ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ภาคต้น Night-02
02
อากาศร้อนจนเหงื่อไหลซึม
เฟรินระบายลมหายใจออกช้าๆเผื่อมันจะช่วยขับความร้อนในกายออกไปได้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อดวงตาคู่โตแลเห็นยอดไม้ต้องลมไหวระริก เขาก็คว้ากิ่งที่อยู่ต่ำสุดไว้แล้วเหนี่ยวกายขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว
คืนนี้ก็ร้อนจนยากจะหลับ แต่สาวเจ้ากลับไปนอนแล้ว เหลือเพียงเขาที่ต้องชมจันทร์อยู่เดียวดาย
แสงสีเงินยวงสะท้อนจากผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อพระจันทร์โผล่ออกมาจากหมู่เมฆ รอบกายก็สว่างไสวจนแลเห็นได้ทั่ว
ปลายนิ้วแตะลงที่ริมฝีปาก แล้วไล้เบาๆไปมาด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
จูบที่ชืดชา
ในที่สุด หล่อนก็ไม่ใช่คนที่เขาใฝ่ฝันหา
หัวใจมันสงบเกินไป นิ่งเกินไป
หรือเพราะเขาพิชิตใจหล่อนได้เสียแล้ว เกมนี้จึงน่าเบื่อไปเสียสนิท คงจะได้เวลาแล้วสำหรับความเร่าร้อนใหม่ๆ
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรียกสติให้หลุดจากภวังค์ แต่เขาก็ไม่คิดจะมองลงไปดูว่าเป็นใครเพราะรู้สึกเหนื่อยหน่ายไปเสียหมด
คิดแล้วคิ้วเข้มก็ขมวดอย่างขัดใจ
เพราะนาย คาโล
ไอ้บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่จะเลิกโกรธเลิกงอน ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ เขาเสียสมาธิจีบสาวหมด
รอยเศร้าฉายชัดบนใบหน้าหวาน ดวงหน้าที่เคยร่าเริงอยู่เป็นนิจสลดลงราวกับต้นไม้ขาดน้ำ
ตั้งแต่ทะเลาะกับมัน เขาก็ดูจะหมดสนุกกับชีวิตไปเสียดื้อๆ แม้แต่เรื่องจีบสาวที่โปรดปรานนักหนาก็เริ่มรู้สึกเบื่อ สาวที่อยู่ข้างกายก็เริ่มน่ารำคาญ
ไม่มีมู้ดไปเสียหมด
ไอ้บ้าเอ๊ย นี่เหรอเพื่อน ไอ้เจ้าชายขี้เก๊ก เจ้าคิดเจ้าแค้น ท่ามาก เฮงซวย
ไอ้บ้า
ไอ้บ้า
ไอ้บ้า...
ฉันคิดถึงนาย
ความคิดที่น่าจะลบออกจากใจไปหมดแล้วนั้นทำให้เจ้าตัวตกใจจนลุกพรวดพราด กิ่งไม้ที่รองรับร่างก็ไม่ได้กว้างขวางพอที่จะขยับตัวได้ ร่างเพรียวของหัวขโมยจึงตกลงมาจากยอดไม้สูงทันใด
เมื่อหล่นลงมาได้ราวสิบเมตร แขนข้างหนึ่งก็คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ แต่แรงเหวี่ยงรวมกับน้ำหนักตัวอีกทั้งมุมการจับที่ผิดธรรมชาติทำให้แขนข้างนั้นรับไม่ไหว ไหล่ของเขาหลุดดังกึก ความเจ็บปวดแล่นวาบ มือที่เกาะไว้จึงสิ้นแรง
เจ้าชายแห่งบารามอสได้แต่ปิดตาแน่น ในหัวมีเพียงเสี้ยวหน้าของคนที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น
คาโล วาเนบลี เพราะนายคนเดียว
