คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : MAWKISH - Sehun x Suho
Mawkish
“ถ้า f(x-2) = 2x-1 แล้ว f(x2) จะมีค่าเท่ากับเท่าไหร่? ข้อนี่ใครตอบครูได้บ้าง!?”
เสียงทุ้มติดอารมณ์คุกรุ่น ของอาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์ดังขึ้นภายในห้องเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสาม ในโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่ง หากแต่ก็ไม่ได้เรียกความสนใจจากเหล่านักเรียนที่นั่งปรือตาพร้อมหลับตลอดเวลาอยู่แล้วสักนิด
ใช่.... ก็มันเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนที่วิชาจำพวก ‘ศาสตร์’ จะถูกนักเรียนละความสนใจในการอธิบายของอาจารย์ผู้สอน จะด้วยเหตุผลว่าอาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง เนื้อหามันยาก หรือสมองนักเรียนไม่พร้อมจะเรียน สุดท้ายมันก็จบลงที่อีหรอบเดิมๆ คือหลับ..
แต่.... ก็คงจะมีอยู่คนหนึ่งล่ะมั้ง
“เอ่ออ.. ใช่ 2x กำลัง 2 +3 รึเปล่าฮะ?”
ร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด ยกมือขยับกรอบแว่นของตัวเองอย่างที่ติดเป็นความเคยชิน ก่อนจะค่อยๆยกมือชูขึ้น แล้วตอบคำถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ที่เสียงสั่นๆ แถมยังทำท่าทางกลัวๆ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มั่นใจในคำตอบซะหน่อย แต่คงเป็นเพราะเพื่อนๆในห้องที่เมื่อกี้ยังทำท่าทางคล้ายว่ากำลังจะหลับ กำลังหันมาให้ความสนใจกับเขา แถมอาจารย์ลี ที่ประจำวิชานี้ กำลังมองมาที่คนตัวเล็ก ด้วยแววตาเชือดเฉือน
...คงไม่คิดว่าจะมีคนตอบได้...
“หึหึ เก่งดีนี่ งั้นวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน เลิกคลาส”
แล้วก็จบลงด้วยเหตุการณ์ซ้ำๆเดิมๆ
ทุกๆครั้งที่ถึงชั่วโมงเรียนที่จะต้องเรียนวิชาจำพวกคำนวณทั้งหลาย มันก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะกับวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์ลี
ถึงแม้ว่าอาจารย์ท่านนี้จะขึ้นชื่อเรื่องความจริงจังและความโหดในการตัดเกรดและคะแนนแค่ไหน แต่กลับไม่มีใครที่คิดจะสนใจฟังที่อาจารย์สอน อาจจะเป็นเพราะแววตาที่เหยียดหยามเหลือเกิน เมื่อมองมาที่พวกเขา เพราะห้องพวกเขาเป็นห้องสุดท้ายของสายชั้น และทำคะแนนการสอบปลายภาคได้แย่มาโดยตลอด
ทุกๆครั้งเมื่ออาจารย์เห็นเด็กนักเรียนนั่งหลับ ก็มักจะคิดโจทย์ยากๆออกมา แล้วก็ถามแบบสดๆ พร้อมสายตาที่คิดว่าเหนือกว่า และก็ทุกครั้ง ที่นักเรียนในห้องไม่มีใครสนใจจะตอบ แต่กลับมีเพียงคนเดียว ที่มักจะยกมือชูขึ้นด้วยท่าทางไม่มั่นใจเอาเสียเลย แต่คำตอบที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางๆนั่น กลับกลายเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
คนๆนั้นก็...
‘คิมจุนมยอน’
‘คนที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในห้อง’
“เด่นตลอดอ่ะ”
“น่าหมั่นไส้ชะมัด อยากจะเป็นลูกรักของอาจารย์งั้นหรอ”
“อวดเก่งว่ะ”
“จำได้ว่าเมื่อวันก่อนครูสั่งการบ้าน เค้าก็เอาไปส่งคนเดียว ไม่แบ่งใครลอกเลยนะ เห็นแก่ตัวที่สุด”
ร่างเล็กของหัวหน้าห้องตัวขาว เพียงแค่ได้แต่ก้มหน้าเม้มปากแน่น เมื่อได้ยินวาจาที่เอ่ยถ้อยคำที่พูดถึงตนเองผิดๆ โดยที่ไม่คิดจะหันไปทักท้วงหรืออธิบายขยายความอะไรเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะแก้ตัว หากแต่คนเหล่านี้กลับไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น มันดูผิดไปซะหมดเมื่อมันออกมาจากปากของเขา
มือเล็กยกขึ้นไปถอดแว่นให้ออกพ้นจากกรอบตา เก็บลงกระเป๋าดังเดิม ก่อนจะเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋าตามลงไปให้เรียบร้อย แล้วลุกออกจากห้องไปทันทีเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน โดยไม่ทันสังเกตถึงสายตาอีกคู่ที่กำลังมองตามไปอย่างเงียบๆ
.......................
โรงอาหารของโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังในกรุงโซล ที่ว่าใหญ่นักใหญ่หนา ดูเล็กและคับแคบลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับจำนวนนักเรียนที่มาใช้บริการ เด็กนักเรียนพลุ่งพล่านเต็มไปหมด ชวนให้คนตัวเล็กที่มาเพียงคนเดียวดูซึมไปถนัดตา
’เป็นอย่างนี้ทุกครั้งสิหน่า’
ไม่ได้รู้สึกรำคาญ ที่โรงอาหารคนเยอะ หากแต่ที่มันกลายเป็นปมด้อยอยู่ทุกวันนี้คือการที่เห็นนักเรียนคนอื่นๆเดินมาทานข้าวกันเป็นกลุ่ม คุยกันไปกินกันไป เล่าเรื่องสนุกสนาน แชร์ประสบการณ์ในวันหยุดกัน แล้วคิมจุนมยอนคนนี้ล่ะ? ก็เดินมาคนเดียว กินคนเดียว เดินกลับห้องคนเดียว
‘ทำไมไม่ชินสักทีนะ... ?’
