ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [01] Unlucky
[01] Unlucky ..ซวย
“อัง ออกมาหาเนย์หน่อยสิ”เสียงหวานจ๋อยของผู้หญิงในโทรศัพท์คือเสียงของ ‘เนย์’ เด็กคอนแวนต์แฟนผมเอง เราคบกันมาปีกว่าแล้ว เธอเป็นคนน่ารักจนเวลามาหาผมที่หน้าโรงเรียนจะมีไอ้พวกสิงสาราสัตว์มาก้อร่อก้อติกเนย์เป็นประจำ ส่วนไอ้พวกก๊วนเพื่อนผมแต่ละคนก็อิจฉาผมกันจนตาเป็นไฟ... เวลามีอะไรผมเลยเอาแฟนตัวเองข่มพวกมันเสมอ
“ครับๆ ว่าแต่มีอะไรเหรอ ถึงโทรมาเรียกอังตอนนี้” ผมถามเพราะเห็นว่าน้ำเสียงเธอแปลกๆ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก เนย์อยากให้อังมากินข้าวเป็นเพื่อนน่ะ” เสียงอ้อนๆของเธอทำเอาผมถึงกับใจอ่อนยวบ ไม่มีครั้งไหนที่ผมจะปฏิเสธเนย์ได้เลย
“ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวอังรีบไป”
“ร้านxxxx สุขุมวิทxx แถวๆบ้านอังนั่นแหละ” อืม ร้านนี้ผมกับเธอมากินกันเป็นประจำ
“โอเคครับ รอแปบนึงนะ” ผมวางสายแล้วรีบจัดเสื้อนักเรียนที่ยับนิดหน่อยให้เข้าที่พลางดูนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียง... สองทุ่มกว่าแล้ว ทำไมเนย์ถึงอยากชวนผมไปกินข้าวอะไรตอนนี้นะ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆซะแล้วสิ... เพราะปกติเวลาผมคุยโทรศัพท์กับเธอแล้วบอกว่ากำลังกินอะไรในเวลานี้อยู่เนย์จะบ่นใส่เป็นชุดเรื่องกินตอนค่ำแล้วอ้วน เธอจุกจิกเรื่องนี้มากแต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายชวนผมซะเอง
“ม๊า ผมออกไปหาเนย์ก่อนนะ” ผมที่เดินกึ่งวิ่งลงมาข้างล่างแล้วบอกขออนุญาตแม่ที่นั่งดูละครอยู่อย่างได้อารมณ์
“รีบกลับแล้วกัน” ม๊าแค่หันมากล่าวเสียงเรียบๆกับผมโดยไม่ว่าอะไร ม๊าผมเป็นคนที่ใจดีมาก ทั้งรักและไว้ใจผม น้อยครั้งที่จะดุด่า แต่ถ้าโกรธทีก็หายยากแถมน่ากลัว
“ครับ”
ผมออกจากบ้านแล้วเดินไปหน้าปากซอยก่อนจะโบกแท็กซี่ที่ไม่นานก็มีผ่านมา
“ไปสุขุมวิทxx ครับ” ผมบอกที่หมายก่อนจะนั่งพิงเบาะรถแล้วคิดครวญในใจ... วันนี้เนย์แปลกไปจริงๆ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนะ ผมอดไม่ได้ที่จะวิตกกับน้ำเสียงและท่าทางของเธอ
~ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟยู ~
เสียงมือถือเพลงติ๊งต๊องของดูโอสาวของผมที่เนย์เป็นคนเปลี่ยนให้ดังขึ้น ผมล้วงหยิบในกางเกงแล้วดูเบอร์คนโทรเข้า
...ไอ้ไดรส์... มันโทรมาไมตอนนี้วะ?
“ไงมึง” ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปทันที
“เชี่ยอัง ตอนนี้มึงอยู่ไหน” คำแรกที่มันพูดก็เล่นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนำหน้าก่อนเลย ไอ้เวรนี่
“กูอยู่บนแท็กซี่ มึงโทรมามีไรป่ะวะ”
“ไม่มีอะไรแล้วกูโทรหาไม่ได้ไงไอ้เลว... สองทุ่มกว่าแล้วมึงจะไปไหนเนี่ย” ไอ้ตัวที่ชอบพูดยอกย้อนผมอยู่นี่ชื่อ ‘ไดรส์’ เพื่อนสนิทผมและควบตำแหน่งประธานชมรมแบนด์ของโรงเรียน ส่วนเรื่องหน้าม่อมันก็ที่หนึ่งชายหญิงแม่งเอาไม่เลือก สุดท้ายก็โดนทิ้งทุกทีเหมือนกรรมตามสนอง
“กูไปกินข้าวกับเนย์” ผมตอบมันน้ำเสียงอวดๆ ให้มันอิจฉาเล่น... ไดรส์มันตัวดีแกนนำแซวผมในห้องเรื่องเนย์ เพราะมันขี้อิจฉากับความรักอันยืนยงคงกระพันธ์ของผม
“สัด ทีเพื่อนชวนไม่เคยมา หญิงชวนละดี๊ด๊าเชียวนะมึง” มึงชวนกูทีไรให้กูไปเสียตังค์เลี้ยงมึงทุกที อย่างนี้มันน่าไปมั้ยล่ะวะไอ้เชี่ยนี่!
