คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ❤❤
มันคงจะมากเกินไปถ้าหากจะต้องบอกว่าจุนมยอนนั้นไม่เห็นจะกลัวคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่ก็ดูจะเว่อร์เกินไปเหมือนกัน ถ้าจะต้องบอกว่าจุนมยอนไม่ได้กลัวเลย ตอนนี้น้ำลายที่อยู่ในปากมันกำลังเหนียวหนืดซะแทบอ้าปากไม่ออก มือไม้ของตนเองที่เมื่อกี้ทำเนียนยกไปตบบ่าอีกคนกลับต้องลดลงมากอบกุมกันไว้อย่างงกๆเงิ่นๆ
“...........”
“...........”
มีเพียงความเงียบที่ครอบงำคนสองคนเอาไว้ในเวลานี้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อห้านาทีก่อน ที่คนตัวเล็กเดินใจกล้าหน้ากวนตีนไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือขาวๆของตนเองยื่นไปตบไหล่คนสูงกว่า ยักคิ้วให้ข้างหนึ่งเมื่อเห็นว่าอีกคนจ้องตอบกลับมา พร้อมด้วยคำทักทายแสนสุภาพแฝงด้วยน้ำเสียงที่หาเรื่องกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีเพียงการที่อีกคนมองมาที่ศีรษะของจุนมยอน ก่อนจะก้มลงไปหยุดที่ปลายเท้า และเงยกลับมามองหน้าอีกที โดยไม่มีคำพูดคำจาอะไรหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั่นเลยสักนิด จุนมยอนเริ่มหวั่นใจตั้งแต่อีกคนไม่ตอบอะไรกลับมา ในหัวเริ่มมึนๆงงๆว่าคนตรงหน้านี้ใช่นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มารดาของเขาฝากฝังให้มารับตัวไปหรือเปล่า
“เอ่อ... คือว่า.....”
คำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยถูกหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นถอดแว่นกันแดดออก ก่อนจะหนีบไว้บริเวณคอเสื้อของตัวเอง สายตานิ่งๆนั้นถูกส่งมายังเขาที่แม้ว่ามันจะดูเรียบเฉยและเย็นชา แต่จุนมยอนสัมผัสได้ว่าอีกคนกำลังคาดคั้นเอาคำอธิบาย และแน่นอนว่าไม่มีการจ้องตากลับไป
“ค..คือว่าผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคุณน่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เพิ่งมาจากเกาหลีใต้”
อีกฝ่ายเพียงแค่ขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อได้ยินคำกล่าว และพยักหน้าเป็นเชิงจะบอกว่าตนเองนั้นคือคนที่กล่าวถึง แต่ก็ยังส่งสายตานิ่งๆนั้นให้คนตัวเล็กอยู่
เซฮุนเพียงแค่คิดอยู่ในใจ จุนมยอนคงไม่รู้ว่าวัฒนธรรมของเกาหลีนั้น ตั้งแต่บริเวณช่วงบ่าขึ้นไปถือเป็นของสูง ถ้าไม่สนิทกันหรือรู้จักกันในระดับหนึ่ง ยากนักที่จะยอมให้คนอื่นมาวางมือลงแล้วกระตุกแรงๆแบบที่คนตัวเล็กตรงหน้าทำไปเมื่อกี้ อีกทั้งดวงตากลมโตที่มองมายังเขาอย่างตั้งใจจะหาเรื่องกัน คำพูดคำจาที่ดูสนิทเกินเหตุ
มันอาจจะเป็นวัฒนธรรมของฝั่งยุโรปที่ไม่ถือเรื่องอะไรพวกนี้ แต่จารีตประเพณีที่ติดตัวมาจากประเทศบ้านเกิดของเซฮุนนั้น ยากนักที่จะลบหายไปได้เพียงก้าวเดียวที่มาถึงที่นี่
“ชื่อโอเซฮุน ใช่มั้ย?”
