ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Unlucky Boy! ขอโทษครับ... ผมไม่ใช่ผู้ชายขายน้ำ! [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : [01] Unlucky

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 52





    [01] Unlucky
     
    ..ซวย
               
     
     
                อัง ออกมาหาเนย์หน่อยสิเสียงหวานจ๋อยของผู้หญิงในโทรศัพท์คือเสียงของ เนย์เด็กคอนแวนต์แฟนผมเอง เราคบกันมาปีกว่าแล้ว เธอเป็นคนน่ารักจนเวลามาหาผมที่หน้าโรงเรียนจะมีไอ้พวกสิงสาราสัตว์มาก้อร่อก้อติกเนย์เป็นประจำ ส่วนไอ้พวกก๊วนเพื่อนผมแต่ละคนก็อิจฉาผมกันจนตาเป็นไฟ... เวลามีอะไรผมเลยเอาแฟนตัวเองข่มพวกมันเสมอ
     
              ครับๆ ว่าแต่มีอะไรเหรอ ถึงโทรมาเรียกอังตอนนี้ผมถามเพราะเห็นว่าน้ำเสียงเธอแปลกๆ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
     
                ไม่มีอะไรหรอก เนย์อยากให้อังมากินข้าวเป็นเพื่อนน่ะเสียงอ้อนๆของเธอทำเอาผมถึงกับใจอ่อนยวบ ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะปฏิเสธเนย์ได้เลย
     
                ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวอังรีบไป
     
                “ร้านxxxx สุขุมวิทxx แถวๆบ้านอังนั่นแหละอืม ร้านนี้ผมกับเธอมากินกันเป็นประจำ
     
                โอเคครับ รอแปบนึงนะผมวางสายแล้วรีบจัดเสื้อนักเรียนที่ยับนิดหน่อยให้เข้าที่พลางดูนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียง... สองทุ่มกว่าแล้ว ทำไมเนย์ถึงอยากชวนผมไปกินข้าวอะไรตอนนี้นะ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆซะแล้วสิ... เพราะปกติเวลาผมคุยโทรศัพท์กับเธอแล้วบอกว่ากำลังกินอะไรในเวลานี้อยู่เนย์จะบ่นใส่เป็นชุดเรื่องกินตอนค่ำแล้วอ้วน เธอจุกจิกเรื่องนี้มากแต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายชวนผมซะเอง
     
                ม๊า ผมออกไปหาเนย์ก่อนนะผมที่เดินกึ่งวิ่งลงมาข้างล่างแล้วบอกขออนุญาตแม่ที่นั่งดูละครอยู่อย่างได้อารมณ์
     
                รีบกลับแล้วกันม๊าแค่หันมากล่าวเสียงเรียบๆกับผมโดยไม่ว่าอะไร ม๊าผมเป็นคนที่ใจดีมาก ทั้งรักและไว้ใจผม น้อยครั้งที่จะดุด่า แต่ถ้าโกรธทีก็หายยากแถมน่ากลัว
     
                ครับ
     
                ผมออกจากบ้านแล้วเดินไปหน้าปากซอยก่อนจะโบกแท็กซี่ที่ไม่นานก็มีผ่านมา
     
                ไปสุขุมวิทxx ครับผมบอกที่หมายก่อนจะนั่งพิงเบาะรถแล้วคิดครวญในใจ... วันนี้เนย์แปลกไปจริงๆ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนะ ผมอดไม่ได้ที่จะวิตกกับน้ำเสียงและท่าทางของเธอ
     
                ~ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟยู ~
     
                เสียงมือถือเพลงติ๊งต๊องของดูโอสาวของผมที่เนย์เป็นคนเปลี่ยนให้ดังขึ้น ผมล้วงหยิบในกางเกงแล้วดูเบอร์คนโทรเข้า
     
                ...ไอ้ไดรส์... มันโทรมาไมตอนนี้วะ?
     
                ไงมึงผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปทันที
     
                เชี่ยอัง ตอนนี้มึงอยู่ไหนคำแรกที่มันพูดก็เล่นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนำหน้าก่อนเลย ไอ้เวรนี่
     
                กูอยู่บนแท็กซี่ มึงโทรมามีไรป่ะวะ
     
                “ไม่มีอะไรแล้วกูโทรหาไม่ได้ไงไอ้เลว... สองทุ่มกว่าแล้วมึงจะไปไหนเนี่ยไอ้ตัวที่ชอบพูดยอกย้อนผมอยู่นี่ชื่อไดรส์เพื่อนสนิทผมและควบตำแหน่งประธานชมรมแบนด์ของโรงเรียน ส่วนเรื่องหน้าม่อมันก็ที่หนึ่งชายหญิงแม่งเอาไม่เลือก สุดท้ายก็โดนทิ้งทุกทีเหมือนกรรมตามสนอง
     