“ก็มึงแดกเยอะ กูอายคนอื่นเค้า”
“จวยอัง! เดี๋ยวเถอะมึง เจอเมื่อไหร่กูโบก!” ผมหัวเราะเบาๆกับความร้อนตัวของมัน แม่งโคตรบ้าจี้ ไดรส์มันเชื่อคนง่าย ตอนนั้นผมบอกมันว่าไอ้ซัน(เพื่อนสนิทอีกคนในห้อง)ชอบเข้าห้องน้ำผิดไปเข้าของผู้หญิงในห้าง มันก็ทำตาโตตกใจแล้วรีบกุลีกุจอจะเข้าไปตามไอ้ซันออกมาซะงั้น... แบบนี้จะให้เรียกหัวอ่อนหรือซื่อบื้อดีวะครับ?
“มึงโทรมาหากู... ไม่ได้มีแค่เรื่องถามว่ากูอยู่ไหนใช่มะ?” ผมถามเสียงกวนๆ เพราะอย่างไอ้ไดรส์นานทีปีหนจะโทรหาเพื่อนแบบนี้ ปกติมันก็เติมตังค์ห้าสิบแล้วใช้หยอดให้คนอื่นโทรกลับ ช่างเป็นคนที่นิสัยดีจริงๆเลยมัน...
“เออ มึงนี่แสนรู้ กูจะบอกว่าพรุ่งนี้เอาสมุดไอ้มี่ที่มึงยืมมันไปลอกมาด้วย กูขี้เกียจทำ” มันกับผมเป็นประเภทเดียวกัน สมองฝ่อไปวันๆไม่คิดจะทำอะไรที่ประเทืองปัญญาด้วยตัวเอง
“อืมๆ กูต้องเอาไปคืนมันอยู่แล้วแหละ”
“เออ... มึง... เนย์” ไอ้ไดรส์อึกอักเบาๆ จนผมได้ยินไม่ชัด... อะไรของมัน? มึง... เนย์?
“มึงมีไรเปล่าวะ” ผมถามเมื่อเห็นว่าเสียงมันแปลกๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูด... ไอ้นี่! อมพะนำอะไร กูอยากรู้!
“ไม่มีไร” มันปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของผมเสียดื้อๆ มาทำให้กูอยากแล้วจากไปนะมึง!
“คิดถึงกูแต่ไม่กล้าพูดรึไง ไม่ต้องเขินๆ หนูน้อย” แกล้งแหย่มันเล่นแล้วพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่
“สะ... ส้นตีน ใช้เนื้องอกคิดรึไงวะ...” ผมขำพรูดเมื่อเสียงไอ้ไดรส์มันสั่นนิดๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คงหน้าแดงด้วยความอายเพราะความที่มันเป็นคนแกล้งง่ายสำหรับพวกเพื่อนแต่เป็นผู้ชายที่เท่ไม่หยอกสำหรับสาวๆทั่วไป
ผมชิงกดวางสายเมื่อมันยังด่าไม่หยุดแล้วหัวเราะกับตัวเอง ตอนนี้ก็ใกล้ถึงแล้วอีกเพียงแค่สองซอยเท่านั้น...
ผมจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วลงจากรถจากนั้นก็เดินเข้าร้านที่ผมนัดกับเนย์ไว้ ผมเจอเธอนั่งอยู่โต๊ะเกือบในสุดร้าน เนย์โบกมือให้ผมแล้วยิ้มบางๆ... ผมในชุดนักเรียนยับๆ ดูเป็นเด็กกะโปโลส่งผลให้คนทั้งร้านหันมามอง แตกต่างจากเนย์ที่สวมชุดลำลองและแต่งหน้าอ่อนๆขับให้ผิวหน้าของเธอดูสวยขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง เวลาเจอเนย์ทีไรผมรู้สึกว่าเธอดูดีเสมอ...
