ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Singular Fiction [NutxSin]

    ลำดับตอนที่ #6 : นิรันดร์ Part End

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 55


    สวัสดีค่ะคนอ่านทุกคน เรากลับมาเเล้วนะคะ หลังจากที่หายไปนานมากกกกกก
    วันนี้เอานิรันดร์ตอนจบมาลง ต้องขอโทษที่ทำให้คอยด้วยนะคะ รู้สึกผิดมากๆ
    ชอบไม่ชอบยังไงก็เม้นท์บอกกันได้นะคะ เเล้วเจอกันเรื่องหน้าค่ะ

    ps.อย่าลืมโหวตแบงค์นะคะ M5 M5 M5!!!!!!!!!!!



    ขอให้มีความสุขกับการอ่านฟิคค่ะ :)



    นิรันดร์ Part End


    ในเวลาเกือบเที่ยงคืน ร่างบอบบางในชุดนอนก้าวออกมาจากห้องน้ำ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง มือเรียวหยิบไดร์ขึ้นมาเป่าผมที่เปียกชื้นอยู่กลางหลัง ขณะที่ริมฝีปากบางก็ฮึมฮัมทำนองเพลงคลอไปด้วยอย่างอารมณ์ดี

     

    ที่อารมณ์ดีเป็นเพราะช่วงนี้นัททำตัวดีเป็นพิเศษ พอเสร็จจากทำงานก็ตรงกลับมาที่บ้านทันที อาจจะมีออกไปสังสรรค์เฮฮากั[เพื่อนบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยหรือนอกลู่นอกทางจนผิดสังเกตสักนิด เวลาจะไปเที่ยวก็มีการบอกกันล่วงหน้าว่าจะกลับกี่โมง ตอนกลับก็กลับตรงเวลาที่บอกไว้พอดีเป๊ะ พวกเบอร์แปลกๆหรือข้อความจากผู้หญิงก็ไม่มีโผล่มาให้ต้องวุ่นวายใจเลยสักนิด แถมยังเอาใจใส่กันมากขึ้นผิดปกติ จนทำให้ซินอดที่จะสงสัยพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนรักไม่ได้

     

    พยายามจะสังเกต หรือจะเรียกว่าจับผิดอีกคนก็ได้ แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย ได้แต่จนใจที่จะหาคำตอบ ก็เลยปล่อยๆไป คิดซะว่าในเมื่อคนรักกลับตัวได้แล้วก็อย่าไปหาเหตุผลให้มันวุ่นวายเลยจะดีกว่า แต่ความจริงแล้ว ซินเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า นัทอาจจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ

     

    เป็นความคิดที่ทำให้ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มน้อยๆออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็แสดงว่านัทก็คงรักกันบ้างใช่มั้ย ถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อซิน เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา นัทก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนอะไรเพื่อซิน มีแต่ซินที่ต้องยอมรับสิ่งที่นัทเป็นให้ได้ จนมันกลายเป็นความชินชาที่จะต้องเจอกับเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาในชีวิตคู่อย่างไม่มีหยุดสิ้น ร่างบางเองก็ทำใจไว้แล้วว่าคงจะต้องทนกับเรื่องแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะทนไม่ได้สักวัน แต่การที่คนรักเริ่มเปลี่ยนตัวเองอย่างในตอนนี้ แสดงว่านัทอาจจะเริ่มเห็นค่าของซินขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ย

     

    มือเรียวหยิบหลอดครีมสีขาวบนโต๊ะขึ้นมาแต้มบนใบหน้าอย่างเคยชิน ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะหลับสนิทดี เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นบนใบหน้าหวานเพราะรำคาญเสียงที่แผดออกมาไม่ยอมหยุดเสียที มือเรียวจึงควานไปหยิบโทรศัพท์พร้อมกับดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ก่อนจะเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

     

    “ฮัลโหล ว่าไงหญิง” ทันทีที่รับสายก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย

     

