ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Revol Field (รับสมัครตัวละคร)

    ลำดับตอนที่ #3 : ปริศนา : 1 (ยังไม่เสร็จ)

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 57



    ฟิ้ว~

     

    สายลมเอื่อยๆได้มาปะทะกับใบหน้าคมเข้มของผู้ที่นอนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาลที่ถูกปกคลุมไปด้วยดวงดาวนับพันที่เรืองแสงงามอยู่ภายใต้ความมืด

     

    เมื่อความเย็นถูกสัมผัสที่ใบหน้า ดวงตาที่ปิดสนิทนั้นจึงค่อยเปิดดวงตาสีเงินขึ้นมาอย่างช้า ก่อนค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นมามองรอบๆตัว

     

    ภาพตรงหน้าสะท้องเขามาในดวงตาที่เบิกกว้าง กระจกที่ใสจนทำใหมองเห็นท้องฟ้าเบื้องบนและเบื้องล่าง รอบตัวก็มีผู้คนมากมายที่ไม่รู้ตัวนอนอยู่ ณ พื้นห้อง บางคนที่เริ่มรู้สึกตัวก็หันมองอย่างมึนงง เจ้าของใบหน้าคมเข้มค่อยๆพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา

     

    "ฝัน...แน่ๆ"

     

    และแล้วหลังจากที่ปักใจเชื่ออย่างนั้น ก็ค่อยๆล้มตัวลงนอนบนกระจกนั้นอีกครั้ง อาจจะเพราะความเย็นยะเยือกของห้องนี้ทำให้ไม่เอื้ออำนวยต่อการนอนสักเท่าไร เจ้าตัวเบิกตาขึ้นก่อนเอาแขนมาปิดใบหน้าส่วนบน

     

    "ดู..เหมือนความจริงมากไป..รึเปล่านะ?"

     

    ร่างสูงโปร่งค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินไปสัมผัสกับกระจกที่กั้นภายนอกไว้ มือขาวซีดลูบไล้สัมผัสกับความเย็นของกระจก ดวงตาสีเงินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดูไม่เหมือนความจริงแต่เป็นความจริงสำหรับเจ้าตัวสำหรับตอนนี้

     

    พรึ่บ!

     

    - เสียงอะไรนะ? -

     

    จู่ๆแสงสีน้ำเงินเข้มได้สว่างจ้ากลางอากาศ ณ กลางห้องกระจกนั้น ทำให้ร่างสูงต้องหลับตาลงอย่างกระทันหันเพราะแสบตา เมื่อรู้สึกถึงแสงที่ลดลงไปแล้วดวงตาสีเงินค่อยเงยหน้าขึ้นไปมองดูภาพโฮโลแกรมที่ฉายขึ้นมากลางอากาศ

     

    "อะแฮ่มๆ สวัสดียามบ่ายนะ เจ้าพวกเศษสวะทุกตัวที่อยู่ที่นี้"

     

    เมื่อมองดูดีๆจะเห็นเก้าอี้ตัวใหญ่ด้านหลังเด็กชายดวงตาสีแดงก่ำราวกับเลือด เส้นผมสีทองอร่ามพริ้วไปตามการขยับตัวบนเก้าอี้ที่ใหญ่เกินตัวของเขา ริมฝีปากน้อยกำลังแสยะยิ้มอย่างผู้มีชัย แค่เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กชายที่หยิ่งยโสเพียงใด

     

    "โอะ ลืมไป พวกเจ้าคงไม่รู้เวลาของโลกภายนอกสินะ เอ้าๆ ตื่นกันได้แล้วเจ้าพวกสวะ" เพียงแค่คำพูดของเขา ผู้ที่ไม่รู้ตัวต่างก็สะลืมสะลือตื่นขึ้นมามองหน้ากันอย่างงงๆก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองโฮโลแกรม เด็กชายคลี่ยิ้มบางๆก่อนพูดต่อไป

     

    "สวัสดีอย่างเป็นทางการใหม่อีกครั้ง ขอต้อนรับสู่ Revol Field ซึ่งที่ๆข้าดึงพวกเจ้าให้มาอยู่ในมิติพิเศษในที่นี้ 

     

    ถ้าไม่สู้ ก็จงอยู่อย่างอ่อนแอไปซะ นั่งหน้ารอรับความตายอยู่ตรงนั้นแหละ


    เพราะในที่นี้คือมิติพิเศษที่พวกเจ้าต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆเพื่อที่จะขึ้นไปสู่ชั้นถัดไป ช่าย~ ชั้นถัดไป เพื่อมาถึงตัวข้า...



    เมื่อเจ้าพบกับสิ่งที่เรียกว่าความตายเมื่อไร...เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรเลย ในโลกของเจ้าจะไม่ได้แค่หลับไปเท่านั้น เหมือนเจ้าหญิงนิทรา



    แต่ว่า



    ถ้าเกิดพวกเจ้าทั้งหมดมาไม่ถึงตัวข้าเมื่อไร เมื่อนั้น...จากที่เป็นเจ้าหญิงระวังจะกลายเป็นซากศพเดินได้โดยไม่รู้ตัว
    นะ” เมื่อเด็กชายพูดจบ เสียงกรีดร้องระงมของบางคนก็ได้ดังไปทั่วห้องกระจก ดวงตาสีเงินได้หรี่พินิจวิเคราห์จากเด็กชายในภาพโฮโลแกรมที่ยิ้มเยาะให้กับ...พวกเขาภายในห้องกระจกแห่งนี้ ไม่สิ ภายใต้กำมือของเด็กชายที่จะชี้ชะตาชีวิตของตน



    ดวงตาสีแดงก่ำกวาดตามองไปทั่วห้องครั้งหนึ่งก่อนจะปรบมือเหมือนการเรียกสติมารับฟังความจริงต่อหลังจากที่พวกเขากรีดร้องกันซะจนพอใจแล้วก็เงยหน้าขึ้นมารับฟังสิ่งที่แสนโหดร้ายแต่ต้องทำต่อไป...