“รอนานมั้ยครับ” ผมถามพลางลากเก้าอี้นั่งลง เนย์เท้าคางมองผมอย่างน่ารักแล้วส่ายหน้าหวือจนผมยาวสีดำของเธอปลิวเล็กน้อย
“ไม่อ่ะ สิบนาทีเอง”
“รถติดนิดหน่อยอ่ะ โทษที” ผมยิ้มแหยๆแล้วเกาท้ายทอยเก้อ เพราะถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่การที่ให้ผู้หญิงมานั่งรอมันก็ไม่ดีอยู่วันยังค่ำล่ะนะ
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลย สั่งอาหารเถอะ” เนย์ยิ้มบางๆให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมาตลอดปีกว่าที่ผ่านมา
“เนย์อยากกินอะไรเป็นพิเศษเปล่าครับ” ผมละจากเมนูตรงหน้าแล้วหันไปถาม เธอทำแค่เพียงส่ายหน้ายิ้มๆ
เราสั่งอาหารคนละจานให้พออิ่มเท่านั้น ไม่นานพาสต้ากุ้งของผมและสลัดรวมของเนย์ก็มาเสิร์ฟ บทสนทนาบนโต๊ะอาหารวันนี้เนย์ชวนผมคุยตลอด ถ้าเป็นปกติจะเป็นผมที่เป็นฝ่ายพูดมากกว่า... วันนี้เธอดูกระตือรือร้นร่าเริงสดใสที่สุดเท่าที่ผมกับเธอคบกันมาเลยก็ว่าได้ จะให้บอกว่ารู้สึกดีมันก็ดี แต่ในใจลึกๆมันก็รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรบางอย่างอยู่...
“อัง ทำไมต้องกินเส้นก่อนแล้วเหลือกุ้งไว้ล่ะ” เนย์ถามแล้วทำตาแป๋วมองมา ผมยิ้มขำกับท่าทางของเธอนัก... ทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้เนย์ก็จะถามแบบเดิมอย่างนี้ทุกที
“ก็กุ้งอร่อยที่สุดนี่นาเลยต้องเก็บไว้กินทีหลัง” และคำตอบของผมก็ซ้ำกันทุกครั้ง...
“อังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งเลย...” เนย์ยิ้มให้ผม แต่แววตาของเธอดูเศร้า
ผมเงียบ... ไม่พูดอะไร เพราะไม่มีอะไรจะพูดต่อ
“คนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองใช่มั้ยอัง... เหมือนกับที่อังต้องเลือกกุ้งไม่ใช่เส้นพาสต้า” ผมยิ้มบางๆกับคำเปรียบเปรยของเธอ แต่คำพูดกำกวมของเนย์ทำให้หัวใจที่เคยชุ่มชื้นเวลาเห็นหน้าเธอของผมแห้งเหือดและกลัวบางสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้กับสถานการณ์แบบนี้
“เนย์... บางคนน่ะชอบกุ้งก็เลยเลือกกุ้ง ส่วนคนที่ชอบเส้นพาสต้ามากกว่าก็ต้องเลือกเส้นพาสต้า... แต่มันก็มีนะเนย์ คนที่รู้ว่าตัวเองแพ้อาหารทะเลแต่ก็ยังฝืนกินกุ้งเข้าไปเพราะคิดว่ามันแพง... สุดท้ายก็แพ้จนต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลเสียตังค์เยอะกว่าเดิม...” ผมสาธยายตามความคิดแล้วเปรียบกุ้งกับเส้นพาสต้าตามผู้หญิงตรงหน้าต่อไป...
“จะเลือกสิ่งไหน ชอบหรือไม่ชอบ... ผลของมันก็เป็นเราเองที่ได้รับ ไม่ใช่ว่าดีที่สุด... แต่ต้องเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นในตัวมันและไม่ให้ร้ายต่อเราด้วย”
“อุ๊บ... คิก...” เนย์ที่ตั้งใจฟังผมสาธยายอยู่นานหลุดขำออกมาจนต้องปิดปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
ผมที่เพิ่งได้สติอายจนหน้าแดงวาบ... พูดอะไรของกูวะ! กุ้งกับพาสต้า ผมว่าผมคงติดโรคหัวอ่อนจากไอ้ไดรส์เข้าเต็มๆแล้วล่ะ
“ฮ่าๆ เนย์ไม่รู้ว่าอังจะจริงจังขนาดนี้ หน้าอังตอนพูดเรื่องพาสต้ากุ้งตลกชะมัดเลย” เนย์ยังขำไม่หยุด ผมเห็นน้ำตาเริ่มซึมบนดวงตาของเธอ... อะไรจะขำขนาดนั้นครับคุณผู้หญิง แค่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มออกมาเพ่นพ่านเอง!