“หึ ทำหน้าเป็นหมาหงอยไม่มีใครให้อาหารไปได้”
เสียงทุ้มของใครสักคนดังขึ้นข้างตัว คนตัวเล็กที่นั่งเหม่ออยู่ ถึงขั้นสะดุ้งตกใจ ตากลมๆเบิกกว้างอย่างอัตโนมัติ เพียงแค่แป๊บเดียว ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแววตาสงสัยในคำพูดของอีกคน หรือความจริงอาจจะไม่ได้สงสัยในคำถามนั้น แต่กลับสนใจในตัวของคนถามมากกว่า
“อ่า... นาย?”
เสียงหวานเอ่ยอย่างงุนงง ก็จะไม่ให้งงได้ไงล่ะ ในเมื่อจู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเดินมาทักเขา ทักเขารึเปล่านะ? คงจะใช่นั่นแหล่ะ แถมยังทำหน้าทำตาดูเหมือนหาเรื่องกันอีกด้วย
ร่างสูงเมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันแทบจะผูกเป็นปม วางจานข้าวลงตรงข้ามกับคนตัวเล็ก ก่อนจะนั่งลงเอามือเท้าคาง นั่งจ้องหน้าอีกคนอย่างหาเรื่อง เมื่อได้รับคำถามย้อนกลับจากคนที่เขาเพิ่งตั้งคำถามใส่ไปเมื่อกี้ ...นี่ล้อกันเล่นรึเปล่า?
“คิดจะยั่วโมโหฉันรึไง?”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเริ่มหาเรื่อง น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดจนคนฟังต้องขมวดคิ้วตาม ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรผิด
แต่สาบานได้ว่าคิมจุนมยอนคนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะกวนโมโหแต่อย่างใด เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าคนตรงหน้าคือใคร จู่ๆก็เดินมาทัก แถมยังทักทายด้วยน้ำเสียงกร่างๆด้วย ถ้ารู้จักนั่นสิคงจะแปลกพิลึก
‘หรือเอาจริงๆคือ จุนมยอนไม่รู้จักใครเลย’
.
.
.
.
.
.
“จำฉันได้รึยัง??”
คำถามจากปากของร่างสูงที่ดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่คนตัวเล็กก็ทำได้เพียงส่ายหัวไปมาอย่างปลงๆ ในใจกลับคิดเพียงแค่ว่า คนที่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมทำน้ำเสียงหาเรื่องเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ใช่คนเดียวกันรึเปล่า
...แล้วครึ่งชั่วโมงที่แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นน่ะหรอ?
.
.
.
“ไม่ได้จะยั่วโมโหสักหน่อย”
“นายจะไม่รู้จักฉันได้ยังไง ฉันน่ะ ดังที่สุดในห้องแล้วเหอะจะบอก!”
“นายเนี่ยนะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันน่ะ ออกไปทำโจทย์คณิตหน้าห้องออกจะบ่อยนะ จำฉันได้รึยัง?”
“ไม่อ่ะ”
“นี่! ยั่วโมโหกันจริงๆใช่มั้ย เวลาฉันออกไปทำโจทย์หน้าห้องน่ะ สาวๆกรี๊ดกันเพียบ นายจะไม่รู้จักได้ยังไง”
“อ่า..คือ..”
“จำได้แล้วใช่มั้ย?”
“ไม่เลย ToT”
“ย๊า!! คิมจุนมยอน!”
.
.
.
.
ตอนนี้บอกได้เลยว่าไม่เคยมีใครทำให้จุนมยอนลำบากใจเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกของการโดนนินทาแล้วเผลอไปได้ยินโดยไม่สามารถแก้ตัวได้ แบบนั้นเรียกว่าอึดอัดแล้ว แต่พอมาเจอคนตรงหน้า ที่เรียกตัวเองว่า ‘โอเซฮุน’ คนนี้กลับทำให้เขาเหงื่อตก และอยากจะร้องไห้เสียให้ได้ ‘โอเซฮุน คนที่มีหลายบุคลิก’
โอเซฮุน..... คนที่เดินเข้ามาทักเขาพร้อมน้ำเสียงหาเรื่องดูเป็นเด็กเกเร
------- บุคลิกที่ 1 ไม่มีความเป็นมิตร คอยหาเรื่อง และแววตาดูหยามๆ----------
โอเซฮุน.... คนที่นั่งสาธยายความเก่งและความเด่นดังของตัวเองด้วยความเพ้อเจ้อ
--------- บุคลิกที่ 2 เพ้อฝัน บ้าบอ พูดเก่ง ดูเป็นมิตรจนน่าตกใจ---------
โอเซฮุน.... คนที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาด้วยแววตาโกรธแค้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
--------- บุคลิกที่ 3 ทำตัวเป็นเด็ก ขี้งอนง้องแง้งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ---------
“ฉันจำไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยนะ ฉันกะว่าจะขึ้นเรียนแล้ว”
คนตัวเล็กกล่าวบอกอย่างตัดบท ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพาย ลุกขึ้นแล้วเดินหันหลังออกมา แต่แล้วขาเรียวก็ชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่นั่งด้วยกันเมื่อกี้ก็เรียนอยู่ห้องเดียวกัน การจะชวนโอเซฮุนเดินกลับห้องด้วยคงไม่เลวร้ายสักเท่าไหร่ เพราะถ้าการผูกมิตรเป็นเรื่องดีๆ แล้วจะทำให้เขามีเพื่อนในโรงเรียนคนแรกที่อยู่ในห้องเดียวกัน แบบนี้ก็คงจะดีเหมือนกัน
ใบหน้าขาวใสหันกลับไปหวังจะเอ่ยปากชวนอีกคนเดินไปด้วยกัน หากแต่กลับต้องชะงักและใจหายวาบ เมื่อโอเซฮุนยังคงจ้องหน้าเขาไม่หยุดด้วยแววตาแบบที่เห็นบ่อยๆ และแววตาแบบนั้นที่เขาควรจะชินได้แล้ว
แววตาแบบนั้น....