     

    เอาละ มาถึงตอนสำคัญละ กติกา...


     ข้อแรก ข้าชอบเกมส์มาก เพราะฉะนั้นมิตินี้จะมีค่าสถานะต่างๆซึ่งข้าได้พยายามสร้างให้เหมือนเกมส์ในโลกของพวกเจ้า จึงมีค่าสถานะต่างๆ และ สถานะที่สำคัญคือ สถานะเฉียดตาย เป็นช่วงสำคัญ จะดีขึ้นหรือจะเลวร้ายลง ขึ้นอยู่กับตัวเจ้า เพราะข้าได้เตรียมเซอร์ไพรไว้แล้ว” มีเสียงหัวเราะในลำคออย่างต่อเนื่องผสมกับเสียงที่ไม่พอใจของเหล่าผู้คน


    ข้อสอง ในแต่ละชั้นจะมีปัญหาที่ข้าได้คิดขึ้นมา ทั้ง 100 ข้อ การแก้ปัญหานั้นจะแตกต่างออกไปตามความต้องการของข้า และ จะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอโดยไม่บอกพวกเจ้า หึๆ แค่นี้น่าจะพอใจกันทุกฝ่ายแล้วนะ แต่ยังไม่พอหรอก ข้ามีโปรโมชั่นแถมให้        


    ข้อสุดท้าย ถ้าพวกเจ้าทำอะไรไม่ถูกใจข้า ไม่สิ มันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการแก้ปัญหาละมั่ง เอาเป็นว่า พวกเจ้าคนไหนโชคดีที่ทำมันให้เกิดขึ้นเองละก็...เจ้าจะไม่มีวันหวนกลับไปอีก ระวังทุกการกระทำเอาไว้ให้ดี
    อืม ก็คงไม่มีอะไรที่ข้าจะพูดมากไปกว่านี้แล้วละมั่ง”



    เด็กชายแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนการพูดครั้งสุดท้าย “จงเดินไปตามเส้นทางที่ข้าได้กำหนดซะ หรือเจ้าจะสร้างเส้นทางเองละ    แต่คงไม่มีวันละนะ ถ้าข้ายังอยู่และพวกเจ้ายังอยู่ในมิตินี้


    เมื่อมีคำถามสงสัย พวกเจ้าสามารถเรียกข้าถามได้เสมอ เพราะข้าดูเจ้าอยู่และเบื่อมาก ถ้าไม่ได้พูดคุย จงเรียกหาข้าและเอ่ยชื่อข้าว่า


    ‘Revol’ “



     

    และแล้วก็เกิดแสงจากใต้เท้า ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าพื้นค่อยๆเอียงขึ้น หลายชีวิตก็ได้ตกลงไปจากห้องกระจกที่พื้นกระจกด้านล่างได้เปิดออกมา ดวงตาสีเงินเบิกกว้างอย่างตกใจ เส้นผมสีดำพริ้วไหวไปตามแรงเข้าสู่ศูนย์กลางโลก ตอนนี้ไม่น่าเชื่อและถ้ายังไม่มีใครเชื่อก็คงต้องขอบอกว่าให้เชื่อ ว่าตอนนี้ ณ กลางอวกาศ ทุกคนยังหายใจได้ ทุกคนเหมือนพร้อมเพรียงใจกันไปมองดาวเคราห์สีน้ำเงินข้างล่างตน


    ดวงดาวสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยน้ำ ส่องไสวภายใต้ความมืดของห้วงอวกาศที่ไม่อาจะสัมผัสได้  ใช่แล้ว ร่างสูงได้เอื้อมมือออกไปสุดจะเอื้อม มันดูเหมือนไม่สามารถแตะต้องได้ เหมือนอยู่ไกล แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้ เมื่อพวกเขาทั้งหลายค่อยผ่านชั้นบรรยากาศของโลกที่เคยเหมือนจะรู้จักลงมาเรื่อยๆ ก่อนเท้าแตะพื้นดินอย่างนิ่มนวล

     
     

    ร่างสูงได้หันไปมองรอบๆ เนื่องจากตัวสูงอีกนั้นแหล จึงสามารถเห็นทิวทัศน์รอบๆได้ง่ายกว่า ดวงตาสีเงินมองไปรอบๆตัวอย่างเหม่อลอย ที่แห่งนี้เหมือนเป็นซากอารยธรรมของปัจจุบันในโลกของเขา ตึกสูงใหญ่ระฟ้าที่เริ่มทรุดโทรมลงจนน่าใจหาย เริ่มมีต้นไม้งอกออกมาจากตัวตึกบางแล้วเล็กน้อยแต่จากที่มองโดยรวม ไม่มีต้นไม้ต้นไหนน่าจะอยู่เกินร้อยปีสักต้น ไม่ใหญ่แต่ก็ใช่ว่าไม่ยาว เถาวัลย์พันไปรอบๆแต่ละสถานที่ ขนาดถนนก็โดน ฝุ่นที่ฟุ้งพัดผ่านใบหน้าคมคายจนต้องไอแคกๆออกมา