หรือว่าจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นก่อนตาย
ดี ดีมาก เขาจะหลอกหลอนมันไม่ให้ได้หลับได้นอน มันจะต้องเสียใจ มันจะต้องคิดถึงเขาไปตลอดชีวิต
คอยดู
สิ้นความคิดอาฆาต ร่างทั้งร่างก็กระแทกกับพื้น เสียงดังตุบ
“โอ้ย”
หัวขโมยลุกพรวดพราด
เสียงร้องนั้นไม่ใช่ของเขา นั่นมัน...เสียงผู้หญิง
เขารีบกลั้นใจดึงไหล่ข้างที่หลุดให้เข้าที่ ทันทีที่มองเห็นทุกสิ่งได้ชัด เขาก็รีบถลาเข้าไปประคองร่างที่นอนงอตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น
เขาหล่นลงมาทับหล่อน
เขาทบทวนความรู้สึกในชั่วเสี้ยววินาที
ไม่ใช่ หล่อนรับเขาไว้ต่างหาก
เขากระแทกกับสิ่งที่อ่อนนุ่ม มีเลือดเนื้อ สองแขนเล็กๆนั่นรับร่างเขาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ตัวหล่อนเองก็ทรุดลงกระแทกกับพื้น
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสื้อผ้าของหล่อนรุ่มร่ามใหญ่เกินตัว แต่ก็เห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาตรงสีข้างได้ชัด
“ขอโทษนะ”
เขาดึงเสื้อเธอขึ้นโดยไม่ทันขออนุญาต แล้วดวงตาคู่โตก็ต้องเบิกกว้าง
กิ่งไม้แหลมแทงทะลุช่วงเอวด้านข้างของหล่อน ไม่หนักหนา เพียงยังคาอยู่ที่ส่วนผิวหนัง แต่เลือดค่อยๆซึมออกมาจากแผลอย่างน่ากลัว
เขาอ้าปากจะร้องอุทาน แต่มือเย็นเฉียบที่ชื้นเหงื่อกลับปิดปากเขาเอาไว้
“อย่าเอะอะ” เสียงสั่งปนหอบ
เฟรินพยักหน้า มือข้างนั้นจึงลดตกลงบนพื้น
“ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
“ไม่ต้อง”
“ฉันจะปล่อยเธอไว้แบบนี้ได้ยังไง”
“ต้องเอากิ่งไม้นี่ออก”
“ฉันจะช่วย” เขาคุกเข่าลงในท่าถนัดๆ แล้วเอื้อมมือมาทำท่าจะจับกิ่งไม้นั้น
“ไม่ต้อง!”
หล่อนตวาดพลางปัดมือเขาออกไป เฟรินขมวดคิ้วอย่างขัดใจ แต่พอเห็นใบหน้าที่ถูกเส้นผมปกปิดไว้เปียกเหงื่อจนชุ่มก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันรู้ว่าเธอเจ็บ แต่ถ้าไม่เอาออก เธอจะไปห้องพยาบาลได้ยังไง”
“นายไปหามีดมาตัดมัน ฉันจะเอาออกเอง”
เฟรินมองตามที่หล่อนชี้ กิ่งไม้กิ่งนั้นเป็นต้นเล็กที่แตกหน่อออกมาจากโคนต้น และยังคงติดกับต้นอยู่ เขาจึงรีบเรียกผ่าปฐพีออกมาแล้วฟันลงที่โคนต้น
กิ่งไม้กิ่งนั้นขาดสะบั้นในทันที แต่แรงสะเทือนก็ทำให้หญิงสาวคนนั้นกัดฟันกรอดแล้วหอบหายใจด้วยความเจ็บปวด
“ขอโทษ ฉันออกแรงมากไปหน่อย ฉันกลัวว่าถ้าฟันหลายครั้งเธอจะเจ็บมาก”
“เงียบซะ”
หล่อนจับกิ่งไม้จากด้านหลังลำตัว แล้วดึงออกช้าๆ เลือดทะลักออกมาจากปากแผลไหลลงบนพื้นหญ้า
มือของหล่อนมีแสงสว่างวาบ แล้วเลือดก็ค่อยๆหยุดไหล
