ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [Undaring Boy] Special Story : Part I
หมายเหตุ** เนื้อหาในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนเรื่องหลัก
Special Story : Undaring Boy Part I
<SenSei x Miie>
“เซ็นเซย์!! เมื่อไหร่ลูกจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นห๊ะ แม่จองคอร์สไว้ให้แล้วนะ ถ้าคราวนี้ลูกโดดอีก ตายแน่!” แต่เช้าเลยครับ เสียงแม่ผมดังเข้ามาในหูปลุกผมให้ตื่นจากฝัน
ผมลืมตาขึ้นมานิดหนึ่งก่อนที่จะหลับต่อ คราวนี้เอาหมอนมาปิดหูด้วยเลย เพราะอีกชุดใหญ่จะตามมาแน่นอน
“ทั้งๆ ที่มีเชื้อญี่ปุ่นครึ่งหนึ่งแท้ๆ เชียว แต่กลับพูดไม่ได้เลย รู้มั้ยแม่อายเค้าจัง...” แม่อายแต่ผมไม่อายนี่ครับ... เป็นปกติทุกเช้าที่คุณแม่บังเกิดเกล้าต้องมาเป่าหูผมให้ไปเรียนภาษาบ้านเกิดของพ่อ และที่ผมพูดไม่ได้เลยนอกจากโอไฮโย่ อาริกาโตะโกไซมัส หรือพวกคำทักทายเบสิคนั้นเป็นเพราะผมย้ายมาอยู่ไทยตั้งแต่ห้าขวบ พ่อแม่ผมก็พูดภาษาไทยด้วยตลอด กระทั่งที่โรงเรียนก็ด้วย ไม่แปลกที่ผมจะไม่เป็นญี่ปุ่นเลย แต่ไม่รู้แม่ผมนึกคึกอะไรมาตั้งแต่ปีที่แล้ว คอยเคี่ยวเข็ญให้ผมไปเรียนอยู่นั่นแหละ
จริงๆ ความพยายามของแม่ก็เคยสำเร็จมาแล้วครับ ผมยอมไปนั่งเรียนครั้งหนึ่ง แต่เป็นครั้งที่ผมนั่งมึนหัวและพะอืดพะอมตลอดทั้งชั่วโมง ครูสอนเป็นสาวญี่ปุ่น นักเรียนทุกคนในห้องยกเว้นผมก็เป็นเด็กผู้หญิง ไม่ได้เป็นอันสอนเลยครับ... พวกเธอนั่งเม้าท์เรื่องดารานักร้องญี่ปุ่นแหลกลาน! แต่นั้นมาผมก็แอบโดดมาตลอด จนครั้งสุดท้ายแม่ผมดันไปรับซะนั่น เป็นอันความแตก!
ซวยชิบหาย!
“ไอ้ลูกคนนี้ จะนอนไปถึงไหน!!” แม่กระชากหมอนที่ผมเอามาปิดหูอยู่แล้วฟาดลงบนตัวผมสองสามที
ผมเคยบอกไปรึยังว่าแม่ผมโคตรโหด!
สมัยสาวๆ ท่าทางจะเป็นเจ้าแม่มวยปล้ำนะนั่น
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“โอ้ย แม่ เจ็บๆ” ผมร้องโอดโอยเมื่อแม่ฟาดผมไม่ยั้ง... จะโหดไปไหน!
ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเสียมิได้ ถ้านอนต่อมีหวังช้ำหมดแน่ๆ ร่างกายผมยิ่งบอบบางอยู่นะเนี่ย ผมขยี้ตาไล่ความง่วงก่อนจะปิดปากหาว เมื่อคืนดอทเอทั้งคืนครับ ได้นอนแปบเดียวเอง แม่ก็ดันมาปลุกตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน(เพราะบ้านผมไม่มีไก่)
“ไปๆ ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวแม่ไปส่ง” แม่ไล่แล้วดึงตัวผมให้ลุกออกจากเตียงซักที เพราะผมเริ่มจะแสดงอภินิหารนั่งหลับ
“ไปไหนครับ”
“ก็ไปเรียนภาษาญี่ปุ่นน่ะสิ!” คำตอบของแม่ทำให้หัวผมแทบหงอก!
อะไร ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเลยนะ(เว้ย)!
