ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC BARAMOS-ฟิกบารามอส] โกโดม อำมหิตไม่เงียบ The Series

    ลำดับตอนที่ #7 : RELOADED! V

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 49


    โกโดม อำมหิตไม่เงียบ RELOADED V


    *************************************************************************

    “ไม่!” เฟรินกรีดร้องลั่น เสียงสะท้อนกึกก้องไปมาในคูหาแคบๆแห่งนี้
    “นายอย่าสะเออะตายในร่างปลาทองเชียวนะ หมดมาดเลยนะโว้ย ไหนๆแกก็เป็นคนขี้เก๊กมาทั้งชีวิต ก็เก๊กให้มันตลอดรอดฝั่งสิวะ”


    ปลาน้อยถูกโยนโครมลงไปในแอ่งน้ำลึกเย็นเฉียบ เฟรินมองร่างนั้นค่อยๆจมหายลงไปช้าๆ



    “ว่ายสิว้อย!” หัวขโมยสาวตะโกนลั่นอย่างไม่เกรงว่าปีศาจดำจะได้ยิน แต่ร่างในน้ำก็ยังจมดิ่งลงเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะว่าย



    น้ำตาใสๆเริ่มทะลักออกมาราวกับทำนบแตก เฟรินปล่อยโฮดังลั่นแล้วรีบกระโดดลงไปในน้ำพยายามควานหาศพปลาทองสุดที่รักอย่างไม่คิดชีวิต



    แต่ทะเลสาบใต้ดินนี้ลึกเกินจะหยั่ง ไม่ว่าจะดำลงไปลึกแค่ไหนก็ไม่ถึงก้น เฟรินควานหาไปเรื่อยๆโดยที่ความหวังค่อยๆริบหรี่ลง



    “ไม่นะ แกอย่ามาตายเพราะฉันสิโว้ย” หญิงสาวยังคงร้องลั่น ในขณะที่ผิวเริ่มซีดขาว ริมฝีปากสั่นกึกๆ ปลายนิ้วชาจนขยับไม่ได้



    ไม่ได้การแล้ว ขืนยังหาไม่เจออีก เธอเองที่จะตายอย่างแน่นอน



    ใครก็ได้ช่วยลูกช้างด้วย พระเจ้า ท่านพ่อ ท่านแม่ มนุษย์ต่างดาว วิญญาณบรรพบุรุษ ผีโคมุส...



    ราวกับสวรรค์ได้ยินเสียงกรีดร้องในใจ แสงสว่างวาบขึ้นมาจากเบื้องล่าง พร้อมๆกับร่างของสิ่งมีชีวิตที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็ทะยานขึ้นมาเหนือน้ำ แสดงถึงพรสวรรค์ในการเคลื่อนไหวใต้น้ำ ยืนสงบนิ่งอยู่ริมแอ่ง



    ร่างนั้นปราดเปรียวและไร้อาการหนาวสั่น ขนสีเงินเรียบลู่ ในขณะที่แขนสั้นแต่รูปร่างเหมือนใบพายขยับเบาๆ



    “ขึ้นมาเร็ว” เสียงนั้นเปล่งออกมาจากร่างกลมป้อม



    “คาโล” เฟรินร้องอย่างดีใจสุดขีด เธอพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำแล้วก็ต้องนั่งกอดตัวเองด้วยความหนาวอยู่พักใหญ่



    เมื่อคลายกังวล ก็เริ่มจะสนใจสภาพตัวเอง



    กลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว



    เสื้อสีขาวบางแสนบาง นอกจากหนาวแล้ว ยังอายด้วย



    เสื้อเปียกๆแนบสนิทกับผิวกาย แม้ว่าชายตรงหน้าจะเป็นเพนกวิน แต่เธอก็ยังอดเขินไม่ได้



    เพนกวินผู้สูงศักดิ์แห่งคาโนวาลเดินเตาะแตะเข้ามาใกล้ เสียงแครกครากเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คราวนี้มันทวีความเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว ดูท่าเสียงร้องของเธอจะทำให้มันจับทางได้ถูก



    “หนีไปซะ”



    “ว่าไงนะ”



    “ฉันจะหลบอยู่ที่นี่ มันคงจะตามจับฉันในน้ำไม่ได้”



    “ไม่ ยังไงเราก็ต้องไปด้วยกัน”



    “ฉันเคลื่อนที่บนบกไม่ได้เร็ว”



