ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : โอเรสตีส
บทที่ 1 : โอเรสตีส
ตำนานกรีกโบราณได้เล่าขานถึงความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าโปเซดอนและเทพีอาธีน่า ที่ต้องการจะครอบครองนครอันงดงามที่มีนามว่า อัตติกา แล้วในที่สุดเทพีอาธีน่าเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้หลังจากที่เทพีอาธีน่าเสนอมอบต้นมะกอกให้แก่ชาวนคร ซึ่งเป็นสิ่งทีมีประโยชน์หลายคณานับอีกทั้งยังเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพและความรุ่งเรือง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนายิ่งกว่าม้าประทานของเทพเจ้าโปเซดอน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสงครามและความต่ำทราม ทวยเทพเล็งเห็นว่าสิ่งที่เทพีอาธีน่าเสนอให้แก่ชาวนครอัตติก้ามีประโยชน์ต่อชาวนครมากที่สุด จึงให้เทพีอาธีน่าเป็นเทพีผู้พิทักษ์นครแห่งนี้ไป ซึ่งต่อมาได้นครอัตติก้ากลายเป็นเมืองหลวงของกรีกที่มีชื่อเรียกว่า เอเธนส์ ซึ่งเป็นชื่อที่ประทานมาจากเทพีอาธีน่าจากนั้นชาวนครก็สร้างวิหารหินอ่อนสีขาวบริสุทธ์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เทพีอาธีน่า วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินที่มีความสูง 70 เมตร และมีอาณาเขตโดยรอบถึง 800 เมตร เมื่อเวลาผ่านไปวิหารที่เคยรุ่งเรืองในอดีตบัดนี้ก็ได้เสื่อมสลายกลายเป็นซากปรักหักพังไป ถึงแม้วิหารแห่งนี้จะทรุดโทรมลงไป แต่ก็ยังรู้สึกถึงความมีเกียรติความรุ่งโรจน์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้อยู่เสมอ
ช่วงเวลายามค่ำคืน
“ผมว่าอากาศที่นี่มันเย็นมากเลยน่ะครับ”
ผมสีน้ำตาลของชุนพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดเข้ามา ตอนนี้เขาอยู่ในโรงละครกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเนินอะโครโพลิส สายตาของเขากำลังจดจ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
ในฤดูร้อนของเมืองเอเธนส์หลังจากที่ดวงอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้ว เมืองแห่งนี้ก็จะค่อยๆซึมซับกลิ่นอายของความมืดกลายเป็นกลายเป็นเมืองสีน้ำเงินคราม ยามเมื่อแสงไฟจากเนินอะโครโพลิสสาดส่องเข้ามา ก็เผยให้เห็นต้นสนและต้นซีด้าร์ที่อยู่ในความมืดมิด หน้าผาที่สูงชันเมื่อได้อาบแสงสีทองอันเรืองรองเข้าไปก็ทำให้ดูเหมือนกับบังลังค์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่วิหารพาร์เธนอนต่างก็พากันส่องแสงอ่อนๆออกมาจากเสาหินอ่อน แม้ว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะเป็นซากปรักหักพังไปแล้วก็ตาม
“ผมต้องขอขอบคุณมากเลยนะครับคุณนิโคลที่คุณมากับผมในคืนนี้”
“ยินดีอย่างยิ่งครับ”
นิโคลเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น นิโคลนั้นเป็นคนที่มีความสง่างามราวกับปฏิมากรรมรูปปั้นของเทพเจ้าเฮอร์เมสในตอนเยาว์วัยและดูเหมือนเป็นคนที่มีฐานะดี เขามีผมสีน้ำตาลแก่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาดูสงบเรียบราวกับน้ำในทะเลสาบและยังมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากคนทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนที่มีบุคลิกที่นิ่งๆ แต่การที่ต้องมาสวมชุดสีดำในฤดูร้อนใกล้กับทะเลอีเจี้ยนก็ทำให้เขาถึงกับแสดงท่าทางอาการอึดอัดออกมา
“ความจริงตอนแรกผมได้ชวนเซย่าให้มาด้วยกัน แต่เขารีบปฏิเสธผมทันที เขาอ้างว่าโรงละครเป็นที่น่าเบื่อสำหรับเขา”
“การพาเซย่ามาดูละครก็คงเหมือนกับการเอาตั๋วชมละครราคาแพงๆไปโยนทิ้งโดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ผมพูดถูกไหม”
ชุนหัวเราะออกมาเบาๆ เขามีใบหน้าที่ดูเหมือนกับหญิงสาวที่บอบบาง ชุนเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี อายุของเขายังไม่ถึงสิบห้าปีแม้ว่ารูปร่างภายนอกเขาจะเหมือนเด็ก แต่ภายในเขาเป็นผู้ใหญ่ผิดกับรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก
ชุนและนิโคลนั่งใกล้ๆกันบนแถวที่สูงที่สุดของโรงละคร นิโคลถามชุนไปว่าเขารู้จักอะไรเกี่ยวกับโรงละครโอดีอ้อนแห่งนี้หรือเปล่า
“ก็ไม่มากเท่าไรครับ” ชุนตอบกลับไป
โอดีอ้อนเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่ถูกสร้างขึ้นในยุค161 ซึ่งชื่อนี้หมายถึง “สถานที่ที่ถูกสร้างไว้สำหรับการแข่งขันดนตรี” มันมีรูปร่างที่มีลักษณะเป็นวงกลมที่รองรับผู้ชมได้ถึงหกพันกว่าคน และนอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังให้เสียงที่มีความไพเราะอย่างยอดเยี่ยม
“...คุณจะได้ยินเสียงแม้แต่เสียงของสิ่งของชิ้นเล็กๆที่หล่นอยู่บนเวที”
“เหลือเชื่อไปเลย”
ชื่อของโอดีอ้อน มาจากผู้ปกครองของโรมันที่มีนามว่า “เฮโรด อัตติคัต” เขาได้รวบรวมระดมทุนก่อสร้างโรงละครแห่งนี้ในสมัยยุคโรมัน และต่อมาก็ได้เรียกโรงละครแห่งนี้ว่า “โรงละครของเฮโรด อัตติคัต” โรงละครแห่งนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและนี้เป็นการคืนชีพการกลับมาของละครโศกนาฏกรรมโบราณ ในช่วงของงานเทศกาลศิลปินจากทั่วโลกจะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อทำการแสดงของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นละครเวทีหรือการแสดงโอเปร่า
นิโคลอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ชุนฟังในทีเดียว
“ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหนๆ สำหรับชาวกรีกแล้วพวกเขาก็ยังคงรักโรงละครแห่งนี้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“สำหรับชาวกรีกแล้ว การไปชมการแสดงที่โรงละครเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการไปชมการแข่งขันฟุตบอล”
“แม้บางครั้งการแสดงละครในโรงละครกลางแจ้งอาจจะต้องเสี่ยงถูกยกเลิกไปอย่างกะทันหันเนื่องจากฝนที่ตกลงมา แต่ก็มีไม่มากนักเพราะเอเธนส์มีสภาพอากาศที่สดใสนานถึง300กว่าวันเลยทีเดียว”
“การแสดงจะเริ่มแสดงตอนที่พระอาทิตย์พ้นจากขอบฟ้าไปแล้ว... ”
นิโคลหาวออกมาเหมือนกับแมวในขณะที่ชุนเหยียดร่างที่เมื่อยล้าของเขาออกมา
“การแสดงเรื่องนี้ใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงเลยทีเดียว”
“ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเสียจริง”
ในประเทศกรีซละครโศกนาฏกรรมโบราณมักจะแสดงในฤดูร้อนในอัฒจันทร์กลางแจ้ง ซึ่งการแสดงที่แสดงอยู่ในตอนนี้เป็นบทประพันธ์ของนักเขียนที่มีชื่อว่า เอสคีลัส “โอเรสตีส”เป็นบทละครที่มีการแสดงถึงสามองก์ โดยในองก์แรกก็แสดงเสร็จไปแล้วและตอนนี้ก็กำลังเข้าถึงช่วงองก์ที่สองของการแสดง
“ผมยังไม่เห็นผู้มาชมละครคนไหนกลับไปเลยสักคน”
“ชาวกรีกทั้งเด็กและผู้ใหญ่มักจะใช้ชีวิตในยามค่ำคืนแทบจะทั้งหมด”
“จริงหรือครับ”
“แล้วเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอย่างคุณล่ะ คิดอย่างไรกับการแสดงละครของโรงละครโบราณแห่งนี้”
“ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากๆ”
“จริงหรือ?ผลงานของเอสคีลัสแม้จะมีความประณีตมากก็จริง แต่ผมก็ยอมรับว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อเล็กน้อยเมื่อได้ชมในตอนแรก”
นิโคลยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
เอสคีลัสเป็นเจ้าของผลงานละครทั้งสามองก์ เขามีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ห้า โอเรสตีสเป็นผลงานที่เก่าแก่กว่าบทละครของเช็คสเปียร์และเมื่อเวลาผ่านไปผู้จัดละครก็ได้ปรับแต่งละครโดยเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจเข้าไป.....มีชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนน้อยมากที่จะรู้ถึงเรื่องราวของโอเรสตีสแต่จะรู้จักเรื่องราวของสงครามโทรจัน เสียซะมากกว่า แต่นั้นก็เป็นเรื่องทีดีที่จะอธิบายถึงเรื่องราวของโอเรสตีสเพราะเรื่องราวของโอเรสตีสนั้นเกิดขึ้นหลังจากสงครามโทรจัน