แววตาแบบที่เพื่อนๆในห้องใช้มองเขาอยู่ตลอด.....
“คิมจุนมยอน... นายน่าหมั่นไส้จริงๆด้วยว่ะ”
“.......”
เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากคนตรงหน้าทำเอาจุนมยอนรู้สึกเบลอๆ เมื่อกี้เซฮุนว่าอะไรนะ? หมั่นไส้...งั้นหรอ?
เสียงผู้คนที่คุยกันในโรงอาหารเหมือนจะไม่ได้เข้าหูเขาเลยสักนิด มีเพียงแค่คำพูดตรงๆ ที่เหมือนถูกกดรีเพลย์เล่นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังซ้ำไปมา เขายอมรับว่าคำพูดพวกนี้ได้ยินอยู่บ่อยๆ จนรู้สึกว่าเริ่มจะชิน หากแต่ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้เขาถึงมีอาการแบบนี้...
‘เจ็บที่อกข้างซ้าย แถมขอบตายังร้อนๆอีกด้วย’
อาจจะเป็นเพราะเขากำลังเริ่มผูกพันกับคนตรงหน้างั้นหรอ? แต่มันก็แค่ครึ่งชั่วโมงที่นั่งคุยกัน คงจะเป็นไปไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขากำลังคิดที่อยากจะได้คนๆนี้เป็นเพื่อนคนแรก? อยากจะเดินกลับขึ้นห้องเรียนไปด้วยกัน? แต่โอเซฮุนกลับพูดประโยคร้ายกาจนั่นออกมา ถามว่าเจ็บมั้ย? ก็ต้องบอกว่าเจ็บมาก แต่กลับไม่โกรธเคืองเลยสักนิด
หรือนี่อาจจะเป็นบุคลิกที่ 4 ของโอเซฮุน...
บุกคลิกที่เด่นชัดที่สุด...
โอเซฮุน.... พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา แววตาแสดงความรู้สึกออกมาอย่างปิดไม่มิด
ตลอดการเรียนวิชาสังคมศึกษาในภาคบ่าย บรรยากาศการเรียนในห้องยังคงดำเนินไปอย่างปกติ คงมีเพียงแค่จุนมยอนคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ ที่รู้สึกกระสับกระส่ายจนแทบจะเรียนไม่รู้เรื่อง หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยง เขาก็เดินขึ้นเรียนตามปกติ หากแต่เจ้าสิ่งที่คิดว่าปกติ กลับไม่ปกติให้เขาสักเท่าไหร่
...โอเซฮุน...
ร่างสูงที่นั่งนิ่งๆ มองไปยังหน้าห้องด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ เซฮุนไม่ใช่คนตั้งใจเรียนในวิชาที่น่าเบื่ออะไรขนาดนั้น และแน่นอนที่เขามองตรงไปยังหน้าห้อง คงไม่ได้มองกระดานที่กำลังมีอาจารย์ร่างท้วมยืนเขียนอยู่เป็นแน่
...คิมจุนมยอน น่าหมั่นไส้....
มือหนากำหมัดแน่นๆมองคนตัวขาวที่ยังคงนั่งเรียนอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ถ้าถามว่าตอนนี้ทำไมเขาถึงโมโหขนาดนี้ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อตอนพักเที่ยง ไอ้เราก็อุตส่าห์สงสารที่คนตัวเล็กดูจะไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีเพื่อน แถมยังถูกนินทาแบบเสียๆหายๆ
เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะปกติเขาก็เห็นว่าจุนมยอนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร มีชีวิตเพียงแค่นั่งเรียน กินข้าว กลับมานั่งเรียน พอเลิกเรียนก็กลับบ้าน.. คงจะแค่นั้น นั่นแหล่ะ สาเหตุที่เขาเดินเข้าไปทักจุนมยอนในวันนี้
เขาไม่ได้หลงตัวเองอะไรมากนัก แต่ครั้งนี้ยอมรับว่า ‘น้อยใจ’ แปลกๆยังไงไม่รู้ ปกติแล้วโอเซฮุนคือคนที่มีคนรู้จักมากมาย ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน ในโรงเรียน แต่หากโรงเรียนรอบๆข้าง เซฮุนก็ยังคงเป็นที่รู้จัก
ตอนแรกก็แค่สงสัยว่าคนตัวขาวล้อกันเล่นรึเปล่าที่ไม่รู้จักเขา คือว่ามันจะไม่แปลกหรอกถ้าคนในโรงเรียนจะไม่รู้จักเขา ถึงจะดังแค่ไหนก็ต้องมีคนไม่รู้จักเป็นธรรมดา แต่ที่แปลกคือ เราเรียนห้องเดียวกัน แถมในห้องนี้เขาก็เป็นคนที่อาจารย์สนใจเป็นพิเศษซะด้วยสิ
…อย่างเช่นตอนนี้ พูดยังไม่ทันขาดคำเลยด้วยซ้ำ…
‘ปั่ก!!’
“โอ๊ย!”
“โอเซฮุน! ตั้งใจเรียนหน่อยสิ!”
ปากกาเขียนไวท์บอร์ดแท่งหนักๆถูกขว้างโดยอาจารย์ร่างท้วมคนเดิมที่เซฮุนจำไมได้แม้แต่ชื่อ คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่นกว่าเดิม สายตากร้าวร้าวถูกส่งไปยังอาจารย์ที่ประจำอยู่หน้าห้องทันที
“อาจารย์ฮะ! เขวี้ยงมาแบบนี้ผมเจ็บนะ!” เสียงทุ้มแหวใส่อาจารย์ร่างท้วมอย่างอวดดี
น้ำเสียงอวดดี ไม่เกรงกลัวใจ นั่นเป็นสาเหตุให้อาจารย์หลายๆท่านไม่ปลื้มเซฮุนสักเท่าไหร่ แต่หากก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ในเมื่อเด็กไม่เอาไหนตรงหน้านี้ เป็นถึงหลานของท่านผู้อำนวยการ คนที่มีอำนาจมากที่สุดของโรงเรียน ที่ทำได้ก็มีแค่การตักเตือนเล็กๆน้อย หรือลงมือนิดหน่อยๆ ..แค่เท่านั้น
“เออ! เจ็บสิจะได้จำ เอาแต่นั่งจ้องหน้าเพื่อนยังกะจะกินเลือดกินเนื้อ มีปัญหาอะไรกันนักหนา!”
