คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ❤
‘ตึง ตึง ตึง’
เสียงฝีเท้ากระทบกับราวบันไดดังตึงตังภายในบ้านหลังหนึ่งในเมืองท่าชายฝั่งทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ร่างเล็กวิ่งข้ามขั้นลงบันไดอย่างร้อนรน จนกลัวว่าจะหกล้มหน้าคะมำไปเสียก่อน ก่อนจะวิ่งไปหยิบกุญแจรถยนต์ที่วางไว้บนชั้นวางหนังสือในห้องนั่งเล่นอย่างเร่งรีบ
เป็นเพราะเมื่อคืนที่มัวแต่ไปฉลองวันเกิดของรุ่นพี่คนสนิทอย่างเพลิดเพลิน พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาห้าทุ้มกว่าๆแล้ว เลยตัดสินใจโบกมือลาเจ้าของวันเกิดและคนในงานทันที แต่เหมือนดวงของจุนมยอนจะไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ เมื่อรถโดยสารในตอนกลางคืนช่างหายากนัก สุดท้ายก็ทำได้พียงโดยสารฝีเท้าของตัวเองกลับบ้านด้วยระยะทางเกือบสามกิโล ทั้งแอลกอฮอล์ที่แอบลองจิบดู ทั้งความเหนื่อยจากการวิ่งทางไกล มันมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้จุนมยอนหลับเป็นตาย
“หม่าม๊า!! ทำไมไม่ปลุกผมล่ะฮะ”
เสียงหวานกล่าวเสียงดังอย่างบ่นๆ พร้อมกับวิ่งไปใส่รองเท้า และวิ่งออกที่โรงจอดรถทันที โดยไม่ทันได้ฟังเสียงของมารดาที่ตะโกนตามหลังมาอย่างห่วงๆ
08:25 A.M. (GMT-06:00) At Seattle-takoma International Airport , Washington D.C, U.S.A
ร่างเล็กของคิมจุนมยอนวิ่งผ่านประตูสนามบินเข้าไปด้วยความเร่งรีบเพื่อไปยังจุดหมายของตนเอง นั่นคือทางออกผู้โดยสาร ขาเรียวก้าวออกด้วยความเร็วสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง พลางยกข้อมือขึ้นเพื่อมองหน้าปัดนาฬิกาที่บ่งบอกว่าอีกไม่ถึงห้านาทีเครื่องบินจะลงจอดตามเวลาที่กำหนด ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เครื่องดีเลย์ไปซะก่อน
จุนมยอนยืนชะเง้ออยู่หน้าทางออก ปลายเท้าเขย่งยกขึ้นสูงกว่าพื้นนิดหน่อย เพื่อสายตาจะได้สอดส่ายหาเป้าหมายได้ ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มารดาของเขารับอุปถัมป์ในปีนี้ ข้อมูลที่รู้มาก็มีเพียงแค่ว่า ชื่อโอเซฮุน อายุสิบเจ็ดปี ที่สำคัญเป็นคนเกาหลีเหมือนกับเขาเอง
ชะเง้อมองหา พลางฉุกคิดได้ว่ามารดาของเขาได้เขียนป้ายชื่อของนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นภาษาเกาหลี เพื่อนำมาโบกชูให้หากันง่ายขึ้น ซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานที่โฮสต์ส่วนใหญ่ก็ใช้กัน มือขาวรูดเปิดซิบกระเป๋าสะพายข้างของตนเอง พลางล้วงมือเข้าไปค้นหาแผ่นกระดาษสักใบ
‘เอ๊ะ? หายไปไหน’
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อฉุกคิดได้ว่าตอนที่ตนเองกำลังเร่งรีบวิ่งออกมานั้น ไม่ทันได้หยิบอะไรออกมาเลยนอกจากกุญแจรถ มือเล็กยกขึ้นโขกหัวตัวเองไปเบาๆหนึ่งทีเพื่อเป็นการทำโทษตัวเอง ที่ไม่ยอมฟังคำเตือนจากแม่ที่ตะโกนตามหลังมาเมื่อเช้า
จุนมยอนล้วงมือลงไปในกระเป๋าอีกรอบเพื่อค้นหาใบเสร็จจากการจ่ายค่าไฟเมื่อวานที่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ทันได้นำออกจากกระเป๋า พลางหยิบปากกาหมึกเข้มที่พกติดตัวไว้ตลอดออกมา มันเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่จุนมยอนเริ่มจะชินเสียแล้ว ในเมื่อครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำตัวเหมือนคนเป็นโรคอัลไซเมอร์
‘ว่าแต่ โอเซฮุน ภาษาเกาหลีนี่เขียนยังไง?’