    เฮ้ยซิน แก คือชั้นอยู่ที่ร้านพี่จิ๊บว่ะ แล้วชั้นก็บังเอิญไปเจอแฟนแกแล้วแบบ…’ ด้วยน้ำเสียงบวกกับคำพูดจากปลายสายทำให้ร่างบางตื่นขึ้นมาเต็มตา เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจกับสิ่งที่เพื่อนเพิ่งไปเจอมายังไงชอบกล ความคิดอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แต่ร่างบางก็รีบปัดทิ้งออกไปทันที

    ไม่ได้สิ เราต้องเชื่อใจนัท

     

    “แล้วยังไง” พยายามตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบ แม้หัวใจจะเต้นแรงขึ้นมาทันทีด้วยความกลัวกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไปนี้

     

    ชั้นเห็นแฟนแกอยู่กับ..ผู้หญิงว่ะ .. แล้วคือ..

     

    ปลายสายพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเงียบไป แต่ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยมา ร่างบางก็สามารถคาดเดาสิ่งที่เพื่อนไปเห็นมาได้ทันที ดวงตากลมโตหลับตาลงช้าๆ พยายามจะข่มอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

     

    สุดท้ายแล้ว นัทก็ยังเป็นนัทคนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้กันก็คงจะทำเพื่อให้วางใจ แล้วจะได้ออกไปเที่ยวได้ตามสบายโดยที่ซินไม่ทันได้ระแวงเลยใช่มั้ย

     

    นึกย้อนทุกคำพูดทุกการกระทำที่ทำให้กันตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งรอยยิ้มและความอ่อนโยนที่มอบให้กัน มันช่างอบอุ่นสวยงามจนทำให้หลงคิดไปเองว่านัทคงจะรักซินมากพอที่จะยอมทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เชื่อว่าอีกคนคงจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อซิน เพื่อความรักของเรา แต่สุดท้ายแล้ว มันไม่ใช่ ..ไม่ใช่เลย

     

    คำสัญญา .. ก็คงเป็นแค่เรื่องโกหกสินะ

     

    ความคิดที่ทำให้หยดน้ำตารื้นขึ้นมาจนปริ่มดวงตาคู่โต ก่อนจะไหลลงอาบแก้มขาวนวลทั้งสองข้าง เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากลำคอเป็นระยะๆก่อนที่ร่างบางจะยกมือขึ้นปิดปาก พยายามปิดกั้นเสียงที่ออกมาให้มากที่สุด ไม่อยากให้ปลายสายรับรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้

     

    จนกระทั่งได้ยินเสียงของเพื่อนสาวเรียกชื่อติดๆกันหลายครั้งอย่างเป็นห่วง ร่างบางจึงพยายามควบคุมเสียงตัวเองให้นิ่งสนิท ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

     

    “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงชั้นจะไปหาแกที่ร้านพี่จิ๊บ แค่นี้นะ”

     

    คนตัวเล็กกดตัดสายโทรศัพท์แล้ววางมันไว้บนหัวเตียงอย่างเดิม ก่อนจะลุกขึ้นนั่งนิ่งๆอยู่ในห้องนอนกว้างที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟเลือนรางที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในพอที่จะให้เห็นถึงหยดน้ำตาเม็ดโตที่ยังคงไหลออกจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่ขาดสาย กับเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบเหงาที่ทำให้รู้สึกถึงความอ้างว้างจนเกินทน

     

    เหนื่อยเหลือเกิน

     

    เหนื่อยที่จะต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้ ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องเดิมๆแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ยอมจบเสียที

    เคยคิดว่าความรักที่มีให้อีกคนคงจะมากพอที่จะทำให้สามารถทนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาได้ ไม่ว่านัทจะทำอะไรให้

    เจ็บช้ำใจมากแค่ไหน ซินก็เชื่อว่าตัวเองจะทนได้ เพราะว่ารัก ..รักนัทมาก

     

    แต่แค่ความรักอย่างเดียว มันคงไม่พอสินะ

     