เพียงแค่อาจารย์พูดจบคนตัวเล็กที่นั่งอยู่หน้าห้องก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะมองไปมองมาอย่างเลิ่กลัก อากัปกิริยาอยู่ไม่สุขแบบนั้นดูแล้วน่าขำชะมัดในสายตาของเซฮุน
อารมณ์หงุดหงิดที่มีอยู่เมื่อกี้พลันหายไปในทันที นี่เจ้าตัวคงจะรู้ตั้งนานแล้วสินะว่าโดนเขานั่งจ้องอยู่นาน ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างรู้สึกสนใจกับสิ่งตรงหน้า และสำหรับร่างสูง มันคงจะน่าสนใจมากกว่านี้ ถ้าหากได้เห็นใบหน้าของคิมจุนมยอนในแบบที่หลากหลาย...
“ไมได้จ้องแบบกินเลือดกินเนื้อซะหน่อย ผมเห็นเค้าน่ารักดี ผมมองไปก็เพลินตาแค่นั้นเอง เนอะจุนมยอนเนอะ”
“อ..เอ่อ...”
เซฮุนอธิบายกับอาจารย์อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะหันไปพยักพเยิดกับคนตัวเล็กที่นั่งทำตาปริบๆอยู่ข้างหน้า จุนมยอนเสตาไปมามองเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องที่เริ่มจะส่งสายตาอาฆาตมาให้เขา ถึงตอนนี้ปากคนตัวเล็กก็เริ่มสั่นๆอย่างห้ามไม่อยู่แล้วล่ะ
ดวงตากลมโตหลุบตาลงมองหนังสือเรียนบนโต๊ะอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากแดงๆถูกเม้มจนเป็นเส้นตรง ทั้งๆที่ในใจก็อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เกิดมาจุนมยอนไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อน พลันแก้มขาวใสก็เริ่มขึ้นริ้วแดงๆอย่างช่วยไม่ได้ สายตากรุ่มกริ่มที่ร่างสูงมองมายังตนเอง มันเหมือนตั้งใจจะแกล้งกันชัดๆ!
“พอๆ เซฮุน นั่งเรียนเงียบๆไปเถอะ”
เสียงสั่งของอาจารย์ดังขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่เรื่มจะแปลกๆ เซฮุนจิ๊ปากอย่างขัดใจ เมื่อตนเองกำลังแกล้งหัวหน้าห้องตัวขาวอย่างสนุกปาก แต่ก็ยอมนั่งเรียนไปอย่างเงียบๆ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ร่างสูงยังคงนั่งจ้องจุนมยอนไปอย่างเงียบๆ
..โดยที่ไม่รู้ตัว...
.....แค่มองแก้มใสที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ โอเซฮุนคนนี้ก็เผลอยิ้มออกมาซะแล้ว.....
.........................................................
ชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนอันแสนน่าเบื่อในวันนี้ จบลงที่วิชาพละศึกษา ดูเหมือนจะมีแค่วิชานี้วิชาเดียวเท่านั้น ที่ทำให้นักเรียนดูตื่นๆขึ้นมาบ้าง ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดชุดนักเรียนออกก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดพละศึกษา เซฮุน ตรงไปยังล็อกเกอร์ของตนเองเพื่อเก็บชุดนักเรียนไว้ใส่อีกครั้งหลังจบวิชานี้
ทันทีที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปยังประตูเพื่อจะออกไปยังโรงยิมที่อยู่ข้างนอกทันที
“เดี๋ยวก่อนสิเซฮุน”
เสียงแหลมๆของใครสักคนดังทันทีที่เซฮุนเปิดประตูออกมา ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเห็นเด็กสาวที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันมายืนขวางทางแถมยังกางแขนออกกว้างเอามือกั้นเพื่อปิดทางไม่ให้เขาหนี อีกทั้งสายตาที่ดูแน่วแน่เหลือเกินเมื่อมองมายังเขา
“มีอะไรงั้นหรอนาอึน?”
ถามอย่างสงสัย เมื่อยังเห็นผู้หญิงตรงหน้ามองหน้าเขาอย่างไม่หยุด พ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อยเมื่อมันเลยเวลาเข้าเรียนมาแล้วสิบนาที ..วิชาพละนี่วิชาโปรดของเขาเลยนะ
“นาย... ชอบใครอยู่ ตอนนี้?”
“ถามทำไม?”
ร่างสูงไม่สนใจที่จะตอบคำถาม แต่กลับถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แววตาที่ปิดบังอารมณ์ไม่มิดของเขานี่แหล่ะ ที่ทำให้ใครหลายๆคนมักจะระวังคำพูดเสมอเมื่ออยู่กับเขา แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเดินเข้ามาหาแล้วถามคำถาม ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันไปเกี่ยวกับเธอตรงไหนกัน คำถามละลาบละล้วงแบบนี้ โอเซฮุนไม่ชอบ!
“นายชอบเจ้าคนน่าหมั่นไส้นั่นใช่มั้ย!!”
จู่ๆเสียงเล็กๆเมื่อกี้ กลับกลายเป็นเสียงตะคอก พร้อมกับร่างเล็กตรงหน้าที่เงยหน้ามามองเขาพร้อมน้ำตาที่ดูเหมือนจะสะกดกลั้นไว้นานแล้ว พอมันไหลออกมาถึงได้พรั่งพรูขนาดนี้ เซฮุนเกือบจะสงสารอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าคำพูดที่เธอใช้เมื่อตะกี้อีกทั้งน้ำเสียงแบบนั้น มันหยาบคายชะมัด
“จะพูดจาอะไรก็กรุณาให้เกียรติคนอื่นด้วย! แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ได้ชอบจุนมยอน จบมั้ย?”