“แม่! ไม่ไปเรียนไม่ได้เหรอ ไว้วันอื่นเหอะ” ผมเอ่ยอ้อนวอนสองมือกุมกันมองแม่ตาปริบๆ แต่ท่าทางเธอไม่สนใจผมเลยซักนิด
“ไม่ได้! ฉันจ่ายเงินไปแล้ว!! ไปอาบน้ำซะ!”
“แม่ มันยังเช้าอยู่เลยนะ!” ผมแถไปเรื่อย “เมื่อคืนนอนตั้งตีหนึ่ง ง่วงอ่ะ”
“แกหัดแหกตาดูนาฬิกาบ้างซิ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้! แม่ให้เวลาสิบนาทีที่จะทำอะไรให้เสร็จ!” พูดจบแม่ผมก็เดินตัวปลิวออกจากห้องไปเลย แต่ยังอุส่าต์ฝากคำบัญชาเอาไว้ให้เป็นชนักติดหลังผมอีก
ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ผมจริงเปล่าครับ โหดร้าย!
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในรถซึ่งสารถีคือแม่ผมนั่นเอง ผมเกาหัวที่ตอนนี้ผมยุ่งเหยิงพลางใส่ซีดีลงในเครื่องเล่น เมื่อเช้านี้ไอ้สิบนาทีที่แม่กำหนดมาผมรีบแทบตาย สภาพเลยเป็นอย่างนี้ล่ะครับ ผมโคตรยุ่ง ขนาดจะหวียังไม่มีโอกาส! โปโลขาวกับกางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน ส่วนรองเท้าไม่ต้องสงสัยครับ... ผมลากอีแตะมา...
ถ้าผมไปโรงเรียนสภาพนี้โลกคงถล่ม บทบาทของผมในโรงเรียนคือหัวหน้าฝ่ายกฎในสภา ต้องแต่งตัวเรียบร้อยเป็นตัวอย่างแก่นักเรียนทุกคน แต่ในวันนี้... มันแตกต่างจากที่แล้วมาโดยสิ้นเชิง คนเรามันก็มีหลายด้านแตกต่างกันไปจริงมั้ยครับ ผมน่ะ ไม่ได้เนี๊ยบหรืออะไรตามที่เค้าพูดกันหรอก แต่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำก็เท่านั้น
ผมก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่รักเพื่อนฝูง พูดคำหยาบ ร้องเล่นดนตรีและหลีหญิงทั่วไปเหมือนกับคนอื่นเค้านั่นแหละนะ ไม่ได้แตกต่างหรือแปลกแยกจากใครเลยซักนิดเดียว เพียงแต่ใครจะเห็นผมในด้านไหนก็เท่านั้นเอง
สถานที่เรียนของผมคือสถาบันในสยามครับ เออ ดี ถิ่นโรงเรียนผมซะด้วย สงสัยคงต้องเจอคนในโรงเรียนไม่มากก็น้อยแหละนะ
เพราะเป็นวันหยุดในช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ไม่มีการบ้าน ไม่มีงานอะไรให้ทำ ส่วนใหญ่ก็เลยมาเดินเที่ยวเล่นเตรียมตัวเรียนจริงจังในจันทร์หน้า วันนี้คนที่สยามเลยเยอะเป็นพิเศษ แม่ผมเลยหาที่จอดรถไม่ได้ซักที คุณเธอเริ่มหน้าเบ้คิ้วขมวดแล้วครับ...
“จะเป็นไรมั้ยถ้าวันนี้ลูกจะไปเรียนเองน่ะ” แม่ถามผมขณะที่ขับรถหาที่จอดไปเรื่อยๆ แต่ท่าทางจะไม่มีหวัง
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นอีกสิบห้านาทีแม่จะโทรเข้าสถาบันนะ แม่ไม่ให้ลูกโดดหรอก” แม่ผมรอบคอบมั้ยล่ะครับเนี่ย โครงการที่ผมจะไปเตร่ในสยามสองชั่วโมงเป็นอันต้องพับเก็บลงกระเป๋าไปทันที
“แม่อ่ะ ผมไม่โดดหรอก...” แค่คิดเอง...