หล่อนใช้เวทรักษาได้ และอยู่ในระดับที่เก่งเอาการ
เขาได้แต่ตะลึงมองหล่อนจัดการตัวเองโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไร ดูเหมือนหล่อนจะไม่ตกใจกับบาดแผลอันน่ากลัวนี้เลย แถมยังอดทนกับความเจ็บปวดได้อย่างน่าอัศจรรย์
“มีผ้าหรือเปล่า”
เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นถาม เขาก็หลุดจากภวังค์ รีบกุลีกุจอหาอะไรให้หล่อนพันแผล จนในที่สุดก็ได้เสื้อของตัวเองเพราะไม่มีอย่างอื่นที่พอจะใช้ได้
“ไม่สกปรกนะ ฉันเพิ่งอาบน้ำมาเมื่อตอนหัวค่ำ”
หล่อนรับไปพันที่เอวโดยไม่พูดอะไร เมื่อพันเสร็จ ก็ทำท่าจะลุกเดินไปทางอื่นดื้อๆ
“เดี๋ยว”
หล่อนเดินไปช้าๆโดยไม่หยุดรอ ดูมั่นคงกว่าที่เขาคิด ราวกลับแผลนั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย
เขาวิ่งตามไปจับแขนหล่อนไว้ หล่อนหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับมามองเขา
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอเลย เธอช่วยชีวิตฉัน”
“ไม่จำเป็น ต่อให้ไม่มีฉัน นายก็ไม่ตาย”
เสียงนั้นเขาไม่เคยได้ยินแน่นอน แต่สำเนียงการพูดฟังคุ้นหูอย่างประหลาด
“งั้นก็ขอโทษ มันคงจะเป็นแผลเป็นแน่” เขาพูดพลางส่งยิ้มให้ “ฉันเสียใจจริงๆนะที่ความไม่ระวังของฉันทำให้ร่างกายผู้หญิงต้องมีบาดแผล”
หล่อนเหลือบมองเขานิดหนึ่ง เพียงเสี้ยวหน้าที่เห็นใต้แสงจันทร์ เขาก็เพิ่งสังเกตว่าเธอมีผิวที่ขาวมาก แต่หล่อนก้มหน้าอยู่ เขาจึงไม่อาจเห็นดวงตาของหล่อน เส้นผมสีเทาเข้มเหลือบเงินยาวสยายคลุมสะโพกสะท้อนแสงจันทร์อยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่มาก เขาจึงรับรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สูงมาก สูงพอๆกับเขา
“เรียนชั้นปีไหนหรือ หรือว่าไม่ใช่คนป้อมอัศวิน ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเธอเลย”
ยังไม่ทันที่เขาจะพิจารณาเสี้ยวหน้านั้นให้ชัดๆ หล่อนก็หันไปทางอื่นพลางสะบัดมือเขาออก แล้วเดินหนีไปดื้อๆ
“คงจะเป็นนักเรียนป้อมอื่นสินะ เธอเข้ามาในสวนนี่ทำไม อย่าบอกนะว่ามาทำอะไรลับๆล่อๆ”
ไม่รู้เพราะเขาอยากตอบแทนเธอจริงๆหรือว่าเพราะโดนเมินกันแน่ เขาจึงรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยเธอไปแบบนี้ เขาจึงพยายามเดินตามกระเซ้าเย้าแหย่เธอ พูดทุกอย่างที่นึกขึ้นได้
“เอ...สำเนียงเธอเหมือนเพื่อนฉัน คาโนวาลใช่ไหม”
หล่อนชะงักไปชั่วครู่ แล้วก็เดินต่อ เขาจึงรีบเดินไปข้างๆ
“ถูกใช่ไหม อาการแบบนี้แสดงว่าถูกแน่ๆ งั้นฉันทายต่อนะ ”
“เฟริน เดอเบอโรว์!”
