอนั่นคงจะทำให้เรื่องกลับไปอีหรอบเดิมอีก
เธอจะโดนทิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
เธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่โง่เขลา  ผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อความรักจนไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่เคยประณามคนอื่นไว้
 
เฟรินพยายามปัดความเศร้าที่รบกวนจิตใจออกไปให้พ้น  อย่างน้อยตอนนี้คนๆนี้ก็อยู่ตรงหน้า 
ตอนนี้มันปลอดภัยดี  เธอควรจะดีใจมากกว่าเสียใจ  อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้
ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาในลำคอ  เฟรินรีบกลับมานอนที่เตียงตัวเองแล้วกระชากผ้าห่มมาปิดบังใบหน้าเปื้อนน้ำตา
เธอต่างหากที่หายไปจากโลกของมัน
   
ก่อนหน้านี้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  ขณะที่โรแผ่คลื่นพลังสีดำไปยังอักขระตัวนั้น  อาการทรมานของคาโลค่อยๆสงบลงก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติแล้วก็หมดสติไป
“ใช่” โรตอบสั้นๆ พลางมองคนที่นอนอยู่บนเตียงแทนเฟริน ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดผู้ชายเรียบร้อยและกำลังกินอาหารด้วยการบังคับของคิล
“อักษรสีดำๆที่เห็นนั่นคือตัวอักขระเวทมนต์ของเอล์ฟดำ เกิดจากการสัมผัสกับผลึกอาคมโดยตรง” โรอธิบาย
“ดูเหมือนว่าเฟรินจะไปทำให้มันกำเริบ” นักฆ่าหนุ่มออกความเห็น 
   
หญิงสาวนั่งฟังตาปริบๆ  แม้เจ้าตัวจะดูตกใจกับความจริงที่รับรู้  แต่ก็กินอาหารได้มากกว่าทุกวันที่ผ่านมา  จนทำให้คิลอมยิ้ม  พอเฟรินเห็นสีหน้ายิ้มๆของเพื่อนซี้ก็รู้ทันหน้าแดงวูบขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มดีไป”
พอได้ยินเสียงเขินๆของเพื่อนสาว  นักฆ่าแห่งซาเรสก็แย้มรอยยิ้มกว้าง
“ยาของแกต้องเป็นมันจริงๆ”
“แกเงียบไปเลย”  เฟรินแยกเขี้ยว  ในใจแอบซาบซึ้งที่เพื่อนซี้แสดงความเป็นห่วงเป็นใย  ก่อนที่จะหันหน้าไปทางขอทานแห่งทริสทอร์  “นายแก้มันได้มั้ยโร”
“ไม่รู้สิ  ฉันยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร”
   
“แล้วเมื่อกี้ทำไมนายรักษาได้”
“ฉันไม่ได้รักษา ฉันแค่ถ่ายทอดคลื่นพลังที่เป็นแบบตรงกันข้ามเข้าไปเพื่อให้อาคมมันเป็นกลางเท่านั้นเอง”
   
“หมายความว่ายังไง”  นักฆ่าซัก
“อาคมนี้เป็นของพวกเอล์ฟดำซึ่งออกฤทธิ์ด้วยพลังปีศาจ ฉันเลยร่ายพลังเวทย์แบบเอเดนใส่คาโล”
“นี่นายรู้หรือนายมั่วเนี่ย” เสียงเฟรินชักจะกรุ่น
“มั่ว  ใครจะไปรู้ว่ามันจะสะเทินกันได้พอดี”
“แก  ไอ้โร  ถ้ามันอาการหนักขึ้นนายจะว่าไง  ที่มันลืมฉันนี่ยังไม่พอเรอะ”
“ล้อเล่นน่า  ฉันเคยรักษาอาคมของเอล์ฟดำมาก่อน  ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วไง  ”  ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเขียวค่อยๆยกชาขึ้นจิบ  เรียกความหมั่นไส้ให้คนตาสีม่วงไม่น้อย
“แปลว่ามันจะจำฉันได้”  ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างยินดี
“ไม่  อาคมยังไม่ถูกแก้  ฉันแค่สะกดอาการกำเริบเฉยๆ  ต้องให้อักขระนั่นลบออกไปอาถรรพ์ถึงจะหายไปโดยสมบูรณ์”
“งั้นเราจะทำไงดี”  คิลว่าแล้วก็นั่งลงบนเตียงแหงนหน้ามองเพดาน
“กลับไปถามไอ้โกโดมดีกว่า  มันว่ามันเป็นพ่อมดนี่”
“อืม  เจ้าเอวิเดสน่าจะรู้อะไรๆมากกว่าพวกเรา”  นักฆ่าหนุ่มเห็นด้วย  แต่สายตาโรกลับมีประกายแปลกๆ  ซึ่งก็ไม่รอดพ้นจากสายตาคมกริบของคิลไปได้
“ลองไปถามคนแคระพวกนี้ดูก่อน  พวกนั้นอยู่ใกล้ๆป่าหลงลืมอาจจะเคยเจอเรื่องแบบนี้”
“หรือพวกนายแวะมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้”  คิ้วเข้มเลิกสูง  ดวงตาสีม่วงจ้องหน้าคนผมสีชาซึ่งยิ้มน้อยๆแทนคำตอบ
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ”  เฟรินรีบลุก  แต่แล้วก็หน้ามืดต้องทรุดตัวลงนั่งตามเดิม
“นายรออยู่ที่นี่แหละ  อาการนายหนักกว่าหมอนั่นเยอะ  ขืนเอาไปด้วยก็มากเรื่องเปล่าๆ”  คิลผลักร่างหญิงสาวลงไปนอนบนเตียงเบาๆ  “นอนพักไปเถอะ”
“พวกแก”
“ไม่ต้องซ่ามาก เรื่องนี้พวกฉันจัดการเองได้ อ้อ แล้วอย่าทำอะไรไอ้คาโลมันล่ะ เดี๋ยวอาการมันกำเริบ”
   