จริงอยู่ที่จุนมยอนเป็นคนเกาหลีแท้ๆที่ถึงแม้ว่าจะอยู่อเมริกามาตั้งแต่เด็กๆและมีสัญชาติอเมริกัน แต่ก็ยังพูดภาษาเกาหลีได้ในระดับที่ดี แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับทักษะการอ่านและการเขียนที่จัดว่าอยู่ในระดับที่เลวร้าย ทั้งๆที่ก็คิดอยู่เสมอว่ามันไม่ได้ยากสักนิดเดียว แต่ก็ยังคงจำสระในภาษาสลับกันมั่วไปหมด
우세혼
‘เขียนอย่างนี้รึเปล่า’
ยกยิ้มให้กระดาษอย่างภาคภูมิใจนิดๆเมื่อตนเองสามารถเขียนชื่อนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นออกมาได้อย่างที่คิดว่าน่าจะแม่นยำที่สุดในความคิดของตน จุนมยอนเก็บปากกาลงกระเป๋าอย่างเดิม พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้ง และพบว่าตนเองเสียเวลากับการเขียนชื่อโอเซฮุนอยู่มาก
ดวงตากลมโตเสมองคนรอบข้างที่มาอยู่ตรงหน้าทางออกด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ผู้คนรอบข้างเริ่มยกชูแผ่นกระดาษที่เขียนเจาะจงชื่อบุคคลที่ต้องการพบ เมื่อมองเห็นผู้โดยสารของสายการบิน Korean Airline ไฟล์ทบินล่าสุดที่เครื่องเพิ่งจะลงจอดกำลังเดินตรงมายังทางนี้
คิมจุนมยอนอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ แขนขาวๆยกขึ้นเหนือหัวเพื่อชูกระดาษบินค่าไฟที่มีความกว้างเพียงแค่หน้ากระดาษเอห้า พร้อมตัวหนังสือภาษาเกาหลีที่ดูเหมือนถูกเขียนขึ้นโดยผิดลักษณะเส้น ปลายเท้าเขย่งขึ้นอีกครั้งเพื่ออัพตัวเองให้ดูสูงและเด่นขึ้นมาอีกหน่อย
ถึงจะอยู่อเมริกา และอาหารที่กินอยู่ในชีวิตประจำวันก็เป็นอาหารฝรั่งบ้าง เกาหลีบ้าง แต่ด้วยเพราะมียีนส์พันธุกรรมเป็นคนเอเชียตั้งแต่ต้นนั่นทำให้จุนมยอนเหมือนถูกกำหนดความสูงและขนาดตัวไว้แล้ว แต่ที่ดูจะพิเศษกว่าก็คงจะเป็นไหล่แคบๆของตนเองที่ดูเหมือนพวกผู้หญิงยังไงยังงั้น กลายเป็นปมด้อยเล็กๆที่เจ้าตัวยังคิดน้อยใจอยู่ลึกๆ
“งืออออ”
ริมฝีปากสีเชอรี่นั้นเริ่มเบะออกมาอย่างขัดใจ เมื่อมองเห็นคนเอเชียที่สังเกตได้จากสีผมสีดำนั้นเดินผ่านตนเองไปสองถึงสามคน โดยไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะเดินตรงมาทางเขาเลยสักนิด ส้นเท้าที่ยกขึ้นเหนือพื้นถูกลดระดับลงระนาบกับพื้นเหมือนเคย มือที่ถือป้ายอยู่ก็ลดระดับลงมาค้างไว้ที่ระดับเอว พลางบิดกายเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าเริ่มเมื่อยบริเวณต้นแขน
ใบหน้าขาวใสหันมองผู้คนรอบข้างที่ค่อยๆทยอยหายไปทีละนิด เมื่อได้พบกับญาติพี่น้องของตน ต่างกับเขาเองที่ยังคงยืนถือกระดาษแผ่นเล็กอยู่ที่เดิม โดยๆไม่มีวี่แววว่าจะเห็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคนที่รออยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นมือขาวก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา และต่อสายตรงไปหามารดาของตนเองทันที