                กูไปกินข้าวกับเนย์ผมตอบมันน้ำเสียงอวดๆ ให้มันอิจฉาเล่น... ไดรส์มันตัวดีแกนนำแซวผมในห้องเรื่องเนย์ เพราะมันขี้อิจฉากับความรักอันยืนยงคงกระพันธ์ของผม
     
                สัด ทีเพื่อนชวนไม่เคยมา หญิงชวนละดี๊ด๊าเชียวนะมึงมึงชวนกูทีไรให้กูไปเสียตังค์เลี้ยงมึงทุกที อย่างนี้มันน่าไปมั้ยล่ะวะไอ้เชี่ยนี่!
     
                “ก็มึงแดกเยอะ กูอายคนอื่นเค้า
     
                “จวยอัง! เดี๋ยวเถอะมึง เจอเมื่อไหร่กูโบก!” ผมหัวเราะเบาๆกับความร้อนตัวของมัน แม่งโคตรบ้าจี้ ไดรส์มันเชื่อคนง่าย ตอนนั้นผมบอกมันว่าไอ้ซัน(เพื่อนสนิทอีกคนในห้อง)ชอบเข้าห้องน้ำผิดไปเข้าของผู้หญิงในห้าง มันก็ทำตาโตตกใจแล้วรีบกุลีกุจอจะเข้าไปตามไอ้ซันออกมาซะงั้น... แบบนี้จะให้เรียกหัวอ่อนหรือซื่อบื้อดีวะครับ?
     
                มึงโทรมาหากู... ไม่ได้มีแค่เรื่องถามว่ากูอยู่ไหนใช่มะ?ผมถามเสียงกวนๆ เพราะอย่างไอ้ไดรส์นานทีปีหนจะโทรหาเพื่อนแบบนี้ ปกติมันก็เติมตังค์ห้าสิบแล้วใช้หยอดให้คนอื่นโทรกลับ ช่างเป็นคนที่นิสัยดีจริงๆเลยมัน...
     
                เออ มึงนี่แสนรู้ กูจะบอกว่าพรุ่งนี้เอาสมุดไอ้มี่ที่มึงยืมมันไปลอกมาด้วย กูขี้เกียจทำมันกับผมเป็นประเภทเดียวกัน สมองฝ่อไปวันๆไม่คิดจะทำอะไรที่ประเทืองปัญญาด้วยตัวเอง
     
                อืมๆ กูต้องเอาไปคืนมันอยู่แล้วแหละ
     
                “เออ... มึง... เนย์ไอ้ไดรส์อึกอักเบาๆ จนผมได้ยินไม่ชัด... อะไรของมัน? มึง... เนย์?
     
                มึงมีไรเปล่าวะผมถามเมื่อเห็นว่าเสียงมันแปลกๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด... ไอ้นี่! อมพะนำอะไร กูอยากรู้!
     
                “ไม่มีไรมันปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของผมเสียดื้อๆ มาทำให้กูอยากแล้วจากไปนะมึง!
     
                “คิดถึงกูแต่ไม่กล้าพูดรึไง ไม่ต้องเขินๆ หนูน้อยแกล้งแหย่มันเล่นแล้วพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่
     
                สะ... ส้นตีน ใช้เนื้องอกคิดรึไงวะ...ผมขำพรูดเมื่อเสียงไอ้ไดรส์มันสั่นนิดๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คงหน้าแดงด้วยความอายเพราะความที่มันเป็นคนแกล้งง่ายสำหรับพวกเพื่อนแต่เป็นผู้ชายที่เท่ไม่หยอกสำหรับสาวๆทั่วไป
     
                ผมชิงกดวางสายเมื่อมันยังด่าไม่หยุดแล้วหัวเราะกับตัวเอง ตอนนี้ก็ใกล้ถึงแล้วอีกเพียงแค่สองซอยเท่านั้น...
     
                ผมจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วลงจากรถจากนั้นก็เดินเข้าร้านที่ผมนัดกับเนย์ไว้ ผมเจอเธอนั่งอยู่โต๊ะเกือบในสุดร้าน เนย์โบกมือให้ผมแล้วยิ้มบางๆ... ผมในชุดนักเรียนยับๆ ดูเป็นเด็กกะโปโลส่งผลให้คนทั้งร้านหันมามอง แตกต่างจากเนย์ที่สวมชุดลำลองและแต่งหน้าอ่อนๆขับให้ผิวหน้าของเธอดูสวยขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง เวลาเจอเนย์ทีไรผมรู้สึกว่าเธอดูดีเสมอ...
     