อีริส เทพธิดาแห่งความบาดหมางได้หยิบยื่นแอ็ปเปิ้ลทองคำเพื่อมอบให้แก่หญิงที่งามที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามโทรจัน สงครามที่แย่งชิงสาวงามที่มีนามว่าเฮเลน
อะกาเมน่อนกษัตริย์แห่งไมซีเน่และเป็นผู้นำของกองทัพกรีกได้ทำการสังเวยชีวิตลูกสาวของเขาซึ่งมีนามว่า อิปฮีจีเนีย ให้กับเหล่าทวยเทพเพื่อที่จะให้ชนะสงครามในครั้งนี้ ซึ่งการกระทำของกษัตริย์อะกาเมน่อนในคราวนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับมเหสีไคลเทมเนสตร้า เป็นอย่างมาก เธอได้ร่วมมือกับชู้รักของเธอที่มีนามว่า อีกิสทัส สังหารกษัตริย์อะกาเมน่อนหลังจากที่เขาชนะสงครามโทรจันกลับมา ซึ่งเรื่องราวตอนนี้ได้แสดงให้ผู้ชมละครได้รับรู้ว่า ละครองก์แรกที่มีชื่อว่า “อะกาเมน่อน” กำลังจะปิดฉากลงแล้ว
“พูดถึงเซย่า แค่การแสดงเริ่มต้นที่จะนำเข้าไปสู่เนื้อเรื่องหลักก็คงทำให้เขาหลับคาที่นั่งไปแล้ว”
“คราวหน้า ลองชวนเขาไปดูหนังตลก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ทะลึ่งตึงตัง ใช้ความรุนแรงและหาสาระไม่ได้ บางที่เขาอาจจะสนใจขึ้นมาบ้างก็ได้”
นิโคลได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเซย่าและจินตนาการไปว่าเขาคงเป็นคนตลกอย่างมากๆ
ชุนลดสายตาของเขาไปที่โรงละครที่อยู่ข้างล่างของเนินอะโครโพลิส เพราะการแสดงในองก์ที่สองที่มีชื่อเรียกว่า “เพลงสวดศพของหญิงสาว” กำลังเริ่มต้นทำการแสดง เก้าปีต่อมาหลังจากการตายของกษัตริย์อะกาเมน่อน โอเรสติสที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในเมืองที่ใกล้เคียง ตอนนี้ก็ได้เติบโตเป็นหนุ่ม เขาได้รับความจริงจากเทพพยากรณ์แห่งเดลฟี่ว่า ผู้ที่สังหารบิดาของเขาก็คือ มารดาและชู้รักของนาง โอเรสตีสเมื่อรู้ความจริงก็ได้สาบานไว้ว่าเขาจะต้องล้างแค้นคนที่สังหารบิดาของเขาให้จงได้
การแสดงละครของโรงละครแห่งนี้ จะมีเอกลักษณ์พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ นักแสดงจะสวมหน้ากาก ทำการแสดง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับผู้มาชมการแสดง
โอเรสตีสได้แอบกลับบ้านเกิดพร้อมกับอิเล็คตร้าน้องสาวของเขาผู้ที่มีความตั้งใจเช่นเดียวกันกับเขาที่จะสังหารอีกิทัสชู้รักของมารดาของเขาซึ่งครั้งหนึ่งได้ปลิดชีวิตบิดาของพวกเขาไป ตอนนี้เขาได้ล้างแค้นให้กับบิดาของเขาแล้ว โอเรสตีสตอนนี้ได้ออกมาเผชิญหน้ากับ ไคลเทมเนสตร้า ผู้ซึ่งเป็นมารดาของเขา มารดาของเขาได้อ้อนวอนขอร้องให้เขาไว้ชีวิตเธอ ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก แต่โอเรสตีสยังคงไม่ลืมความแค้น เขายังคงต้องการแก้แค้นให้แก่บิดาของเขาเหมือนกับคำพยากรณ์ของผู้ทำนายแห่งเดลฟี่ ว่าเขาจะต้องสังหารมารดาของเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยง
“อสรพิษ ข้าให้กำเนิดอสรพิษขึ้นมาชัดๆ...”
“ท่านได้สังหารผู้ที่ท่านไม่สมควรจะสังหาร”
หัวใจของโอเรสตีสรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เขาชี้ดาบไปที่มารดาของเขา หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงดาบไปที่ร่างที่อยู่ตรงหน้า ราชินีไคลเทมเนสตร้าสิ้นชีวิตลงต่อหน้าร่างของเธอยับเยินราวกับตุ๊กตาสกปรกที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครแยแส เลือดนองไปทั่วเวที การแสดงของโอเรสตีสบนเวทีสร้างความประหลาดใจให้กับสายตาทุกคู่ที่มาชมการแสดง ซึ่งฉากนี้แท้จริงแล้วโอเรสติสไม่ได้เป็นผู้สังหารมารดาของเขาด้วยตัวของเขาเอง แต่มารดาของเขาต่างหากที่ปลิดชีวิตตนเอง ผู้ชมละครจดจ้องอยู่ว่าเขากำลังจะแสดงอะไรต่อไปเพื่อที่เชื่อมโยงเนื้อเรื่องไปถึงสามเทพีเอรินเยสผู้ที่นำพาเขาไปสู่ความบ้าคลั่งในองก์ที่สาม
“เกิดอะไรขึ้น”
นิโคลหันไปหาชุน และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“มีบางอย่างที่ผิดปกติ”
ฉากความรุนแรงไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็นโดยตรง แท้ที่จริงแล้วฉากนี้นักแสดงจะต้องออกจากเวทีไปพร้อมกับเสียงที่โหยหวนจากความทรมานตามคำบรรยายของผู้ที่บรรยายเนื้อเรื่อง นี่คือกฎข้อบังคับของโรงละครกรีกที่ห้ามแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงบนเวที ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่โรงละครแห่งนี้จะแสดงละครโดยฝ่าฝืนกฎ แถมยังเป็นละครแห่งประวัติศาสตร์เรื่องนี้ด้วย
“พวกเขาไม่ต้องแสดงให้เห็นถึงขนาดนี้ก็ได้นี่”
นิโคลคุ้นเคยกับบทละครเรื่องนี้ดี เขารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ผิดปกติที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“พวกเขามีกันถึงสองคน?” นิโคลบ่นพึมพำออกมา
บนเวทีตอนนี้มีผู้แสดงเป็นโอเรสตีสถึงสองคน และพวกเขาก็สวมใส่หน้ากากเหมือนๆกันอีก โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าโอเรสตีสอีกคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ผู้สวมบทบาทโอเรสติสตัวจริงยืนตัวสั่นก้าวขาไม่ออกเมื่อได้เห็นการฆาตกรรมที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ทันได้มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องอะไรเลยแม้แต่ประโยชน์เดียว
หน้ากากที่สวมใส่ของเขาร่วงหล่นลงมา
พร้อมด้วยศีรษะของเขา
นักแสดงผู้รับบทโอเรสตีสถูกสังหาร
พร้อมกับฉากบนเวทีก็ได้ถูกทำลายลง
ตำนานกรีกโบราณได้เล่าขานถึงความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าโปเซดอนและเทพีอาธีน่า ที่ต้องการจะครอบครองนครอันงดงามที่มีนามว่า อัตติกา แล้วในที่สุดเทพีอาธีน่าเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้หลังจากที่เทพีอาธีน่าเสนอมอบต้นมะกอกให้แก่ชาวนคร ซึ่งเป็นสิ่งทีมีประโยชน์หลายคณานับอีกทั้งยังเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพและความรุ่งเรือง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนายิ่งกว่าม้าประทานของเทพเจ้าโปเซดอน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสงครามและความต่ำทราม ทวยเทพเล็งเห็นว่าสิ่งที่เทพีอาธีน่าเสนอให้แก่ชาวนครอัตติก้ามีประโยชน์ต่อชาวนครมากที่สุด จึงให้เทพีอาธีน่าเป็นเทพีผู้พิทักษ์นครแห่งนี้ไป ซึ่งต่อมาได้นครอัตติก้ากลายเป็นเมืองหลวงของกรีกที่มีชื่อเรียกว่า เอเธนส์ ซึ่งเป็นชื่อที่ประทานมาจากเทพีอาธีน่าจากนั้นชาวนครก็สร้างวิหารหินอ่อนสีขาวบริสุทธ์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เทพีอาธีน่า วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินที่มีความสูง 70 เมตร และมีอาณาเขตโดยรอบถึง 800 เมตร เมื่อเวลาผ่านไปวิหารที่เคยรุ่งเรืองในอดีตบัดนี้ก็ได้เสื่อมสลายกลายเป็นซากปรักหักพังไป ถึงแม้วิหารแห่งนี้จะทรุดโทรมลงไป แต่ก็ยังรู้สึกถึงความมีเกียรติความรุ่งโรจน์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้อยู่เสมอ
ช่วงเวลายามค่ำคืน
“ผมว่าอากาศที่นี่มันเย็นมากเลยน่ะครับ”
ผมสีน้ำตาลของชุนพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดเข้ามา ตอนนี้เขาอยู่ในโรงละครกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเนินอะโครโพลิส สายตาของเขากำลังจดจ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
ในฤดูร้อนของเมืองเอเธนส์หลังจากที่ดวงอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้ว เมืองแห่งนี้ก็จะค่อยๆซึมซับกลิ่นอายของความมืดกลายเป็นกลายเป็นเมืองสีน้ำเงินคราม ยามเมื่อแสงไฟจากเนินอะโครโพลิสสาดส่องเข้ามา ก็เผยให้เห็นต้นสนและต้นซีด้าร์ที่อยู่ในความมืดมิด หน้าผาที่สูงชันเมื่อได้อาบแสงสีทองอันเรืองรองเข้าไปก็ทำให้ดูเหมือนกับบังลังค์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่วิหารพาร์เธนอนต่างก็พากันส่องแสงอ่อนๆออกมาจากเสาหินอ่อน แม้ว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะเป็นซากปรักหักพังไปแล้วก็ตาม
“ผมต้องขอขอบคุณมากเลยนะครับคุณนิโคลที่คุณมากับผมในคืนนี้”
“ยินดีอย่างยิ่งครับ”
นิโคลเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น นิโคลนั้นเป็นคนที่มีความสง่างามราวกับปฏิมากรรมรูปปั้นของเทพเจ้าเฮอร์เมสในตอนเยาว์วัยและดูเหมือนเป็นคนที่มีฐานะดี เขามีผมสีน้ำตาลแก่ ดวงตาทั้งคู่ของเขาดูสงบเรียบราวกับน้ำในทะเลสาบและยังมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากคนทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนที่มีบุคลิกที่นิ่งๆ แต่การที่ต้องมาสวมชุดสีดำในฤดูร้อนใกล้กับทะเลอีเจี้ยนก็ทำให้เขาถึงกับแสดงท่าทางอาการอึดอัดออกมา
“ความจริงตอนแรกผมได้ชวนเซย่าให้มาด้วยกัน แต่เขารีบปฏิเสธผมทันที เขาอ้างว่าโรงละครเป็นที่น่าเบื่อสำหรับเขา”
“การพาเซย่ามาดูละครก็คงเหมือนกับการเอาตั๋วชมละครราคาแพงๆไปโยนทิ้งโดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ผมพูดถูกไหม”
ชุนหัวเราะออกมาเบาๆ เขามีใบหน้าที่ดูเหมือนกับหญิงสาวที่บอบบาง ชุนเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี อายุของเขายังไม่ถึงสิบห้าปีแม้ว่ารูปร่างภายนอกเขาจะเหมือนเด็ก แต่ภายในเขาเป็นผู้ใหญ่ผิดกับรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก
ชุนและนิโคลนั่งใกล้ๆกันบนแถวที่สูงที่สุดของโรงละคร นิโคลถามชุนไปว่าเขารู้จักอะไรเกี่ยวกับโรงละครโอดีอ้อนแห่งนี้หรือเปล่า
“ก็ไม่มากเท่าไรครับ” ชุนตอบกลับไป
โอดีอ้อนเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่ถูกสร้างขึ้นในยุค161 ซึ่งชื่อนี้หมายถึง “สถานที่ที่ถูกสร้างไว้สำหรับการแข่งขันดนตรี” มันมีรูปร่างที่มีลักษณะเป็นวงกลมที่รองรับผู้ชมได้ถึงหกพันกว่าคน และนอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังให้เสียงที่มีความไพเราะอย่างยอดเยี่ยม
“...คุณจะได้ยินเสียงแม้แต่เสียงของสิ่งของชิ้นเล็กๆที่หล่นอยู่บนเวที”
“เหลือเชื่อไปเลย”
ชื่อของโอดีอ้อน มาจากผู้ปกครองของโรมันที่มีนามว่า “เฮโรด อัตติคัต” เขาได้รวบรวมระดมทุนก่อสร้างโรงละครแห่งนี้ในสมัยยุคโรมัน และต่อมาก็ได้เรียกโรงละครแห่งนี้ว่า “โรงละครของเฮโรด อัตติคัต” โรงละครแห่งนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและนี้เป็นการคืนชีพการกลับมาของละครโศกนาฏกรรมโบราณ ในช่วงของงานเทศกาลศิลปินจากทั่วโลกจะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อทำการแสดงของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นละครเวทีหรือการแสดงโอเปร่า
นิโคลอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ชุนฟังในทีเดียว
“ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหนๆ สำหรับชาวกรีกแล้วพวกเขาก็ยังคงรักโรงละครแห่งนี้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“สำหรับชาวกรีกแล้ว การไปชมการแสดงที่โรงละครเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการไปชมการแข่งขันฟุตบอล”
“แม้บางครั้งการแสดงละครในโรงละครกลางแจ้งอาจจะต้องเสี่ยงถูกยกเลิกไปอย่างกะทันหันเนื่องจากฝนที่ตกลงมา แต่ก็มีไม่มากนักเพราะเอเธนส์มีสภาพอากาศที่สดใสนานถึง300กว่าวันเลยทีเดียว”
“การแสดงจะเริ่มแสดงตอนที่พระอาทิตย์พ้นจากขอบฟ้าไปแล้ว... ”
นิโคลหาวออกมาเหมือนกับแมวในขณะที่ชุนเหยียดร่างที่เมื่อยล้าของเขาออกมา
“การแสดงเรื่องนี้ใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงเลยทีเดียว”
“ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเสียจริง”
ในประเทศกรีซละครโศกนาฏกรรมโบราณมักจะแสดงในฤดูร้อนในอัฒจันทร์กลางแจ้ง ซึ่งการแสดงที่แสดงอยู่ในตอนนี้เป็นบทประพันธ์ของนักเขียนที่มีชื่อว่า เอสคีลัส “โอเรสตีส”เป็นบทละครที่มีการแสดงถึงสามองก์ โดยในองก์แรกก็แสดงเสร็จไปแล้วและตอนนี้ก็กำลังเข้าถึงช่วงองก์ที่สองของการแสดง
“ผมยังไม่เห็นผู้มาชมละครคนไหนกลับไปเลยสักคน”
“ชาวกรีกทั้งเด็กและผู้ใหญ่มักจะใช้ชีวิตในยามค่ำคืนแทบจะทั้งหมด”
“จริงหรือครับ”