“ไอ้บ้า ฉันป่วยๆอย่างงี้จะไปทำอะไรมันได้” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ใจก็พาลนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่ม
“ใครจะไปรู้” คิลยักไหล่ “ก็ภาพมันฟ้องอยู่กะตา ขนาดหมอนั่นมันจำนายไม่ได้ฉันออกไปแป๊บเดียวดันลงไปนัวเนียกันที่พื้นได้ไงก็ไม่รู้”
“พวกแกรีบๆออกไปเลย” คราวนี้เลือดสูบฉีดจนความร้อนเริ่มพุ่งออกทางหู มือบางคว้าหมอนเตรียมจะขว้างใส่หน้าเพื่อนแต่ก็ไม่มีแรง ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ราตรีสวัสดิ์เฟริน”
สองหนุ่มพากันก้าวออกจากห้องไปโดยเปิดไฟทิ้งเอาไว้ทั้งๆที่ไล่เธอไปนอน  แสดงว่าไม่ไว้ใจสถานการณ์ตรงหน้า
ถ้ากลัวนักทำไมต้องเอามันมานอนห้องนี้ด้วย  เดี๋ยวมันเกิดตื่นขึ้นมาต่อจากเมื่อกี้จะทำยังไง
สองคนนั่นคงคิดว่าระหว่างเธอกับมันเลยเถิดกันไปถึงไหนแล้ว 
เจ้าพวกนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลย  เธอเองพอคบกันแบบชายหญิงแล้วถึงได้รู้ว่าเจ้าชายมาดมากนั่นเป็นสุภาพบุรุษพอตัว  จะทำอะไรก็เบามือ  ถนอมเธอยังกะไข่ในหิน  ไม่เคยทำอะไรบุ่มบ่ามให้เธอต้องกลัวมัน  เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เธอรู้สึกว่ามันช่างสมกับเป็นเจ้าชายมาดนิ่งผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี  ตรงข้ามกับเธอตอนเป็นผู้ชายลิบลับ
อย่าให้มีโอกาส  พ่อฟาดเรียบ
คิดแล้วเจ้าตัวดีก็หัวเราะหึๆ
บรรยากาศคึกครื้นที่ห่างหายไปนานทำให้เฟรินรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจ
อะไรบางอย่างที่อบอุ่นและอ่อนโยน
อะไรบางอย่างที่เคยแห้งผากไปพร้อมกับการจากไปของใครบางคน
หญิงสาวนั่งมองร่างที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงข้างๆอย่างเงียบๆ หล่อนยกมือลูบต้นแขนทั้งสองข้างที่เริ่มจะเจ็บๆแล้วก็เลิกแขนเสื้อขึ้นมาดู
   
รอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆแสดงถึงการถูกบีบอย่างแรงปรากฏอยู่บนผิวขาวเนียน  เฟรินเหยียดยิ้มน้อยๆ
ไม่ออมมือเลยนะแก
   