    “เดี๋ยวนายก็กลายเป็นอย่างอื่นอีก ถ้าจมน้ำตายขึ้นมาจะว่ายังไง”



    ทั้งคู่นิ่งเงียบอย่างหาทางออกไม่ได้ ในที่สุด หัวขโมยผู้ไม่เคยจนมุมก็เปรยขึ้นมาเบาๆ



    “อยู่ด้วยกันที่นี่นั่นแหละ ความจริงฉันก็หนาวจนขาแข็งไปหมดแล้ว”



    ดวงตาสีฟ้ามอดมองมาอย่างเดาอารมณ์ไม่ออก (ก็น่าจะยังงั้น เพนกวินนิ) เขาขยับปีกขึ้นวางบนศีรษะของเจ้าหญิงแห่งเดมอสเบาๆ



    “ถอนคำสาปให้ฉันอีกครั้ง เฟริน” คำสั่งถูกเอ่ยเสียงเข้ม



    “ไม่เอา” เฟรินก้มหน้าแล้วส่ายหัว



    “ถอนคำสาปซะ มันเป็นวิธีเดียว”



    “แต่นาย...”



    “ไม่มีทางเลือกแล้ว ร่างเด็กอย่างน้อยก็ใช้อาคมได้”



    “นายเอาจริงเหรอ มันคุ้มแน่เหรอ แน่ใจเหรอว่าร่างเด็กของนายจะสู้มันได้”



    “ไม่มีคุ้มหรือไม่คุ้มถ้าพวกเราตายไปตอนนี้”



    “คาโล” เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมองเพนกวินตรงหน้าพูดเรื่องจริงจังแล้วเกือบหลุดหัวเราะพรืด เพราะภาพที่เห็นมันช่างขัดกับบรรยากาศสิ้นดี



    “อย่าพูดมาก รีบๆทำซะก่อนเจ้านั่นจะมาถึง”



    “นายไม่เสียใจ?”



    “ไม่”



    เฟรินเม้มปากแน่นแล้วค่อยๆแงะมือตัวเองที่ยังไม่หายแข็งออกจากอก เพนกวินคาโลขยับกายเข้ามาใกล้ แต่ก่อนที่ทั้งสองจะประกบมือ ดวงตาสีน้ำตาลก็มองร่างนั้นอย่างพิจารณาแล้วรีบส่ายหัววืด



    “ไม่ได้”



    “อะไรนะ”



    “ฉันถอนคำสาปนายในร่างนี้ไม่ได้”



    “ทำไม”



    “นายก็แหกตาดูตัวเองสิ ขืนเอาหน้าผากชนกันจงอยปากนายก็ทิ่มหน้าฉันพอดี”



    “อย่าเรื่องมากได้ไหม”



    ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะโวยวาย แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นมาอีก เล่นเอาเฟรินส่ายหัวอย่างปลงๆ



    ร่างสัตว์ไม่เสถียรอย่างที่คาโลว่า แม้เธอไม่ทำการดูดอาคมให้ ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปเองเรื่อยๆ



    คราวนี้จะใช้การได้ไหมหนอ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายอย่างเฝื่อนคอเมื่อร่างตรงหน้าปรากฏชัด



    เอาล่ะสิ



    คราวนี้อาจสู้ได้โดยไม่ต้องฝืนถอนคำสาป



    ร่างใหม่ของเจ้าชายแห่งแดนนักรบคราวนี้สง่างามสมศักดิ์ศรี ขนสีเงินมันปลาบ ดวงตาสีฟ้าแวววาวดูน่าเกรงขาม เขี้ยวขาวคมกริบกับอุ้งเท้าใหญ่โตที่ดูเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง คนตรงหน้ากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นเจ้าแห่งความปราดเปรียวและเป็นผู้ล่าแห่งรัตติกาล



    เสือ



    แต่คำพูดจากเจ้าชายเสือก็ทำให้สาวน้อยที่กำลังย่ามใจหน้าเจื่อนลงทันควัน



    “ทำอีก”



    “ทำไมล่ะ”



    “นายลืมไปแล้วหรือไงว่าเจ้านั่นมันสู้ด้วยกำลังไม่ได้”



    จริงด้วย มีแต่ต้องใช้เวทมนตร์เท่านั้น



    “แต่เราหนีด้วยร่างนี้ได้ ถ้ากลับไปถามโกโดมอีกที...”