“แล้วเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอย่างคุณล่ะ คิดอย่างไรกับการแสดงละครของโรงละครโบราณแห่งนี้”
“ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากๆ”
“จริงหรือ?ผลงานของเอสคีลัสแม้จะมีความประณีตมากก็จริง แต่ผมก็ยอมรับว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อเล็กน้อยเมื่อได้ชมในตอนแรก”
นิโคลยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
เอสคีลัสเป็นเจ้าของผลงานละครทั้งสามองก์ เขามีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ห้า โอเรสตีสเป็นผลงานที่เก่าแก่กว่าบทละครของเช็คสเปียร์และเมื่อเวลาผ่านไปผู้จัดละครก็ได้ปรับแต่งละครโดยเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจเข้าไป.....มีชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนน้อยมากที่จะรู้ถึงเรื่องราวของโอเรสตีสแต่จะรู้จักเรื่องราวของสงครามโทรจัน เสียซะมากกว่า แต่นั้นก็เป็นเรื่องทีดีที่จะอธิบายถึงเรื่องราวของโอเรสตีสเพราะเรื่องราวของโอเรสตีสนั้นเกิดขึ้นหลังจากสงครามโทรจัน
อีริส เทพธิดาแห่งความบาดหมางได้หยิบยื่นแอ็ปเปิ้ลทองคำเพื่อมอบให้แก่หญิงที่งามที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามโทรจัน สงครามที่แย่งชิงสาวงามที่มีนามว่าเฮเลน
อะกาเมน่อนกษัตริย์แห่งไมซีเน่และเป็นผู้นำของกองทัพกรีกได้ทำการสังเวยชีวิตลูกสาวของเขาซึ่งมีนามว่า อิปฮีจีเนีย ให้กับเหล่าทวยเทพเพื่อที่จะให้ชนะสงครามในครั้งนี้ ซึ่งการกระทำของกษัตริย์อะกาเมน่อนในคราวนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับมเหสีไคลเทมเนสตร้า เป็นอย่างมาก เธอได้ร่วมมือกับชู้รักของเธอที่มีนามว่า อีกิสทัส สังหารกษัตริย์อะกาเมน่อนหลังจากที่เขาชนะสงครามโทรจันกลับมา ซึ่งเรื่องราวตอนนี้ได้แสดงให้ผู้ชมละครได้รับรู้ว่า ละครองก์แรกที่มีชื่อว่า “อะกาเมน่อน” กำลังจะปิดฉากลงแล้ว
“พูดถึงเซย่า แค่การแสดงเริ่มต้นที่จะนำเข้าไปสู่เนื้อเรื่องหลักก็คงทำให้เขาหลับคาที่นั่งไปแล้ว”
“คราวหน้า ลองชวนเขาไปดูหนังตลก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ทะลึ่งตึงตัง ใช้ความรุนแรงและหาสาระไม่ได้ บางที่เขาอาจจะสนใจขึ้นมาบ้างก็ได้”
นิโคลได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเซย่าและจินตนาการไปว่าเขาคงเป็นคนตลกอย่างมากๆ
ชุนลดสายตาของเขาไปที่โรงละครที่อยู่ข้างล่างของเนินอะโครโพลิส เพราะการแสดงในองก์ที่สองที่มีชื่อเรียกว่า “เพลงสวดศพของหญิงสาว” กำลังเริ่มต้นทำการแสดง เก้าปีต่อมาหลังจากการตายของกษัตริย์อะกาเมน่อน โอเรสติสที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในเมืองที่ใกล้เคียง ตอนนี้ก็ได้เติบโตเป็นหนุ่ม เขาได้รับความจริงจากเทพพยากรณ์แห่งเดลฟี่ว่า ผู้ที่สังหารบิดาของเขาก็คือ มารดาและชู้รักของนาง โอเรสตีสเมื่อรู้ความจริงก็ได้สาบานไว้ว่าเขาจะต้องล้างแค้นคนที่สังหารบิดาของเขาให้จงได้
การแสดงละครของโรงละครแห่งนี้ จะมีเอกลักษณ์พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ นักแสดงจะสวมหน้ากาก ทำการแสดง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับผู้มาชมการแสดง
โอเรสตีสได้แอบกลับบ้านเกิดพร้อมกับอิเล็คตร้าน้องสาวของเขาผู้ที่มีความตั้งใจเช่นเดียวกันกับเขาที่จะสังหารอีกิทัสชู้รักของมารดาของเขาซึ่งครั้งหนึ่งได้ปลิดชีวิตบิดาของพวกเขาไป ตอนนี้เขาได้ล้างแค้นให้กับบิดาของเขาแล้ว โอเรสตีสตอนนี้ได้ออกมาเผชิญหน้ากับ ไคลเทมเนสตร้า ผู้ซึ่งเป็นมารดาของเขา มารดาของเขาได้อ้อนวอนขอร้องให้เขาไว้ชีวิตเธอ ผู้ที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก แต่โอเรสตีสยังคงไม่ลืมความแค้น เขายังคงต้องการแก้แค้นให้แก่บิดาของเขาเหมือนกับคำพยากรณ์ของผู้ทำนายแห่งเดลฟี่ ว่าเขาจะต้องสังหารมารดาของเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยง
“อสรพิษ ข้าให้กำเนิดอสรพิษขึ้นมาชัดๆ...”