“อือ ดี งั้นตั้งใจเรียนนะเซย์ ...เรียนเสร็จโทรหาแม่ด้วยล่ะ”
“ครับ” ผมรับคำก่อนจะเปิดประตูรถลงไป แล้วเดินเอื่อยไปยังสถาบันที่แม่ลงคอร์สไว้ให้ พยายามเดินไปถึงให้ช้าที่สุดเพราะขี้เกียจไปนั่งหนาวในห้องแอร์ฟังเสียงหึ่งๆ ของคนสอนสองชั่วโมงครับ
“ห้องซ้ายสุดเลยจ้ะ” ประชาสัมพันธ์บอกห้องที่ผมต้องไปเรียน ผมก็ไม่รู้นะว่ามาทำไม เพราะไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยซักอย่างเดียว ขนาดปากกาด้ามหนึ่งยังไม่มี
ผมเดินไปแล้วเปิดประตูห้องออก ผู้คนจับจองที่นั่งไปเกือบครึ่ง แล้วก็อย่างที่ผมคิดไว้ ผู้หญิงทั้งนั้นครับ... ผมกวาดตามองหาที่นั่งเหมาะๆ ก่อนจะเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งนอนฟุบหลับอยู่กับโต๊ะตัวกลางห้อง ผมรีบเดินไปนั่งข้างๆ เขาทันที เอาวะ อย่างน้อยก็มีผู้ชายเป็นเพื่อนตั้งหนึ่งคน
ผ่านไปอยู่นานครูผู้สอนก็ไม่มาซักที ส่วนผู้ชายที่นอนหลับก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น ผมดูนาฬิกาข้อมือดีเซลของตัวเอง อีกห้านาทีถึงจะเริ่มเรียน... ถ้าไม่ปลุกก็กระไรอยู่นะ...
“คุณครับ” ผมเรียกแล้วสะกิดเบาๆ ตรงแขน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยซักนิด สงสัยจะหลับลึก เพราะแอร์ที่นี่ก็เย็นกำลังดี น่านอนจริงๆ นั่นแหละ
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม จนแทบจะชิด
“คุณ... อีกห้านาทีเริ่มเรียนแล้วนะครับ” ได้ผล! นายคนนั้นค่อยๆ ขยับตัวก่อนจะเงยหน้ามามองผม
ผู้ชายคนนั้นตาปรือๆ แดงๆ ซึ่งผมสามารถมองเห็นได้ผ่านจากกรอบแว่นสีดำสนิทของเขา ใบหน้าขาวยิ่งซีดเข้าไปใหญ่เพราะความหนาวของเครื่องปรับอากาศ แต่... หน้าตาแบบนี้ เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนนะ
“เรารู้จักกันป่ะ” ไม่ใช่ผมที่เป็นฝ่ายถาม แต่เป็นผู้ชายข้างตัวผม เขาเอ่ยถามพลางจัดทรงผมให้เข้าที่ แล้วหยิบปากกา ดินสอออกมา
ถ้าเขาถามออกมาอย่างนี้ แสดงว่าการที่ผมคุ้นหน้าก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วสิ
“ผมก็คุ้นหน้าคุณอยู่นะ”
“ชื่อ?” เขาถามแต่ไม่หันมามองหน้าผมซักนิด คนแบบนี้ก็มีด้วยเว้ย
“ผมชื่อเซย์”
“เซย์?” หนุ่มแว่นทวนคำ “เซย์... เซย์สภาใช่มั้ย?”
เขารู้ชื่อผมด้วย?!
“ไม่รู้จักฉันเหรอ” ผู้ชายคนนั้นถามพลางถอดแว่นออก ผมอ้าปากค้างเพราะคนๆนี้เรียนอยู่ที่เดียวกับผม! แถมเป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี ผมไม่เคยคุยกับเขาหรอกเพราะไม่มีโอกาสซักที แต่ผู้ชายคนนี้ดังพอตัวในโรงเรียนเหมือนกัน
“พี่มี่...” ชื่อของเขาหลุดออกมาจากปากผมลอยๆ... เป็นเพราะพี่มี่ใส่แว่นตาน่ะสิ ผมเลยจำไม่ได้ว่าเป็นใคร พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ก็ที่โรงเรียนไม่เคยเห็นใส่เลยซักครั้งนี่นา...
“จำได้แล้วสิ”
“ครับ”
คุณพี่มี่มองผมหัวจรดเท้า เออสิ สภาพแบบนี้คงไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่อย่าจ้องแบบนั้นได้มั้ยครับ ผมเขิน!