ความรู้สึกหงุดหงิดและโกรธเคืองอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ถูกลบหายไปจนหมด เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่เขาวิ่งตามหาไปทั่ว ก่อนจะลองทักทายอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่เป็นทางการมากกว่าเดิม แม้จะยังเกร็งๆกับสายตานิ่งๆที่ถูกส่งมาอยู่บ้าง แต่เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้จุนมยอนรู้สึกสนใจในตัวเพื่อนคนใหม่น้อยลงเลยสักนิด
แม้การรับอุปถัมภ์นักเรียนแลกเปลี่ยน จะมีกฎเหล็กของผู้เป็นมารดาของเขาเองที่บอกว่าห้ามพูดภาษาเกาหลีในระหว่างที่มีคนอื่นอยู่ที่บ้าน เพราะอาจทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเมื่อฟังภาษาของอีกคนไม่เข้าใจ อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่ตั้งใจมาเพื่อฝึกฝนภาษานั้น ไมได้รับประสิทธิภาพเท่าที่ควร
แล้วคนๆนี้เป็นคนเกาหลี จุนมยอนสามารถพูดได้มั้ยนะ
“จะถึงบ้านมั้ย?”
“ฮะ!”
จุนมยอนสะดุ้งนิดๆเพราะกำลังปล่อยความคิดตนเองอยู่ ก่อนจะเอียงใบหน้าหลบแทบไม่ทันเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆสักหน่อย ดวงตากลมโตหลุกหลิกไปมาอย่างเงอะงะ
“อ..เอ่อ รถอยู่ทางโน้น”
คนตัวเล็กชี้มือชี้ไม้ไปทางฟากฝั่งจอดรถของทางสนามบิน ก่อนจะรีบหมุนตัวหันหลังแล้วเดินดุ่มๆไปยังทางที่ตนเองชี้ไปเมื่อกี้ทันที โดยไม่ทันได้รอผู้มาเยือนอีกคนแต่อย่างใด
เซฮุนเดินลากกระเป๋าตามคนตัวเล็กที่ออกตัวเดินไปก่อนหน้าอย่างเร่งรีบ มือหนาที่ว่างอีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตสีดำตัวโปรดของตัวเองอย่างเคยชิน แต่แล้วฝีเท้ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ภายในกระเป๋าเสื้อของตนเองไมได้โล่งอย่างที่เป็น
ฉับพลันฝีเท้าที่กำลังมุ่งเดินไปข้างหน้า กลับต้องกลับหลังหัน และมุ่งตรงไปยังทางที่ตัวเองเพิ่งเดินออกมาทันที เมื่อสิ่งที่หายไปนั้นมีความสำคัญต่อเขามากพอสมควร แอบสบถอย่างหัวเสียนิดๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าภายในระยะเวลาสองวัน เขาทำมันหายไปถึงสองครั้งสองครา
“หายไปไหนวะ”
ดวงตาคมสอดส่ายมองหาสิ่งของที่ตัวเองคาดว่าน่าจะทำตกแถวๆทางเดินเชื่อมทางเข้าเกทผู้โดยสาร แต่แล้วกลับพบเพียงพื้นสนามบินที่ยังคงดูสะอาดจนแทบเห็นเงา ราวกับว่าเพิ่งผ่านการทำความสะอาดมาก่อนหน้านี้ไม่นาน เซฮุนก้มหน้าลงนิดๆอย่างเศร้าหมอง เมื่อฉุกคิดได้ว่าพนักงานทำความสะอาดคงมาเก็บกวาดสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ตอนนี้ไปแล้ว ในเมื่อสิ่งๆนั้นก็ไม่ได้ดูมีค่าอะไรมากมายสำหรับผู้ที่พบเห็นนัก
“นี่! มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ! ทำไมไม่ตามมาตั้งนานเล่า!”