    ถึงจะรักมากแค่ไหน แต่ในวันนี้ มันรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะรักได้อีก ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่รักแล้วมันเหนื่อยเกินไป เหนื่อยใจที่จะต้องมารักใครอีกคน ถ้าความรักมันทำร้ายกันขนาดนี้ บางทีการทิ้งความรักไปอาจจะดีกว่าการที่จะต้องทนอยู่แบบช้ำๆอย่างนี้ก็เป็นได้

     

    บางที..เราควรจะพอได้แล้ว

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ซินก็เดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่หน้าร้านอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะรีบตรงดิ่งเข้าไปภายในร้านโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากทักทายอะไรกับเพื่อนๆเลยสักคำ ร่างบางแทรกตัวเบียดเสียดกับผู้คนมากมายที่อยู่บนฟลอร์เต้นรำ จนมาถึงด้านในของร้านที่เป็นโซนนั่ง ก่อนจะสาวเท้าไปยังมุมที่เป็นโต๊ะประจำของนัทอย่างคุ้นชิน

     

    ขณะที่ก้าวเดินไป ในใจก็นึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้พอจะนึกภาพออกว่าจะต้องไปเจอภาพแบบไหน ซึ่งก็คงจะไม่แตกต่างไปจากอะไรๆที่เคยเห็นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแบบนี้สักที ยิ่งเดินเข้าไปใกล้โต๊ะประจำกลุ่มของคนรักมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกถึงจังหวะของหัวใจที่เต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งก็กลัว กลัวที่จะต้องไปเห็นอะไรที่บีบรัดหัวใจให้เจ็บปวดอีก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะไปเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผื่อว่าครั้งนี้ มันอาจจะถึงจุดสิ้นสุดของความอดทนแล้วก็เป็นได้

     

    ปลายเท้าหยุดลงตรงหน้าโต๊ะมุมในที่มีชายหนุ่มประมาณสิบกว่าคนกำลังดื่มเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่ดวงตากลมโตจะกวาดสายตาไปรอบๆโต๊ะเพื่อมองหาใบหน้าที่คุ้นเคย แล้วภาพที่ได้เห็น ก็ทำเอาคนร่างบางแทบจะหยุดลมหายใจในทันที

     

    ร่างสูงของคนรักกำลังนัวเนียกับหญิงสาวผมยาวในชุดรัดรูปที่แทบจะเปิดเผยให้เห็นทุกสัดส่วนที่เย้ายวนได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากหนาคลอเคลียอยู่ตรงซอกคอของหญิงสาวในขณะที่มือใหญ่ก็ไล้วนอยู่ตรงช่วงเอวบาง ดวงตาคมหรี่ปรือฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้าบวกกับแรงอารมณ์ที่ฝ่ายหญิงปรนเปรอให้อย่างร้อนแรง ร่างของคนทั้งสองบนโซฟาตัวกว้างนั้นแนบชิดกันจนแทบจะไม่เหลือช่องว่างใดๆ ราวกับกำลังจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

     

    ซินมองภาพของคนสองคนด้วยท่าทีนิ่งสงบ คงมีเพียงดวงตากลมโตที่ไหวระริกราวกับว่าพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ทุก

    เมื่อ มือบางที่สั่นเทานั้นกำแน่นอยู่ข้างลำตัว ก่อนที่ร่างบางจะตัดสินใจเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนรักที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้

    ถึงการมาของตน ท่ามกลางการเฝ้ามองจากบรรดาเพื่อนๆที่อยู่รายรอบตัว

     

    “นัท”

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    ตั้งแต่ขับรถออกมาจากผับ บรรยากาศภายในรถก็มีแต่ความเงียบงัน เมื่อคนสองคนที่นั่งอยู่เคียงข้างกันต่างก็ไม่มีใครคิดจะเปิดปากพูดอะไรออกมา นัทมองใบหน้าหวานที่จงใจเหม่อมองออกไปหน้าต่างด้วยสีหน้าหนักใจ เพราะรู้ดีว่าตัวเองทำผิดกับอีกคนไว้มาก ความจริงนัทเองก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าจะเลิกนิสัยเจ้าชู้ซะที แต่สุดท้ายความตั้งใจที่วางไว้ก็พ่ายให้กับอารมณ์ชั่ววูบของตัวเองจนได้ ก็ได้แต่หวังว่าอีกคนคงจะเข้าใจและให้อภัยกัน.... อีกสักครั้ง

     

    “ซิน คือว่า...”