“โห อังหมดคำพูดเลยจริงๆนะเนี่ย... หยุดขำเลยๆ” ผมท้วงเหย็งๆเมื่อเห็นเห็นเนย์ยังตั้งท่าจะขำไม่หยุดจนคนรอบร้านเริ่มหันมามอง
ผมทำท่างอนๆไม่รู้ไม่ชี้แล้วหมุนเส้นพาสต้าบนส้อมแล้วกินต่อไป... เนย์หยุดขำแล้วหันมามองผมอ้อนๆแบบที่เธอรู้ว่าทำแบบนี้ผมต้องใจอ่อนแน่นอน
“โอ๋ๆ หยุดขำแล้วจ้า” เนย์พูดเสียงใสก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาง้อผม
ไอ้ผมที่ไม่ใช่ผู้ชายใจแข็งกับผู้หญิงน่ารักก็เชิดหน้าขึ้นแต่นิ้วก้อยของตัวเองก็ไปเกี่ยวกับนิ้วของเธอซะงั้น
“ดีจัง อังหายโกรธเนย์แล้ว” เนย์ทำหน้าดีใจออกนอกหน้า ผมทำแค่หันมายิ้มกว้างกับท่าทางน่ารักของเธอเท่านั้น
“วันนี้ชวนอังมากินข้าว มีอะไรเปล่าครับ” ผมลองแย็บถามดู
“ไม่มีไรหรอก อยากมากินข้าวกับอังเฉยๆ” เนย์ยิ้มจนโชว์ฟันซี่ขาวที่เรียงกันให้ผมเห็น ถึงเธอจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ประโยคหลังมันทำให้ผมกังวลใจแปลกๆ สัญชาตยานในตัวมันบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติอย่างที่ผ่านมา ทั้งน้ำเสียงที่ดูสดใสจนเกินไป และใบหน้าที่เปื้อมยิ้มของเธอแต่นัยน์ตาคู่สวยนั้นฉายความเศร้าสร้อยอย่างประหลาด
“ครับ” ผมตอบรับแล้วก้มลงกินต่อ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อเหมือนกับจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ผ่านไปครึ่งช่วงโมงผมกับเนย์ก็จ่ายเงินค่าอาหารแล้วออกมาจากร้านเตรียมตัวกลับบ้าน... ผมเดินไปส่งเธอขึ้นแท็กซี่ที่หน้าปากซอย
“อัง...” เนย์เรียกผมเสียงเบาระหว่างยืนรอแท็กซี่กันอยู่
“ว่าไงครับ”
“อังนี่... ดีจริงๆเลยนะ” เธอพูดโดยไม่หันมามองหน้าผม เอาแต่มองไปบนถนนที่มีรถวิ่งอยู่
ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรเธอก็โบกแท็กซี่แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนจะลดกระจกลงแล้วยิ้มให้ผม
“เนย์ไปละ กลับดีๆนะอัง” เนย์ยิ้มหวานแล้วโบกมือลาน้อยๆ ผมพยักหน้าแล้วยิ้มรับถึงแม้คำพูดก่อนหน้านั้นของเธอทำให้ผมเริ่มหายใจติดขัด
“ฝันดีครับ” ผมพูดก่อนที่แท็กซี่จะเคลื่อนออกไป ผมมองตามไปจนลับตาก่อนจะโบกแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายคือบ้านของผมเอง
ผมกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่า... ทั่วบ้านมืดสนิทบ่งบอกว่าป๊ากับม๊าขึ้นไปนอนแล้ว ผมเดินอาดๆขึ้นไปชั้นบนยังห้องนอนของผมเอง เมื่อมาถึงผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า ทั้งกายและใจที่ตอนนี้มันสับสนไปหมดเพราะแฟนของผมที่มีท่าทางแปลกๆในวันนี้... ผมเอามือก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วนึกว่าตัวเองทำอะไรผิดรึเปล่าที่ผ่านมาแต่ก็คิดไม่ออก คนที่จะให้คำตอบที่มันคาใจผมได้มีอยู่คนเดียวคือ... เนย์
ผมหยิบโทรศัพท์มาแล้วกดโทรออกทันที รูปบนจอมือถือที่ตั้งไว้เป็นรูปเนย์ทำแก้มป่องแล้วชี้มาด้วยหน้าตาหาเรื่องซึ่งผมเห็นทีไรต้องหลุดหัวเราะทุกที
ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... เนย์ปิดเครื่อง
ความหวังสุดท้ายที่จะได้รู้เรื่องราวต่างๆหมดลง... ทิ้งไว้แค่ผมกับไอ้ความกังวลฟุ้งซ่านจนยากที่จะนอนหลับให้ขบคิดไปตลอดค่ำคืนนั้น...
“ผมชื่อ อังอั๊ง เป็นหมีแพนด้ามาจากเชียงใหม่~” เสียงกวนประสาทของไอ้ซันที่ชื่อเต็มว่าซันเดย์ดังขึ้นแต่เช้าเมื่อผมเดินเข้ามาในห้องเรียน ไอ้พวกลิงทะโมนก็ผสมโรงหัวเราะก๊ากกับมุขงี่เง่าของมันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย... เดี๋ยวเถอะพวกมึง!