เศร้าอยู่เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงใสใสของคนตัวเล็กที่เขาปล่อยให้เดินไปก่อนดังเข้าสู่โสตประสาท อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว กลายเป็นหงุดหงิดทันทีเมื่อจับใจความถึงประโยคที่อีกคนกล่าวออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้แน่ชัดว่าเขากำลังถูกอีกคนต่อว่า
จุนมยอนชักสีหน้าอย่างหัวเสีย เมื่อคนที่ควรจะเดินตามเขาไปกลับไร้วี่แวว เซฮุนคงไม่รู้ว่ามันน่าอับอายแค่ไหนกับการเดินไปบ่นไป เพียงเพราะคิดว่ามีอีกคนคอยรับฟังอยู่ข้างหลัง แต่หากต้องอ้าปากค้างเมื่อหันกลับไปแล้วมีเพียงความว่างเปล่า คนตัวเล็กก็เพิ่งรู้ตอนที่เดินไปถึงรถของตัวเองว่าตลอดระยะทางที่เดินบ่นไปนั้น เขาพูดคนเดียว
เซฮุนเพียงแค่ยักไหล่นิดๆ พร้อมกับปรับเปลี่ยนสีหน้าของตนเองให้กลับไปนิ่งเหมือนเคย ก่อนจะเดินผ่านคนตัวเล็กที่วิ่งมาตามตนไปยังทางจอดรถของสนามบินทันที จุนมยอนทำได้เพียงแค่มองตามอย่างงงๆพลางบ่นงุ้งงิ้งไปตามภาษาคนที่ริมฝีปากนั้นอยู่นิ่งๆไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยอมเดินไปข้างหน้าเพื่อนำอีกคนไปยังรถ
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถึงแล้ว”
จุนมยอนเอ่ยบอกอีกคนที่ยังคงทำหน้านิ่งๆนั่งอยู่เบาะข้างหลัง พร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเอง แต่แล้วก็เหมือนเดิม มีเพียงความเงียบที่ถูกส่งกลับมา คนตัวเล็กเพียงแค่กระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ เมื่อหวนคิดกลับไปถึงนักเรียนแลกเปลี่ยนคนก่อนๆที่แม่ของเขารับอุปถัมภ์มา ช่วงแรกๆก็นิ่งๆแบบนี้ทุกคน พออยู่กันไปสักพักก็พูดเล่นเสียงดังเสียจนคุณนายคิมต้องต่อว่าเป็นการใหญ่ เพราะเกรงจะรบกวนเพื่อนบ้าน
อย่างโอเซฮุนก็น่าจะเป็นกรณีเดียวกัน
“จุน ทำไมถึงบ้านช้าจังล่ะ แล้วไหนลูกชายคนใหม่ของแม่”
ไม่ทันไรคุณนายคิมก็วิ่งตะโกนออกมาจากบ้านด้วยประโยคที่จุนมยอนเกลียดแสนเกลียด ริมฝีปากสีแดงสดเบะคว่ำลงพลางกลอกตานิดๆ เมื่อมองคนที่มีศักดิ์เป็นมารดาของตนเองกำลังเปิดประตูรถไปมองหน้าลูกชายคนใหม่ และดึงมือออกให้มายืนนอกรถ ในขณะที่เซฮุนก็ได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย
“ทั้งขาว ทั้งสูง ทั้งหล่อ โอ๊ยยยย เด็กเกาหลีสมัยนี้หน้าตาดีอย่างนี้หรอ”
“หม่าม๊าฮะ!”
เสียงหวานตะโกนอย่างเหลืออดเมื่อคิมจินเยเอื้อมมือไปกอบกุมใบหน้าของคนตัวสูงไว้แล้วลูบด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม ทั้งๆที่ลูกชายแท้ๆของตัวเองกำลังยืนมองประกบอยู่ไม่ห่าง จุนมยอนกล้ายอมรับอย่างเต็มปากเลยว่าถึงแม้ว่าเขาจะอายุสิบแปดแล้ว แต่เขาก็ยังคงหวงแม่และติดแม่ราวกับเด็กวัยอนุบาล และถึงแม้ว่าเซฮุนและแม่ของเขาจะอายุห่างกันขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เขาอดหึงหวงแทนพ่อของเขาน้อยลงเลยสักนิด ก็ในเมื่อแม่ของเขายังคงสวยใสเหมือนกับผู้หญิงในวัยยี่สิบกลางๆ