    “นายหยุดโยกโย้ซะที เดี๋ยวฉันก็กลายร่างอีก”



    “ไม่โชคร้ายแบบนั้นมั้ง”



    “เฟริน ในฐานะที่เรื่องนี้เป็นความผิดของนาย ฉันขอสั่งให้นายถอนคำสาปเดี๋ยวนี้”



    เมื่อเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่ดูทรงอำนาจยิ่งขึ้นเมื่อเป็นดวงตาของสัตว์ร้ายจ้องมา เจ้าหล่อนก็ปฏิเสธไม่ออก แขนทั้งสองข้างทิ้งตกลงข้างตัว



    “ก็ได้ๆ แค่ทำก็พอใจใช่ไหม”



    แม้จะทำสนุกไปเรื่อย แต่ถ้าคาโลต้องกลายเป็นเด็กถาวร เธอก็คงขำไม่ออก



    ดวงตาสีน้ำตาลหลุบต่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ ทำเอาคนที่น่าสงสารกว่าหลายเท่านึกสงสารขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลง



    “ไม่เป็นไร ถึงฉันจะกลับไปเป็นเด็ก เรื่องของเราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”



    ใบหน้าหวายเงยขึ้นมองเขาทันใด



    “ฉันก็กลายเป็นป้าเขมือบเด็กเอ๊าะน่ะสิ”



    เสือคาโลส่ายหน้าพลางนึกขำในใจ



    มันคิดจะเขมือบเขา



    “นายก็รอให้ฉันโต”



    “นายอาจจะไม่โตก็ได้”



    ไอ้บ้าเฟริน



    “งั้นนายก็ไปหาคนอื่น ฉันไม่ว่า”



    “ไม่นึกว่านายจะใจกว้างขนาดนี้” เฟรินเอ่ยอย่างทึ่งๆ



    กว่าเธอจะได้เป็นผู้หญิงนั้นแสนยาก กว่าเธอจะมารักกับเขานั้นยากยิ่งกว่า แต่หมอนี่กลับกำลังโชว์ความแมนเอ่ยปากยอมให้เธอนอกใจ



    พลันความอยากยั่วก็ผุดขึ้นมาในหัว เจ้าตัวจึงเอ่ยอย่างไม่กลัวโดนเสือขย้ำ



    “งั้นถ้านายกลับเป็นผู้ใหญ่ได้ ฉันขอมีคนอื่นด้วยได้ไหม”



    “เฟริน!” คำแย้งที่ไม่น่าฟังทำให้น้ำเสียงดุกร้าวดุจพยัคฆ์คำราม “รีบๆแก้คำสาปซะที เสียงมันหายไปแล้ว มันคงจะซุ่มอยู่ใกล้ๆนี้”



    ต้องกินขามันสักข้างถึงจะรู้สำนึกใช่ไหม



    เสือตัวใหญ่นั่งลงเบื้องหน้าหล่อนพลางเอาหน้าผากใหญ่โตแนบลงที่หน้าผากของเธอ เฟรินหลับตาลงอย่างไม่มีทางเลือก อุ้งเท้าที่เก็บกรงเล็บเรียบร้อยยื่นมาด้านหน้าทาบประกบกับมือเล็กทั้งสองข้าง



    ลำแสงสีทองที่อบอุ่นดุจกระแสธารแห่งชีวิตไหลออกจากร่างของเจ้าชายแห่งคาโนวาลสู่เจ้าหญิงแห่งเดมอส



    แต่อะไรๆมันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่ฝัน



    น้ำหนักของเสือนั้นมากกว่าที่คาด เจ้าของร่างเองก็ยังไม่ชิน พอนานๆเข้าพี่เสือที่นั่งด้วยสองขาหลังก็เสียหลักล้มเอนไปด้านหน้า ร่างบางของสาวน้อยจึงโดนเสือตรงหน้าโถมเข้าใส่จนหงายหลังลงไปนอนราบกับพื้น



    กระแสสีทองยังคงถ่ายทอดผ่านหน้าผากและสองมือ ร่างที่ทาบทับนั้นนุ่มและอุ่นไม่แพ้โคอาล่า ทำให้ร่างที่เคยเย็นเฉียบหยุดสั่นอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยความรู้สึกอึดอัดจนกระดูกกระเดี้ยวแทบแตก



    “นาย...ลุก...”



    เฟรินเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ร่างของคาโลเปล่งประกายสีทองสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สว่างจ้า เรืองรองดุจแสงอาทิตย์ยามเช้า



    เวทคำสาปจากเดมอสช่างงดงาม แต่เสียดายที่เธอไม่อยู่ในอารมณ์จะชื่นชมมัน



    “อดทนหน่อย” เสียงตอบจากร่างที่พร่าเลือนอยู่ในแสงสว่าง



    หญิงสาวกัดฟันกรอดหลับตาแน่น



    เมื่อไหร่นายจะกลายเป็นเด็กซะทีว้อย ฉันหนักจะตายอยู่แล้ว รู้งี้ยอมโดนเพนกวินจิกปากดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ตาย



    ทันทีที่คิดจบ น้ำหนักก็หายไปวูบ เฟรินค่อยๆลืมตามองร่างที่ทาบทับอยู่บนตัวหล่อน



    ดวงตาสีฟ้าที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ชนิดลมหายใจรดกัน ดวงตาคู่สวยไม่มีส่วนไหนที่แตกต่างจากดวงตาของมนุษย์ ผิดแต่กลมโตดูบ้องแบ๊วกว่าที่หล่อนเคยรู้จัก



    “คาโล” เฟรินอุทานเสียงแผ่ว ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาที่อก “นึกว่าจะไม่ได้เจอนายในร่างคนอีกแล้ว”



    แต่คงต้องรออีกนาน กว่ามันจะโตทันเธอ



    น้ำตาใสๆเริ่มคลอหน่วยให้ประกายในดวงตาสีฟ้าไหววูบ สองร่างยังอยู่ในท่าเดิม หน้าผากยังแนบชิด สองมือยังสอดประสาน แต่คราวนี้เป็นร่างของมนุษย์กับมนุษย์



    “ลุกออกไปได้แล้ว”



    เฟรินอยากจะดึงมือออกผลักไส แต่ร่างเล็กตรงหน้ากลับยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย



    “อะไรอีกล่ะ”



    ดวงตาสองคู่สบประสานอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สามัญสำนึกจะพังทลาย ริมฝีปากแดงจัดของเจ้าชายน้อยน่ารักทาบลงที่ริมฝีปากซีดเซียวของเจ้าหญิงแห่งเดมอส ควานหาความหวานล้ำที่ห่างเหินไปนาน



    นุ่มนวล อุ่นวาบ รสสัมผัสที่แทบไม่แตกต่างจากเดิมทำให้เฟรินพริ้มตาลงอย่างเป็นสุข



    เด็กบ้า ทะลึ่งที่สุด



    เอาวะ รอมันโตก็ได้



    แสงสว่างที่แยงเข้าตาทำให้หล่อนต้องปรือตามอง แล้วก็ต้องตกใจที่ร่างของเด็กน้อยคาโลถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสว่างอีกครั้ง



    เฮ้ย มันจะเปลี่ยนร่างอีก ไหนว่าทำแบบนี้แล้วจะถอนคำสาปได้ไง



    น้ำหนักบนตัวหล่อนเพิ่มขึ้นอีกครั้งให้ใจหาย



    ถ้ามันกลายเป็นช้างหรือวัว งานนี้มีตาย



    แต่จนแล้วจนรอดคนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมละริมฝีปากออก จนในที่สุดแสงสว่างก็จางหาย



    มืดเกินไป ใกล้เกินไป จนมองไม่เห็นว่าสิ่งที่กำลังจูบหล่อนไม่เลิกอยู่คืออะไรกันแน
    แต่มือที่สอดประสานกับเธอยังมีห้านิ้ว



    นี่เธอคงไม่ได้จูบกับลิงอยู่หรอกนะ หรือถ้าในกรณีเลวร้ายที่สุด…



    ร่างเล็กดิ้นกุกกัก มือทั้งสองข้างยังเอาออกมาไม่ได้ จึงทำได้แต่หันหน้าหนีพลางเอ่ยลั่น



    “พอแล้ว”



    “ยังไม่พอ”



    เสียงทุ้มที่คุ้นเคยพาให้ใจหายวาบ เลือดสาวฉีดพุ่งขึ้นมาให้สองแก้มร้อนซู่ ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงมานัวเนียอยู่ที่แก้มใสก่อนจะไล่ประกบลงที่ริมฝีปากบางอีกครั้ง นุ่มนวลอ่อนหวานทำให้หัวหมุนจนอยากจะลืมทุกอย่างในโลก



    แต่ลืมไม่ได้!



    ไอ้ปีศาจซังกะบ๊วยนั่นยังอยู่แถวนี้ แต่ไอ้คนตรงหน้านี่มันดันทำเป็นไม่รับรู้



    “คาโลลุก”



    ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย แต่เมื่อลุกขึ้นนั่งเฟรินก็ต้องนิ่งอึ้งตาเหลือกอ้าปากค้าง



    ร่างเดิม!