    “แคกๆ หายใจไม่ค่อยออกเลยแหะ” เสียงนุ่มทุ้มพูดกับตัวเองเบาๆ


    พรึ่บ


    ดวงตาสีเงินหันขวับกับไปที่ๆได้ยินเสียง ทันได้นั้น จากลูกไฟที่ลุกไหม้ก็กลายเป็นชายผมขาวยาวประบ่า ดวงตาสีดำสนิทหรี่เล็กลงเหมือจะสู้กับแสงแดดที่เจิดจ้าของ ณ ที่นี้ เสื้อที่กระชับร่างกายสีขาวนั้น ปรายด้านหลังได้ยาวเลยเข้าลงมา ชายคนนั้นทำท่าไอสักสองสามทีก่อนที่จะเริ่มเปล่งเสียงออกมา


    “ข้ามีนามว่า ทริทอน เป็นสนุขรับใช้ของนายน้อยเรฟอล ที่ข้ามาที่นี้ก็เพื่อจะอธิบายของกติกาด่านนี้ให้ฟัง”


    เมื่อเสียงที่เรียบเฉยได้จบลง ดวงตาสีดำกวาดมองไปรอบๆก่อนจะแกล้งไอเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนเงียบ “เอาละ เพื่อไม่ให้เสียเวลา กติกามีง่ายๆ ก็คือ เจ้าจะต้องไปชิงกุญแจมาเปิดประตูและห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้น ทั้งหมดก็มีแค่นี้แหละ” เมื่อพูดจบ ทริทอนก็ได้สลายหายไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพวกเราที่ค่อยๆเลือนหายไปเหมือนกัน...

     

    วูบ

     

    การที่จะตั้งสติกับเกมนี้ท่าจะเป็นเรื่องยากสักหน่อย เล่นวาร์ปกันไปมาหลายรอบโดยไม่ทันตั้งตัว แค่จะลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อดูรอบๆให้ชัดเจนเท่านั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับน้ำที่ยืดๆเหนียวๆดูเหมือนเมือกสีเหลืองๆไม่ก็เขียวๆอยู่ตรงหน้าพร้อมกับฟันที่แหลมคนหลายซี่เตรียมพร้อมจะงาบหัวเขา ไม่ทันที่จะเบิกตากว้างหรือส่งเสียงร้องใดๆ ...เขากำลังจะตาย...


    -ไม่ทัน!!!....-


    ตึง!


    เสียงเหมือนโลหะตีกับอะไรสักอย่างดังก้องกังวาน ในขณะที่ตัวเขาหลับตาแน่นไม่ยอมแม้แต่จะลืมตาดูด้วยซ้ำ รู้สึกเหมือนร่างกายเขาจะยกสูงขึ้นแล้วกระเด็นไปชนกับต้นไม้


    อึก!


    ความเจ็บปวดแล่นผ่านสู่ร่างกายอย่างเฉียบพลัน คนที่ไม่เคยแม้แต่จะทำอะไร เมื่อมาโดนอย่างนี้ก็เจ็บแปลบๆแถบขยับไม่ไหว แถมด้วยความกลัวจากภาพแรงที่เขาลืมตามาพบก็รู้สุกสั่นสะท้านด้วยความกลัวไปทั่วร่างกาย เสียงเหมือนโลหะที่กระหน่ำซ้ำๆกันนั้น ต่อให้ดังแค่ไหนตัวเขาก็ยังไม่ยอมลืมตาเพื่อมามองความเป็นจริงสักที เมื่อเสียงนั้นเงียบลง ร่างสูงโปร่งก็เหมือนรู้สึกจะปลอดภัย ในขณะที่เขาจะค่อยๆลืมตาขึ้นมานั้น...


    “เฮ้~ พี่ชาย จะหลับตาไปอีกนานไหมเนี่ย ตื่นขึ้นมาได้แล้ว~ เอะ หรือว่าตายแล้วนะ?” ประโยคสุดท้ายเหมือนกับจะพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ว่าตั้งแต่ที่มันพูดขึ้นมาก็เหมือนจะว้ากใส่เขามากกว่า เพราะมัน...ดังได้ใจเหลือเกิน แบบไม่ต้องไปเปิดลำโพงได้อีกนาน เมี่อร่างสูงปล่อยให้เขาคนนั้นที่มาปลุกพึมพำกับตัวเองต่อไป ดวงตาสีเงินก็ค่อยๆเบิกตามองไปรอบๆ


    ชายเตี้ยแต่รูปร่างกำยัน ผิวสีออกเหลืองๆ ใส่เสื้อกล้ามสีขาว คนๆนั้นหันหลังให้เลยไม่เป็นใบหน้าของเขา ผมสีดำยาวเกินบ่าสะบัดพลิ้วไปตามแรงที่เขายันตัวลุกขึ้นอย่างเจ็บปวด เหมือนกับคนนั้นได้ยิ้นเสียงตะกุกตะกักจากด้านหลัง เลยหันกลับมามองเขาอย่างรวดเร็ว “อ่าว พี่ชายตื่นแล้วสินะ แหม~ เมื่อกี้เกือบตายไปแล้วนะเออ ข้าก็กลั้วเลยเกิน ว่าจะไม่มีเพื่อนคุยแล้วนะเนี่ย”


    เสียงแหลมๆพูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนาน เมื่อเขาเงยหน้ามองก็ตกตะลึง ใบหน้าเหลี่ยมนั้น ดวงตาของคนนั้นไม่มีตาขาว มีแต่ตาสีเหลืองๆเขียวๆเป็นสีเดียวกันทั้งตา เหมือนเขาจะรู้ว่าร่างสูงตกใจ ก็เลยพูดขึ้นมาเพื่อแก้ไข้ความสงสัยของเขา “อ้อ ไม่ต้องกลัวไปหร้อก~ ข้าเป็นเผ่าแมลงนะ ชื่อมอลโตส แล้วเจ้าละ?”