หล่อนหันมาทางเขาอย่างรวดเร็วจนเส้นผมสลวยพลิ้วกระจาย ที่นี่ไร้เงาไม้บดบังแสงจันทร์จึงมองเห็นใบหน้าหล่อนได้ชัด ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
หล่อนเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าคมสวยไร้ที่ติราวกับงานศิลปะของทวยเทพ ดวงตาสีอ่อนลึกล้ำราวกับจักรวาล เรียวปากบางเฉียบกับจมูกสวยคมได้รูป และเวลานี้ กลีบปากงามนั้นกำลังขยับพูดกับเขา
“อย่าเดาอะไรให้มั่วซั่ว พรุ่งนี้รออยู่ที่นี่ ฉันจะมา”
แต่คำพูดคำจานี่แทบจะพอๆกับเขาตอนเป็นผู้หญิง แม้จะแย่ไปคนละแนว
เขาหยาบคายสัปดน แต่หล่อนเย็นชามะนาวไม่มีน้ำ
“ครับๆ”
เขายกมือยอมแพ้ให้กับดวงตาที่ดูเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งคู่นั้น แล้วทันใดนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดก็แล่นจู่โจมสามัญสำนึกจนกระสับกระส่าย
“เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม”
“ไม่”
“เธอคล้ายเพื่อนฉันมาก คาโล วาเนบลี เดอะ ปริ้นซ์ ออฟ คาโนวาล เธอรู้จักหรือเปล่า”
หล่อนไม่ตอบเขา ร่างนั้นหันไปทางอื่นแล้ววิ่งจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
ลึกลับเหลือเกินนะ
เฟรินยิ้มกับตัวเอง
คืนนั้นยังคงร้อน และเฟรินก็ยิ่งรู้สึกร้อนหนัก เมื่อดวงตาเย็นชาคู่สวยได้จุดไฟบางอย่างในหัวใจเขา เพียงพบกันครั้งแรก หล่อนก็แผดเผาเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้
และความงามที่ราวกับเทพธิดาแห่งเหมันต์
ทันทีที่แสงสว่างยามเช้าแตะต้องร่าง เขาก็ต้องจิกนิ้วลงบนเตียงแน่นอย่างเจ็บปวดจนข้อขึ้นขาว
ร้อนผ่าวไปทุกขุมขนดั่งเลือดในกายกลายเป็นน้ำเดือด ร่างทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากสั่นระริก
ทันทีที่การเปลี่ยนแปลงสิ้นสุด เขาก็ถอนหายใจแล้วพลิกกายขึ้น เขาหอบแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย ผ้าที่พันแผลไว้ดูจะแน่นเกินไปเมื่ออยู่ในร่างผู้ชาย เขาจึงแกะมันออก
เสียงไขกุญแจดังกริ๊ก ทำให้เขารีบดึงเสื้อลงแล้วลุกพรวดขึ้นจากเตียง
“เพิ่งตื่นเหรอ สายกว่าทุกวันนะ” คิลทักพลางรื้อชุดนักเรียนออกมาจากตู้
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” เขาเอามือลูบหน้าแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
“นั่นสิ ร้อนอย่างกับไฟ ห้องโน้นก็หลับไม่ค่อยลงเหมือนกัน”
“เฟรินนอนที่ไหน”
“ห้องเจคนั่นแหละ มันเข้ามาตอนดึกๆ บอกว่าไปเจอนางไม้สุดสวยมาเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ใหญ่ว่ารู้จักไหม”
“งั้นหรือ” เขาตอบพลางหันไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
