คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3 (35%)
Chapter 3
หลังจากที่เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์ร่างบางเอ่ยถามเด็กรับใช้สองคนที่เข้ามาช่วยถือของ เด็กรับใช้เพียงแต่พยักหน้าและเรียนว่าคุณท่านรออยู่ที่ห้องรับแขก ฮีชอลพยักหน้ารับรู้นึกแปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้พ่อของเขาไม่ค้างคืนที่บริษัทเหมือนทุกวันและยังนั่งรอเขาทั้งๆ ที่มันเลยเช้าวันใหม่มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ปกติเขากับพ่อไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยนักเพราะต่างฝ่ายต่างมีสิ่งที่ต้องทำ การที่จะมีเวลามานั่งคุยกันคงเป็นไปได้ยาก ผ่านประตูคฤหาสน์เลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปยังห้องรับแขกระหว่างทางก็มีบางสิ่งแปลกหูแปลกตาไปบ้าง ทั้งผ้าม่านตามทางเดินที่เปลี่ยนไป รูปภาพที่เพิ่มมามากขึ้นอีกทั้งพรมที่ใช้เดินก็เปลี่ยนใหม่จากสีแดงสดเป็นสีดำสนิท ร่างบางมองสำรวจทางเดินต่างๆ ที่ดูแปลกหูแปลกตาไปทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามา ปกติฮีชอลไม่ค่อยมาห้องรับแขกเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นที่นักธุรกิจและพ่อคุยงานกันมากกว่า ส่วนตัวเองจะขลุกอยู่บนห้องหรือไม่ก็ออกไปเที่ยวสถานเริงรมย์ทั่วไป พอเดินเข้ามาในห้องก็เห็นคนสองคนนั่งอยู่ ทางหนึ่งเป็นพ่อของเขาที่เหลือบมองเขานิดหน่อยและอีกคนที่นั่งอยู่โซฟาฝั่งตรงข้ามซึ่งเขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี “นาย!” “รู้จักฮันเกิงเขาด้วยหรอซิน” ชายสูงอายุระบายยิ้มอ่อนโยนส่งให้ลูกชายคนเดียวที่ทำหน้าถมึงทึงใส่เขาสลับกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ไม่รู้จักและไม่อยากรู้จัก” ทั้งโมโหและอารมณ์เสียเตรียมหันหลังกลับถ้าผู้เป็นพ่อไม่เอ่ยรั้งไว้ซะก่อน “แต่พ่อมีเรื่องจะคุยกับแกเกี่ยวกับฮันเกิง” “เรื่องของผมเกี่ยวกับหมอนี่ยังไง แล้วไอ้บ้านี่เป็นหุ้นส่วนบริษัทงั้นหรอ ถึงอนุญาตให้เข้ามาในบ้านได้” ฮีชอลมองฮันเกิงเหยียดๆ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ได้แต่นั่งนิ่งสบตากับเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ร่างบางไม่ชอบสายตาคู่นั้น มันแฝงสิ่งที่เขาไม่รู้เอาไว้มากมาย ตามไม่ทัน และเดาไม่ได้ “พ่อของฮันเกิงเขาเป็นเพื่อนสนิทพ่อและงานหมั้นของลูกจะถูกจัดขึ้นอาทิตย์หน้า” “งานหมั้น!” “ใช่งานหมั้น” ผู้เป็นพ่อยิ้มอ่อนโยนแฝงความยินดีที่ต่างจากฮีชอลโดยสิ้นเชิง ร่างบางสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย งานหมั้นงั้นหรอ.. “ลูกต้องหมั้นกับฮันเกิง” “ไม่!” “ซิน” ผู้เป็นพ่อแลดูเหนื่อยอ่อนกับความพยศของลูกไม่น้อย ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยได้มาดูแลลูกอยู่แล้วเพราะมีงานรออยู่มากมายที่บริษัท ถึงตระกูลและบริษัทของเขาจะผลิตเงินให้ใช้ได้ไม่ขาดสายและมีเหลือถมเถ แต่ไม่เคยที่บริษัทเหล่านี้จะผลิตเวลาให้เขาได้สักครั้ง ทุกวันมีแต่งานยุ่งและยุ่งขึ้นไปอีก จนบางวันต้องนอนค้างคืนที่บริษัท ส่วนลูก.. เขาปล่อยให้แม่นมเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กเพราะแม่ที่แท้จริงนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ฮีชอลอายุสิบขวบ “พ่อไม่มีสิทธิมาบังคับผม!” “พ่อไม่ได้บังคับ แต่ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องมีคู่ครอง” “ซินหาเองได้ พ่อไม่ต้องมายุ่งและถึงพ่อจะเลือกให้ซินจะต้องไม่ใช่ผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายคนนี้ พ่อน่าจะรู้นะว่าซินไม่ชอบให้ใครมาบังคับ” ฮันเกิงมองการสนทนาที่ออกไปทางลูกขู่พ่ออย่างเงียบๆ จริงอยู่ที่เขาไม่ค่อยรู้เรื่องฮีชอลมากนักเพราะไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ฮันเกิงรู้จักร่างบางนี้ตั้งแต่เจ้าตัวอายุได้สิบขวบแต่ดูเหมือนฮีชอลจะจำไม่ได้ วันนั้นเป็นวันที่แม่ของฮีชอลเสีย พ่อของฮันเกิงจึงมาเป็นแขกในงานศพ งานนี้ทุกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและเชิญเพียงเพื่อนสนิทของเจ้าภาพงานเท่านั้น ตอนนั้นฮันเกิงอายุ 11 ส่วนฮีชอลอายุ 10 ปี ‘ฮึก..