    มอลโตสได้ยื่นมีมาข้างหน้า ร่างสูงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนขะยื่นมีจับและเขย่าเป็นพิธี “เราชื่อ เฟียส จ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะ” เฟียสยิ้มน้อยๆก่อนจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาน่าจะมีเพื่อนร่วมทางแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก “เอ่อ มอลโตส เมื่อกี้เราจะตายแล้วเหรอจ้ะ?”



    ทางมอลโตสก็ทำหน้าสงสัยเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างภูมิใจ “อ้อ ใช่ๆ เมื่อกี้พี่ชายเกือบจะถูกเจ้าสัตว์ประหลาดมันงาบหัวไปแล้วนะเนี่ย ดีนะที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ได้ทัน” ไม่ว่ายังไงหรืออะไร มอลโตสก็ฉีกยิ้มพร้อมกับชูสองนิ้วรูปตัววีให้เขา เฟียสก็อดที่จะขอบคุณไม่ได้ “ของคุณจริงๆนะจ้ะที่ช่วยเราไว้”


    “ไม่เป็นไรๆ พี่ชายละก็ รู้ไหม ตอนนั้นมันน่ากลัวมากแค่ไหน เจ้าสัตว์ประหลาด เอ่อ ก็นะ ข้าไม่รู้จะเรียกอะไรดี รูปร่างแบบนั้นข้าไม่เคยเห็นอะ” เฟียสก็พยักหน้าฟังวีรกรรมของมอลโตสต่อ “ใช่ๆ พอมันจะงาบหัวพี่ชายนะ ข้าก็ฟาดด้วยกระบองเหล็กของข้าไปหลายทีเพื่อให้มันหนีไป ก็นะ ห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตใช่ไหมล้ะ~ ถึงมันจะดูรูปร่างไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตเลยก็ตามนะ เอ้า พี่ชายลองดูสิ กระบองเนี่ยข้าทำเองกับมือนะ เหมาะสำหรับเผ่าแมลงเลยละ” มอลโตสยื่นกระบองยักษ์สีเงินมาให้ ตอนแรกที่เฟียสคิดคือ คงจะถือไม่ไหวแหงๆ แต่พอได้มาถือจริงๆ กลับรู้สึกเบาหวิวราวกับปากกาแท่งนึงเท่านั้นเอง


    ระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปคุยไป เฟียสก็มองไปรอบๆบ้าง แต่ก็พบว่าก็เหมือนกับที่ๆเคยอยู่กับทุกคนในตอนที่ทริทอนพูดนั้นเอง สิ่งที่แปลกไปคือ เขาวาร์ปมาอยู่หลังพุ่มไม้แล้วกำลังถูกงาบนั้นเอง


    “เน่ๆ พี่ชายกินอะไรถึงได้สูงขนาดเนี่ย” มอลโตสก็ยังคงซักไซร้ตามเรื่องราวต่างๆนาๆเกี่ยวกับเฟียส บางครั้งเขาก็เล่าเรื่องตัวเองให้ฟังอย่างเช่น มีน้องชายสองคนชื่อ กลูโคสกับกลูโคส เป็นแฝดกันเลยตั้งชื่อเหมือนกัน ตอนนี้เขายากลำบากอย่างมากเลยทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อแลกอาหาร (ไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูเหมือนมนุษย์) อยู่ๆตอนที่ทำงานเพลินๆก็รู้สึกสติได้ดับไป ตื่นขึ้นมาอีกที่ก็อยู่ในห้องกระจกแล้ว


    “เราก็เหมือนกันนะจ้ะ ตอนแรกก็นอนฝันดีอยู่ อยู่ดีๆก็มาโผล่ที่ห้องนั้นแล้ว” ทั้งคุ๋หัวเราะกับความไม่รู้ของตัวเอง(ซื่อทั้งคู่จริงๆเลย) เดินไปคุยไปก็มาถึงถนนสายใหญ่ รู้ได้ไงนะเหรอ มีป้ายที่ต้นไม้ขึ้นบังแล้วปักอยู่ข้างทาง โดยมอลโตสใช้กระบองเหล็กปัดต้นไม้ออกแบบรุนแรงเล็กน้อย(ป้ายยับเลย)


    สรุปตอนนี้ทั้งคู่ก็เอาแต่หัวเราะไปมากับเรื่องแปลกๆของทั้งสองโลกที่ได้แลกเปลี่ยนคุยกัน จนเมื่อกระทั้งเฟียสเลือบไปเห็นแสงสีเงินแวบๆข้างหลังตึกแห่งหนึ่ง...


    ฟึบ!


    “ระวัง!!!”


    เฟียสดึงตัวมอลโตสเข้ามาหาตัวเองทำให้ทั้งคู่ล้มไปทับกัน ในแววตาสีเงินสะท้อนให้เห็น สัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนตัวเดิมที่จะงาบหัวเขาเมื่อกี้ อ้าปากกว้างจนเห็นฟันสีเหลืองๆเพียงแวบเดียวผ่านหลังมอลโตสไป เมื่อเห็นดังนั้น มอลโตสเลยอุ้มท่าเจ้าหญิงบินหลบเจ้าตัวเดิมที่หันหลังกลับมาแล้วกระโดดผ่านไปอย่างรวดเร็ว


    “โอ้ย! ขาข้า~” ถึงจะเร็วมากเพียงไหนก็ไม่ทันเจ้าตัวนั้น มอลโตสเลยโดนเฉียนเนื้อที่ขาไปเล็กน้อย


    “ไม่เป็นไรนะจ้ะ!”