ตั้งแต่เลิกเป็นผู้ชาย  มันก็ไม่เคยเล่นแรงๆกับเธออีกเลย
ตอนนั้นความจริงหล่อนเจ็บเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  แต่เหมือนสมองไม่รับรู้  ทั้งความโกรธ  ความเศร้า  ความน้อยใจมันถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันจนหล่อนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น  มีแต่ภาพของคนตรงหน้าที่ทำให้หล่อนเคลื่อนไหวไปตามความรู้สึก
มือเล็กแหวกคอเสื้อก้มลงมองผลงานของอดีตคนรัก  ใบหน้าขาวแดงก่ำ  เธอไม่เคยถูกมันล่วงเกินถึงขนาดนี้มาก่อน  ความคิดในใจทำให้หล่อนต้องกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ
ที่ผ่านมาความรักของเขาและเธอถูกบ่มเพาะอย่างนุ่มนวล  ไม่เคยรู้ว่ามันจะมีด้านที่ร้อนแรงแบบนี้  สัมผัสอันเต็มไปด้วยความกระหายอย่างที่ไม่เคยถูกใครสัมผัสทำให้หล่อนร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง  ความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักพาให้สติสัมปชัญญะกระเจิดกระเจิง 
ถ้าไม่มีใครเข้ามาคงจะหยุดไม่อยู่  ในเมื่อหล่อนไม่สามารถขัดขืนได้อย่างที่ใจคิด 
สองแขนขยับโอบร่างตนเพื่อขับไล่ความหวั่นไหวในใจ  นึกเกลียดความใจร้อนของตัวเอง
เพราะแรงโกรธที่ทำให้หล่อนมองไม่เห็นความจริงที่ปรากฏอยู่ชัดๆ
เพราะหล่อนคิดถึงเขาจนพ่ายแพ้ต่อสัมผัสเพียงผิวเผิน
เพราะหล่อนโหยหาคนตรงหน้าจนควบคุมหัวใจตัวเองไว้ไม่ได้
แขนเรียวกอดร่างที่สั่นเทาของตัวเองแน่นเข้า  เรื่องเมื่อครู่ราวกับฝันร้าย  หล่อนเกือบทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
หากเกิดเรื่องที่ผิดพลาดขึ้นแล้วหล่อนมารู้ทีหลังว่าเขาจำหล่อนไม่ได้ 
หากมารู้ทีหลังว่าเป็นเพียงสัญชาติญาณของหญิงและชาย
ความเสียใจคงทบร้อยเท่าพันทวี
ร่างบางค่อยๆขยับไปนั่งที่เตียงข้างๆ  มือน้อยลูบเบาๆที่ใบหน้าที่คุ้นเคยราวกับกลัวเขาจะตื่น  ท่ามกลางความเศร้าและความผิดหวัง  ใจจริงแล้วหล่อนแอบมีความหวังอยู่นิดๆเมื่อรู้ว่าคาโลลืมเรื่องทุกอย่างไปหมดสิ้นความรักของเขากับหล่อนจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง 
มันจะไปยากอะไร  ในเมื่อเธอรู้ดีทุกอย่างว่าคนอย่างหมอนี่ชอบกินอะไร  ชอบอ่านอะไร  ชอบฟังอะไร 
รู้แม้กระทั่งว่าเมื่อถูกดวงตาสีน้ำตาลของหล่อนจับจ้องอย่างออดอ้อนเขาจะต้องตามใจเธอทุกอย่าง  รู้แม้กระทั่งว่าเขาชอบหน้าตาแบบนี้ของเธอแค่ไหนจนตกหลุมรักตั้งแต่วินาทีแรกที่พบ  หล่อนไม่กลัวเลยสักนิดที่จะสร้างความรักขึ้นมาใหม่จากศูนย์  คราวนี้หล่อนจะไม่ยอมสูญเสียเขาไปอีก  ขอเพียงมีโอกาส
คิดอะไรโง่ๆแท้ๆ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นราวกับเย้ยหยันตัวเอง
ในเมื่อปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไป  ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาแบบหมอนั่นคงจะทำให้เรื่องกลับไปอีหรอบเดิมอีก
เธอจะโดนทิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
เธอจะกลายเป็นผู้หญิงที่โง่เขลา  ผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อความรักจนไม่ลืมหูลืมตาอย่างที่เคยประณามคนอื่นไว้
 
เฟรินพยายามปัดความเศร้าที่รบกวนจิตใจออกไปให้พ้น  อย่างน้อยตอนนี้คนๆนี้ก็อยู่ตรงหน้า 
ตอนนี้มันปลอดภัยดี  เธอควรจะดีใจมากกว่าเสียใจ  อย่างน้อยมันก็ยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้
ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาในลำคอ  เฟรินรีบกลับมานอนที่เตียงตัวเองแล้วกระชากผ้าห่มมาปิดบังใบหน้าเปื้อนน้ำตา
เธอต่างหากที่หายไปจากโลกของมัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น