     

    “เลิกกันเถอะ” ยังไม่ทันจะพูดจบ คนร่างบางก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที

     

    “ฮะ เมื่อกี้พูดว่าไงนะ” นัทหันขวับไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกันทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมา ใบหน้าหล่อคมนั้นมีสีหน้าตกใจกับคำบอกเลิกที่อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว

     

    “ซินบอกว่าเราเลิกกันเถอะ” คราวนี้ คนตัวเล็กเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบจนดูน่ากลัว

     

    “ซิน ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

     

    เงียบ ไม่มีคำตอบจากคนร่างบาง สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสายตาเย็นชาที่เหลือบมองมาเพียงแวบเดียว ก่อนจะเบนไปให้ความสนใจกับท้องถนนเบื้องหน้าราวกับไม่คิดจะใส่ใจกัน ร้อนถึงคนทำผิตต้องรีบเอ่ยปากง้องอนขึ้นมาทันที

     

    “นัทขอโทษ นัทไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้นัทอีกสักครั้งเถอะ นะ”

     

    “......................................”

     

    “ซิน” มือใหญ่ละจากเกียร์ก่อนจะเอื้อมไปกุมมือของคนตัวเล็กที่วางอยู่ข้างลำตัว แต่กลับถูกอีกคนสะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดี

     

    “อย่ามาแตะตัวซิน” คนตัวเล็กตวาดขึ้นมาเสียงดัง

     

    “ซิน หายโกรธกันเถอะนะ นัทขอโทษ นัทรู้ว่านัททำผิด นัทจะไม่ทำอีกแล้วนะ นัทสัญญา”  ทันทีที่ได้ยินคำสัญญาออกจากปากของร่างสูง อารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที ใบหน้าหวานหันขวับไปมองจ้องคนที่กำลังขับรถด้วยแววตาเกรี้ยวกราด

     

    “สัญญางั้นเหรอ หยุดพูดคำนี้ได้แล้วนะนัท ถ้าไม่คิดจะทำตามที่พูดก็ไม่ต้องมาสัญญากันดีกว่า จำได้มั้ยว่าเคยสัญญาอะไรกับซิน จำได้รึเปล่า ที่บอกว่าจะไม่นอกใจกันอีก แล้วเป็นไง ทำได้มั้ยล่ะ ตอบซินมาสิ”

     

    “..............................”

     

    “พอเถอะ ซินไม่อยากจะพูดถึงมันอีก ซินเบื่อ เบื่อที่จะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ซ้ำๆซากๆ ซินว่าเราเลิกกันเถอะนัท คบกันไปก็มีแต่จะเจ็บกันซะเปล่าๆ เลิกกันไปเลยดีกว่า” ขณะที่พูดก็รับรู้ถึงหยดน้ำตาที่ล้นปริ่มขึ้นมาตรงขอบตา จนต้องรีบเอามือขึ้นมาปาดทิ้งไปทันที พอกันที ไม่อยากจะเสียน้ำตาให้กับคนแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

     

    คนตัวสูงกว่าได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่มองคนรักที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่เงียบๆโดยที่ตัวเองก็ไม่กล้าเอื้อมมือไปช่วยเช็ดคราบน้ำตาที่กำลังไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ขณะที่ภายในใจก็ได้แต่คิดสับสนวุ่นวายไปหมด เพราะซินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนตัวเล็กจะบอกเลิกกัน ถึงจะโมโหมากแค่ไหน แต่สุดท้ายคนร่างบางก็มักจะเป็นฝ่ายให้อภัยเสมอมา และนัทก็คิดว่ามันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ... ไม่ใช่เหรอ