ร่างสูงพูดกระแทกเสียงแค่นั้น ก่อนจะเดินดุ่มๆออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วตรงไปยังโรงยิมทันที
บรรยากาศที่คึกคักในโรงยิม พอจะทำให้เซฮุนอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง นักเรียนชายที่วิ่งแย่งลูกบาสกันไปมาทำให้บรรยากาศยิ่งดูสนุกเข้าไปอีก บางคนก็อยากโชว์สมรรถภาพของตัวเองด้วยการเลอัพและดั๊งก์ เรียกเสียงกรี๊ดจากเด็กนักเรียนหญิงได้ไม่น้อย อย่างนี้โอเซฮุนยอมไม่ได้จริงๆ คงต้องเข้าไปร่วมด้วยซะหน่อย
ร่างสูงที่กำลังวิ่งเข้าสู่สนามเพื่อร่วมการแข่งขันเล็กๆที่จัดกันขึ้นเอง พลันสายตาก็หันไปมองเห็นร่างเล็กผิวขาวจัดที่กำลังถูกผู้ชายประมาณ 2-3 คนรุมล้อม ก่อนจะพากันเดินไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าจำไม่ผิดพวกนั้นก็เรียนอยู่ห้องเดียวกันนี่นา? แล้วก็ถ้าจำไม่ผิดอีก โอเซฮุนจำได้ว่าไม่มีเพื่อนในห้องชอบจุนมยอน และจุนมยอนก็ไม่รู้จักใคร....
...คงไม่มีไรมั้ง....
ร่างสูงปล่อยผ่านไป ก่อนจะวิ่งเข้าสู่สนามบาสเกตบอลทันที
การแข่งขันที่เป็นไปอย่างดุเดือดทำเอาเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าและแผ่นหลังของร่างสูงเต็มไปหมด การแข่งขันที่ต้องใช้การวิ่งและกระโดดเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เหนื่อยหอบง่ายกว่าปกติ แบบนี้ไม่หล่อเอาซะเลย เอาน่าโอเซฮุน ขอแค่ดั้งก์ให้ผู้หญิงกรี๊ดสักลูกเดียว เดี๋ยวจะไปพักแล้ว
สายตาร่างสูงเหลือบมองไปยังรอบๆโรงยิมเพื่อสอดส่ายหาใครสักคน แต่กลับไม่พบ นี่ถ้าไปเข้าห้องน้ำหรือไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็น่าจะกลับมาได้แล้วนี่นา... นานจริงนะ
ระ..หรือว่า?
“ไอ่เชี่ย... พวกมึงเล่นไปก่อนนะ เดี๋ยวกูมา”
สบถเล็กน้อยก่อนจะหันไปตะโกบบอกเพื่อ แล้ววิ่งออกจากสนามไปทันที ทำเอาเพื่อนร่วมทีมก่นด่ากันยกใหญ่ ไหนจะบรรดาสาวๆที่ยังไม่ทันจะเห็นลีลาการชู๊ตบาสของร่างสูงเลยสักลูก
ขาวยาวๆรีบวิ่งก้าวไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ในใจก็สบถด่าตัวเองที่ไม่นึกตะขิดตะขวงใจอะไรเลยตั้งแต่ที่จุนมยอนเดินออกไปกับพวกนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่ง ‘เป็นห่วง’ อากัปกิริยาร้อนรนจนเห็นได้ชัด
‘ฮื่ออ ย..อย่านะ อึก’
ทันทีที่จับลูกบิดประตูเพื่อจะเปิดเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เชื่อมอยู่กับโรงยิม ร่างสูงก็ได้ยินเสียงแปลกๆที่เอ่ยอย่างแผ่วเบาของใครสักคน น่าแปลกใจที่มันคุ้นจนน่าใจหาย...
มือหนาค่อยๆเปิดประตูอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนที่อยู่ข้างในรู้ตัว ในใจคิดเพียงแค่ว่า ถ้าเกิดเปิดเข้าไปแล้วเสียงที่ได้ยินนั่นมันเป็นเสียงของคนตัวเล็กที่เขากำลังตามหาล่ะ?
“ขาโคตรเนียนแม่ง”
“ขาวสัสว่ะ ถอดเสื้อมันออกดิมึง”
“ฮึก ปล่อย”
“โหยยแม่ง เด็ด”
ภาพตรงหน้าทำเอาเซฮุนแทบหยุดหายใจ
ร่างเล็กของจุนมยอนที่นั่งกัดริมฝีปากตนเองกลั้นเสียงสะอื้น พร้อมน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมา เสื้อโปโลตัวหลวมที่ร่างเล็กใส่ถูกเลิกขึ้นไปอยู่เหนืออกอย่างง่ายดาย พร้อมเรียวขาขาวที่ถูกจับแยกออก มือสากๆนั่นกำลังเอื้อมไปปลดตะขอกางเกงของจุนมยอนอย่างรีบเร่ง พร้อมมือไม้ของเจ้าพวกที่เหลือ ที่กำลังลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างขาวๆอย่างหื่นกระหาย ไหนจะไอ่เสียงครางเบาๆที่มันเริ่มเล็ดลอดออกมาจากปากแดงๆนั่นอีก
..ไอ่เหี้ย!! โอเซฮุนไม่ไหวแล้วเว้ย!!!!....
‘พลั่ก!’