“พี่มี่มองผมไมอ่ะ” ผมถามขึ้นเพราะพี่แกไม่เลิกมองซักที ถ้าเป็นเพื่อนคงโดนผมยันหน้าหงายแล้วครับ แต่สำหรับพี่คนนี้... ทำไม่ลงง่ะ!
“ฉันว่าสภาพแบบนี้เหมาะกับนายดีนะ” ทำไมผมรู้สึกว่าเขาเน้นคำว่า ‘สภาพ’ ล่ะครับ?
“หมายความว่าไงครับ”
พี่มี่ทำท่าคิด แบบที่ว่า เอียงคอน้อยๆ แล้วกลอกตานิดๆ
บอกผมทีว่านี่มันท่าทางของผู้ชาย! ทำไมมันน่ารักอย่างนี้ล่ะคร๊าบบบ
ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมปีที่แล้วถึงได้ตำแหน่ง คือโรงเรียนผมมันชายล้วนนี่ครับ เลยมีการประกวดหนุ่มน่ารัก พี่มี่คนนี้ก็เอาที่สองไปครอง ส่วนที่หนึ่งก็เพื่อนสนิทพี่เค้าครับ น่ารักพอๆ กัน อย่างว่าล่ะไม่มีสาวๆ ก็เอาหนุ่มน่ารักไปก่อนละกัน
“มันดูธรรมชาติดีมั้ง” เขาเอ่ยขัดความคิดฟุ้งซ่านของผมที่เตลิดไปไกล อยู่กับไอ้พวกถึกๆ มานาน เจอแบบนี้เข้าก็อดจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่ท่าทางดูน่าทะนุถนอมยังไงไม่รู้
“เอ่อ... งั้นเหรอ” ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเขินและเขิน!
ประจวบเหมาะพอดีกับที่ครูที่สอนเข้ามาในเวลานั้น ทำให้ผมรอดจากอาการเขินจนตาเริ่มลาย ในครั้งแรกสถาบันแจกหนังสือที่ใช้เรียนให้ ดูดีสมราคาเลยล่ะครับ เห็นแม่บอกว่าราคาหนังสือเกือบครึ่งพันแน่ะ
แต่ผมอยากจะเอาหัวโขกกำแพงซักสองที ก็อย่างที่บอกไปตอนแรก มาตัวเปล่าครับ ปากกงปากกาไม่มี กะมาโดดเต็มที่!
“มีปากกาให้ยืมมั้ยครับ” ขอบอกว่าโคตรอาย! เพราะพี่มี่มองผมงงๆ ก่อนจะหยิบให้ ปากกาสีน้ำเงินลายวินนี่เดอะพูห์... ถ้าสังเกตดีๆ ของใช้ต่างๆ ของคนข้างตัวผมมีแต่วินนี่เดอะพูห์ทั้งนั้น! สงสัยจะชอบมาก...
“ขอบคุณครับ”
“อันนั้นเอาไปเลยก็ได้ หมึกมันใกล้หมดแล้ว” อีตอนแรกก็นึกว่าใจดี ที่แท้ให้ผมใช้ของเหลือเก็บ
“ครับ”
วันจันทร์ที่สองของการเปิดเทอมมาเยือนอีกครั้ง ผมเดินหาวหวอดถือจาคอบเข้าโรงเรียน รุ่นน้องที่กำลังเดินมาทางผม เป็นอันต้องถอยหนีและเดินกลับไปทางเดิม บางคนก็หยุดนิ่งยืนเกร็งกันเป็นแถว เพราะรัศมีกรรมการรักษากฎของผมนั่นแหละครับ! แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาจับผิดคนทำผิดระเบียบหรอก ง่วง... ง่วงโคตร!
เมื่อคืนโดนท่านแม่เทศนาไปข้ามคืน เรื่องผมไปเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่ศักยภาพของผมไม่พัฒนาขึ้นเลย ก็จะให้ผมพูดเป็นได้ไง ก็เล่นหลับแม่งทั้งชั่วโมง! พอเลิกเรียนก็ได้พี่มี่ที่ตั้งใจเรียนสุดๆ ปลุกให้ตื่น จากนั้นก็แยกย้ายกันไปตามทาง
“ไอ้เซย์!” เสียงไอ้แซทเพื่อนสนิทผม หรือไอ้คุณประธานดังมาแต่ไกล
“อะไร อย่าบอกนะว่ามีงานให้กูทำแต่เช้า วันนี้กูไม่ทำ! กูอยากนอน!”