“อัง มึงไปทำไรมาวะ” ไอ้มี่คนที่ยังมีความเป็นคนที่สุดในห้องถาม มันมองหน้าผมแบบแปลกใจเพราะขอบตาดำคล้ำของผมที่เห็นชัดมาก... เมื่อคืนมัวแต่คิดเรื่องเนย์ กว่าจะได้นอนก็รุ่งสางแล้ว
“กูรู้ๆ เมื่อคืนอังมันไปกินข้าวกับเนย์ แต่ไม่รู้ว่าจะถึงเช้าจนอดหลับอดนอนขอบตาดำปี๋แบบนี้ ก๊าก” ไอ้เวรไดรส์ว่าแล้วทำท่าโอ่อย่างรู้ดี ยืดอกแล้วทุบอย่างภาคภูมิใจ
“ฮะ จริงเหรอวะอัง มึงนี่ไวไฟว่ะ... โอ๊ย” ไอ้ซันที่ทำท่าดี๊ด๊าร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมโบกหัวเข้าไปเต็มรักก่อนจะหันไปโบกไอ้ไดรส์อีกคนที่ปล่อยข่าวโคตรมั่วซั่วออกมาให้คนในห้องคิดไปไกล
“สัด กูเจ็บ” ไอ้ไดรส์บ่นพลางรูปหัวมันป้อยๆ แต่ผมยิ้มเหี้ยมไปให้มันแทนคำขอโทษ
“สมน้ำหน้า เป็นเพราะปากมึงเอง” แม่งก็ดันพูดเรื่องควายๆ ผมน่ะไม่เป็นไร แต่เนย์สิเสียหายเพราะความคิดของไอ้พวกทะโมนในห้องหมดแล้ว
“ตกลงมึงไปทำไรมา” ไอ้มี่ที่ไม่สนใจไอ้ตัวแสบที่โดนโบกหัวสองตัวหันมาถามผมต่อ ผมวางจาคอบแล้วนั่งลงบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ
“กูนอนไม่หลับ” ไอ้มี่พยักหน้ารับนิดๆก่อนจะถามต่อ
“มึงมีเรื่องไร” มันถามผมตรงๆแล้วไอ้ไดรส์กับไอ้ซันก็เริ่มเป็นการเป็นงานพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองมาที่ผมด้วยแววตาจริงจังยามเห็นเพื่อนเป็นทุกข์
“เรื่องเนย์... เมื่อคืนกูไปกินข้าวกับเขา เขาดูแปลกๆ” ผมพูดเสียงเศร้าเบาหวิวจนเพื่อนอีกสามคนที่ตั้งใจฟังอยู่ใจหายตามกันไป เพราะผมกับเนย์คบกันมาปีกว่าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันจนถึงขนาดต้องมาปรึกษาเพื่อนแบบนี้เลยซักครั้งเดียว
“โอ้ ผู้หญิงคืออิทธิพลทำให้ไอ้คุณอังเป็นหมีแพนด้า~” ไอ้ซันพยายามพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศทะมึนที่ดูตึงเครียด แต่ตอนนี้ไม่มีใครขำออกมันเลยหุบปากแล้วยิ้มเจื่อนๆให้
“อัง... มึงจำที่เมื่อวานกูโทรหามึงได้ป่ะ” ไอ้ไดรส์เป็นคนเปิดประเด็นเมื่อวงสนทนาเงียบไปอยู่นาน
“เออ ทำไม”
“กูมีอีกเรื่องนึงที่อยากจะบอกมึง... แต่เมื่อคืนกูไม่กล้า กูเห็นว่ามึงจะไปกินข้าวกับเนย์” ไอ้ไดรส์ไม่กล้ามองหน้าผมตรงๆ เสียงมันเหมือนสำนึกผิด แต่ก่อนที่ผมจะได้ฟังมันเล่ามัสเซอร์ประจำวิชาแรกก็เข้ามาทำให้ผมกับพวกมันต้องแยกย้ายกันไปนั่งที่
ในคาบเช้า ผมไม่เป็นอันเรียนหรือทำอะไร นั่งกระกระวายกับท่าทางของเนย์และคำบอกเล่าของไอ้ไดรส์ พอตอนเที่ยงผมที่อยากรู้เรื่องใจจะขาดก็เป็นอันแห้วเพราะไอ้ไดรส์โดนเรียกตัวไปชมรมด่วนจนไม่มีเวลาให้ผมเลย
“อัง กูขอโทษ มึงรอกูก่อนนะ” ไอ้ไดรส์ไหว้ขอโทษผมจากใจจริง แต่จะให้ไปโกรธมันก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่ความผิดของมันเลยซักนิด ยังดีที่มีไอ้ซันกับไอ้มี่คอยชวนคุยไม่งั้นผมคงต้องบ้าตายแน่ๆวันนี้... ไอ้ซันที่เคยกวนตีนผมทั้งวันและตลอดเวลาวันนี้มันเปลี่ยนไปแทบเป็นคนละคนเพราะวันนี้มันทำตัวขรึมตลอด...