ร่างหนาพุ่งตรงเข้าไปใช้หมัดต่อยเข้าไปที่โหนกแก้มของผู้ชายที่กำลังปลดตะขอกางเกงร่างเล็กอยู่ ก่อนจะตามไปกระทืบซ้ำอีกครั้งเมื่อร่างนั้นล้มลง แววตาเกรี้ยวโกรธจนจุนมยอนที่กำลังงงๆกับเหตุการณ์นั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก ส่วนอีกสองคนที่เหลือไมได้เข้ามาช่วยเพื่อนตัวเองแต่อย่างใด กลับรีบวิ่งหนีออกไปอย่างพวกขี้ขลาด
“โอ๊ยยย”
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดจากไอ่คนที่กำลังถูกเขาเหยียบสีข้างเอาไว้ เซฮุนก้มลงมองอย่างสมเพช ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่ตอนนี้ปาดน้ำตาทิ้งอย่างลวกๆ พร้อมกับมือสั่นๆที่กำลังติดตะขอกางเกงตัวเองให้เรียบร้อย ...ยิ่งเห็นยิ่งโมโห
‘พลั่ก! ปั้ก!’
ฝีเท้าของเซฮุนกระทืบลงไปบนท้องของชายเคราะห์ร้ายพร้อมกับถอยออกมา ก่อนจะเตะซ้ำเข้าที่สีข้างอีกรอบหนึ่ง ทำเอาคนที่กำลังส่งเสียงโอดครวญนั้นเงียบลงไป
...สลบไปแล้ว...
ฝีเท้าหนักๆที่มาจากการสั่งสมประสบการณ์ ตั้งแต่ที่ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ทำให้เรื่องเตะต่อยร่างสูงก็ไมได้เป็นรองใคร โอเซฮุนเป็นคนที่โดดเด่นอยู่มากพอสมควร และก็แน่นอน คนที่โดดเด่นก็มักจะถูกหมั่นไส้จากผู้ชายด้วยกันเป็นธรรมดา...
“เป็นไรมากมั้ย”
ละสายตาออกจากคนเลวที่นอนสลบอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปถามร่างเล็กด้วยความรู้สึก..... อืมม ถามตามมารยาทเท่านั้น
“.........”
แต่สิ่งที่ได้กลับมา เป็นเพียงแค่การส่ายหัวน้อยๆก่อนจะหลุบตาลงต่ำลง พร้อมกับขาเรียวที่ทำท่าจะก้าวออกไปจากห้อง
“ถามแล้วทำไมไม่ตอบดีๆ หยิ่งหรือไง”
“........”
มือหนาคว้าแขนขาวให้กลับมามองหน้ากันตรงๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะติดโมโหนิดๆ แต่คนตัวเล็กก็เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา เม้มปากแน่น พร้อมกับพยายามบิดแขนตนเองให้หลุดจากการเกาะกุมอยู่ท่าเดียว
...ทำตัวน่าหมั่นไส้อีกแล้ว....
“อ๋อออ ก็อยากใส่ขาสั้นมาอ่อยเองนี่นา ไม่เห็นแปลกเลยที่จะโดนทำอะไรแบบนี้”
“อ..โอเซฮุน!”
เสียงสั่นๆที่ทำท่าตวาดออกมานั่นมันคงเป็นมารยาใช่รึเปล่า? โอเซฮุนก็ได้เพียงแต่คิด
เอาจริงๆแล้ว ชุดพละศึกษาของทางโรงเรียนเขานั้น จะมีอยู่สองแบบ แบบแรกก็คือที่นักเรียนทั่วไปใส่กัน และเขาก็ใส่อยู่ในตอนนี้ นั่นคือเสื้อโปโลสีขาวและกางเกงวอร์มขายาวสีน้ำเงิน แต่คนตัวเล็กนี่กลับเลือกที่จะใส่อีกแบบหนึ่ง นั่นคือเสื้อโปโลสีขาวเหมือนกัน เพียงแต่จากกางเกงขายาว ก็เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย
แล้วจากเหตุการณ์น่าระทึกเมื่อกี้ เพียงแค่เจ้าพวกนั้นจับขาเรียวเล็กนั้นแยกออก กางเกงขาสั้นจากที่สั้นอยู่แล้ว ก็ถลกขึ้นจนเห็นน่องขาขาวๆนั่นซะชัดเจน
“ตกใจอ่ะดิ โดนรู้ทัน ว๊า..หรือความจริงเป็นนายเองที่อ่อยเจ้าพวกนั้น?”
“........”
ร่างสูงยังกวนประสาทต่อไปไม่ยอมหยุด แค่เห็นร่างเล็กกำมือแน่น และกัดริมฝีปากข่มอารมณ์คุกรุ่นจนมันห้อเลือด เท่านั้นก็ทำให้เซฮุนแสยะยิ้มอย่างพอใจ แบบนี้ใช่สถานการณ์ที่เค้าเรียกกันว่า หน้ากากกำลังจะหลุดรึเปล่า?
“เหมือนจะจริงแฮะ งั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆนะที่ฉันบังเอิญผ่านมาเห็นน่ะ”
‘เพี๊ยะ!’
ใบหน้าของร่างสูงหันไปตามแรงตบจากฝ่ามือจุนมยอนทันที ร่างเล็กจ้องมองเซฮุนด้วยแววตาผิดหวัง ระคนน้อยใจ แบบนี้มันเกินไปแล้วสำหรับเขา ถ้อยคำดูถูกที่เอ่ยกล่าวออกมาแบบไม่นึกถึงจิตใจคนฟังนั้น กำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นช้าลงเรื่อยๆ
“ถ้าไม่รู้อะไร....ฮึก ก็อย่าพูดพล่อยๆ!!”
น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตั้งแต่แรกถูกปลดปล่อยออกมา จุนมยอนปาดทิ้งอย่างลวกๆอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังให้ร่างสูง แล้วเดินออกมาทันที ปล่อยอีกคนให้ยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น แววตาเจ็บปวดที่ถูกแสดงออกมาเพียงแค่วูบเดียว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาว่างเปล่าเหมือนเคย แต่ใครจะไปรู้ จะมีสักกี่คนที่รู้
.....ว่าหัวใจโอเซฮุน กำลังมีแผล....
.
.
.
.