“ดักคอกูก่อนเลยนะ” ไอ้แซทว่าแล้วเดินไปห้องสภาพร้อมกับผม
“ของมันแน่ กูง่วงจะตายห่า เมื่อคืนแม่กูเทศน์แหลก พระไตรปิฎกยังสู้แม่กูด่าไม่ได้ ซึมลึกเข้าไปสู่เส้นเลือดฝอยที่เล็กที่สุดเลยว่ะ”
“เรื่องไร”
“ลูกครึ่งญี่ปุ่น หัวใจไทย”
พอไอ้แซทได้ยินผมปุ๊บก็ขำพรูดออกมาปั๊บ หัวข้อลูกครึ่งญี่ปุ่น หัวใจไทยผมบ่นให้มันฟังตั้งกะปีมะโว้ และท่าทางจะไม่มีวันสิ้นสุดด้วย
“มึงก็เรียนๆ ให้พูดได้เร็วๆ ดิวะ แม่มึงจะได้ไม่ด่า”
“กูไม่แน่ใจว่ากูเป็นลูกแม่กูจริงรึเปล่าเนี่ย ทำร้ายร่างกายกูทุกวัน”
“กูเป็นแม่มึง กูก็เครียดวะ... ลูกผสมแท้ๆ กลับพูดยุ่นไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง!”
ผมประสบปัญหาแบบนี้มานักต่อนักครับ ตั้งแต่ขึ้นม.ต้น พอทุกคนรู้ว่าผมเป็นลูกครึ่งก็จะพยายามให้ผมพูดญี่ปุ่นให้ฟัง แต่ผมก็พูดไม่ได้นอกจากคำเบสิคที่ใครๆ ก็รู้ น่าเบื่อที่สุดเลยครับ... กูผิดใช่มั้ยที่มีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น!
“ลูกผสม... พูดเหมือนกูเป็นสัตว์!”
“ก็น่าคิดว่ะ...” ไอ้แซทพูดกวนแล้วยักคิ้วให้ ไอ้เชี่ยนี่!
“เดี๋ยวมึงจะได้ตีนกูเป็นเบรคฟัสท์!!”
“เฮ้ย ไอ้เซย์ มึงว่าน่ารักป่ะ” ไอ้แซทสะกิดแขนผมยิก แล้วชี้ไปทางรุ่นพี่สองคนที่เด่นโคตรท่ามกลางสิงสาราสัตว์ถึกทะมึนทั้งหลาย ผมที่ดูดโฟร์โมสต์เพื่อความสูงอยู่ (อีกสองเซ็น ร้อยแปดสิบห้าแล้วครับ!) หันไปตามนิ้วเรียวงามของมันทันที
“เออ... น่ารัก
จริงๆ” ผมพูดแล้วเหม่อไปทางนั้น
ป๊าบ!!
เสียงมือไอ้แซทโบกหัวผมครับ!
ไอ้เวร!
“เชี่ย โบกหัวกูไม”
ไอ้แซทส่ายหน้าแล้วมองผมอย่างเอือมๆ มองกูแบบนั้นมึงจะสื่ออะไร!?
“ใคร ใคร... ที่มึงบอกน่ารัก... กูหมายถึงพี่อัง แต่ตาเยิ้มๆ ของมึงแม่งมองพี่มี่ ไอ้สาด!”
อ้อ ไอ้แซทหมายถึงพี่อัง รุ่นพี่ที่ได้อันดับหนึ่งหนุ่มน่ารักที่ผมเคยบอกไงครับ แต่ทำไมสายตาผมไปหยุดอยู่ที่พี่มี่อันดับสองได้ไงไม่รู้ เหอเหอ
“มึงชอบพี่มี่ไง”
“ส้นตีน! พี่เค้าผู้ชายนะเว้ย” ผมด่ากราดใส่หน้าไอ้แซทที่พูดจาน่ากระทืบออกมา
แต่คำถามของมันก็ทำให้ผมได้ฉุกคิด
ผมยังไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไง เป็นเพราะผมเพิ่งรู้จักพี่มี่แบบจริงจังโดยการเรียนภาษาที่เดียวกัน เวลาสั้นๆ มันจะทำให้ผมรู้สึกถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
“อะไร กูยังชอบพี่อังเลย”
ตรง-ไป-มั้ย!! ไอ้-เชี่ย-แซท!