ฮือ..มะ..แม่..ฮะ ฮึก’ เขาจำได้ดีภาพเด็กชายตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่หน้าโรงศพของผู้เป็นแม่ ใบหน้าหวานใสตามแบบของเด็กวัยน่ารักถูกแทนที่ด้วยน้ำตามากมายที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตากลมโตไม่หยุด ตอนนั้นพ่อบอกเขาว่าจะต้องไม่ร้องไห้แบบนี้ จะต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ อย่าร้องไห้เหมือนเด็กคนนี้เด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ‘ฮันเกิงจะต้องไม่เหมือนฮีชอล ต้องเข้มแข็งให้มากกว่าฮีชอลนะ’ ‘ทำไม..ครับ’ สายตาของฮันเกิงหยุดมองที่ฮีชอลอยู่นาน... ‘ในอนาคตลูกคือคนที่จะได้ดูแลฮีชอลต่อจากพ่อแม่ของเขา ลูกจะต้องเป็นผู้นำ ลูกต้องมีความเป็นผู้ใหญ่เพื่อคอยช่วยเหลือฮีชอล’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ฮันเกิงรับคำบิดาและจดจำคำนั้นไว้ราวกับสลักคำพูดไว้ในจิตใจ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยลืม เขามารู้ทีหลังว่าตัวเองถูกคลุมถุงชนจับเป็นคู่กันตั้งแต่ฮีชอลเกิดได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ และในอนาคตเขาคือสามีที่ต้องคอยดูแลฮีชอล ซึ่งดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งถึงวันนี้ “ซิน เรื่องที่ลูกต้องหมั้นกับฮันเกิงมันเป็นความต้องการของแม่เขานะ” “แม่ไม่มีทางบังคับผมแบบนี้หรอก” “มันเป็นสิ่งที่แม่เขาเห็นว่ามันดีที่สุดสำหรับลูกนะ ก่อนตายแม่เขาฝากเรื่องนี้ไว้กับพ่อ” “ผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นความจริง พ่ออาจจะกุเรื่องขึ้นมาก็ได้ แม่ไม่เคยบังคับผม แม่รักผมตามใจผมทุกอย่าง แม่เป็นคนเดียวที่เข้าใจผม” “ลูกต้องการจะคุยกับทนายของตระกูลเราไหมล่ะ แม่เขาเขียนใบพินัยกรรมไว้ ลูกเลยวัย 15 ปีมานานแล้วจะเปิดพินัยกรรมเลยก็คงไม่เสียหาย” “ทำไมแม่ต้องให้ผมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ชอบด้วย” ประโยคท้ายตวัดสายตาไปเหน็บแนมคนที่ยืนนิ่งดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ฮันเกิงกระแอมเบาๆ “ก็เพราะฉันเพรียบพร้อมที่จะดูแลคุณหนูเอาแต่ใจอย่างนายมากที่สุดน่ะสิ” คำเยินยอตัวเองนั้นทำเอาฮีชอลอ้าปากเหวอ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนหน้าด้านยอมรับดื้อๆ ได้ขนาดนี้ ยังไม่พอคำเสียดแทงว่าเขาเอาแต่ใจนั่นมันไม่จริงสักนิด(หรอ) “จดทะเบียนเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยเท่านั้นก็ได้ ถือว่าทำตามคำขอของแม่เถอะนะซิน” ฮีชอลมองผู้เป็นพ่อพลางครุ่นคิด ถ้าเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยก็แค่ในทางชื่อเสียงของตระกูลและความมั่นคงของกิจการเท่านั้น ชีวิตของเขาก็น่าจะเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเสียหาย เมื่อถึงเวลาที่ชอบใครจริงๆ สักคนค่อยหย่าเอาก็ได้ “ก็ได้ ผมจะหมั้นและแต่งงาน แต่มีข้อแม้ว่าห้ามผูกมัดเด็ดขาด” ผู้เป็นพ่อยิ้มจืดจาง หัวเราะน้อยๆ อย่างโล่งอกหันไปหาว่าที่เจ้าบ่าวที่ตีหน้านิ่งไม่พูดอะไร
“พ่อฉันกลับมาแล้วหรอ”
“เรื่องนี้ลูกต้องตกลงกับฮันเกิงเองแล้วล่ะ”
35%
ความคิดเห็น