                รอนานมั้ยครับผมถามพลางลากเก้าอี้นั่งลง เนย์เท้าคางมองผมอย่างน่ารักแล้วส่ายหน้าหวือจนผมยาวสีดำของเธอปลิวเล็กน้อย
     
                ไม่อ่ะ สิบนาทีเอง
     
                รถติดนิดหน่อยอ่ะ โทษทีผมยิ้มแหยๆแล้วเกาท้ายทอยเก้อ เพราะถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่การที่ให้ผู้หญิงมานั่งรอมันก็ไม่ดีอยู่วันยังค่ำล่ะนะ
     
                ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลย สั่งอาหารเถอะเนย์ยิ้มบางๆให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมาตลอดปีกว่าที่ผ่านมา
     
                เนย์อยากกินอะไรเป็นพิเศษเปล่าครับผมละจากเมนูตรงหน้าแล้วหันไปถาม เธอทำแค่เพียงส่ายหน้ายิ้มๆ
     
                เราสั่งอาหารคนละจานให้พออิ่มเท่านั้น ไม่นานพาสต้ากุ้งของผมและสลัดรวมของเนย์ก็มาเสิร์ฟ บทสนทนาบนโต๊ะอาหารวันนี้เนย์ชวนผมคุยตลอด ถ้าเป็นปกติจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายพูดมากกว่า... วันนี้เธอดูกระตือรือร้นร่าเริงสดใสที่สุดเท่าที่ผมกับเธอคบกันมาเลยก็ว่าได้ จะให้บอกว่ารู้สึกดีมันก็ดี แต่ในใจลึกๆมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรบางอย่างอยู่...
     
                อัง ทำไมต้องกินเส้นก่อนแล้วเหลือกุ้งไว้ล่ะเนย์ถามแล้วทำตาแป๋วมองมา ผมยิ้มขำกับท่าทางของเธอนัก... ทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้เนย์ก็จะถามแบบเดิมอย่างนี้ทุกที
     
                ก็กุ้งอร่อยที่สุดนี่นาเลยต้องเก็บไว้กินทีหลังและคำตอบของผมก็ซ้ำกันทุกครั้ง...
     
                อังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งเลย...เนย์ยิ้มให้ผม แต่แววตาของเธอดูเศร้า
     
                ผมเงียบ... ไม่พูดอะไร เพราะไม่มีอะไรจะพูดต่อ
     
                คนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองใช่มั้ยอัง... เหมือนกับที่อังต้องเลือกกุ้งไม่ใช่เส้นพาสต้าผมยิ้มบางๆกับคำเปรียบเปรยของเธอ แต่คำพูดกำกวมของเนย์ทำให้หัวใจที่เคยชุ่มชื้นเวลาเห็นหน้าเธอของผมแห้งเหือดและกลัวบางสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้กับสถานการณ์แบบนี้
     
                เนย์... บางคนน่ะชอบกุ้งก็เลยเลือกกุ้ง ส่วนคนที่ชอบเส้นพาสต้ามากกว่าก็ต้องเลือกเส้นพาสต้า... แต่มันก็มีนะเนย์ คนที่รู้ว่าตัวเองแพ้อาหารทะเลแต่ก็ยังฝืนกินกุ้งเข้าไปเพราะคิดว่ามันแพง... สุดท้ายก็แพ้จนต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลเสียตังค์เยอะกว่าเดิม...ผมสาธยายตามความคิดแล้วเปรียบกุ้งกับเส้นพาสต้าตามผู้หญิงตรงหน้าต่อไป...
     
                จะเลือกสิ่งไหน ชอบหรือไม่ชอบ... ผลของมันก็เป็นเราเองที่ได้รับ ไม่ใช่ว่าดีที่สุด... แต่ต้องเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นในตัวมันและไม่ให้ร้ายต่อเราด้วย
     
                “อุ๊บ... คิก...เนย์ที่ตั้งใจฟังผมสาธยายอยู่นานหลุดขำออกมาจนต้องปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
     
                ผมที่เพิ่งได้สติอายจนหน้าแดงวาบ... พูดอะไรของกูวะ! กุ้งกับพาสต้า ผมว่าผมคงติดโรคหัวอ่อนจากไอ้ไดรส์เข้าเต็มๆแล้วล่ะ
     
                ฮ่าๆ เนย์ไม่รู้ว่าอังจะจริงจังขนาดนี้ หน้าอังตอนพูดเรื่องพาสต้ากุ้งตลกชะมัดเลยเนย์ยังขำไม่หยุด ผมเห็นน้ำตาเริ่มซึมบนดวงตาของเธอ... อะไรจะขำขนาดนั้นครับคุณผู้หญิง แค่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มออกมาเพ่นพ่านเอง!
     