     

    “แต่ว่า...นัทรักซินนะ” เมื่อได้ยินคำคำนั้นออกจากปากของร่างสูง ริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างสมเพช สมเพชทั้งตัวเอง ทั้งคนรัก

     

    “รักแล้วยังไง รักแล้วไปยุ่งกับผู้หญิงคนโน้นคนนี้ไปทั่วให้ซินต้องมานั่งร้องไห้เสียใจจนจะเป็นจะตายแบบนี้ นี่เรียกว่ารักงั้นเหรอ ถ้าคิดจะทำแบบนี้ก็อย่ามารักกันเลยจะดีกว่า ซินไม่ต้องการความรักของนัทอีกต่อไปแล้ว”

     

    “ซิน .. ทำไม .. ถึงพูดแบบนี้” ร่างสูงตกใจกับคำพูดของคนร่างเล็กจนพูดอะไรไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าคนรักจะพูดอะไรที่รุนแรงขนาดนี้ ไม่เคยเห็นซินเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไม...

     

    “..................................”

     

    “แล้วจำไม่ได้เหรอ ที่เราเคยสัญญากันไง ที่บอกว่าเราจะรักกันตลอดไป  ซินลืมไปแล้วเหรอ” ดวงตากลมโตหันไปสบกับดวงตาคมที่มีแววง้องอนอย่างเช่นทุกครั้ง รู้ว่าเมื่อก่อนเคยใจอ่อน เคยหวั่นไหวกับสายตาคู่นี้ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้

     

    “หึ.. รักกันตลอดไป หมายความว่ายังไง หมายความว่าซินจะต้องเป็นคนโง่ที่โดนแฟนตัวเองสวมเขาอย่างนี้ตลอดไปงั้นเหรอ ถึงซินจะรักนัทมาก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าซินจะทนนิสัยเจ้าชู้ของนัทได้ตลอดไปหรอกนะ หยุดเอาคำว่ารักมาอ้างได้แล้ว เพราะยังไงซินก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”

     

    คนตัวบางปรายตาไปทางคนที่กำลังขับรถด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

     

    “คำว่าตลอดไป มันไม่มีจริงหรอกนะ”

     

    “ซิน..แต่ว่า.. นัทรักซินนะ รักซินจริงๆ เชื่อนัทอีกสักครั้งเถอะ ..นะ”

     

    “อยากจะพูดอะไรก็พูดไป เพราะยังไงซินก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ” เมื่อได้ยินคำพูดของร่างบาง คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นทันที สายตาที่จับจ้องไปที่ใบหน้าสวยของคนรักเริ่มมีแววโกรธเคืองขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งซินก็จ้องตอบสายตานั้นอย่างไม่ลดละ ก่อนที่ร่างสูงจะเป็นฝ่ายละสายตาออกมาก่อน

     

    ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก ก่อนที่นัทจะเป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยอารมณ์โมโห

     

    “ไม่รู้ล่ะ ยังไงนัทก็ไม่ยอมให้เราเลิกกัน”

     

    “มันก็เรื่องของนัท เพราะยังไงซินก็จะเลิก ได้ยินชัดมั้ยล่ะว่า ซิน จะ เลิก ” ร่างบางตอกกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหันมาย้ำสามคำสุดท้ายอย่างชัดเจน แล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง เห็นดังนั้น ร่างสูงจึงเร่งความเร็วของรถขึ้นด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด

     

     

    ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปที่ทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มแปลกไปทุกที นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านปกตินี่นา

     

    “นัท จะไปไหนน่ะ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่” คนร่างบางหันกลับมามองคนที่กำลังขับรถด้วยใบหน้านิ่งสนิท คนร่างสูงยังคงทำสีหน้านิ่งราวกับไม่ได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก

     

    “นัท ซินถามว่าจะไปไหน”

     