“ท่านได้สังหารผู้ที่ท่านไม่สมควรจะสังหาร”
หัวใจของโอเรสตีสรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้ เขาชี้ดาบไปที่มารดาของเขา หลังจากนั้นเขาก็ได้ลงดาบไปที่ร่างที่อยู่ตรงหน้า ราชินีไคลเทมเนสตร้าสิ้นชีวิตลงต่อหน้าร่างของเธอยับเยินราวกับตุ๊กตาสกปรกที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครแยแส เลือดนองไปทั่วเวที การแสดงของโอเรสตีสบนเวทีสร้างความประหลาดใจให้กับสายตาทุกคู่ที่มาชมการแสดง ซึ่งฉากนี้แท้จริงแล้วโอเรสติสไม่ได้เป็นผู้สังหารมารดาของเขาด้วยตัวของเขาเอง แต่มารดาของเขาต่างหากที่ปลิดชีวิตตนเอง ผู้ชมละครจดจ้องอยู่ว่าเขากำลังจะแสดงอะไรต่อไปเพื่อที่เชื่อมโยงเนื้อเรื่องไปถึงสามเทพีเอรินเยสผู้ที่นำพาเขาไปสู่ความบ้าคลั่งในองก์ที่สาม
“เกิดอะไรขึ้น”
นิโคลหันไปหาชุน และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“มีบางอย่างที่ผิดปกติ”
ฉากความรุนแรงไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาให้เห็นโดยตรง แท้ที่จริงแล้วฉากนี้นักแสดงจะต้องออกจากเวทีไปพร้อมกับเสียงที่โหยหวนจากความทรมานตามคำบรรยายของผู้ที่บรรยายเนื้อเรื่อง นี่คือกฎข้อบังคับของโรงละครกรีกที่ห้ามแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงบนเวที ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่โรงละครแห่งนี้จะแสดงละครโดยฝ่าฝืนกฎ แถมยังเป็นละครแห่งประวัติศาสตร์เรื่องนี้ด้วย
“พวกเขาไม่ต้องแสดงให้เห็นถึงขนาดนี้ก็ได้นี่”
นิโคลคุ้นเคยกับบทละครเรื่องนี้ดี เขารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ผิดปกติที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“พวกเขามีกันถึงสองคน?” นิโคลบ่นพึมพำออกมา
บนเวทีตอนนี้มีผู้แสดงเป็นโอเรสตีสถึงสองคน และพวกเขาก็สวมใส่หน้ากากเหมือนๆกันอีก โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าโอเรสตีสอีกคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ผู้สวมบทบาทโอเรสติสตัวจริงยืนตัวสั่นก้าวขาไม่ออกเมื่อได้เห็นการฆาตกรรมที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ทันได้มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องอะไรเลยแม้แต่ประโยชน์เดียว
หน้ากากที่สวมใส่ของเขาร่วงหล่นลงมา
พร้อมด้วยศีรษะของเขา
นักแสดงผู้รับบทโอเรสตีสถูกสังหาร
พร้อมกับฉากบนเวทีก็ได้ถูกทำลายลง
โอเรสตีสตัวปลอมได้ก้าวลงมาจากเวที พร้อมกับแกว่งดาบเปื้อนเลือดไปมา ดูเหมือนว่าฉากการทำมาตุฆาตในละครจะกลับกลายเป็นเรื่องจริงและเสียงกรีดร้องที่เหมือนกับเสียงร้องในหนังสยองขวัญก็ดังขึ้นมา มือสังหารผู้ปลิดชีวิตนักแสดงผู้รับบทไคลเทมเนสตร้าและโอเรสตีส ก็วิ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชนนับหกพันคน เขาปีนป่ายไปตามขั้นบันไดที่นั่งของผู้ที่มาชมละครขึ้นมาบนแถวบนสุด จากนั้นเขาก็ยกดาบที่เปื้อนเลือดขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะของเขา
“มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?”
ชุนรู้สึกตกใจกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ดวงตาที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากโอเรสติสจ้องมองมาที่เขา จากนั้นดาบเหล็กอันหนักหน่วงก็ฟาดเข้ามาหาเขาในทันที
“อะไรกัน...”
โซ่ของชุนปรากฏขึ้นมา เขาใช้แขนทั้งสองข้างของเขาจับโซ่เพื่อป้องกันคมดาบที่โจมตีเข้ามา ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบที่ใช้ในการแสดงละครแต่มันเป็นดาบของจริงที่สามารถใช้ตัดกระดูกและศีรษะให้หลุดออกจากร่างได้ เสียงโซ่และดาบเหล็กเสียดสีกันไปมา
“นายเป็นใคร” ชุนถามกลับไปในขณะที่กำลังต้านการโจมตีของโอเรสตีสที่ปลอมตัวมา
ชุนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของศัตรูที่บุกเข้ามาท่ามกลางความมืดได้ชัดเจน เพราะศัตรูได้ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากโอเรสติส แถมแสงไฟจากเวทีก็ถูกร่างของศัตรูบดบังไปจนหมด กลิ่นของสัตว์ป่าส่งกลิ่นออกมาจากตัวผู้บุกรุก ตอนนี้โซ่ของชุนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง เขาต้านกำลังของศัตรูไว้ไม่ไหวแล้ว
“ชุน!” นิโคลเรียกชุนด้วยเสียงที่ดัง
ศัตรูผู้ซึ่งกำลังมีชัยเมื่อเห็นนิโคลกำลังเข้าช่วยเหลือชุน เขาก็ขว้างอาวุธออกไปหาร่างของนิโคลในทันที
“ระวัง” ชุนร้องออกมา
ชุนเห็นร่างของนิโคลลอยละลิ่วขึ้นมาจากการโจมตี ร่างของนิโคลลอยไปหาผนังของโรงละครที่อยู่ห่างออกไปสองถึงสามเมตร
“อ้าก!”