“เมื่อไหร่นายจะดีกับมันซะที ฉันอึดอัด ห้องโน้นผู้ชายนอนกันห้าคน ทั้งร้อนทั้งเบียด เสียงกรนก็อย่างกับโรงฆ่าสัตว์ นรกชัดๆ” คิลยืนพิงประตูห้องน้ำไปพลาง ดวงตาสีม่วงก็จับจ้องมาที่เขา “เป็นอะไรหรือเปล่า นายดูเหนื่อยมาก”
“ก็แค่นอนไม่พอ”
เขาตัดสินใจไม่บอกคิลเรื่องแผล เขาไม่ควรจะทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้แม้แต่อย่างเดียว เมื่อวานก็ผิดแผนไปมาก
“นายไปอาบน้ำซะ สายแล้ว”
คิลพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
อากาศร้อนจนเหงื่อไหลซึม
เฟรินระบายลมหายใจออกช้าๆเผื่อมันจะช่วยขับความร้อนในกายออกไปได้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อดวงตาคู่โตแลเห็นยอดไม้ต้องลมไหวระริก เขาก็คว้ากิ่งที่อยู่ต่ำสุดไว้แล้วเหนี่ยวกายขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว
คืนนี้ก็ร้อนจนยากจะหลับ แต่สาวเจ้ากลับไปนอนแล้ว เหลือเพียงเขาที่ต้องชมจันทร์อยู่เดียวดาย
แสงสีเงินยวงสะท้อนจากผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อพระจันทร์โผล่ออกมาจากหมู่เมฆ รอบกายก็สว่างไสวจนแลเห็นได้ทั่ว
ปลายนิ้วแตะลงที่ริมฝีปาก แล้วไล้เบาๆไปมาด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
จูบที่ชืดชา
ในที่สุด หล่อนก็ไม่ใช่คนที่เขาใฝ่ฝันหา
หัวใจมันสงบเกินไป นิ่งเกินไป
หรือเพราะเขาพิชิตใจหล่อนได้เสียแล้ว เกมนี้จึงน่าเบื่อไปเสียสนิท คงจะได้เวลาแล้วสำหรับความเร่าร้อนใหม่ๆ
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรียกสติให้หลุดจากภวังค์ แต่เขาก็ไม่คิดจะมองลงไปดูว่าเป็นใครเพราะรู้สึกเหนื่อยหน่ายไปเสียหมด
คิดแล้วคิ้วเข้มก็ขมวดอย่างขัดใจ
เพราะนาย คาโล
ไอ้บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่จะเลิกโกรธเลิกงอน ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ เขาเสียสมาธิจีบสาวหมด
รอยเศร้าฉายชัดบนใบหน้าหวาน ดวงหน้าที่เคยร่าเริงอยู่เป็นนิจสลดลงราวกับต้นไม้ขาดน้ำ
ตั้งแต่ทะเลาะกับมัน เขาก็ดูจะหมดสนุกกับชีวิตไปเสียดื้อๆ แม้แต่เรื่องจีบสาวที่โปรดปรานนักหนาก็เริ่มรู้สึกเบื่อ สาวที่อยู่ข้างกายก็เริ่มน่ารำคาญ
ไม่มีมู้ดไปเสียหมด
ไอ้บ้าเอ๊ย นี่เหรอเพื่อน ไอ้เจ้าชายขี้เก๊ก เจ้าคิดเจ้าแค้น ท่ามาก เฮงซวย
ไอ้บ้า
ไอ้บ้า
ไอ้บ้า...
ฉันคิดถึงนาย
ความคิดที่น่าจะลบออกจากใจไปหมดแล้วนั้นทำให้เจ้าตัวตกใจจนลุกพรวดพราด กิ่งไม้ที่รองรับร่างก็ไม่ได้กว้างขวางพอที่จะขยับตัวได้ ร่างเพรียวของหัวขโมยจึงตกลงมาจากยอดไม้สูงทันใด
เมื่อหล่นลงมาได้ราวสิบเมตร แขนข้างหนึ่งก็คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ แต่แรงเหวี่ยงรวมกับน้ำหนักตัวอีกทั้งมุมการจับที่ผิดธรรมชาติทำให้แขนข้างนั้นรับไม่ไหว ไหล่ของเขาหลุดดังกึก ความเจ็บปวดแล่นวาบ มือที่เกาะไว้จึงสิ้นแรง