และที่สำคัญที่สุดเลยคงจะเป็นแม่ของเขาเอง ที่ชมเซฮุนอย่างออกหน้าออกตาว่าหล่อ ทั้งๆที่มักจะบอกกับเขาเสมอว่าหน้าแบบเขานี่แหล่ะ ที่คนเกาหลีชอบ และส่วนสูงของเขานี่แหล่ะที่เป็นมาตรฐานของชายเอเชีย แต่ในเมื่อหน้าตาและส่วนสูงของจุนมยอนกลับตรงข้ามกับเซฮุนแบบสุดๆ แล้วทำไมแม่ของเขาถึงต้องชมเซฮุนอย่างนั้นด้วย
“สวัสดีครับคุณน้า”
ริมฝีปากสีแดงสดเบะออกอีกครั้งอย่างนึกหมั่นไส้ เมื่อได้ยินคำพูดคำจาแสนนุ่มนวล และสายตาอบอุ่นถูกส่งไปยังมารดาของเขา อีกทั้งยังทำท่าทางสุภาพอย่างเช่นการโค้งคำนับที่คุณนายคิมมักจะบอกกับจุนมยอนมาตั้งแต่เล็กๆว่ามันเป็นการแสดงความเคารพผู้อาวุโสของคนเกาหลี แล้วในเมื่อจุนมยอนมีอายุมากกว่าเซฮุน แล้วทำไมเซฮุนถึงไม่มีทีท่าว่าจะเคารพเขาเลยแม้แต่นิด ทำราวกับเป็นการเลือกปฏิบัติ
“เรียกแม่เลยก็ได้จ้ะ ไหนๆเราก็ต้องอยู่กันไปอีกนานนะ”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยบอก พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตรตามแบบฉบับของคนอารมณ์ดี เซฮุนสามารถเชื่อใจคนตรงหน้าได้ทันทีที่ได้รับรอยยิ้มที่ส่งมา มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นในแบบที่เขาไม่เคยได้รับจากครอบครัว เต็มไปด้วยความสว่างสไวเหมือนใครสักคนที่อยู่ในความทรงจำ ติดเพียงที่ว่าเขายังไม่อยากที่จะรื้อค้นกล่องความทรงจำนั้นออกมา ก็แค่นั้น
“หม่าม๊าฮะ ผมหิวข้าวแล้ว”
จุนมยอนเอ่ยบอกพลางลูบท้องตัวเองให้คนที่ยืนยิ้มอยู่นั้นรู้ว่านี่เป็นสัญญาณของลูกชายของตัวเองที่กำลังจะงอแงเพราะหิวข้าว หรืออาจจะมากกว่านั้นเพราะจุนมยอนกำลังรู้สึกว่าเซฮุนมองมาที่มารดาของเขาแบบตาไม่กระพริบ
“เซฮุนเข้าบ้านกันเถอะ ฮยองเค้าหิวข้าวแล้วล่ะ”
จินเยเอ่ยชักชวน พร้อมกับพยักเพยิดไปทางลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง นั่นทำให้เซฮุนขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อได้ยินประโยคภาษาเกาหลีหลุดออกมาจากปากเจ้าของบ้าน อีกทั้งสรรพนามที่ไม่แน่ใจว่าเขารับฟังมาผิดหรือไม่
‘ฮยองงั้นหรอ?’
ทิ้งความสงสัยเอาไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะรีบขนกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่เดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน
ภายในของบ้านนั้นแตกต่างจากภายในอกอย่างชัดเจน เมื่อสิ่งแรกที่เซฮุนมองไปเห็นคือบันไดเชื่อมชั้นล่างกับชั้นบนที่ดูไปแล้วน่าจะทำจากไม้ราคาสูง ฝั่งซ้ายเป็นห้องโถงรับแขกที่มีเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัย ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องอาหาร ที่มีประตูเชื่อมต่อไปเป็นห้องครัว ดูกว้างใหญ่และหรูหราค่อนข้างแตกต่างจากภายนอกที่ดูเหมือนบ้านหลังอื่นๆในละแวกนี้
“วางกระเป๋าไว้ตรงนั้นก่อนลูก มากินข้าวกันก่อนเถอะ เที่ยงแล้วล่ะ”
เสียงเจ้าของบ้านเอ่ยชักชวนนั้นทำให้เซฮุนที่กำลังมองสำรวจบ้านหลังใหม่นั้น ต้องหันไปพยักหน้าให้ และวางกระเป๋าเดินทางไว้ตรงข้างทางขึ้นบันได ก่อนจะเดินไปร่วมโต๊ะอาหารกับคุณนายคิมและลูกชาย