                “โห อังหมดคำพูดเลยจริงๆนะเนี่ย... หยุดขำเลยๆผมท้วงเหย็งๆเมื่อเห็นเห็นเนย์ยังตั้งท่าจะขำไม่หยุดจนคนรอบร้านเริ่มหันมามอง
     
                ผมทำท่างอนๆไม่รู้ไม่ชี้แล้วหมุนเส้นพาสต้าบนส้อมแล้วกินต่อไป... เนย์หยุดขำแล้วหันมามองผมอ้อนๆแบบที่เธอรู้ว่าทำแบบนี้ผมต้องใจอ่อนแน่นอน
     
                โอ๋ๆ หยุดขำแล้วจ้าเนย์พูดเสียงใสก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาง้อผม
     
                ไอ้ผมที่ไม่ใช่ผู้ชายใจแข็งกับผู้หญิงน่ารักก็เชิดหน้าขึ้นแต่นิ้วก้อยของตัวเองก็ไปเกี่ยวกับนิ้วของเธอซะงั้น
     
                ดีจัง อังหายโกรธเนย์แล้วเนย์ทำหน้าดีใจออกนอกหน้า ผมทำแค่หันมายิ้มกว้างกับท่าทางน่ารักของเธอเท่านั้น
     
                วันนี้ชวนอังมากินข้าว มีอะไรเปล่าครับผมลองแย็บถามดู
     
                ไม่มีไรหรอก อยากมากินข้าวกับอังเฉยๆเนย์ยิ้มจนโชว์ฟันซี่ขาวที่เรียงกันให้ผมเห็น ถึงเธอจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ประโยคหลังมันทำให้ผมกังวลใจแปลกๆ สัญชาตยานในตัวมันบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติอย่างที่ผ่านมา ทั้งน้ำเสียงที่ดูสดใสจนเกินไป และใบหน้าที่เปื้อมยิ้มของเธอแต่นัยน์ตาคู่สวยนั้นฉายความเศร้าสร้อยอย่างประหลาด
     
                ครับผมตอบรับแล้วก้มลงกินต่อ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อเหมือนกับจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
     
                ผ่านไปครึ่งช่วงโมงผมกับเนย์ก็จ่ายเงินค่าอาหารแล้วออกมาจากร้านเตรียมตัวกลับบ้าน... ผมเดินไปส่งเธอขึ้นแท็กซี่ที่หน้าปากซอย
     
                อัง...เนย์เรียกผมเสียงเบาระหว่างยืนรอแท็กซี่กันอยู่
     
                ว่าไงครับ
     
                “อังนี่... ดีจริงๆเลยนะเธอพูดโดยไม่หันมามองหน้าผม เอาแต่มองไปบนถนนที่มีรถวิ่งอยู่
     
                ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรเธอก็โบกแท็กซี่แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนจะลดกระจกลงแล้วยิ้มให้ผม
     
                เนย์ไปละ กลับดีๆนะอังเนย์ยิ้มหวานแล้วโบกมือลาน้อยๆ ผมพยักหน้าแล้วยิ้มรับถึงแม้คำพูดก่อนหน้านั้นของเธอทำให้ผมเริ่มหายใจติดขัด
     
                ฝันดีครับผมพูดก่อนที่แท็กซี่จะเคลื่อนออกไป ผมมองตามไปจนลับตาก่อนจะโบกแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายคือบ้านของผมเอง
     
               
                ผมกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่า... ทั่วบ้านมืดสนิทบ่งบอกว่าป๊ากับม๊าขึ้นไปนอนแล้ว ผมเดินอาดๆขึ้นไปชั้นบนยังห้องนอนของผมเอง เมื่อมาถึงผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า ทั้งกายและใจที่ตอนนี้มันสับสนไปหมดเพราะแฟนของผมที่มีท่าทางแปลกๆในวันนี้... ผมเอามือก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วนึกว่าตัวเองทำอะไรผิดรึเปล่าที่ผ่านมาแต่ก็คิดไม่ออก คนที่จะให้คำตอบที่มันคาใจผมได้มีอยู่คนเดียวคือ... เนย์
     
                ผมหยิบโทรศัพท์มาแล้วกดโทรออกทันที รูปบนจอมือถือที่ตั้งไว้เป็นรูปเนย์ทำแก้มป่องแล้วชี้มาด้วยหน้าตาหาเรื่องซึ่งผมเห็นทีไรต้องหลุดหัวเราะทุกที
     
                ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... เนย์ปิดเครื่อง
     
                ความหวังสุดท้ายที่จะได้รู้เรื่องราวต่างๆหมดลง... ทิ้งไว้แค่ผมกับไอ้ความกังวลฟุ้งซ่านจนยากที่จะนอนหลับให้ขบคิดไปตลอดค่ำคืนนั้น...
     