เจ้าชายแห่งบารามอสได้แต่ปิดตาแน่น ในหัวมีเพียงเสี้ยวหน้าของคนที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น
คาโล วาเนบลี เพราะนายคนเดียว
หรือว่าจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นก่อนตาย
ดี ดีมาก เขาจะหลอกหลอนมันไม่ให้ได้หลับได้นอน มันจะต้องเสียใจ มันจะต้องคิดถึงเขาไปตลอดชีวิต
คอยดู
สิ้นความคิดอาฆาต ร่างทั้งร่างก็กระแทกกับพื้น เสียงดังตุบ
“โอ้ย”
หัวขโมยลุกพรวดพราด
เสียงร้องนั้นไม่ใช่ของเขา นั่นมัน...เสียงผู้หญิง
เขารีบกลั้นใจดึงไหล่ข้างที่หลุดให้เข้าที่ ทันทีที่มองเห็นทุกสิ่งได้ชัด เขาก็รีบถลาเข้าไปประคองร่างที่นอนงอตัวด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น
เขาหล่นลงมาทับหล่อน
เขาทบทวนความรู้สึกในชั่วเสี้ยววินาที
ไม่ใช่ หล่อนรับเขาไว้ต่างหาก
เขากระแทกกับสิ่งที่อ่อนนุ่ม มีเลือดเนื้อ สองแขนเล็กๆนั่นรับร่างเขาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ตัวหล่อนเองก็ทรุดลงกระแทกกับพื้น
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสื้อผ้าของหล่อนรุ่มร่ามใหญ่เกินตัว แต่ก็เห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาตรงสีข้างได้ชัด
“ขอโทษนะ”
เขาดึงเสื้อเธอขึ้นโดยไม่ทันขออนุญาต แล้วดวงตาคู่โตก็ต้องเบิกกว้าง
กิ่งไม้แหลมแทงทะลุช่วงเอวด้านข้างของหล่อน ไม่หนักหนา เพียงยังคาอยู่ที่ส่วนผิวหนัง แต่เลือดค่อยๆซึมออกมาจากแผลอย่างน่ากลัว
เขาอ้าปากจะร้องอุทาน แต่มือเย็นเฉียบที่ชื้นเหงื่อกลับปิดปากเขาเอาไว้
“อย่าเอะอะ” เสียงสั่งปนหอบ
เฟรินพยักหน้า มือข้างนั้นจึงลดตกลงบนพื้น
“ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
“ไม่ต้อง”
“ฉันจะปล่อยเธอไว้แบบนี้ได้ยังไง”
“ต้องเอากิ่งไม้นี่ออก”
“ฉันจะช่วย” เขาคุกเข่าลงในท่าถนัดๆ แล้วเอื้อมมือมาทำท่าจะจับกิ่งไม้นั้น
“ไม่ต้อง!”
หล่อนตวาดพลางปัดมือเขาออกไป เฟรินขมวดคิ้วอย่างขัดใจ แต่พอเห็นใบหน้าที่ถูกเส้นผมปกปิดไว้เปียกเหงื่อจนชุ่มก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันรู้ว่าเธอเจ็บ แต่ถ้าไม่เอาออก เธอจะไปห้องพยาบาลได้ยังไง”
“นายไปหามีดมาตัดมัน ฉันจะเอาออกเอง”
เฟรินมองตามที่หล่อนชี้ กิ่งไม้กิ่งนั้นเป็นต้นเล็กที่แตกหน่อออกมาจากโคนต้น และยังคงติดกับต้นอยู่ เขาจึงรีบเรียกผ่าปฐพีออกมาแล้วฟันลงที่โคนต้น
กิ่งไม้กิ่งนั้นขาดสะบั้นในทันที แต่แรงสะเทือนก็ทำให้หญิงสาวคนนั้นกัดฟันกรอดแล้วหอบหายใจด้วยความเจ็บปวด
“ขอโทษ ฉันออกแรงมากไปหน่อย ฉันกลัวว่าถ้าฟันหลายครั้งเธอจะเจ็บมาก”