จนทั้งวันไอ้ไดรส์มันก็ไม่โผล่หัวกลับมาจนเลิกเรียนผมสามคนที่เหลืออยู่ในห้องก็จรลีกันไปห้องชมรมเพื่อรอไอ้ไดรส์ที่นั่งคุยกับมัสเซอร์ประจำชมรมหน้าตาเคร่งเครียด มันเหลือบมองผมเป็นระยะแต่ผมทำได้แค่ฝืนยิ้มบางๆให้มันเท่านั้น
เมื่อธุระของมันเสร็จมันก็รีบกระหืดกระหอบเดินมาหาผมทันที
“กูมาแล้ว” มันพูดก่อนจะนั่งแหมะที่พื้นตรงข้ามผม
“เออ มึงรีบเล่าเหอะ ไอ้อังมันแย่แล้ว” ไอ้มี่รีบพูดขึ้นทันที
“เออๆ เรื่องที่กูจะเล่ามันเป็นเรื่องที่รุ่นน้องในแบนด์บอกกูมา ไม่รู้ว่าจะจริงแท้กี่เปอร์เซ็น ไอ้อังถ้ากูเล่าแล้วมึงสัญญานะว่าอย่าวู่วาม” ไอ้ไดรส์พูดอย่างเป็นงานเหมือนกำลังสวมหน้ากากตอนเป็นประธานชมรมแบนด์ที่ต้องคอยคุมน้อง
“กูสัญญา” ผมรับคำมันเสียงหนัก
“ไอ้เนส รุ่นน้องกูในแบนด์อ่ะ มันไปเจอเนย์... ควงกับเด็กโรงเรียนเราที่สยาม” พอจบประโยคหัวใจของผมที่อ่อนล้าอยู่แล้วตกวูบ... ทั้งตัวผมมันสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะกลัวว่าสิ่งที่รุ่นน้องไอ้ไดรส์เห็นจะเป็นเรื่องจริง
“ตั้งแต่... ตอนไหน” เสียงของผมแหบแห้งจนไอ้ซันที่นั่งอยู่ข้างๆผมตบไหล่ให้กำลังใจอย่างเป็นห่วง
“อาทิตย์ก่อน” ผมได้ยินอย่างนั้นก็หมดคำถามที่จะถามต่อ... หัวที่หนักอึ้งเริ่มปวดจี๊ดขึ้นมากระทันหัน
“เชี่ย โคตรกล้า” ไอ้มี่ที่น่าจะอารมณ์เย็นที่สุดกลับเป็นคนที่เดือดดาลขึ้นมา
“กูบอกแล้วไงไอ้มี่ว่าอาจจะไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้” ไอ้ไดรส์หันไปปรามไอ้มี่ทันที
~ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟ เลิฟ เลิฟ โรคหัวใจกำเริบเลิฟ ละ ละ เลิฟยู ~
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขัดบรรยากาศตึงเครียดในวงสนทนา รูปของผู้หญิงตาโตน่ารักบนหน้าจอมือถือทำเอาผมตัวสั่นเทิ้มกว่าเดิม สายตามองหน้าจอมือถืออยู่อย่างนั้นจนไอ้มี่พูดขึ้น
“ให้กูรับให้มั้ย”
ผมหันไปมองมันแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูรับเอง กูไม่เป็นไร” ถึงผมจะพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุดแต่มันสามคนก็มองมาที่ผมอย่างเป็นห่วงเช่นเดิม... มันกลัวว่าผมที่ไม่เคยชินกับเรื่องแบบนี้จะไม่ไหว
“ครับ เนย์” ผมกรอกเสียงลงไปโดยพยายามไม่ให้สั่น
“อัง... อยู่ไหน” น้ำเสียงของเนย์ราบเรียบ ไม่เหมือนเธอคนเดิมที่สดใสขี้เล่นตลอดเวลาอย่างที่ผ่านมา
“โรงเรียน มีอะไรเหรอครับ”
“มาหาเนย์ที่สยามได้มั้ย... นะอัง” เนย์พูดอย่างเว้าวอน ผมจับเสียงหวานที่สั่นนิดๆของเธอได้
“ได้สิ เจอกันที่ร้านxxxนะ” พูดจบแค่นั้นผมก็กดวางสายไป แล้วเงยขึ้นสบตากับเพื่อนสามคนที่ยังจ้องมองผมอย่างให้กำลังอยู่เหมือนเดิม
“มึงจะไปเจอเนย์เหรออัง” ไอ้ไดรส์ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับช้าๆ
“งั้นเดี๋ยวพวกกูไปส่งมึง” ไอ้มี่พูดก่อนจะหยิบจาคอบของผมแล้วดึงให้ผมลุกขึ้นยืน
บนรถแท็กซี่ไม่มีใครพูดอะไรเหมือนที่เคยเป็น ถ้าเป็นปกติคงสนทนากันเสียงดังจนลุงคนขับแท็กซี่ต้องด่าบ้าง แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม... พวกมันสามคนรู้ว่าผมต้องการอยู่เงียบๆ ให้เวลากับตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อไปนี้