    “พี่ชายอย่าห่วงเรื่องเล็กน้อยเลย ตอนนี้ห่วงเรื่องนี้ก่อนดีกว่า การะอึก” เสียงกลืนน้ำลายของมอลโตสทำให้ เฟียสหันไปรอบๆตัว มันมากันประมาณสี่ห้าตัว ถึงดูเหมือนจะน้อย แต่ก็มากสำหรับคนๆเดียว ทำไมคนๆเดียวนะเหรอ เพราะคนที่สู้ได้ก็มีแต่มอลโตสเท่านั้นและกว่าจะล้มได้แต่ละตัวก็ท่าทางจะยากเอาการอยู่เหมือนกัน ดูจากตอนที่เจอกันครั้งแรก


    เพื่อนแมลงตัวน้อย(ก็เตี้ยกว่านิ)ว่างเขาลงแล้วหยิบกระบองเหล็กข้างเอวขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้อย่างสุดกำลัง กระซิบกับเขาว่าให้หลบให้ดี ตอนนี้เฟียสเลยหยิบอะไรที่หาได้ขึ้นมาก่อน นั้นก็คือ ป้ายเตือนข้างทางมากำไว้ในมือ


    เมื่อเจ้าตัวแรกกระโจนเข้ามา เฟียสเอียงตัวหลบไปด้านข้าง มอลโตสเข้ามาดักแล้วตีหัวมัน จนเหมือนจะแบนแต่มันก็กระโดดข้ามไปจนได้(ไม่สลบแหะ) ตัวสองกับสามเข้ามาทางซ้ายขวาของเฟียส(ดูเหมือนมันจะรู้ว่าใครอ่อนสุด) มอลโตสดึงคอเสื้อของเขาไปด้านหลังแล้วหวดสองตัวพร้อมกัน ทำให้เฟียสที่อยู่ห่างๆมองเห็นแสงสีเงินแวบๆที่ในปากตรงใต้ลิ้นของมัน เลยรีบขว้ามันไว้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะไปสนใจแค่ที่ตรงนั้น ทำให้เฟียสประมาทไปหน่อย จนเกือบจะโดนตัวที่หนึ่งงาบหัวเอาถ้าไม่สะดุดก้อนหินตามนิสัยเงอะๆงะๆของเขาจนล้มลงไปเลยรอด


    “พี่ชายระวังหน่อยสิ เกือบตายรอบสองแล้วนะเนี่ย” มอลโตสยื่นมือมาจับให้เขาลุกขึ้น


    “โทดทีๆ ไม่ได้ตั้งใจจ้ะ ต้องขอโท...ฮึบ!” เฟียสผลักมอลโตสให้ล้มไปข้างหน้าอย่างรุนแรงเพื่อให้เขาทั้งคู่ล้มลงแล้วหลบให้พ้นเจ้าตัวที่สี่กับห้ากระโจนมากัดกันเอง


    “ถ้าไม่ระวังที่แย่เลยแหะ” เสียงพึมพำของมอลโตสเข้าหูเฟียสเล็กน้อย พอที่จะทำให้เข้ายิ้มบางๆได้บ้าง


    ระหว่างที่เขาหลบไปเรื่อยๆ ผมสีดำพริ้วไหวไปตามแรงต่างๆที่มากระทำ ดวงตาสีเงินก้มมองในมือเล็กน้อย เห็นกุญแจสีเงินรูปร่างแตกต่างกันในมือ ทำให้เขานึกสงสัย ระหว่างนั้นเขาก็ก้าวเท้าตามสะเต็ปการหลบแบบเดิมๆอย่างเร็ว เนื่องจากมันกระโดดเข้ามาหาอย่างเดียวเท่านั้น พอจับหลักได้ ก็พอหลบได้บ้าง (รู้สึกเรื่องหลบเนี่ยเก่งขึ้นเรื่อยๆนะเออ)


    ส่วนมอลโตสดูเหมือนว่าจะเริ่มเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอากาศที่นี้ก็ไม่สะอาด ออกซิเจนก็ดูเหมือนจะน้อยลงไปทุกที่ ต่างจากเขาที่ไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น (ก็แค่เอียงตัวหลบนิ) ท่าจะไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เฟียสเลยตะโกนบอกมอลโตส


    “เดี๋ยวเราล่อบางตัวไปเองนะจ้ะ ฝากจัดการที่เหลือให้หน่อยนะจ้ะ~” พูดเสร็จก็เริ่มวิ่งไปทางตรงหน้าทันที โดยไม่รู้กระทั่งเส้นทางต่างๆเลย


    “โอ้ส”


     

    มอลโตสตอบกลับเสียงใส แต่คงเพราะความประมาท เจ้าตัวนึงมันก็กระโดดมางับแขนไว้ เพื่อนแมลงตัวน้อยก็สะบัดมันออก ยังไม่ทันไร ตัวที่หนึ่งกับสองมางาบกระบองแล้วแขนข้างนั้นไว้ มอลโตสพยายามทุบมันลงพื้นหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย เจ้าสี่กับห้าที่น่าจะตามไปจัดการเฟียสก็ดันเสือกหันกลับมารุมมอลโตสที่ท่าจะไม่ดี


    “มอลโตส!!!~


    “พี่ชายหนีไป~ อย่าหันกลับมาเป็นอันขาดนะ!!!” ทั้งๆที่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดกลับไม่สนใจตัวเองซะงั้น เฟียสลังเลใจว่าจะเข้าไปช่วยดีไหมเพราะตัวเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไร แต่มอลโตสโดนรุมอยู่ เฟียสเลยวิ่งตรงกลับไปทันที


    เพราะเอาแต่อยากจะกลับไปช่วย ตัวที่หกมันโผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ มันโดดเตรียมจะงาบหัวเขา มอลโตสสะบัดหลุดจากพวกมันห้าตัว กระโจนเข้ามาใช้กระบองเหล็กฟาดมันอย่างรุนแรง แบบที่เฟียสไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าตัวที่หกมันหัวแบะทันทีแล้วกองไปอยู่กับพื้น


    เหมือนโลกทั้งใบจะหยุดนิ่งขึ้นมาทันที เมื่อเฟียสหันกลับไปมองคนข้างๆที่ทำหน้าตกใจสุดขีดเช่นกัน


    ‘Monster Dead Maltose….’