เสียงนักเรียนในห้องคุยเสียงดังจอแจ ไม่ได้ทำให้โอเซฮุนคนนี้หลุดออกจากภวังค์ความคิดแต่อย่างใด ดวงตาคมเหม่อลอยอย่างจับที่จับทางไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดที่เก็บซ่อนอยู่ภายใต้จิตใจ ตอนนี้เหมือนมันกำลังลอยไปหาใครอีกคน คนที่ไม่มาโรงเรียนสองวันแล้ว
.....คิมจุนมยอน หายไปไหน......
ยิ่งคิดไป คิ้วเข้มก็ยิ่งขมวดมุ่น จนเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างไม่กล้าจะเข้ามายุ่งด้วย ความคิดของเขามันตีกันมั่วไปหมด มีหลายเรื่องที่ให้คิดและน่ากังวลจนเซฮุนแทบจะบ้า จิตใจตัวเองแท้ๆ สมองตัวเองแท้ๆ แต่กลับจัดการไม่ได้
ทุกอย่างเป็นเพราะหัวหน้าห้องตัวขาวคนนั้น คนที่เริ่มเข้ามามีผลต่อชีวิตประจำวันของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ หรือบางทีจุนมยอนอาจจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเซฮุนมาตั้งนานแล้ว
.
.
.
.
ร่างสูงยังคงนั่งนิ่งไม่ไปไหนจนถึงเวลาที่เข็มสั้นของนาฬิกา ชี้ไปที่เลขหนึ่ง บ่งบอกว่าถึงเวลาขึ้นเรียนภาคบ่ายแล้ว สองวันที่ผ่านมานี้เขาโดนอาจารย์ดุบ่อยมากกว่าเดิม กับการที่นั่งทำหน้าเครียดเกินเหตุเหมือนคนที่ครอบครัวทางบ้านกำลังจะล้มละลาย ฉับพลันห้วงความคิดก็สะดุดลง เมื่อประตูห้องเรียนถูกเปิดขึ้นอีกครั้งทั้งๆที่อาจารย์ประจำวิชาเข้าแล้วแท้ๆ
“คิมจุนมยอน! ทำไมถึงเข้าสาย!”
ไม่ผิดแน่ๆ เซฮุนมองไม่ผิดว่าคนที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในห้องคือคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่ แววตาตื่นตระหนกตกใจที่โดนอาจารย์ชเวดุเรื่องที่เข้าเรียนช้า พร้อมกับอากัปกิริยาที่มักจะติดนิสัยทำแบบบ่อยๆเวลาที่รู้สึกประหม่า ก้มหน้าจนคางชิดอกพร้อมเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง แบบนี้มีคนเดียว
“ค..คือผม เพิ่งจะมา.. อ่ะ! โอ๊ยย!”
ยังไม่ทันได้แก้ตัวให้อาจารย์ฟัง ข้อมือขาวก็ถูกคนที่ไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดฉุดไปซะก่อน ร่างสูงคว้าข้อมือนั้นไว้แน่น พร้อมกับออกแรงดึงแรงๆให้อีกคนตามออกมาจากห้อง จะหาว่าเซฮุนเสียมารยาทก็ได้ที่จู่ๆก็เดินดุ่มๆไปขัดขวางการคุยกันของลูกศิษย์และอาจารย์ แต่เขาไม่อยากรออีกแล้ว แบบนี้มันนานเกินไปแล้ว
“เซฮุน! นายจะไปไหน ปล่อยก่อน!
“........”
“เซฮุน นี่มันวิชาสำคัญนะ! จะโดดเรียนออกมาแบบนี้ได้ไง ปล่อยฉัน!”
คนตัวเล็กดีดดิ้นโวยวายกลบเกลื่อนอาการประหม่า ข้อมือขาวพยายามสะบัดออกให้หลุดจากการเกาะกุมของชายร่างสูงตรงหน้าที่ทำหน้าเครียด ที่นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว ยังลากเขาเหมือนจะพาไปฆ่าที่ไหน จุนมยอนขืนตัวเองอย่างสุดๆ หากแต่ก็สู้แรงอีกคนไม่ได้สักนิด ความจริงเขาแพ้ตั้งแต่ขนาดตัวแล้วล่ะ
สุดท้ายขืนตัวเองเท่าไหร่ก็คงสู้ไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เซฮุนเดินจับมือตัวเองเดินไปมาอยู่อย่างนั้น ขาวยาวๆพาก้าวเข้ามาในอาคารศิลปะ ก่อนจะตรงไปยังห้องเรียนห้องสุดท้ายที่ไม่มีนักเรียนอยู่สักคน และปล่อยมือคนที่เดินจับมือมาตลอดทาง
“.........”
“.........”
เกิดความเงียบปกคลุมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างเอาแต่ยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละ ริมปากหนาที่เหมือนจะขยับเอื้อนเอ่ยอะไรสักอย่างออกมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาสักที จนจุนมยอนได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อรอเท่าไหร่ก็ยังคงเงียบ คนตัวเล็กเลยถือโอกาสพูดก่อน
“พามาที่นี่ทำไม”
น้ำเสียงห้วนๆเหมือนไม่สบอารมณ์ของร่างขาวๆตรงหน้าทำให้เซฮุนร้อนรนไม่น้อย กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีมั้ย แววตาที่ล่อกแล่กอย่างปิดไม่มิดทำให้จุนมยอนนึกสงสัย กะว่าจะรอให้พูดออกมาเอง แต่ในเมื่อถ้ามันจะทำให้เสียเวลาขนาดนี้ก็อย่าเลยดีกว่า สิ่งที่เซฮุนจะพูดคงจะสำคัญ แต่การเรียนของเขาก็ไม่ได้สำคัญน้อยซะที่ไหน
“ถ้าไม่มีอะ..”