     
     
                ผมชื่อ อังอั๊ง เป็นหมีแพนด้ามาจากเชียงใหม่~” เสียงกวนประสาทของไอ้ซันที่ชื่อเต็มว่าซันเดย์ดังขึ้นแต่เช้าเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ไอ้พวกลิงทะโมนก็ผสมโรงหัวเราะก๊ากกับมุขงี่เง่าของมันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย... เดี๋ยวเถอะพวกมึง!
     
                อัง มึงไปทำไรมาวะไอ้มี่คนที่ยังมีความเป็นคนที่สุดในห้องถาม มันมองหน้าผมแบบแปลกใจเพราะขอบตาดำคล้ำของผมที่เห็นชัดมาก... เมื่อคืนมัวแต่คิดเรื่องเนย์ กว่าจะได้นอนก็รุ่งสางแล้ว
     
                กูรู้ๆ เมื่อคืนอังมันไปกินข้าวกับเนย์ แต่ไม่รู้ว่าจะถึงเช้าจนอดหลับอดนอนขอบตาดำปี๋แบบนี้ ก๊ากไอ้เวรไดรส์ว่าแล้วทำท่าโอ่อย่างรู้ดี ยืดอกแล้วทุบอย่างภาคภูมิใจ
     
                ฮะ จริงเหรอวะอัง มึงนี่ไวไฟว่ะ... โอ๊ยไอ้ซันที่ทำท่าดี๊ด๊าร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมโบกหัวเข้าไปเต็มรักก่อนจะหันไปโบกไอ้ไดรส์อีกคนที่ปล่อยข่าวโคตรมั่วซั่วออกมาให้คนในห้องคิดไปไกล
     
                สัด กูเจ็บไอ้ไดรส์บ่นพลางรูปหัวมันป้อยๆ แต่ผมยิ้มเหี้ยมไปให้มันแทนคำขอโทษ
     
                สมน้ำหน้า เป็นเพราะปากมึงเองแม่งก็ดันพูดเรื่องควายๆ ผมน่ะไม่เป็นไร แต่เนย์สิเสียหายเพราะความคิดของไอ้พวกทะโมนในห้องหมดแล้ว
     
                ตกลงมึงไปทำไรมาไอ้มี่ที่ไม่สนใจไอ้ตัวแสบที่โดนโบกหัวสองตัวหันมาถามผมต่อ ผมวางจาคอบแล้วนั่งลงบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ
     
                กูนอนไม่หลับ ไอ้มี่พยักหน้ารับนิดๆก่อนจะถามต่อ
     
                มึงมีเรื่องไรมันถามผมตรงๆแล้วไอ้ไดรส์กับไอ้ซันก็เริ่มเป็นการเป็นงานพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองมาที่ผมด้วยแววตาจริงจังยามเห็นเพื่อนเป็นทุกข์
     
                เรื่องเนย์... เมื่อคืนกูไปกินข้าวกับเขา เขาดูแปลกๆผมพูดเสียงเศร้าเบาหวิวจนเพื่อนอีกสามคนที่ตั้งใจฟังอยู่ใจหายตามกันไป เพราะผมกับเนย์คบกันมาปีกว่าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันจนถึงขนาดต้องมาปรึกษาเพื่อนแบบนี้เลยซักครั้งเดียว
     
                โอ้ ผู้หญิงคืออิทธิพลทำให้ไอ้คุณอังเป็นหมีแพนด้า~” ไอ้ซันพยายามพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศทะมึนที่ดูตึงเครียด แต่ตอนนี้ไม่มีใครขำออกมันเลยหุบปากแล้วยิ้มเจื่อนๆให้
     
                อัง... มึงจำที่เมื่อวานกูโทรหามึงได้ป่ะไอ้ไดรส์เป็นคนเปิดประเด็นเมื่อวงสนทนาเงียบไปอยู่นาน
     
                เออ ทำไม
     
                กูมีอีกเรื่องนึงที่อยากจะบอกมึง... แต่เมื่อคืนกูไม่กล้า กูเห็นว่ามึงจะไปกินข้าวกับเนย์ไอ้ไดรส์ไม่กล้ามองหน้าผมตรงๆ เสียงมันเหมือนสำนึกผิด แต่ก่อนที่ผมจะได้ฟังมันเล่ามัสเซอร์ประจำวิชาแรกก็เข้ามาทำให้ผมกับพวกมันต้องแยกย้ายกันไปนั่งที่
     
                ในคาบเช้า ผมไม่เป็นอันเรียนหรือทำอะไร นั่งกระกระวายกับท่าทางของเนย์และคำบอกเล่าของไอ้ไดรส์ พอตอนเที่ยงผมที่อยากรู้เรื่องใจจะขาดก็เป็นอันแห้วเพราะไอ้ไดรส์โดนเรียกตัวไปชมรมด่วนจนไม่มีเวลาให้ผมเลย
     
                อัง กูขอโทษ มึงรอกูก่อนนะไอ้ไดรส์ไหว้ขอโทษผมจากใจจริง แต่จะให้ไปโกรธมันก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่ความผิดของมันเลยซักนิด ยังดีที่มีไอ้ซันกับไอ้มี่คอยชวนคุยไม่งั้นผมคงต้องบ้าตายแน่ๆวันนี้... ไอ้ซันที่เคยกวนตีนผมทั้งวันและตลอดเวลาวันนี้มันเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคนเพราะวันนี้มันทำตัวขรึมตลอด...
     