    หมอนี่กลับร่างเดิมได้แล้ว



    เธอควรจะดีใจ แต่สิ่งที่เห็นก็ทำให้คิดว่าให้มันกลับไปเป็นโคอาล่าซะยังจะดีกว่า



    ร่างเดิมที่เป็นชายหนุ่มเต็มตัว เพรียวจนเกือบบางแต่มีกล้ามเนื้อกำลังสวยสมวัย ผิวกายขาวจัด เส้นผมสีเงินสั้น ดวงหน้าคมคายราวรูปสลักและดวงตาสีฟ้าที่ยังส่งประกายร้อนแรงมาให้



    เฟรินคงจะไม่ตกใจขนาดนี้ถ้าร่างนั้นไม่ได้เปลือยเปล่า!



    แถมยังนั่งประจันหน้าแบบไม่รู้จักอาย!


    เจ้าหญิงแห่งเดมอสกลืนน้ำลายเอื้อก ตอนยังเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เธอถึงเขินขนาดนี้



    ชายหนุ่มเปลือยเปล่ากับหญิงสาวที่มีเพียงเสื้อเปียกๆแนบร่าง



    ดวงหน้าหวานที่เคยซีดขาวบัดนี้ขึ้นสีแดงจัดจนลามไปยังถึงลำคอ



    เอาล่ะสิ ไม่มีอะไรจะเสียสละให้ใส่ซะด้วย ถ้าไม่คิดเรื่องอายหรือไม่อาย ที่นี่ก็หนาวใช่หยอก



    “ฉันบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งดูดอาคมต่อ” เจ้าหล่อนพูดโดยหันหลังให้ “นายหนาวมากไหม”



    “มาก” คราวนี้คนมาดมากกลับยอมทิ้งมาดง่ายๆ



    “ทำไงดี”



    “ทำแบบที่นายทำเมื่อกี้ก็ได้”



    “อ...อะไรนะ ไม่เอา”



    เธอคงจะยอมให้กอดโดยไม่บ่นถ้ามันยังมีอะไรติดกายอยู่บ้าง แต่สภาพนี้



    ไม่ไหวจริงๆว่ะ โทษทีนะคาโล



    เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันกลับไปมองก็พบร่างนั้นกำลังใส่เสื้อผ้าอยู่



    “เสื้อนั่น?”



    “ฉันกลายร่างเป็นสัตว์ครั้งแรกที่นี่ เสื้อผ้าก็กองอยู่หลังกำแพงหินนั่น นายลืมไปแล้วหรือไง”



    หัวขโมยสาวอ้าปากค้างก่อนจะสบถลั่นในใจ เจ้าหล่อนมัวแต่หันไปด่าลมด่าฟ้าแทนคนตรงหน้าจึงไม่ทันเห็นว่าร่างสูงกำลังเคลื่อนกายเข้ามาใกล้



    เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เปียกชื้นถูกวางลงบนไหล่บาง พร้อมๆกับอ้อมกอดอุ่นๆที่มาจากด้านหลัง เฟรินขยับกายน้อยๆอย่างขัดใจ ก่อนจะยอมนิ่งเมื่ออ้อมแขนนั้นรัดแน่นขึ้น



    “หายหนาวหรือยัง”



    ไม่มีเสียงตอบจากคนในอ้อมแขน เจ้าชายจึงแถมจุมพิตอีกฟอดที่นวลแก้ม เรียกไอร้อนผะผ่าวให้ขึ้นมาจนรู้สึกได้



    “ยังหนาวอยู่อีกไหม”



    “ปล่อย”



    คราวนี้จุมพิตไล่ต่ำลงไปยังลำคอ มือใหญ่ค่อยๆรุกเข้าไปในสาบเสื้อจนผิวเย็นๆของเธอรู้สึกถึงสัมผัสร้อนผ่าวที่ท้อง ทำให้เจ้าหญิงที่พอมียางอายอยู่บ้างรีบร้องลั่น



    “หายหนาวแล้ว”



    คาโลยอมหยุดมือ ดวงหน้าคมคายวางเกยอยู่บนไหล่ ปลายจมูกซุกไซร้ที่ข้างแก้ม แผ่นหลังบางแนบชิดกับแผงอกกว้างจนได้ยินเสียงหัวใจเต้น ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปถึงข้างใน