กูไม่ใช่มึงนะ!
ไอ้ประธานก็เงี้ยแหละครับ พูดตรงซะจนผมอดรู้สึกผวาไม่ได้(แต่คิดไปคิดมา มันตรงหรือหน้ามันด้านวะ?) ด้วยความที่มันเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์กับตัวเองอย่างนี้ล่ะ มันถึงได้เป็นประธาน ยังไม่นับรวมเรื่องความเป็นผู้นำหรือความรับผิดชอบอันมหาศาลของมันนะ
หล่อ รวย นิสัยดี
มึงเกิดมาทำไมวะเนี่ย!
“ทำไมมึงถึงชอบพี่อังเค้าวะ แม่งหน้าตาดีแต่กวนบาทาชิบหาย” ผมถามเพราะอยากรู้จากใจจริง ไอ้แซทไม่ใช่คนที่จะเอ่ยปากบอกว่าชอบใครง่ายๆ ถ้ามันไม่แน่ใจ
“เค้ากวนได้โดนใจกูดีมั้ง”
อ้อ กูเพิ่งรู้ มึงมีรสนิยมอย่างนี้เอง
คุณพี่อังที่ผมรู้จักนั้นเป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาเป็นยังไง หรือรู้ก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดแน่ๆ ใครๆ ก็ชอบพี่เค้าทั้งนั้นแหละ แต่ท่าทางเป็นคนไม่สนใจโลกเลยไม่รู้ว่าใครคิดยังไงกับตัวเองบ้าง แต่รวมๆ ก็เป็นคนนิสัยดีทีเดียว เลยมีแต่คนที่อยากจะเข้าใกล้และคบหาด้วย
ไอ้แซทแม่งก็ตกหลุมความน่ารัก(แต่กวนตีนชิบหาย) นั่นเข้าไปอีกคน...
“แล้วมึงเคยคุยกับพี่อังจริงๆ จังๆ บ้างยังวะ กูว่าเค้ากับมึงแม่งดูห่างไกลกันเหลือเกิน วิถีชีวิตต่างกันลิบลับ ใกล้กันก็แค่พี่ชายมึงเป็นเพื่อนกับเค้าน่ะ”
“กูหาโอกาสอยู่...” ไอ้แซทพูดทั้งๆ ที่ตามันจับจ้องไปที่คนที่มันบอกว่าชอบนักหนา “เค้ามีแต่เพื่อนรายล้อม กูไม่รู้จะเข้าไปแทรกตรงไหนได้”
น่าสงสารชิบหาย!
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นเอามากขนาดนี้!
ไอ้แซทมันจริงจัง แต่ดันไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด นอกจากเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่เจอกันก็แค่ทัก แต่กับผมที่ได้ใกล้ชิดกับพี่มี่ขนาดนั้น แต่ดันไม่มีอะไรคืบหน้าเลยซักนิด เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่มี่วะ?
ผมพยายามสลัดความคิดออกไป แต่ยังไม่ทันจะหลุดออกจากหัว คนที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่างก็เดินมาหาผม ให้ผมได้ปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิม
แหม มาถูกเวลาจริงๆ
กูอยากตาย!
พี่มี่ที่ยืนคุยกับกลุ่มเพื่อนอยู่ตรงโต๊ะเหลือบมาเห็นผมพอดี๊ พี่แกก็เลยเดินเข้ามา หน้ายังนิ่งเหมือนเดิม ผมเคยเห็นพี่มี่ยิ้มแค่เวลาอยู่กับเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ยิ้มให้ผมซักที หลายครั้งในวันที่เจอกันในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นวันนั้นที่ผมยิ้มรอจนเมื่อยปาก แต่คุณพี่แกก็ยังมองผมหน้านิ่งๆ เหมือนเดิม
“ไง”
“ครับ” พี่มี่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะผมแล้วทัก ไอ้แซทมองผมสลับกับพี่มี่งงๆ ว่าไปรู้จักมักจี่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“อาทิตย์นี้ไปเรียนมั้ย”
“ไปครับ”
“เหรอ ไว้เจอกันแล้วกัน” มาแค่เนี้ย...