“เงียบซะ”
หล่อนจับกิ่งไม้จากด้านหลังลำตัว แล้วดึงออกช้าๆ เลือดทะลักออกมาจากปากแผลไหลลงบนพื้นหญ้า
มือของหล่อนมีแสงสว่างวาบ แล้วเลือดก็ค่อยๆหยุดไหล
หล่อนใช้เวทรักษาได้ และอยู่ในระดับที่เก่งเอาการ
เขาได้แต่ตะลึงมองหล่อนจัดการตัวเองโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไร ดูเหมือนหล่อนจะไม่ตกใจกับบาดแผลอันน่ากลัวนี้เลย แถมยังอดทนกับความเจ็บปวดได้อย่างน่าอัศจรรย์
“มีผ้าหรือเปล่า”
เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นถาม เขาก็หลุดจากภวังค์ รีบกุลีกุจอหาอะไรให้หล่อนพันแผล จนในที่สุดก็ได้เสื้อของตัวเองเพราะไม่มีอย่างอื่นที่พอจะใช้ได้
“ไม่สกปรกนะ ฉันเพิ่งอาบน้ำมาเมื่อตอนหัวค่ำ”
หล่อนรับไปพันที่เอวโดยไม่พูดอะไร เมื่อพันเสร็จ ก็ทำท่าจะลุกเดินไปทางอื่นดื้อๆ
“เดี๋ยว”
หล่อนเดินไปช้าๆโดยไม่หยุดรอ ดูมั่นคงกว่าที่เขาคิด ราวกลับแผลนั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย
เขาวิ่งตามไปจับแขนหล่อนไว้ หล่อนหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับมามองเขา
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอเลย เธอช่วยชีวิตฉัน”
“ไม่จำเป็น ต่อให้ไม่มีฉัน นายก็ไม่ตาย”
เสียงนั้นเขาไม่เคยได้ยินแน่นอน แต่สำเนียงการพูดฟังคุ้นหูอย่างประหลาด
“งั้นก็ขอโทษ มันคงจะเป็นแผลเป็นแน่” เขาพูดพลางส่งยิ้มให้ “ฉันเสียใจจริงๆนะที่ความไม่ระวังของฉันทำให้ร่างกายผู้หญิงต้องมีบาดแผล”
หล่อนเหลือบมองเขานิดหนึ่ง เพียงเสี้ยวหน้าที่เห็นใต้แสงจันทร์ เขาก็เพิ่งสังเกตว่าเธอมีผิวที่ขาวมาก แต่หล่อนก้มหน้าอยู่ เขาจึงไม่อาจเห็นดวงตาของหล่อน เส้นผมสีเทาเข้มเหลือบเงินยาวสยายคลุมสะโพกสะท้อนแสงจันทร์อยู่ห่างจากใบหน้าเขาไม่มาก เขาจึงรับรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สูงมาก สูงพอๆกับเขา
“เรียนชั้นปีไหนหรือ หรือว่าไม่ใช่คนป้อมอัศวิน ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเธอเลย”
ยังไม่ทันที่เขาจะพิจารณาเสี้ยวหน้านั้นให้ชัดๆ หล่อนก็หันไปทางอื่นพลางสะบัดมือเขาออก แล้วเดินหนีไปดื้อๆ
“คงจะเป็นนักเรียนป้อมอื่นสินะ เธอเข้ามาในสวนนี่ทำไม อย่าบอกนะว่ามาทำอะไรลับๆล่อๆ”
ไม่รู้เพราะเขาอยากตอบแทนเธอจริงๆหรือว่าเพราะโดนเมินกันแน่ เขาจึงรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยเธอไปแบบนี้ เขาจึงพยายามเดินตามกระเซ้าเย้าแหย่เธอ พูดทุกอย่างที่นึกขึ้นได้
“เอ...สำเนียงเธอเหมือนเพื่อนฉัน คาโนวาลใช่ไหม”
หล่อนชะงักไปชั่วครู่ แล้วก็เดินต่อ เขาจึงรีบเดินไปข้างๆ
“ถูกใช่ไหม อาการแบบนี้แสดงว่าถูกแน่ๆ งั้นฉันทายต่อนะ ”
“เฟริน เดอเบอโรว์!”