“ฮัลโหล หม่าม๊า ผมหาเค้าไม่เจออ่ะ”
เสียงใสกรอกผ่านสปีกเกอร์โทรศัพท์ทันทีที่ปลายสายกดรับ แอบสะบัดน้ำเสียงใส่เบาๆให้คนเป็นแม่ได้รับรู้ไว้ว่าลูกชายคนนี้กำลังเริ่มงอแงอีกแล้ว
[เอ๊ะ แต่เค้าเพิ่งจะโทรหาแม่เมื่อกี้เองนะว่ามาถึงแล้ว]
คุณนายคิมเมื่อรู้ว่าลูกชายตัวเองกำลังจะงอแงอีกแล้ว จึงต้องพูดให้จุนมยอนนั้นตื่นตัวอีกครั้ง เพราะมันใช้ได้ผลเสมอ
“อ้าว ไหงเป็นงั้นไปล่ะ งั้นผมขอเบอร์เค้าหน่อยสิ ม๊าว่ามาเลย”
[เอางั้นหรอ แป๊บนะ......013-65xx-xx]
คิมจินเยเอ่ยบอกพร้อมกับอมยิ้มนิดๆเมื่อรู้สึกถึงน้ำเสียงของลูกชายแสนแสบของตนที่ดูเหมือนกำลังตื่นเต้นอีกครั้ง ความจริงแล้วการมารับตัวนักเรียนแลกเปลี่ยนแบบนี้ไม่ใช่งานของจุนมยอน แต่เพราะคราวนี้ เธอต้องการอยู่บ้านทำอาหารเกาหลีเพื่อต้อนรับโอเซฮุนในฐานะผู้อุปถัมภ์ อาจจะดูพิเศษไปสักนิด แต่จินเยก็รู้สึกถูกชะตากับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ตั้งแต่ที่ทางโรงเรียนแจ้งมาว่าเป็นชาวเกาหลีเหมือนกับเธอ
“ขอบคุณมากฮะ งั้นเดี๋ยวม๊าตัดสายเลยนะ”
เอ่ยบอกครั้งสุดท้ายพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอีกนิด เขารู้สึกว่าใกล้จะได้เจอกับอีกคนที่รออยู่แล้ว อดตื่นเต้นไม่ได้ทุกทีเมื่อตอนที่แม่พาใครสักคนเข้ามาในบ้านในเวลาใกล้เปิดเทอมของทุกๆปี แต่จุนมยอนก็เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าระหว่างมารอรับด้วยตัวเองกับรออยู่ที่บ้านนั้น แบบไหนตื่นเต้นกว่ากัน
เขาจำได้ว่าปีที่แล้ว นักเรียนแลกเปลี่ยนที่แม่ของเขารับอุปถัมภ์นั้นเป็นชาวเวียดนามที่อายุมากกว่าเขาหนึ่งปี แต่เพียงแค่เวลาไม่ถึงวันจุนมยอนก็สามารถให้นิยามคำว่าเพื่อนสนิทได้ทันทีแม้จะอยู่ในรูปแบบของพี่กับน้อง อาจเป็นเพราะนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ราวกับปี่และขลุ่ย ที่สำคัญคือจุนมยอนร้องไห้แทบเป็นบ้าเมื่อต้องไปส่งอีกคนกลับไปยังประเทศบ้านเกิดที่สนามบิน
คราวนี้ก็แอบหวังอยู่นิดหนึ่งว่าเขาอาจจะได้เพื่อนใหม่อีกสักคน
“ฮ..ฮัลโหล โอเซฮุนรึเปล่าฮะ?”
[ครับ]
“อ่า...”
จุนมยอนยอมรับว่าแอบหวั่นใจเล็กน้อยเมื่อปลายสายตอบรับมาเพียงประโยคเดียว และไม่มีการถามอะไรใดๆต่อทั้งสิ้น ทั้งๆที่เขากรอกภาษาอังกฤษ แถมยังใส่สำเนียงไปเต็มที่ขนาดนั้น คนธรรมดาก็น่าจะสงสัยกันสักหน่อยไม่ใช่หรอ?
“คือผมเป็นโฮสต์ของคุณนะ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนฮะ?”