    Game Over


    ตัวอักษรสีแดงปรากฏตรงด้านหน้าใบหน้าของมอลโตสหลังจากที่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นตาย ทำให้เฟียสย้อนกลับไปคิดทันทีว่าเพราะอะไร แต่ว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้านะ ที่เพราะเมื่อไม่นานนี้สุนัขของเรฟอล ทริทอนได้บอกเอาไว้...


    ‘…เจ้าจะต้องไปชิงกุญแจมาเปิดประตูและห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้น…’


    ชิงกุณแจและ...ห้ามฆ่า งั้นเหรอ..?


    “มอลโตส!!!!! อย่าตายนะ นายต้องไม่ตายนะ ฮึก” ทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยต้องร้องไห้มาก่อน ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่เห็นต้องมีเรื่องอะไรให้ร้องไห้ แต่ตอนนี้กลับ..


    ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้และเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตกลับจะต้องมาตายเพราะปกป้องคนไม่เอาไหนอย่างเขา คำว่าเกมโอเวอร์ ที่เห็นตามเกมทั่วไปเวลาแพ้นั้น ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรเท่าไร แต่กลับตอนนี้นั้น...มันช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง


    “พี่ชาย! หนีไปสิ! ขอร้องละ...” มอลโตสเอากระบองเหล็กในมือให้เฟียสที่กำลังร้องไห้ ทั้งๆที่คนที่จะตายคือมอลโตส แต่ คนที่กำลังจะตายนั้น ทำไมถึงยิ้มได้อย่างอ่อนโยนขนาดนั้นนะ?


    ฟึบ!


    ‘สถานะ – อมพาต ตลอดกาล


    และแล้วตัวอักษรสีแดงก็โผล่ขึ้นมาหลังจากที่มอลโตสผลักเขาออกไปห่างๆตัวแรงมหาศาลเหมือนตอนแรกที่เจอกัน ไกลไปหลายเมตรที่เห็นตัวอักษรนั้น ในมือที่ชุ่มไปด้วยเหงือของเฟียสกำกระบองแน่นก่อนจะลุกขึ้นจะเข้าไปลากมอลโตสหนีไปด้วยกัน แต่ความจริงนั้น ไม่มีเวลาให้ทำแบบนั้นหรอกนะ



    เจ้าตัวที่ล้อมรอบๆมอลโตสเริ่มกระโจนเข้ามาทึงฉีกปีกด้านหลังและแขนขาอย่างบ้าคลั่ง นั้นก็ไม่ตกใจเท่ากับตัวที่กำลังกระโจนแล้ว...


    หัว...มอลโตสที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ในปากของเจ้านั้น


    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”


    ปิดหน้าปิดตาไม่ให้มองเห็นสิ่งตรงหน้าแล้ววิ่งไปทางตรงหน้าโดยไม่มีทางหันกลับไปมองเศษซากชีวิตของเพื่อนของตัวเอง เฟียสมุ่งหน้าพร้อมกับลูกกุญแจสีเงินสองดอกในมือ และ กระบองเหล็กสีเงินวาววับ ภายใต้ท้องฟ้าสีส้มกับดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสีเข้มออกมา เหมือนจะเยาะเย้ยเขา คนที่อ่อนแอไม่สามารถปกป้องใครได้ก็เหมือนแค่สวะตนหนึ่งเท่านั้ ตอนนี้เขาก็เป็นอย่างนั้นอยู่สินะ


    วิ่งไปได้ไกลพอสมควรที่จะไม่โดนไล่ตาม เพราะมอลโตสแท้ๆที่ใช้ร่างที่เป็นอัมพาตถ่วงพวกมันไว้ เขาเลยรอด เพียงคิดต่อไปอีกหน่อย ดวงตาสีเงินก็พร่ามัวอย่างรวดเร็ว พยายามสลัดความคิดพวกนั้นให้หลุดพ้นจากน้ำตาเสียที


    หลังจากที่มาหยุดอยู่ข้างๆตึกแห่งหนึ่งแล้ว เฟียสเงยหน้าขึ้นมามองประตูสีเขียวสดบานนึง เขาลองพยายามเปิดมัน แต่ก็ไม่สำเร็จ ยังไม่ทันที่จะลองดอกสอง เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ทำให้หันกลับไปมอง เห็นผู้ชายวัยน่าจะสามสิบกว่าๆเหมือนพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง วิ่งเข้ามาคว้าดอกที่เปิดไม่ได้เอาไป เฟียสงงเล็กน้องแต่ก็วิ่งตามเขาคนนั้นเมื่อเห็นสิ่งที่ตามเขาอยู่


    ฝูงนึง ไม่สิ ดูมากกว่านั้น สัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านหลังหลายตัวไล่กวดผู้คนมากมายหลากหลายสายพันธ์ที่วิ่งมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เขาเลยวิ่งหนีตามชายคนที่เอากุญแจไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย


    อยู่ๆ ชายตรงหน้าก็หยุดอยู่ตรงประตูสีเขียวอีกบาน เขาเอากุญแจสีเงินที่ทอแสงสีเขียวเสียบเข้าไปในรูแล้วไข ปรากฏประตูเปิดออกอย่างงายดาย แต่ทว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ


    พวกมันฝูงนึงเลิกสนใจผู้คนแล้วกระโดดเข้ามาด้วยระยะทางหลายเมตรมางาบหัวผู้ชายคนนั้นที่ลิงโลดด้วยความดีใจและลืมตัว จนทำให้ตัวตายอย่างรวดเร็ว


    เฟียสกระโดดอกกห่างจากผู้ชายคนนั้นได้ก่อนจึงรอดตัวไป แต่เพราะว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นเหลือแต่เขาคนเดียว พวกมันหลายตัวหันหน้ากระโดดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว!!!