หล่อนหันมาทางเขาอย่างรวดเร็วจนเส้นผมสลวยพลิ้วกระจาย ที่นี่ไร้เงาไม้บดบังแสงจันทร์จึงมองเห็นใบหน้าหล่อนได้ชัด ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
หล่อนเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าคมสวยไร้ที่ติราวกับงานศิลปะของทวยเทพ ดวงตาสีอ่อนลึกล้ำราวกับจักรวาล เรียวปากบางเฉียบกับจมูกสวยคมได้รูป และเวลานี้ กลีบปากงามนั้นกำลังขยับพูดกับเขา
“อย่าเดาอะไรให้มั่วซั่ว พรุ่งนี้รออยู่ที่นี่ ฉันจะมา”
แต่คำพูดคำจานี่แทบจะพอๆกับเขาตอนเป็นผู้หญิง แม้จะแย่ไปคนละแนว
เขาหยาบคายสัปดน แต่หล่อนเย็นชามะนาวไม่มีน้ำ
“ครับๆ”
เขายกมือยอมแพ้ให้กับดวงตาที่ดูเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งคู่นั้น แล้วทันใดนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดก็แล่นจู่โจมสามัญสำนึกจนกระสับกระส่าย
“เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม”
“ไม่”
“เธอคล้ายเพื่อนฉันมาก คาโล วาเนบลี เดอะ ปริ้นซ์ ออฟ คาโนวาล เธอรู้จักหรือเปล่า”
หล่อนไม่ตอบเขา ร่างนั้นหันไปทางอื่นแล้ววิ่งจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
ลึกลับเหลือเกินนะ
เฟรินยิ้มกับตัวเอง
คืนนั้นยังคงร้อน และเฟรินก็ยิ่งรู้สึกร้อนหนัก เมื่อดวงตาเย็นชาคู่สวยได้จุดไฟบางอย่างในหัวใจเขา เพียงพบกันครั้งแรก หล่อนก็แผดเผาเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้
และความงามที่ราวกับเทพธิดาแห่งเหมันต์
ทันทีที่แสงสว่างยามเช้าแตะต้องร่าง เขาก็ต้องจิกนิ้วลงบนเตียงแน่นอย่างเจ็บปวดจนข้อขึ้นขาว
ร้อนผ่าวไปทุกขุมขนดั่งเลือดในกายกลายเป็นน้ำเดือด ร่างทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากสั่นระริก
ทันทีที่การเปลี่ยนแปลงสิ้นสุด เขาก็ถอนหายใจแล้วพลิกกายขึ้น เขาหอบแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย ผ้าที่พันแผลไว้ดูจะแน่นเกินไปเมื่ออยู่ในร่างผู้ชาย เขาจึงแกะมันออก
เสียงไขกุญแจดังกริ๊ก ทำให้เขารีบดึงเสื้อลงแล้วลุกพรวดขึ้นจากเตียง
“เพิ่งตื่นเหรอ สายกว่าทุกวันนะ” คิลทักพลางรื้อชุดนักเรียนออกมาจากตู้
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” เขาเอามือลูบหน้าแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
“นั่นสิ ร้อนอย่างกับไฟ ห้องโน้นก็หลับไม่ค่อยลงเหมือนกัน”
“เฟรินนอนที่ไหน”
“ห้องเจคนั่นแหละ มันเข้ามาตอนดึกๆ บอกว่าไปเจอนางไม้สุดสวยมาเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ใหญ่ว่ารู้จักไหม”
“งั้นหรือ” เขาตอบพลางหันไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
“เมื่อไหร่นายจะดีกับมันซะที ฉันอึดอัด ห้องโน้นผู้ชายนอนกันห้าคน ทั้งร้อนทั้งเบียด เสียงกรนก็อย่างกับโรงฆ่าสัตว์ นรกชัดๆ” คิลยืนพิงประตูห้องน้ำไปพลาง ดวงตาสีม่วงก็จับจ้องมาที่เขา “เป็นอะไรหรือเปล่า นายดูเหนื่อยมาก”
“ก็แค่นอนไม่พอ”
เขาตัดสินใจไม่บอกคิลเรื่องแผล เขาไม่ควรจะทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้แม้แต่อย่างเดียว เมื่อวานก็ผิดแผนไปมาก
“นายไปอาบน้ำซะ สายแล้ว”
คิลพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น