[หืม? อ่อ อยู่ตรงห้องน้ำ]
ดูเหมือนปลายสายจะดูงงๆเล็กน้อย เมื่อจุนมยอนเปลี่ยนจากการใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาเกาหลีที่สำเนียงค่อนข้างต่างจากต้นฉบับ แต่ยังไงตอนนี้ก็รู้แล้วว่าปลายสายนั้นอยู่ที่ไหน ไว้ตอนเจอกันจุนมยอนจะลองถามดูสักหน่อยว่าไม่เห็นเขาชูป้ายหรือยังไง ถึงได้เดินผ่านไป แล้วไปเข้าห้องน้ำเฉยๆแบบนั้น
“งั้นคุณรออยู่หน้าห้องน้ำนะ แล้วผมจะไปหา”
พูดจบประโยคก็ตัดสายอีกคนทันทีโดยไม่ทันได้ฟังว่าปลายสายกำลังพยายามจะทักท้วงบางอย่าง ขาเรียวเริ่มออกก้าวเพื่อไปยังที่ที่อีกคนบอกทันที สุดท้ายแล้วการออกตัววิ่งก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้
‘แล้วมันห้องน้ำฝั่งไหนละเนี่ย’
นึกขึ้นได้ว่าในสนามบินใช่ว่าจะมีห้องน้ำอยู่แค่แห่งเดียว แต่สนามบินนานาชาตินี้มีห้องน้ำอยู่ถึงสามที่ด้วยกัน เพราะเป็นสนามบินมาตรฐานที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร เดือดร้อนตนเองต้องหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา และต่อสายไปหาโอเซฮุนอีกครั้ง
เมื่อจับใจความได้ว่าอีกคนอยู่ที่ห้องน้ำฝั่งที่ใกล้ทางออกประตูสนามบินก็รีบออกตัววิ่งไปทันที คนตัวเล็กรู้สึกตื่นเต้นจนมือไม้มันอยู่ไม่สุข เท้าวิ่งไป มือก็ยังคงจับกุมกันเอาไว้เพื่อลดระดับความตื่นเต้นของตัวเองลง แต่หากใครจะไปรู้ว่าเรื่องที่จุนมยอนตื่นเต้นนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องเดียว
สุดท้ายร่างเล็กก็มายืนอยู่หน้าห้องน้ำชายของสนามบินแห่งนี้สักที ดวงตากลมโตนั้นหลุบลงมองพื้น ใบหน้าก้มลงงุดไม่สบตากับผู้คนที่มองเขาอย่างแปลกๆ มันคงอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย เมื่อผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียว มายืนก้มๆเงยๆอยู่หน้าห้องน้ำแบบนี้
‘ทำไมยังไม่ออกมาอีกล่ะ’
บ่นอยู่ในใจอย่างร้อนรน จุนมยอนมั่นใจว่าเขาบอกไปแล้วว่าถ้าเสร็จแล้วให้ออกมารอหน้าห้องน้ำ แต่นี่ทำไมอีกคนถึงยังไม่ออกมาอีก
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ฉับพลันเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าก็ขยับตัวสั่นเพื่อเตือนให้เจ้าของรับทราบ จุนมยอนรีบหยิบขึ้นมาก่อนจะกดรับทันที โดยที่ยังไม่ทันได้ดูเบอร์ที่เรียกเข้า
[อยู่ไหน?]
“ฮะ?”
ร่างเล็กขมวดคิ้วมุ่นเมื่อจู่ๆปลายสายก็ถามว่าเขาอยู่ที่ไหนด้วยคำพูดห้วนๆ แถมน้ำเสียงยังติดจะหงุดหงิดด้วยซ้ำ นั่นทำให้มือเล็กต้องขยับเอาโทรศัพท์มือถือออกจากหู และมองดูเบอร์ที่ปรากฏ ถึงจะเป็นเลขสิบหลักที่เขาไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง แต่จุนมยอนก็พอจะจำได้ว่าเป็นเบอร์ที่มารดาของเขาเพิ่งให้มาเมื่อไม่นานนี้ นั่นก็คือเบอร์ของเซฮุน
“คือว่าผมอยู่หน้าห้องน้ำ แล้วคุณอยู่ไหนฮะ?”
[หน้าประตูทางเข้าสนามบิน]
ฟังจบจุนมยอนก็แทบจะลมออกหู ริมฝีปากขยับอ้าออกเตรียมพร้อมจะด่าทออีกคนที่ทำเหมือนกำลังวิ่งเล่นไล่จับหรือเล่นซ่อนแอบกันในสนามบินใหญ่ๆแบบนี้ แต่ฉับพลันก็ต้องเสียเวลาคิดคำด่าเสียเปล่า เมื่อโอเซฮุนกดตัดสายไปแล้ว
“อย่าให้เจอนะ!”