ไม่นานก็มาถึงสยาม ก่อนลงมาจากแท็กซี่ไอ้ไดรส์พูดให้กำลังใจผม แล้วตามด้วยไอ้ซันกับไอ้ไดรส์ตบบ่าผมเบาๆ
“มึงอย่าวู่วาม มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ถ้ามีอะไรโทรมาหาพวกกู พวกกูเปิดเครื่องรอมึงตลอด” ผมซึ้งกับคำพูดของมัน อยากจะบอกว่าขอบใจแต่ปากมันก็หนักอึ้งจนพูดออกมาไม่ได้ แค่ยกยิ้มรับมันยังยากเลย
ผมเดินเข้าไปในร้านที่นัดกับเนย์ไว้ แล้วก็เจอเธอที่นั่งรออยู่... เธอมานั่งรอผมเสมอตั้งแต่ที่คบกันมา ไม่มีครั้งไหนที่เนย์จะมาช้าให้ผมรอ...
“สวัสดีอัง” คำทักทายที่ฟังดูห่างเหินทำให้ผมเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างลางๆ
“ครับ” ผมรับแล้วยิ้มเฝื่อนๆให้เนย์ เธอจะสังเกตเห็นมันมั้ยนะ?
“อัง... เนย์... ขอโทษ” บางสิ่งบางอย่างในห้วงความคิดผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ ผมยังคงนิ่งฟังเธอพูดต่อไป
“อัง เลิกกันเถอะนะ” คำๆนั้นที่ผมเฝ้าภาวนาไม่อยากจะได้ยินออกจากปากเนย์... สุดท้ายทุกอย่างมันก็จบลง... คำว่า ‘สิ้นสุด’ มันเด่นชัดจนผมไม่สามารถพูดอะไรได้อีก มีเพียงเสียงของไอ้ไดรส์ที่คอยย้ำว่าให้ผมใจเย็นไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไรก็ตาม... สถานภาพของผมกับเนย์ได้เปลี่ยนไปแล้วสำหรับเราสองคน แต่ความรู้สึกของผมที่มอบให้เธอยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ทำไม” คำยอดฮิตในสถานการณ์เช่นนี้ลอดออกไปจากปากผม เนย์มีสีหน้าลำบากใจก่อนจะให้คำตอบที่ผมอยากรู้แต่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับกลับมา
“เนย์... ชอบคนอื่น เนย์โลเล ขอโทษนะอัง” เสียงของเธอสั่นเหมือนกับตัวของผม ผมเห็นน้ำตาของเธอเอ่อท้นตรงขอบตา ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกสงสารตัวเองเลยซักนิด กลับรู้สึกสงสารเนย์มากกว่าตัวเอง ทั้งๆที่เธอไม่เหลือความรู้สึกพิเศษกับผมแล้ว แต่เมื่อวานเธอก็ยังพยายามทำตัวเป็นปกติให้ผมสบายใจ ดวงตาของเนย์ที่ไหววูบมีความสำนึกผิดและเสียใจอยู่ในนั้นมากมาย
“ไม่เป็นไร อังไม่โกรธ” ผมพูดก่อนจะยิ้มให้เนย์ เพื่อให้เธอคลายความทุกข์ลงได้บ้าง
“ขอบคุณ ขอบคุณนะอัง” น้ำตาของเนย์ไหลออกมาเปื้อนเลอะใบหน้า เธอโผเข้ากอดผมที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ผมลูบหัวปลอบเธอเบาๆแล้วพร่ำบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ เพราะเป็นใครคำว่า ‘ลังเล’ และ ‘โลเล’ นั้นก็เกิดขึ้นเสมอ... เราสองคนไม่สนใจคนรอบข้างในร้านที่หันมามองแล้วซุบซิบกันกับเหตุการณ์ของเรา
นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เรากอดกันอยู่อย่างนั้น จนเนย์เงียบเสียงสะอื้นไปแล้วผละออก
“เนย์ไปนะ” เธอยิ้มบางๆให้ผม
“ไว้เจอกัน มีไรโทรหาอังละกันครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติแล้วมองดูเธอลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินออกไปจากร้าน ก่อนที่ผมจะเดินออกไปด้วยเช่นกัน...
เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมเดินเตร่ในสยามเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ ฟ้ายามเย็นมืดสนิทมีเพียงแค่แสงจันทร์เท่านั้น ความชื้นที่บริเวณหัวไหล่เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเรื่องราวต่างๆระหว่างผมกับเนย์เป็นเรื่องจริงไม่ใช่แค่ความฝัน...
ผมเดินไปโบกแท็กซี่ แต่สถานที่ที่ผมจะไปนั้นไม่ใช่บ้านแต่เป็นสถานเริงรมย์ที่ไม่เคยคิดจะไปเหยียบซักครั้ง
ผมเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนที่ดูยาวไกล ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่แถวนั้น แถมยังมีเสียงเพลงที่ดังลอดออกมาจากตึกต่างๆเป็นจังหวะไปทั่ว
‘ถ้ามึงเลิกกับเนย์ มึงจะทำไง’
‘กูคงไปขายตูด ประชดชีวิตรัก’
‘เชี่ยอัง กูขอให้เป็นจริง’
ผมนึกไปถึงบทสนทนาที่เคยพูดเล่นกับไอ้สามแสบ คิดแล้วก็ยิ้มขันกับตัวเองนี่กูพูดไปได้ไงวะ ร่างกายที่หนักอึ้งและจิตใจที่อ่อนล้าทำเอาคำพูดระหว่างเพื่อนมีอิทธิพลกับผมกระทันหัน คำว่า ‘อย่าวู่วาม’ ของไอ้ไดรส์มลายหายไปทันที
ผมเดินไปยังรถที่จอดเทียบอยู่อีกฝั่ง มองไปก็มีคนนั่งอยู่ในรถ ผมรีบรี่ตรงไปแล้วเคาะกระจกรถรัวๆให้หน้าต่างนั้นเปิดออก
ผมยื่นหน้าเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดยังไม่ทันจะหมดก่อนพูดสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดออกมาซักครั้งตั้งแต่เกิดมา
“สนใจเที่ยวกับนักเรียนคืนนี้มั้ยครับ” สติสัมปัชชัญญะของผมเตลิดไปไกลแล้วถึงไม่ได้เมาแอลกอฮอล์อะไรแต่ความรู้สึกงี่เง่าแปลกประหลาดอยากประชดประชันและสมเพชเวทนาตัวเองก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงหนาภายในใจอย่างรวดเร็ว ไอ้ไดรส์ ไอ้ซัน ไอ้มี่ กูขอโทษ...
ไอ้เจ้าของรถที่ผมเห็นหน้าไม่ชัดเพ่งพินิจมองผมตั้งแต่ใบหน้าและเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่และเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาที่หัวไหล่
“พี่อัง!!!!” มันตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง เสียงนุ่มๆนั่นเหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ผมขมวดคิ้วงุนงง... มันรู้ชื่อกูได้ไง?
พอดีที่แสงไฟสว่างวาบจากสถานบันเทิงส่องลอดเข้ามาภายในตัวรถจนทำให้ใบหน้าของไอ้คนแปลกหน้าที่อยู่ๆมารู้จักเด่นชัดขึ้นมา
ผมผงะเมื่อมองหน้ามันชัดๆเต็มสองตาก่อนจะถอยกรูดแล้วหันหลังเตรียมตัววิ่ง
“พี่อัง! เดี๋ยวก่อนครับ!”
ผมรีบหันหลังแล้วออกตัววิ่งด้วยความเร็วสุดในชีวิตเท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจจะหันกลับไปมองแม้แต่นิด โดนหักอกมาแล้วยังเสือกโง่ริขายตัวแต่ดันมาเสนอให้คนรู้จักอีกกู แบบนี้มันเวรซ้ำกรรมซัดชัดๆเลยโว้ย ไอ้อังเอ๋ย!
-------------------------------------------+
นิยายรั่วๆที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจจากหลายๆเรื่องที่เคยอ่าน
และเด็กผู้ชายสองคนที่เดินจับมือกันต่อหน้าต่อตา...
ติดตามกันด้วยนะฮะ :]
-------------------------------------------+
นิยายรั่วๆที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจจากหลายๆเรื่องที่เคยอ่าน
และเด็กผู้ชายสองคนที่เดินจับมือกันต่อหน้าต่อตา...
ติดตามกันด้วยนะฮะ :]
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น