พูดจบพี่แกก็เดินแผล็วไปเลยครับ เหมือนผมเห็นเงาแม่ผมซ้อนทับกับพี่มี่ชั่วขณะ ไอ้นิสัยไม่ยอมให้คนอื่นได้พูดอะไรต่อเนี่ย!
ให้ตาย! หรือว่าผมจะเดินตามรอยเท้าพ่อ!!?
to be continued...
----------------------------------------------------------------------------------------+
Undaring Boy... จะซักกี่ตอนดี?
วอลนัตยังไม่ได้กะไว้เลยค่ะ พยายามปั่น พยายามเข็นให้อ่านกันอย่างเร็วที่สุด
เพราะวันธรรมดาปกติ จันทร์-ศุกร์ ไม่มีเวลาเขียนเลย เพราะงั้นอาจจะลงได้แค่วันเสาร์หรืออาทิตย์ ยังไม่รวมเรื่องอื่นที่ต้องเขียนอีก ภาระเยอะจริงๆ เลยตู T_T'
สามตอนพอมั้ยนะ... เรื่องของเซ็นเซย์กับมี่
เซ็นเซย์เป็นเด็กผู้ชายธรรมดา ที่คนอื่นมองว่าไม่ธรรมดา แต่มี่เป็นคนไม่ธรรมดา(ไม่มีใครเดาความคิดได้) แต่คนอื่นมองว่าธรรมดา 555
ใครที่อ่านตอนนี้จะอยู่ในมุมมองของเซย์ ของมี่เขียนยากอ่ะ555 เลยได้รับรู้ถึงมุมของแซทบ้างเล็กน้อยพอเป็นพิธี แต่มุมมองของแซทในเรื่องหลัก (Unlucky Boy) มีให้อ่านแน่ค่ะ!
อัพช้าไปบ้าง(ช้ามาก-*-) แต่ยังไงจะพยายามเขียนแล้วลงให้อ่านกันนะคะ
งานเยอะ จริงๆ จะทับหัวตายอยุ่แล้ว ตอนนี้ก็ยังมีคั่งค้างไว้อีกเพียบเลยค่ะ!!
งั้นจบทอล์คตรงนี้เนอะ! สวัสดีค่ะ ^_^
to be continued...
----------------------------------------------------------------------------------------+
Undaring Boy... จะซักกี่ตอนดี?
วอลนัตยังไม่ได้กะไว้เลยค่ะ พยายามปั่น พยายามเข็นให้อ่านกันอย่างเร็วที่สุด
เพราะวันธรรมดาปกติ จันทร์-ศุกร์ ไม่มีเวลาเขียนเลย เพราะงั้นอาจจะลงได้แค่วันเสาร์หรืออาทิตย์ ยังไม่รวมเรื่องอื่นที่ต้องเขียนอีก ภาระเยอะจริงๆ เลยตู T_T'
สามตอนพอมั้ยนะ... เรื่องของเซ็นเซย์กับมี่
เซ็นเซย์เป็นเด็กผู้ชายธรรมดา ที่คนอื่นมองว่าไม่ธรรมดา แต่มี่เป็นคนไม่ธรรมดา(ไม่มีใครเดาความคิดได้) แต่คนอื่นมองว่าธรรมดา 555
ใครที่อ่านตอนนี้จะอยู่ในมุมมองของเซย์ ของมี่เขียนยากอ่ะ555 เลยได้รับรู้ถึงมุมของแซทบ้างเล็กน้อยพอเป็นพิธี แต่มุมมองของแซทในเรื่องหลัก (Unlucky Boy) มีให้อ่านแน่ค่ะ!
อัพช้าไปบ้าง(ช้ามาก-*-) แต่ยังไงจะพยายามเขียนแล้วลงให้อ่านกันนะคะ
งานเยอะ จริงๆ จะทับหัวตายอยุ่แล้ว ตอนนี้ก็ยังมีคั่งค้างไว้อีกเพียบเลยค่ะ!!
งั้นจบทอล์คตรงนี้เนอะ! สวัสดีค่ะ ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น