    “นัท!! คราวนี้ร่างบางตะโกนเรียกเสียงดัง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนตัวสูงจะตอบอะไรกลับมา นอกจากรอยยิ้มแปลกๆที่ปรากฏที่มุมปากเพียงแวบเดียวเท่านั้น คนตัวบางจึงได้แต่ทิ้งตัวลงเบาะนั่งพร้อมกับทำเสียงฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด

     

    “จอดรถให้ซินเดี๋ยวนี้”


    “ไม่จอด” ร่างสูงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดจะกวนๆ

    “ซินบอกให้จอด!! เสียงหวานตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่คนขับรถก็ไม่มีทีท่าที่จะทำตามคำสั่ง ดวงตาคมเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังโกรธจัดเพียงแวบเดียวก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับถนนเบื้องหน้าดังเดิม ท่าทางไม่แยแสที่คนร่างสูงแสดงออกมายิ่งกวนอารมณ์ขุ่นมัวให้หนักข้อยิ่งขึ้นไป

     

    มาถึงตอนนี้ อารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นมาภายในใจของร่างบางนั้นรุนแรงเกินกว่าที่สติจะยับยั้งไว้ได้ ด้วยความหงุดหงิดคนขับรถที่กำลังทำหน้ากวนโมโหใส่กัน เลยทำให้ซินตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

     

     “ไม่จอดใช่มั้ย”

     

    ว่าแล้วมือเล็กก็เอื้อมไปแย่งพวงมาลัยจากคนร่างสูงจนรถเสียหลัก มือใหญ่พยายามบังคับพวงมาลัยเอาไว้โดยที่ก็ต้องปัดป้องมือบางที่เข้ามายื้อแย่งด้วย ร่างสูงพยายามบอกคนตัวเล็กให้หยุดเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่อารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวจนอยากเอาชนะนั้นมีมากเกินกว่าจะมีสติพอที่จะรับรู้การกระทำของตัวเอง ทำให้ร่างบางไม่ใส่ใจรับฟังเสียงเตือนใดๆทั้งสิ้น

     

    สองร่างในรถชุลมุนกับการแย่งพวงมาลัยกัน โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าถนนเบื้องหน้านั้นเป็นทางโค้ง

     

    สิ่งสุดท้ายที่รับรู้ คือแรงกระแทกที่พุ่งชนเข้ามาตรงลำตัวอย่างรุนแรง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    เจ็บ...

     

    นั่นคือความรู้สึกแรกที่ปรากฏขึ้นมาทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างกายจนไม่สามารถขยับเขยื้อนส่วนไหนได้เลย ดวงตาคมค่อยๆลืมตาขึ้นมา ในขณะที่สมองก็พยายามจะนึกว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

     

    จำได้ว่าเมื่อตอนค่ำออกไปกินเหล้ากับเพื่อนที่ร้านพี่จิ๊บ แล้วซินก็ดันตามมาเห็นตอนที่กำลังนอกใจพอดี เลยขึ้นมาเคลียร์กันบนรถ แล้วก็เริ่มมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง จากนั้นก็...

     

    ร่างสูงค่อยๆกวาดสายตามองไปรอบกาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รายล้อมล้วนถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงสด ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย กระจกรถ แผงคอนโซล ล้วนแล้วแต่มีคราบเลือดที่ส่งกลิ่นคาวจนรู้สึกเวียนหัว ก่อนที่สายตาจะมาสะดุดตรงเบาะที่นั่งข้างคนขับ

     