โต๊ะอาหารนั้นมีเพียงแค่สี่ที่ บ่งบอกว่าเป็นครอบครัวเล็กๆที่อาจจะไมได้มีแขกมาเยี่ยมที่บ้านบ่อย จุนมยอนนั่งตรงข้ามกับคิมจินเย นั่นทำให้เซฮุนชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกนั่งข้างใครดี แต่สุดท้ายก็หย่อนก้นตัวเองนั่งลงไปที่เก้าอี้ตัวข้างผู้เป็นใหญ่ในบ้าน
“ทานเยอะๆนะ แม่ทำอาหารเกาหลีเอาไว้ให้เยอะเลย”
เซฮุนมองโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยจานชามใบเล็กใบใหญ่ มีทั้งอาหารเกาหลี เช่น แกงกิมจิ คิมบับ ซัมกเยทัง ทุกอย่างถูกขนาบข้างไปด้วยจานผัก ซึ่งมันเป็นปกติของอาหารเกาหลีที่มีไว้เพื่อสุขภาพอยู่แล้ว และอาหารฝรั่งจำพวกเนื้อ นม ไข่ แน่นอนว่าอาหารเกาหลีถูกวางไว้ข้างหน้าเขาโดยส่วนใหญ่ ส่วนอาหารฝรั่งนั้นวางอยู่หน้าคนตัวเล็กอีกคนภายในบ้านซะหมด
“กินกิมจิเยอะๆนะเซฮุน มันหาซื้อยากมากในอเมริกา ลำพังแม่จะทำเอาไว้กินเองก็กลัวจะกินคนเดียวไม่หมด เพราะเจ้าจุนไม่ยอมกินผัก”
“อ้าว”
ร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าก้มตาทานกับข้าวฝีมือแม่ของตัวเองต้องเงยหน้ามามองอย่างงงๆ เมื่อประโยคที่ดูเหมือนจะพูดกับเซฮุนนั้น ท้ายประโยคมีข้อความพาดพิงเขาอยู่ตัวใหญ่
ใช่แล้ว จุนมยอนไม่ชอบกินผัก
เรื่องนี้คือเรื่องที่พยายามจะแก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที ถึงแม้จะโดนเพื่อนๆหรือโดนแม่ของตนเองดุเอา แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อทุกครั้งที่พยายามจะหยิบผักที่ใครๆก็บอกว่าทานง่าย อย่างเช่นแตงกวาหรือถั่วฝักยาว ขึ้นมาลองกินดู เพียงแค่ผักถูกส่งลอดช่องฟันไปเพียงนิด ลมหายใจก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นเหม็นเขียว ที่คนที่กินผักเป็นนั้นคงไม่เข้าใจความรู้สึกแน่ๆ
แน่นอนว่าจุนมยอนไม่ได้เก็บมาคิดให้มันรู้สึกว่าเป็นปมด้อยหรืออะไร ในเมื่อประชาชนในอเมริกานั้น มีคนที่ไม่กินผักเยอะเป็นปกติอยู่แล้ว แต่บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้หรอก เวลาที่ญาติฝั่งแม่ที่อยู่เกาหลีนั้น มาเยี่ยมแม่ที่นี่ แม่ก็จะคอยทำอาหารเกาหลีอย่างใหญ่โตต้อนรับ ทุกคนดูจะสนุกสนานและเอร็ดอร่อยไปกับมัน ยกเว้นจุนมยอนไว้คนหนึ่งที่ทำได้เพียงนั่งกร่อยและคีบพูลโกกีเข้าปาก
“เซฮุนชอบกินผักมั้ยเอ่ย?”
จินเยคีบเนื้อส่งให้ลูกชายของตัวเองที่เริ่มทำหน้างอใส่ ก่อนจะหันไปถามเซฮุนในประโยคต่อมา
“ชอบครับ กินผักแล้วสูง”
เซฮุนตอบกลับด้วยวาจาสุภาพ ก่อนท้ายประโยคจะเหลือบตาไปมองคนตัวเล็กที่ก้มหนาก้มตากินข้าวอยู่ มันคงอาจจะแปลกไปสักหน่อย ถ้าเขาจะบอกว่าปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาพาดพิงใคร และมันแปลกเอามากๆที่เขากำลังชอบที่จะพูดจาพาดพิงคนตรงหน้า ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงห้าชั่วโมง
และแน่นอนว่าจุนมยอนไม่ได้สนใจเลยสักนิด
‘จุนมยอนเป็นถึงคนที่สูงตามมาตรฐานชายชาวเอเชียเชียวนะ’
ขอโทษนะที่มันกร่อย ช่วงนี้เจอมรสุมอารมณ์
มันไม่มีอารมณ์จะแต่ง 5555555555555555+
แล้วก็ฝากถึงรีดเดอร์ ไม่ต้องใจร้ายกับเรามากนะคะ
เม้นไม่ถึง 20 แต่มีคนกดเฟบไว้เกือบ 25 ไม่ต้องทำตัวน่ารักขนาดนั้นก็ได้ค่ะ
ความคิดเห็น