                จนทั้งวันไอ้ไดรส์มันก็ไม่โผล่หัวกลับมาจนเลิกเรียนผมสามคนที่เหลืออยู่ในห้องก็จรลีกันไปห้องชมรมเพื่อรอไอ้ไดรส์ที่นั่งคุยกับมัสเซอร์ประจำชมรมหน้าตาเคร่งเครียด มันเหลือบมองผมเป็นระยะแต่ผมทำได้แค่ฝืนยิ้มบางๆให้มันเท่านั้น
     
                เมื่อธุระของมันเสร็จมันก็รีบกระหืดกระหอบเดินมาหาผมทันที
     
                กูมาแล้วมันพูดก่อนจะนั่งแหมะที่พื้นตรงข้ามผม
     
                เออ มึงรีบเล่าเหอะ ไอ้อังมันแย่แล้วไอ้มี่รีบพูดขึ้นทันที
     
                เออๆ เรื่องที่กูจะเล่ามันเป็นเรื่องที่รุ่นน้องในแบนด์บอกกูมา ไม่รู้ว่าจะจริงแท้กี่เปอร์เซ็น ไอ้อังถ้ากูเล่าแล้วมึงสัญญานะว่าอย่าวู่วามไอ้ไดรส์พูดอย่างเป็นงานเหมือนกำลังสวมหน้ากากตอนเป็นประธานชมรมแบนด์ที่ต้องคอยคุมน้อง
     
                กูสัญญาผมรับคำมันเสียงหนัก
     
                ไอ้เนส รุ่นน้องกูในแบนด์อ่ะ มันไปเจอเนย์... ควงกับเด็กโรงเรียนเราที่สยามพอจบประโยคหัวใจของผมที่อ่อนล้าอยู่แล้วตกวูบ... ทั้งตัวผมมันสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะกลัวว่าสิ่งที่รุ่นน้องไอ้ไดรส์เห็นจะเป็นเรื่องจริง
     
                ตั้งแต่... ตอนไหนเสียงของผมแหบแห้งจนไอ้ซันที่นั่งอยู่ข้างๆผมตบไหล่ให้กำลังใจอย่างเป็นห่วง
     
                อาทิตย์ก่อนผมได้ยินอย่างนั้นก็หมดคำถามที่จะถามต่อ... หัวที่หนักอึ้งเริ่มปวดจี๊ดขึ้นมากระทันหัน
     
                เชี่ย โคตรกล้าไอ้มี่ที่น่าจะอารมณ์เย็นที่สุดกลับเป็นคนที่เดือดดาลขึ้นมา
     
                กูบอกแล้วไงไอ้มี่ว่าอาจจะไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้ไอ้ไดรส์หันไปปรามไอ้มี่ทันที
     
                ~ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟยู ~
     
                เสียงโทรศัพท์ของผมดังขัดบรรยากาศตึงเครียดในวงสนทนา รูปของผู้หญิงตาโตน่ารักบนหน้าจอมือถือทำเอาผมตัวสั่นเทิ้มกว่าเดิม สายตามองหน้าจอมือถืออยู่อย่างนั้นจนไอ้มี่พูดขึ้น
     
                ให้กูรับให้มั้ย
     
                ผมหันไปมองมันแล้วส่ายหน้าช้าๆ
     
                ไม่ต้อง เดี๋ยวกูรับเอง กูไม่เป็นไรถึงผมจะพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุดแต่มันสามคนก็มองมาที่ผมอย่างเป็นห่วงเช่นเดิม... มันกลัวว่าผมที่ไม่เคยชินกับเรื่องแบบนี้จะไม่ไหว
     
                ครับ เนย์ผมกรอกเสียงลงไปโดยพยายามไม่ให้สั่น
     
                อัง... อยู่ไหนน้ำเสียงของเนย์ราบเรียบ ไม่เหมือนเธอคนเดิมที่สดใสขี้เล่นตลอดเวลาอย่างที่ผ่านมา
     