    ร่างเล็กบอบบางของคนรักที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่เคียงข้างกันเต็มไปด้วยคราบเลือดและร่องรอยของบาดแผลอยู่เต็มทั่วทั้งร่าง เสื้อยืดสีอ่อนที่เจ้าตัวชอบใส่ถูกย้อมไปด้วยรอยเลือดเป็นวงใหญ่เปราะเปื้อนเต็มไปหมด ใบหน้าหวานนั้นสงบนิ่งราวกับไร้ลมหายใจจนทำให้ร่างสูงเกิดความกลัวขึ้นมา นัทพยายามจะเอามือไปสะกิดเพื่อเรียกให้คนร่างบางได้สติ แต่กลับไม่มีแรงพอที่จะทำเช่นนั้น คนตัวสูงหอบหายใจออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะกลั้นใจลองยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่ความเจ็บแปลบจนทุรนทุรายที่เสียดแทงขึ้นมาแทบจะทันทีนั้น ทำให้ไม่สามารถที่จะขยับตัวได้เลย

     

    อึดอัด ...หายใจไม่ออก

     

    ความเจ็บปวดมันบีบรัดไปทั่วทั้งร่างจนรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ เจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะตาย เสียงลมหายใจที่เริ่มขาดเป็นช่วงๆ ทำให้นัทรู้แล้วว่าตัวเองคงจะไม่รอดอย่างแน่นอน

     

    เรา..กำลังจะตาย..สินะ

     

    ความคิดที่ทำให้หยดน้ำตาซึมขึ้นมาตรงหางตา พอรู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะตาย คลื่นความเสียใจก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจอย่างไม่หยุดยั้ง ภาพความทรงจำที่เคยผ่านมาปรากฏขึ้นในหัวสลับทับกันไปมา  ทั้งตอนที่ได้เจอกับซินครั้งแรก ตอนที่ได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน รอยยิ้มเขินอายที่ถูกส่งมาให้ตอนที่ตัดสินใจบอกรัก ใบหน้าตกใจยามที่โดนเขาขโมยจูบ ทุกภาพทุกความทรงจำฉายย้อนกลับมาจนรู้สึกราวกับว่าเรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

     

    นัทพยายามผ่อนลมหายใจที่ติดขัดให้สงบนิ่ง ก่อนจะใช้ความพยายามเฮือกสุดท้าย เอื้อมมือไปกุมข้อมือเล็กของคนรักอย่างแผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วของตนเกลี่ยกับนิ้วเรียวเล็กอย่างทะนุถนอม ดวงตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าหวานของคนรักอย่างละเอียด พยายามจดจำดวงหน้าที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นอีก ซึมซับความรู้สึกที่มันไม่เคยจางหายไปจากหัวใจแม้เพียงเสี้ยววินาที รัก...รักมากเหลือเกิน

     

    “นัท..ร...รัก”

     

    จังหวะการเต้นของหัวใจที่ช้าลง ช้าลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับลมหายใจที่เริ่มจะแผ่วเบาลงไปทุกที ภาพสุดท้ายที่เห็นคือรอยยิ้มหวานที่คุ้นเคยที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยของคนรัก ภาพที่ทำให้ใบหน้าหล่อคมนั้นแย้มรอยยิ้มบางๆออกมาอย่างอ่อนแรง

     

    “..ซิน..”

     

    แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความมืดมิด ...ตลอดกาล

     

    นัทจะรักซิน...ตลอดไป

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    นัทรักซินนะ

     

    อื้ออ ซินก็รักนัทเหมือนกัน

     

    ใครน่ะ?

     

    นัท..ร...รัก

     

    ใคร? ...เสียงใครกันนะ??

     

    ..ซิน..

     

     

    แสงสว่างจ้าที่ส่องเข้ามาทันทีที่เปิดเปลือกตาทำให้ดวงตากลมโตต้องหยีตาเพื่อปรับแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

     

    เรือนร่างเล็กบางในชุดคนไข้นอนลืมตาอยู่บนเตียงนิ่งๆ ขณะที่ในใจก็คิดทบทวนกับความฝันที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ ความฝันที่เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ทุกค่ำคืนตั้งแต่ที่ได้สติฟื้นขึ้นมา มือเล็กคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ตรงเอวมาคลุมร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากอุบัติเหตุ เมื่อรู้สึกถึงความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ก่อนที่ใบหน้าหวานจะเบนสายตาจากเพดานสีขาวไปยังประตูตรงมุมห้อง เมื่อได้ยินเสียงลูกบิดหมุน