จุนมยอนกระทืบเท้าปึงปังอยู่สองสามที ก่อนจะก้าวเดินฉับๆอย่างเร่งรีบเพื่อไปให้ถึงตัวอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าสนามบินโดยเร็ว เดินไปปากก็บ่นงึมงำไปตลอดทาง ตอนนี้อารมณ์อยากจะได้เพื่อนใหม่ไม่ได้มีอยู่ในหัวสมองของคนตัวเล็กเลยสักนิด กลับคิดเพียงว่าถ้าได้เจอตัวนักเรียนแลกเปลี่ยนแสนแสบที่ทำเอาเขาเดินเหมือนคนบ้าไปทั่วแบบนี้ จะลองตะคอกใส่หน้าสักทีให้มันหายอารมณ์เสียสักหน่อย
ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าอีกคนนั้นอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี แต่เขาก็ยังพูดจาด้วยความสุภาพและค่อนข้างจะให้เกียรติพอสมควร แต่อีกฝ่ายกลับพูดจาแบบขวานผ่าซาก นอกจากจะพูดจาห้วนๆแล้ว น้ำเสียงยังหาความนุ่มนวลไม่ได้เลยสักนิด
‘นายตายแน่ โอเซฮุน’
คิดได้ดังนั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนเปลี่ยนเป็นการวิ่งแทน
“อ๊ะ!”
ฉับพลันฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง และเผลอร้องอุทานด้วยความตกใจนิดๆ เมื่อมีวัตถุน้ำหนักบางเบาตกลงบนหัวกลมๆของตนเองอย่างแม่นยำเหมือนกับเมื่อคืนวันก่อนไม่มีผิด ก้มลงมองแล้วก็ต้องกลอกตาไปมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อพบว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องบินกระดาษลำเล็ก รูปร่างแปลกๆ ที่คนพับคงจะออกแบบมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
แอบเอียงหัวดูเล็กน้อยเมื่อพอจะมองเห็นข้อความที่ถูกเขียนอยู่บนปีกของเครื่องบิน แต่เมื่อสายตาของคนเราไม่ได้ยาวพอที่จะอ่านตัวหนังสือเล็กๆที่ห่างจากพื้นเท่ากับความสูงนี้ และก็คงจะเป็นความขี้เกียจของจุนมยอนเองที่ไม่มากพอที่จะก้มลงไปอ่านมันดู สุดท้ายก็ทำได้แค่มองผ่านไปแล้วออกตัวเดินต่อ
ปล่อยเครื่องบินลำเล็กและข้อความสั้นๆทิ้งไว้เบื้องหลัง
‘I arrived to America’
จุนมยอนหยุดฝีเท้าอยู่หน้าประตูสนามบิน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเพราะอาการหอบเหนื่อยนิดๆ สายตาสอดส่องมองหาโอเซฮุนไม่หยุด ตรงนี้ที่เขายืนอยู่ก็มองเห็นเพียงชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา สวมแว่นกันแดดสีดำยืนกดโทรศัพท์ด้วยหน้าตานิ่งๆ จุนมยอนอยากจะคิดว่าเป็นคนนี้ ถ้าไม่ติดว่าสีผมบนหัวนั้นที่เป็นสีบลอนด์และช่วงปลายผมที่เป็นสีขาว
แต่หากมองไปมองมา โครงหน้าก็เหมือนคนเอเชียอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังสีผิวที่ค่อนข้างแตกต่างจากคนยุโรปมากทีเดียว จุนมยอนต้องจ้องมอง ทั้งเพ่งแล้วเพ่งอีกเพื่อมองให้เห็นใบหน้าภายใต้แว่นดำและผมหน้าม้าที่ถูกปล่อยลงมาปกปิด เมื่อมองจนแน่ใจว่าคนนี้ไม่ผิดแน่ เรียวขาก็เริ่มออกตัวเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
‘อะไรกันเนี่ย?’
แอบตกใจไม่เบา เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและเหลือที่ว่างระหว่างคนสองคนเพียงแค่สองเมตร นั่นทำให้เขารู้ว่าผู้ชายตรงหน้านี้มีส่วนสูงที่ค่อนข้างแตกต่างจากเขาพอสมควร และที่แย่กว่านั้นคือความสูงนั้นมันมากกว่าเขานั่นเอง ทั้งๆที่ผู้ชายคนนั้นกำลังย่อเขาลงเล็กน้อยเพื่อพิงกระจกข้างประตูอยู่
‘ช่างปะไร’
คุณนายคิมเคยบอกไว้ว่าความสูงเท่านี้ของเขานี่แหล่ะที่เป็นมาตรฐานของชายชาวเอเชีย เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าใครผิดปกติ คนๆนั้นต้องไม่ใช่จุนมยอนแน่ๆ คิดได้ดังนั้นก่อนจะเร่งฝีเท้าขยับเข้าไปใกล้คนๆนั้นอีกสักนิด
“สวัสดี โอเซฮุน”
‘
......................................................................
เครื่องบินกระดาษมันมาถึงอเมริกาแล้วนะ 5555555+
ประเด็นคือเจ้าของมันอยู่ไหน ใครให้มาปาใส่หัวจุนมยอนถึงสองครั้งสองครา
ความคิดเห็น