ต้นไม้ในพุทธประวัติ - ต้นไม้ในพุทธประวัติ นิยาย ต้นไม้ในพุทธประวัติ : Dek-D.com - Writer

    ต้นไม้ในพุทธประวัติ

    มาดู

    ผู้เข้าชมรวม

    930

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    930

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 เม.ย. 50 / 16:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ต้นโพธิ์ (Ficus religiosa L.)

      ต้นโพธิ์ หรือที่ชาวลังกาเรียกว่า Bohd tree และที่ชาวอินเดียเรียกว่า Pipal นี้นับได้ว่าเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งใน พระพุทธประวัติอีกชนิดหนึ่ง เพราะเจ้าชายสิทธัตถะกุมาร  ในระหว่างบำเพ็ญพรต เพื่อหาสัจธรรมนั้น ได้ทรงเลือกนั่งประทับที่โคน ต้นโพธิ์จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาน คือ อริยสัตย์ 4 อันประกอบด้วย ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 แม้พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังต้องทรงใช้พลังจิตรบกับพวกมาร(การเอาชนะกิเลสฝ่ายต่ำ)ก็โดยประทับอยู่ใต้โคนต้นโพธิ์อีก เช่นกัน เพราะโพธิ์มีร่มเงาเหมาะแก่การพักพิงและบำเพ็ญพรตเป็นอย่างยิ่ง   และกล่าวกันว่าต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์ประทับเพื่อรวบรวม พระหฤทัยให้บรรลุถึงสัจธรรมนั้นได้ถูกประชาชนผู้นับถือศาสนาอื่น โค่นทำลายไปแล้วแต่ด้วยบุญญาภินิหารเมื่อได้นำนมโคไปรดที่ราก จึงมีแขนงแตกขึ้นมาและมีชีวิตอยู่มาอีกนานก็ตายไปอีกแล้วกลับแตกหน่อขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งต้นที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นช่วง ที่สามแล้ว

      ต้นโพธิ์เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกันกับไทร มะเดื่อ และกร่าง คือ อยู่ในสกุล (Genus) มะเดื่อ (Ficus)   และวงศ์ (Family) ไม้ไทร (Moraceae)พันธุ์ไม้วงศ์นี้แทบทั้งหมดจะมียางขาว โพธิ์เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ แต่จะผลิใบใหม่แทนในเวลาค่อนข้างเร็ว ลำต้นเป็นพูพอนเป็นส่วนใหญ่ มีกิ่งก้านสาขาออกไปโดยรอบ ปลายกิ่งลู่ลงทำให้เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แผ่กว้าง กิ่งอ่อนเกลี้ยงและมัก ิ่เป็นคราบสีขาว ปลายสุดจะมีหูใบเป็นปลอกแหลม ๆ หุ้ม เมื่อหูใบหลุดไปแล้วจะทิ้งรอยแผลใบเป็นขวั้น ๆ ไว้ที่กิ่งเห็นได้ชัด บางทีตามกิ่ง อาจจะมีรากอากาศให้เห็นบ้าง ใบอ่อนสีเขียวอ่อน แต่พอแก่จัดก่อนร่วงจะออกสีเหลืองทอง ผิวใบเกลี้ยงและเป็นมันทางด้านบน เนื้อใบ ค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนังใบจะห้อยลงเวลาลมพัดจะแกว่งไกวไปมา ทำให้เกิดเสียงกรีดกับลมน่าฟัง ใบค่อนข้างป้อมหรือรูปไข่กว้าง ๆ โคนใบป้านหรือหยิกเว้าเข้าเล็กน้อย ปลายใบหยักคอดเป็นติ่งหรือหางยาวเรียว ( 7 – 15 ซม.) ดอกออกบนฐานดอกที่โค้งกลม แล้วเจริญเป็นผลต่อไป ผลกลมติดอยู่ตอนปลาย ๆ กิ่งเล็ก พอแก่ออกสีแดงคล้ำ ๆ เป็นอาหารของพวกนกได้เป็นอย่างดี

      ต้นโพธิ์เป็นพืชดั้งเดิมของอินเดีย ได้มีการนำไปปลูกทั่ว ๆ ไปทั้งในประเทศลังกาและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะเป็นต้นไม้ที่ชาวพุทธและฮินดูให้ความนับถือการแพร่พันธุ์ส่วนใหญ่ใช้เมล็ดและสัตว์พวกนกสามารถช่วยแพร่พันธุ์ได้อย่างดี นอกจากเมล็ดก็ใช้กิ่งชำหรือกระโดงจากรากก็ใช้ได้ดีเช่นกัน ขึ้นได้ดีตามพื้นที่ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ที่น้ำไม่ขังแฉะแต่ต้องการความชุ่มชื้นพอควร ในประเทศไทยก็เรียกต้นโพธิ์ในชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ต้นปู ต้นโพธิ์ ต้นศรีมหาโพธิ์ และสลี เป็นต้น และต้นโพธิ์ชนิดนี้ใกล้เคียงกันกับ โพธิ์ขี้นก หรือโพธิ์ประสาท ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Ficus rumphii Blume. แต่พอสังเกตได้ตรงที่ปลายใบและก้านใบของโพธิ์ขี้นกนั้นสั้น (ประมาณไม่เกิน 7 ซม.) และผลแก่จะออกสีดำ

      ต้นโพธิ์นับว่าเป็นพืชที่มีอายุยืนมากชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากมีกิ่งก้านแยกสาขาออกจากลำต้นมาก จึงทำให้เกิดเชื้อราที่อาศัยความชุ่มชื้น จากน้ำฝนที่ขังอยู่ตามง่ามกิ่ง แผ่ขยายเข้าทำลายเนื้อไม้จนเราจะเห็นได้ว่าต้นโพธิ์ ใหญ่ ๆ มักเป็นโพรงถ้าเป็นอย่างรุนแรงอาจทำ ให้ต้นโพธิ์ตายได้เหมือนกัน แต่โดยนิสัยการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ก็ได้ช่วยสร้างให้โพธิ์มีผลมากและมีรสชาดที่นกชอบกิน เมื่อนกไป เกาะและถ่ายมูลที่ไหน เมล็ดก็จะงอกเป็นต้นเจริญงอกงามได้ทันที และบางทีก็จะแทงกระโดงจากรากที่ยังสดอยู่ดังเช่นที่กล่าวอ้าง จากต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่นั้นได้เช่นกัน ในบ้านเรานิยมปลูกโพธิ์ไว้ตามวัดวาอาราม และมีมากทีเดียวที่นำต้นอ่อน มาจากอินเดียและลังกา ตามวาระและโอกาสต่าง ๆ กัน มาปลูกไว้เป็นที่ระลึกไว้ตามวัดและสถานที่สำคัญ ๆ ทั่วประเทศ

                                                          



       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×