    โป๊ก!


    “โอ้ย อะไรนะ?” เขาพึมพำหลังจากที่ดูเหมือนมีอะไรเหยียบหัวเขาแล้วผ่านไป


    โป๊ก โป๊ก โป๊กๆๆๆๆ


    เสียงแบบนี้ดังต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เขาลืมเรื่องเจ้าพวกนั้นแล้วใช้ดวงตาสีเงินเงยหน้าขึ้นไปมองสิ่งที่ข้ามหัวเขาและเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นทันที


    เด็กผู้หญิงผมสีดำหยิกผูกผมทรงทวินเทลสยายไปตามแรง ดวงตาสีแดงที่เหมือนกับชุดนั้นก้มมองเขาแปปเดียว แล้วใช้ริมฝีปากที่ชมพูนั้นพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “สำออยจริง เป็นผู้ชายแท้ๆ” ก็ที่จะเชิดหน้าขึ้นแล้วกระโดดไปจนถึงประตูที่เปิดข้างอยู่แล้วเข้าไปก่อนจะปิดเสียงดัง


    ปัง!!!


    เฟียสทำหน้าเอ๋อเล็กน้อยก่อรชนที่จะสะบัดหัวแรงๆวิ่งไปรวมกับฝูงคนเมื่อกี้ที่วิ่งไปไกล แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้เขามีโอกาสรอดตอนที่เจ้าพวกนั้นมึนงงกลับปลายบาทาที่เหยียบเข้าเต็มหน้าพวกมันอย่างรุนแรง(พอคิดถึงตรงที่ทำให้เขาลูบผมสีดำของตัวเอง/ท่าทางขี้ฝุ่นเยอะแหะ)


    แต่ทว่าเพราะสิ่งที่เด็กผู้หญิงคนนั้นทำ ทำให้เขาคบี่ยิ้มออกมาบางๆและถือกระบองเหล็กไว้ให้มั่นขึ้น หลังจากชีวิตนี้ที่ถูกช่วยมาหลายครั้งหลายครา(ครั้งล่าสุดแบบไม่ได้ตั้งใจโพดๆ)ทำให้เขาคิดว่าจะรักษาชีวิตนี้เพื่อมอลโตสที่ตายไปด้วย อย่างน้อยๆก็ขอไปบอกแฝดน้องของพวกเขาให้ได้!


    วิ่งไปมากับคนฝูงใหญ่ ทำให้สะดุดตาเป็นอย่างมากสำหรับพวกมัน แต่ก็ตัดสินใจว่าจะไปกับกลุ่มนี้อยู่ดี ถึงแม้พวกเขา...จะไม่เหมือนเราก็ตาม เพื่อชีวิตนี้ อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ


    “เฮ้ พี่ชายคนตัวสูงคนนั้นมาช่วยทางนี้หน่อยสิ” เสียงของชายคนนึงที่ไม่สามารถอธิบายเผ่าพันธ์(เพราะเป็นตัวประกอบ)กวักมือเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ๆ เฟียสเดินตามไปเห็นคนกลุ่มย่อยที่แยกตัวมาอีกที กำลังใช้คนหลายคนพยายามจับเจ้าตัวต์ประหลาดให้อ้าปาก น้ำลายที่เหลืองไหลออกมาในขณะที่มันดิ้น เฟีนสกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนก้มหน้ามองคนที่เรียกเขา “มีไรเหรอจ้ะ?”


    “ชิ พูดน่อมแน่มจริง อ้อ คือพวกข้าเนี่ยอยากให้พี่ชายช่วยอะไรหน่อยนะ” ประโยดแรกผู้ชายคนนั้นสบถกับตัวเองเบา


    “ช่วย? ช่วยไรเหรอจ้ะ”


    “พี่ชายเห็นนั้นไหมละ?” ผู้ชายคนนั้นชี้ไปในปากข้างใต้ลิ้นของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ลูกกุญแจสีเงินแวววับอยู่ภายในปาก เฟียสก้มมองดูแล้วทำหน้าสงสัย ผู้ชายคนนั้นเลยอธิบายเพิ่มเติม “ช่วยหยิบมันออกมาให้หน่อยสิ ถ้าให้เจ้าพวกออเกอร์มันหยิบมีหวังปากฉีกตายแหงๆ” เฟียสพยักหน้าก่อนเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาแบบธรรมดาเหมือนตอนที่เขาและมอลโตสโดนรุม


    เสียงอี๋ด้วยความขยะแขยงของใครหลายคน ทำให้เฟียสงงๆ ก็แค่หยิบออกมาแล้วให้ผู้ชายคนนั้นมันจะไปยากอะไรนักหนา โดยที่เจ้าตัวหารู้ไม่ว่า ลิ้นของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นคมยิ่งว่าดาบทั่วไปซะอีก โดนลิ้นแทงอาจจะทำให้ถึงตายได้ (ข้อมูลจากตัวประกอบทั้งหลายในกลุ่มนนี้)