                โรงเรียน มีอะไรเหรอครับ
     
                “มาหาเนย์ที่สยามได้มั้ย... นะอังเนย์พูดอย่างเว้าวอน ผมจับเสียงหวานที่สั่นนิดๆของเธอได้
     
                ได้สิ เจอกันที่ร้านxxxนะพูดจบแค่นั้นผมก็กดวางสายไป แล้วเงยขึ้นสบตากับเพื่อนสามคนที่ยังจ้องมองผมอย่างให้กำลังอยู่เหมือนเดิม
     
                มึงจะไปเจอเนย์เหรออังไอ้ไดรส์ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับช้าๆ
     
                งั้นเดี๋ยวพวกกูไปส่งมึงไอ้มี่พูดก่อนจะหยิบจาคอบของผมแล้วดึงให้ผมลุกขึ้นยืน
     
                บนรถแท็กซี่ไม่มีใครพูดอะไรเหมือนที่เคยเป็น ถ้าเป็นปกติคงสนทนากันเสียงดังจนลุงคนขับแท็กซี่ต้องด่าบ้าง แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม... พวกมันสามคนรู้ว่าผมต้องการอยู่เงียบๆ ให้เวลากับตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไปนี้
     
                ไม่นานก็มาถึงสยาม ก่อนลงมาจากแท็กซี่ไอ้ไดรส์พูดให้กำลังใจผม แล้วตามด้วยไอ้ซันกับไอ้ไดรส์ตบบ่าผมเบาๆ
     
                มึงอย่าวู่วาม มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ถ้ามีอะไรโทรมาหาพวกกู พวกกูเปิดเครื่องรอมึงตลอดผมซึ้งกับคำพูดของมัน อยากจะบอกว่าขอบใจแต่ปากมันก็หนักอึ้งจนพูดออกมาไม่ได้ แค่ยกยิ้มรับมันยังยากเลย
     
                ผมเดินเข้าไปในร้านที่นัดกับเนย์ไว้ แล้วก็เจอเธอที่นั่งรออยู่... เธอมานั่งรอผมเสมอตั้งแต่ที่คบกันมา ไม่มีครั้งไหนที่เนย์จะมาช้าให้ผมรอ...
     
                สวัสดีอังคำทักทายที่ฟังดูห่างเหินทำให้ผมเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างลางๆ
     
                ครับผมรับแล้วยิ้มเฝื่อนๆให้เนย์ เธอจะสังเกตเห็นมันมั้ยนะ?
     
                อัง... เนย์... ขอโทษบางสิ่งบางอย่างในห้วงความคิดผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ ผมยังคงนิ่งฟังเธอพูดต่อไป
     
                อัง เลิกกันเถอะนะคำๆนั้นที่ผมเฝ้าภาวนาไม่อยากจะได้ยินออกจากปากเนย์... สุดท้ายทุกอย่างมันก็จบลง... คำว่าสิ้นสุดมันเด่นชัดจนผมไม่สามารถพูดอะไรได้อีก มีเพียงเสียงของไอ้ไดรส์ที่คอยย้ำว่าให้ผมใจเย็นไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไรก็ตาม... สถานภาพของผมกับเนย์ได้เปลี่ยนไปแล้วสำหรับเราสองคน แต่ความรู้สึกของผมที่มอบให้เธอยังไม่เปลี่ยนแปลง
     
                ทำไมคำยอดฮิตในสถานการณ์เช่นนี้ลอดออกไปจากปากผม เนย์มีสีหน้าลำบากใจก่อนจะให้คำตอบที่ผมอยากรู้แต่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับกลับมา
     
                เนย์... ชอบคนอื่น เนย์โลเล ขอโทษนะอังเสียงของเธอสั่นเหมือนกับตัวของผม ผมเห็นน้ำตาของเธอเอ่อท้นตรงขอบตา ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกสงสารตัวเองเลยซักนิด กลับรู้สึกสงสารเนย์มากกว่าตัวเอง ทั้งๆที่เธอไม่เหลือความรู้สึกพิเศษกับผมแล้ว แต่เมื่อวานเธอก็ยังพยายามทำตัวเป็นปกติให้ผมสบายใจ ดวงตาของเนย์ที่ไหววูบมีความสำนึกผิดและเสียใจอยู่ในนั้นมากมาย
     
                ไม่เป็นไร อังไม่โกรธผมพูดก่อนจะยิ้มให้เนย์ เพื่อให้เธอคลายความทุกข์ลงได้บ้าง
     
                ขอบคุณ ขอบคุณนะอังน้ำตาของเนย์ไหลออกมาเปื้อนเลอะใบหน้า เธอโผเข้ากอดผมที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ผมลูบหัวปลอบเธอเบาๆแล้วพร่ำบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ เพราะเป็นใครคำว่า ลังเล และ โลเลนั้นก็เกิดขึ้นเสมอ... เราสองคนไม่สนใจคนรอบข้างในร้านที่หันมามองแล้วซุบซิบกันกับเหตุการณ์ของเรา
     
                นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เรากอดกันอยู่อย่างนั้น จนเนย์เงียบเสียงสะอื้นไปแล้วผละออก
     
                เนย์ไปนะเธอยิ้มบางๆให้ผม
     
                ไว้เจอกัน มีไรโทรหาอังละกันครับผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติแล้วมองดูเธอลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินออกไปจากร้าน ก่อนที่ผมจะเดินออกไปด้วยเช่นกัน...
     
                เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมเดินเตร่ในสยามเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ ฟ้ายามเย็นมืดสนิทมีเพียงแค่แสงจันทร์เท่านั้น ความชื้นที่บริเวณหัวไหล่เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเรื่องราวต่างๆระหว่างผมกับเนย์เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่ความฝัน...
     
                ผมเดินไปโบกแท็กซี่ แต่สถานที่ที่ผมจะไปนั้นไม่ใช่บ้านแต่เป็นสถานเริงรมย์ที่ไม่เคยคิดจะไปเหยียบซักครั้ง
     
                ผมเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนที่ดูยาวไกล ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่แถวนั้น แถมยังมีเสียงเพลงที่ดังลอดออกมาจากตึกต่างๆเป็นจังหวะไปทั่ว
     
                ถ้ามึงเลิกกับเนย์ มึงจะทำไง
    กูคงไปขายตูด ประชดชีวิตรัก
    เชี่ยอัง กูขอให้เป็นจริง
     
    ผมนึกไปถึงบทสนทนาที่เคยพูดเล่นกับไอ้สามแสบ คิดแล้วก็ยิ้มขันกับตัวเองนี่กูพูดไปได้ไงวะ ร่างกายที่หนักอึ้งและจิตใจที่อ่อนล้าทำเอาคำพูดระหว่างเพื่อนมีอิทธิพลกับผมกระทันหัน คำว่า อย่าวู่วามของไอ้ไดรส์มลายหายไปทันที
     
    ผมเดินไปยังรถที่จอดเทียบอยู่อีกฝั่ง มองไปก็มีคนนั่งอยู่ในรถ ผมรีบรี่ตรงไปแล้วเคาะกระจกรถรัวๆให้หน้าต่างนั้นเปิดออก
     
    ผมยื่นหน้าเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดยังไม่ทันจะหมดก่อนพูดสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดออกมาซักครั้งตั้งแต่เกิดมา
     
    สนใจเที่ยวกับนักเรียนคืนนี้มั้ยครับสติสัมปัชชัญญะของผมเตลิดไปไกลแล้วถึงไม่ได้เมาแอลกอฮอล์อะไรแต่ความรู้สึกงี่เง่าแปลกประหลาดอยากประชดประชันและสมเพชเวทนาตัวเองก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงหนาภายในใจอย่างรวดเร็ว ไอ้ไดรส์ ไอ้ซัน ไอ้มี่ กูขอโทษ...
     
    ไอ้เจ้าของรถที่ผมเห็นหน้าไม่ชัดเพ่งพินิจมองผมตั้งแต่ใบหน้าและเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่และเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาที่หัวไหล่
     
    พี่อัง!!!!” มันตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง เสียงนุ่มๆนั่นเหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
     
    ผมขมวดคิ้วงุนงง... มันรู้ชื่อกูได้ไง?
     
    พอดีที่แสงไฟสว่างวาบจากสถานบันเทิงส่องลอดเข้ามาภายในตัวรถจนทำให้ใบหน้าของไอ้คนแปลกหน้าที่อยู่ๆมารู้จักเด่นชัดขึ้นมา
     
    ผมผงะเมื่อมองหน้ามันชัดๆเต็มสองตาก่อนจะถอยกรูดแล้วหันหลังเตรียมตัววิ่ง
     
    พี่อัง! เดี๋ยวก่อนครับ!”
     
    ผมรีบหันหลังแล้วออกตัววิ่งด้วยความเร็วสุดในชีวิตเท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจจะหันกลับไปมองแม้แต่นิด โดนหักอกมาแล้วยังเสือกโง่ริขายตัวแต่ดันมาเสนอให้คนรู้จักอีกกู แบบนี้มันเวรซ้ำกรรมซัดชัดๆเลยโว้ย ไอ้อังเอ๋ย!



    -------------------------------------------+

    นิยายรั่วๆที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจจากหลายๆเรื่องที่เคยอ่าน
    และเด็กผู้ชายสองคนที่เดินจับมือกันต่อหน้าต่อตา...

    ติดตามกันด้วยนะฮะ :]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×