“ขอโทษ”
แววตาจริงใจที่มองตรงมายังเขา น้ำเสียงแผ่วเบาที่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากนั้น เพียงแค่เสียงเบาๆ แต่สำหรับคนตัวเล็กมันกลับเด่นชัดขึ้นมาในหัวใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกดีกับคำพูดของอีกฝ่าย แถมหัวใจยังเต้นแรงแปลกๆอีกด้วย ความจริงอยากจะฟังชัดๆกว่านี้ แต่ช่างเถอะ เขาไม่ใช่พวกนางเอกในละครที่จะมาบังคับให้พระเอกพูดจาตามที่ตัวเองอยากจะฟังนี่นา
“ต่อไปอย่าขาดเรียนอีก”
“อ้าว”
จุนมยอนถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเจอประโยคคำสั่งของอีกฝ่าย เมื่อกี้เหมือนจะเป็นเขาที่กำลังได้เปรียบอยู่ไม่ใช่หรอ? แล้วไหงอีกคนถึงพลิกสถานการณ์แบบนี้
“ต่อไปอย่าใส่กางเกงขาสั้นแบบนั้น”
“.................”
“ต่อไปอย่าเข้าไปใกล้ผู้ชายพวกนั้นหรือกับใครก็ช่าง”
“ค..คือว่า....”
“ต่อไป! ห้ามให้ใครแตะตัว นอกจากฉัน!”
แววตาดื้อรั้นเอาแต่ใจ พร้อมริมฝีปากที่ยังคงพ่นคำสั่งออกมาไม่หยุด ทำให้คนตัวเล็กเบลอๆ พร้อมเม้มริมฝีปากแน่น มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ โอเซฮุนกำลังทำให้จุนมยอนงง
ทั้งๆที่คิดว่าการที่ได้มาปรับความเข้าใจตรงนี้ จะทำให้เข้าใจกันถึงสาเหตุสำคัญหรือสถานการณ์ในวันนั้น แต่เปล่าเลย มีเพียงแค่คำว่าขอโทษ นอกนั้นก็เป็นประโยคคำสั่งอะไรไม่รู้ที่ดูเหมือนว่าอีกคนจะเอาจริง แบบนี้มันเป็นการเปลี่ยนเรี่องแบบง่ายๆตามสไตล์ของโอเซฮุน
“และสุดท้ายก็...ห้ามนอกใจฉัน”
“อะ..อะไร....”
ร่างสูงไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มให้อีกคนบางๆ แต่ทำเอาใจดวงน้อยๆนั้นเต้นรัว พลันเลือดก็สูบฉีดแรงอย่างห้ามไม่ได้ คิมจุนมยอนไม่ได้ใสซื่อขนาดที่ว่าจะดูไม่ออก ว่าประโยคคำสั่งแบบนั้น เขาไว้ใช้กับคนที่มีสถานะเป็นอะไรกัน
แต่จะให้ทำยังไง ตอนนี้ไม่อยากจะยอมรับสักนิดว่าตัวเองกำลัง ‘เขิน’ คนที่ด่าเขาสารพัดสารเพเมื่อสองวันก่อนและเขินคนที่คอยแกล้งเขาอยู่เรื่อย แก้มขาวๆที่ขึ้นสีระเรื่อนั้นทำเอาคนที่ลอบสังเกตปฏิกิริยานั้นใจสั่นไม่น้อย อยากจะจับมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว
“ขอจูบหน่อย”
“!!”
คำขอตรงๆที่เอ่ยออกมาทำให้ดวงตากลมโตของคนตัวเล็กเบิกกว้าง ขาสั้นๆก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ไม่คิดจะปกปิดไว้สักนิดถูกส่งมายังเขาโดยตรง ขายาวๆของอีกคนนำพาตัวเองขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนจุนมยอนอยากจะวิ่งหนีไปไกลๆซะ แต่ติดตรงที่ว่าแขนแกร่งของอีกคนตวัดโอบรอบเอวบางไว้อย่างรวดเร็ว หมดสิ้นหนทางที่จะหนี
“เซฮุน ด..เดี๋ยว คือ... อือออ”
ไม่ให้ร่างเล็กพูดจบก็จัดการทาบทับริมฝีปากลงไปทันที ไม่มีการรุกล้ำใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันอย่างแผ่วเบา ก็ทำเอาหัวใจโอเซฮุนเต้นเป็นลิงโลด รู้สึกเหมือนตัวเองจะสำลักความสุข
ความรู้สึกในใจที่พยายามปกปิดมันมาตลอดแม้กระทั่งตัวเอง ตอนนี้มันเก็บไม่อยู่และถูกเปิดเผยออกมาให้อีกฝ่ายได้รู้ ความรู้สึกนั้น... ที่ตัวเขาเองไม่กล้าจะเรียกมันว่าเป็นความรัก
...ทั้งๆที่มันเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งนานมาแล้ว....
เช่นเดียวกับอีกคน เพียงแค่ริมฝีปากบางที่ถูกริมฝีปากร้อนๆของอีกคนทาบทับลงมา กลับทำให้ใจเต้นรัวจนเจ้าของมันยังกลัวว่าจะเด้งหลุดออกมาข้างนอกซะก่อน จุนมยอนไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนตามที่ควรจะเป็น กลับทำแค่เพียงขยุ้มเสื้ออีกคนไว้ไม่ให้ตัวเองหมดเรี่ยวแรงลงไปกองกับพื้นซะก่อน เปลือกตาบางหลับพริ้มรับสัมผัสของอีกคนอย่างเต็มใจ
แล้วมันจะไม่ดูง่ายเกินไปใช่มั้ย ถ้าคิมจุนมยอนคนนี้จะยอมเปิดริมฝีปากให้ลิ้นอีกคนเข้ามาสำรวจและเก็บเกี่ยวความหวานได้เต็มที่
ถ้าจะบอกว่าง่าย ก็คงต้องโทษใจตัวเอง...
ที่มันหนีหายไปอยู่กับเซฮุน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
.
.
.
...วันเปิดภาคเรียนขึ้นชั้น ม.ปลาย....
FIN :)
เป็นฟิคที่ไม่มีอะไรเลย เพราะมันเป็นฟิคแก้บน ไม่ได้ตั้งใจจะแต่ง TT
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่ะ
TWITTER :: @forphang
B B
ความคิดเห็น