    แปะๆๆ


    เสียงปรบมือนั้นทำให้คนทั้งฝูงหันไปหาโดยไม่ได้นัดหมาย ชายคนนั้นดูตัวใหญ่กว่าปกตินั้น ไม่อาจทราบเผ่าพันธ์แต่ดูมีรัศมีผู้นำดี สำหรับคนฝูงนึง เขาใช้เสียงใหญ่ๆและทุ้มลึกพูดอย่างเสียงดัง


    “พวกเจ้าทุกคนที่ได้มาอยู่กลุ่มนี้นั้น ข้าอยากจะขอร้องสักเรื่อง” จบประโยคแรกก็มีเสียงฮือฮามาจากรอบด้าน “ในตอนนี้ ทุกคนคงรู้แล้วว่า พวกเราตกอยู่ในเกมของคนที่ชื่อว่าเรฟอลและตอนนี้พวกเจ้ากำลังหนีจากสัตว์ประหลาดอยู่” ทุกๆเสียงค่อยๆเงียบลงทันที ชายคนนั้นกวาดตามองรอบๆเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “และตอนนี้ข้าอยากให้พวกเราทุกคนรอดออกไปจากสถาณการณ์ให้ได้ แต่การที่รอดออกไปได้นั้น พวกเราต้องได้กุญแจที่อยู่ในปากของพวกมัน อย่างกลุ่มตัวอย่างนั้น” จากนั้นชายคนนั้นก็ชี้มาทางผู้ชายที่ยืนข้างๆเฟียส เหมือนเขารู้ว่าตัวเองต้องพูด เมื่อได้สัญญาณ


    “ทุกคนเห็นในมือข้าใช่ไหม สิ่งแรกที่ข้าอยากให้ทำคือการจับเจ้าตัวพวกนี้” เขาชี้มาที่เจ้าสัตว์ประหลาดที่นอนหงายอย่างหมดสภาพแต่ก็ยังดิ้นอยู่ “และ...เจ้าทำสิ” ประโยคหลังพูดกับเฟียสเบาๆ


    ด้วยความซื่อหรือโง่ก็ไม่ทราบ เฟียสเอียงคอเล็กน้อย “ทำไรเหรอจ้ะ?” ผู้ชายคนนั้นส่ายหน้าและทำหน้าเอื่อมมระอาแต่ก็อดทนมากระซิบข้างหูเฟียส “แสดงให้ทุกคนเห็นว่า ต้องหยิบกุญแจสิ” เขาเอากุญแจที่ถือสูงๆยกให้ทุกคนดูมายัดใส่มือเฟียส


    เมื่อได้กุญแจแล้ว เฟียสก็แค่เอาเข้าไปวางในปากเจ้าตัวนั้นและหยิบกลับมาให้ชายคนนั้นเหมือนตอนแรกที่เขาเรียก เมื่อได้กุญแจในมือแล้วเขาก็เริ่มพูดต่อ “อย่างที่เห็น กุญแจพวกนี้อยู่ใต้ลิ้นเจ้าพวกนี้ แต่การจะหยิบนั้นต้องระวังลิ้นของมัน เพราะแค่ลิ้นก็ทำให้ตายได้”


    เหมือนมีบรรยากาศเย็นเฉียบเกิดขึ้นกระทันหัน บางคนหัวเราะเสียงแหะๆเบาๆ บางคนก็ตัวซีด แต่โดยร่วมอาการแย่มากทีเดียว “การจะทำแบบนั้นได้ ต้องให้พวกมันหมดสภาพอย่างสมบูรณ์ พวกเราต้องใช้คนแรงเยอะอย่างมาก อย่างพวกเผ่ายักษ์เป็นต้น” ชายคนนั้นแบมือให้เห็นคนที่จับมันอยู่ เป็นคนตัวสูงกว่าเขาหลายเท่า ร่างใหญ่ ยิ่งกว่าอกสามศอกอีก


    “พอได้กุญแจแล้ว ข้าอยากให้ทุกคนเขวี้ยงมันแบบนี้” พวกที่จับมันอยู่ก็ลุกขึ้นเริ่มหมุนมันไปบนอากาศทำให้มันงงงวยและขว้าง...ไปหลายกิโลเมตรอย่างอัศจรรย์กับมนุษย์ธรรมดาอย่างเขา(เหอๆ) ชายข้างๆคนนี้เมื่อเห็นว่ามันไปไกลแล้วก็พูดขึ้นอีกครั้ง


    “เชิญ หัวหน้าพูดต่อ” จากนั้นทุกคนหันกลับไปมองผู้พูดคนแรก เขาทำเป็นไอสองสามทีก่อนที่จะพูดอย่างเสียงดังฟังชัดต่อ “อย่างที่เห็นๆกันอยู่ เมื่อได้กุญแจครบทุกคนแล้ว พวกเราจะต้องไปตมหาประตูที่เปิดได้ เมื่อกุญแจส่องแสงต่อหน้าประตูไหน แสดงว่าประตูนั้นเปิดได้ เอาละ จับกลุ่มสักห้าหกคน เพื่อทำแบบนั้น อย่าให้คนในกลุ่มคนในตายละ” เมื่อพูดจบก็สะบัดผ้าคลุมแล้วเดินจากไป


    ตอนนี้เขาคงเป็นคนเดียวที่งงแหงๆ จากคนประมาณห้ากว่าคนทั้งหมดนี้ที่เริ่มแยกตัวไปอยู่เป็นกลุ่มๆ ไม่ได้เดินอย่างสะเปะสะบัด(สะกดไม่เป็น)เหมือนตอนแรก แต่ว่ายังคงขบวนของฝูงนึงไว้เหมือนเดิม เฟียสเลยตัดสินใจว่าจะอยู่กลุ่มนี้ ถึงแม้จะไม่เต็มใจเท่าไรที่จะต้องมาอยู่อย่างนี้ก็ตาม




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×