นิโคลกระแทกเข้ากับผนังแล้วร่วงหล่นมาสู่พื้น ร่างของเขาหายไปท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่น และยิ่งไปกว่านั้นศัตรูทำโจมตีธรรมดาก็ถึงกับทำให้นิโคลอยู่ในสภาพที่ร่อแร่ เป็นการโจมตีที่เร็วกว่าเสียงซึ่งชุนไม่เคยเห็นการโจมตีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน สภาพแวดล้อมที่มืดมิดเต็มไปด้วยความอลหม่าน ผู้ที่มาชมละครต่างพากันแตกตื่นหลังจากที่ได้เห็นฉากฆาตกรรมและพากันหนีตายกันอย่างโกลาหลคล้ายกับมดที่แตกออกจากรัง เสียงร้องที่ตื่นตระหนกราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแพน เทพแห่งความบ้าคลั่ง
“ศัตรูหายไปไหนแล้ว?”
ชุนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่น โซ่ของเขาอยู่ตรงด้านหน้ากำลังปกป้องนิโคล
และผู้คน
ศัตรูได้หายตัวไป
โอเรสตีสตัวปลอมถอดหน้ากากของเขาทิ้งไว้บนเวที และจากนั้นก็ค่อยๆหายเข้าไปในที่ซึ่งแสงไฟส่องไปไม่ถึง
“มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?”
ชุนรู้สึกตกใจกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ดวงตาที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากโอเรสติสจ้องมองมาที่เขา จากนั้นดาบเหล็กอันหนักหน่วงก็ฟาดเข้ามาหาเขาในทันที
“อะไรกัน...”
โซ่ของชุนปรากฏขึ้นมา เขาใช้แขนทั้งสองข้างของเขาจับโซ่เพื่อป้องกันคมดาบที่โจมตีเข้ามา ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบที่ใช้ในการแสดงละครแต่มันเป็นดาบของจริงที่สามารถใช้ตัดกระดูกและศีรษะให้หลุดออกจากร่างได้ เสียงโซ่และดาบเหล็กเสียดสีกันไปมา
“นายเป็นใคร” ชุนถามกลับไปในขณะที่กำลังต้านการโจมตีของโอเรสตีสที่ปลอมตัวมา
ชุนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของศัตรูที่บุกเข้ามาท่ามกลางความมืดได้ชัดเจน เพราะศัตรูได้ปิดบังใบหน้าด้วยหน้ากากโอเรสติส แถมแสงไฟจากเวทีก็ถูกร่างของศัตรูบดบังไปจนหมด กลิ่นของสัตว์ป่าส่งกลิ่นออกมาจากตัวผู้บุกรุก ตอนนี้โซ่ของชุนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง เขาต้านกำลังของศัตรูไว้ไม่ไหวแล้ว
“ชุน!” นิโคลเรียกชุนด้วยเสียงที่ดัง
ศัตรูผู้ซึ่งกำลังมีชัยเมื่อเห็นนิโคลกำลังเข้าช่วยเหลือชุน เขาก็ขว้างอาวุธออกไปหาร่างของนิโคลในทันที
“ระวัง” ชุนร้องออกมา
ชุนเห็นร่างของนิโคลลอยละลิ่วขึ้นมาจากการโจมตี ร่างของนิโคลลอยไปหาผนังของโรงละครที่อยู่ห่างออกไปสองถึงสามเมตร
“อ้าก!”
นิโคลกระแทกเข้ากับผนังแล้วร่วงหล่นมาสู่พื้น ร่างของเขาหายไปท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่น และยิ่งไปกว่านั้นศัตรูทำโจมตีธรรมดาก็ถึงกับทำให้นิโคลอยู่ในสภาพที่ร่อแร่ เป็นการโจมตีที่เร็วกว่าเสียงซึ่งชุนไม่เคยเห็นการโจมตีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน สภาพแวดล้อมที่มืดมิดเต็มไปด้วยความอลหม่าน ผู้ที่มาชมละครต่างพากันแตกตื่นหลังจากที่ได้เห็นฉากฆาตกรรมและพากันหนีตายกันอย่างโกลาหลคล้ายกับมดที่แตกออกจากรัง เสียงร้องที่ตื่นตระหนกราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับแพน เทพแห่งความบ้าคลั่ง
“ศัตรูหายไปไหนแล้ว?”
ชุนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่น โซ่ของเขาอยู่ตรงด้านหน้ากำลังปกป้องนิโคล
และผู้คน
ศัตรูได้หายตัวไป
โอเรสตีสตัวปลอมถอดหน้ากากของเขาทิ้งไว้บนเวที และจากนั้นก็ค่อยๆหายเข้าไปในที่ซึ่งแสงไฟส่องไปไม่ถึง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น