     

    “น้องซิน ตื่นแล้วเหรอลูก”

     

    “ครับแม่” เสียงใสเอ่ยตอบคนที่บอกว่าเป็น แม่ของตนเองด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างโดยไม่ใส่ใจบุคคลที่เพิ่งเข้ามาเลยสักนิด เรียกเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากหญิงวัยกลางคนที่ดังจนคนร่างเล็กบางต้องหันไปมอง แล้วก็ได้รอยยิ้มบางๆส่งกลับมา แต่ทำไมคนมองกลับรู้สึกถึงความเศร้าหมองที่เคลือบแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น จนได้แต่มองใบหน้าของผู้เป็นมารดาอย่างสงสัย

     

    สงสัย? ไม่เข้าใจ?

     

    ตั้งแต่ลืมตาฟื้นขึ้นมา ร่างบางก็ไม่สามารถจดจำอะไรได้เลยสักอย่าง แม้แต่ชื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ ทุกเรื่องที่ได้รับรู้ก็ล้วนแต่ได้รับการบอกเล่ามาจากชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่บอกว่าเป็นพ่อแม่ของเขา ท่านทั้งสองเล่าให้ฟังว่าซินประสบอุบัติเหตุรถชนระหว่างที่กำลังจะขับรถกลับบ้าน ซึ่งแรงจากอุบัติเหตุครั้งนั้นคงจะไปกระทบกระเทือนกับอะไรสักอย่างที่ทำให้กลายเป็นคนความจำเสื่อม เรื่องราวดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่ทำไมคนร่างบางกลับรู้สึกว่าพ่อกับแม่ปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้ อะไรบางอย่างที่พยายามนึกท่าไหร่ ก็นึกไม่ออกเสียที

     

    จู่ๆ คนตัวเล็กก็เกิดอยากจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์รับยามเช้าขึ้นมา จึงร้องบอกความต้องการของตนกับมารดา ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ระเบียงของห้องโดยมีผู้เป็นแม่คอยประคองไปด้วย ร่างเล็กถูกพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีขาวที่วางไว้หน้าระเบียง ก่อนที่ผู้เป็นมารดาจะเดินกลับเข้าไปจัดข้าวของที่เพิ่งซื้อเข้ามาไว้ภายในห้องพักฟื้นให้เรียบร้อย

     

    นัทจะรักซินตลอดไป

     

    จู่ๆ เสียงที่แสนจะคุ้นเคยในห้วงแห่งความฝันก็ดังขึ้นมาอยู่ข้างหูราวกับเป็นเสียงกระซิบจากสายลมที่พัดผ่านไปมาอยู่รอบกาย เรียกให้คนร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนต้องผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงแทบจะทันที ดวงตากลมโตเหลียวมองรอบกายอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยสักคนเดียว ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

     

    หูฝาด??

     

    ไม่ใช่หรอก ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซินได้ยินเสียงนี้ เสียงปริศนาที่ตามหลอกหลอนทั้งในยามหลับและยามตื่น ในช่วงแรกซินก็คิดว่าตัวเองคงหูฝาดหรือไม่ก็เกิดอาการหลอนอะไรสักอย่างที่เป็นผลข้างเคียงจากอาการความจำเสื่อม เลยไม่ได้ปริปากบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่ผู้เป็นมารดา แต่ในตอนนี้ ความสงสัยที่มีอยู่มันมากเกินกว่าที่จะทนเก็บงำไว้กับตัวเองเพียงคนเดียวได้อีก ทำให้ร่างบางตัดสินใจเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ขึ้นมา

     

    “แม่ครับ” หญิงวัยกลางคนที่ยังคงวุ่นวายกับข้าวของที่อยู่ภายในห้องหันมาส่งยิ้มให้ตามเสียงเรียก ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามจากผู้เป็นลูกชาย

     

    “นัทคือใคร”

     

     

     

    End




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×