    “แก้มนายยังเย็นอยู่เลย”



    มือใหญ่ที่อุ่นระอุวางนาบลงบนแก้มเนียนใสแล้วลูบเบาๆชวนให้วูบวาบ เฟรินหันไปมองใบหน้าคมคายที่ขาวจนเห็นชัดในความสลัว ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนที่ทอประกายออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่สวย ร่างบางจึงขยับซบซุกเข้าไปในอ้อมอกที่แข็งแกร่งกว่า ให้เขาได้ปกป้องคุ้มครอง มอบไออุ่นให้เธออย่างเต็มที่ หล่อนรู้สึกได้ถึงแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ที่ค่อยๆกอดร่างของเธอแน่นเข้า ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในกรงอันแสนหวาน



    คิดแล้วก็ซบ ซบแล้วก็ซุก ซุกแล้วก็มุด ปีศาจหน้าไหนมาก็ไม่สน เธอรู้สึกว่าอยากจะหยุดเวลาอยู่อย่างนี้ตลอดไป แต่เรื่องอะไรจะบอกมัน เดี๋ยวมันได้ใจแย่ แค่นี้มันก็ปั่นหัวเธอจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว



    ถ้าคาโลได้ยินคงเถียงกลับว่า ‘ใครปั่นหัวใครกันแน่’



    ทั้งสองนิ่งอยู่หลายอึดใจ เมื่อเห็นแก้มใสเริ่มขึ้นสีสมหญิง ริมฝีปากเริ่มมีสีเลือด ชายหนุ่มก็คลายวงแขน ฉุดดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้น



    ระหว่างที่แม่ตัวยุ่งกำลังขยับขยุกขยิก ทำตัวสบายไม่รู้เรื่องอยู่ในอ้อมแขนเขา เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้



    “ออกไปจากที่นี่กัน”



    อะไรวะ คนกำลังเคลิ้ม ว่าจะขอจูบอีกสักที



    ดวงตาสีน้ำตาลสบมองอย่างฉงน ทั้งงงที่จู่ๆเจ้าชายที่เปลี่ยนร่างไปเป็นนักรักผู้แสนโรแมนติกก็กลับร่างเดิมเสียเฉยๆ ทั้งงงที่คาโลพูดถึงทางออกง่ายๆ



    “นายรู้วิธี?”



    “รอปีศาจนั่นมา”



    เสียงแครกครากดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่จึงหันไปมองต้นเสียง ร่างในชุดเกราะสนิมเขรอะสีดำสนิทโผล่ออกมาจากทางเดิน



    “เฮ้ย หนีเร็ว”



    แต่ชายหนุ่มไม่ขยับ กลับกดไหล่เธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้นเสียอีก



    “เฟริน นายลองสั่งให้มันถอดเกราะ”



    หญิงสาวหันไปมองชายคนรักอย่างงงๆ



    “นายบ้าไปแล้วรึไง รีบหนีกันเถอะ”



    “ลองดู”



    เมื่อเห็นแววตาที่มองมามั่นคงหนักแน่น เจ้าหญิงแห่งเดมอสและบารามอสก็นึกเชื่อขึ้นมา แต่ถึงเชื่อ ก็อดบ่นหงุงหงิงตามนิสัยไม่ได้



    “ถ้าต้องเป็นผี ฉันจะมาหลอกนาย”



    “นายคงไม่ตายก่อนฉัน”



    หญิงสาวขยับยิ้มน้อยๆให้คำตอบสุดทุ่มเทของคนมาดมาก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก



    “ถอดหมวกออก เจ้าปีศาจเกราะดำ”



    เสียงสั่งก้องกังวานไปทั่วคูหาหิน เฟรินใจเต้นแรงจนรู้สึกได้ มือบางจับชายเสื้อคนตัวสูงไว้แน่น



    แล้วสิ่งที่ยากจะเชื่อก็เกิดขึ้น ร่างนั้นชะงักกึก แล้วขยับถอดหมวกออกตามคำสั่ง



    เฟรินแทบไม่เชื่อสายตา ร่างนั้นทำตามคำสั่ง แม้จะยังเดินตรงมาที่เธอ



    เค้าโครงของศีรษะเริ่มคุ้นๆ ยิ่งใกล้ยิ่งเหมือนจะนึกออก ทำให้เฟรินไม่ลุกหนี



    และเมื่อเห็นได้ชัด หญิงสาวก็ร้องเสียงก้องไปทั่ว



    “ไอ้คิล!”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×