ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Singular Fiction [NutxSin]

    ลำดับตอนที่ #5 : Better Together

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 55


     สวัสดีคนอ่านทุกคนนะคะ เรากลับมาอีกเเล้วพร้อมกับเรื่องใหม่ ซึ่งเรื่องเก่าก็ยังเเต่งไม่จบสักที (-_-!)
    ทั้งๆที่บอกว่าสอบเสร็จจะมาต่อ เเต่ก็ไม่ได้ต่อเพราะงานเยอะมาก ขอโทษคนที่รอด้วยนะคะ ครั้งหน้าจะมาต่อนิรันดร์ตอนจบเเน่ๆ 
    เเต่ไม่รู้ว่าจะต่อได้เมื่อไหร่ ช่วยรอกันหน่อยนะคะ
    สำหรับฟิคเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความฟินในงานมงคลบวกกับเเรงบรรดาลใจจากการฟังเพลง better together ของ Jack Johnson ค่ะ
    ลองไปฟังกันได้นะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านฟิคค่ะ :)


    Better Together

     

     

    ภายใต้อาคารคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ เหล่านักศึกษาชายหญิงในชุดลำลองต่างจับกลุ่มทำงานอยู่ตามโต๊ะไม้เก่าๆที่ตั้งเรียงรายอยู่บนลานซีเมนต์ที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษและโมเดลสารพัดแบบวางกองระเกะระกะอยู่บนพื้น เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายสลับกับเสียงพูดคุยจากชายหญิงที่นั่งกระจัดกระจายอยู่รอบๆดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งบริเวณจนแทบจะจับใจความไม่ได้  

     

    เพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ครบกำหนดส่งโปรเจ็คประจำเทอม จึงไม่แปลกที่จะมีเหล่านักศึกษามารวมตัวกันทำงานเป็นจำนวนมากแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม แต่ละคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับโมเดลที่เตรียมจะนำไปเสนอให้กับอาจารย์จนแทบจะไม่มีเสียงหัวเราะเล่นหัวกันเหมือนในยามปกติ

     

    เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กสถาปัตย์ที่ช่วงเวลารียนปกติก็จะทำตัวชิลด์ๆ ออกตระเวนเที่ยวเล่นเฮฮา นั่งกินเหล้าสังสรรค์กันแทบทุกคืน แต่พอใลก้ช่วงส่งโปรเจ็คเมื่อไหร่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความตายมาเยือน เพราะต้องทำงานกันชนิดที่เรียกว่าหามรุ่งหามค่ำแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว

     

    ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าหน้าตึกคณะมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าที่เห็นจนชินตา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมกับกวาดสายตาเพื่อมองหาร่างเล็กบางที่คาดว่าน่าจะอยู่ตรงโต๊ะมุมด้านในสุดของคณะอันเป็นที่ประจำของเจ้าตัว เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในสุดก็พบชายหนุ่มร่างบางที่กำลังวุ่นวายอยู่กับกองกระดาษที่สุมกันอยู่บนโต๊ะด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด มือบางหยิบกระดาษแผ่นนั้นบ้างแผ่นนี้บ้างพลิกไปมาจนยุ่งเหยิงไปหมด เห็นดังนั้นร่างสูงจึงก้าวเท้าเข้าไปหาทันที จนเมื่อเดินเข้ามาใกล้จึงได้ยินเสียงใสที่กำลังบ่นพึมพำไม่ขาดปากว่า

     

    “กูเอาไปไว้ที่ไหนเนี่ย”

     

    ได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าหล่อคมก็ยกยิ้มที่มุมปากเป็นเชิงขำๆติดจะระอาในนิสัยขี้ลืมขั้นเทพของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างที่กำลังก้มหน้าก้มตากับหาของอยู่บนโต๊ะพร้อมกับยื่นแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ไปให้

     

     “หานี่อยู่เหรอ”

     

    “เออ.. เฮ้ยย เอามาจากไหนเนี่ย” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นทันทีที่เห็นแบบร่างโมเดลที่อุตสาห์นั่งวาดหลังขดหลังแข็งมาเกือบค่อนคืน มือเรียวรีบฉวยกระดาษจากร่างสูงมาเพ่งดูก่อนจะเงยหน้าไปมองใบหน้าหล่อคมนั้นอย่างสงสัย

     

    “ลืมไว้บนรถเมื่อเช้าอ่ะดิ ดีนะที่เห็นเลยเอามาให้” หลังจากได้ฟัง คนตัวเล็กก็นิ่งคิดไปสักครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคงลืม

    หยิบออกมาจากรถตอนที่ร่างสูงมาส่งตอนเช้า

     

    ก็นะ เมื่อคืนกว่าจะทำแบบร่างเสร็จก็ปาเข้าไปตีห้าแล้ว แถมยังต้องตื่นมาทำงานที่คณะตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าอีก ได้นอนไปแค่

    ชั่วโมงกว่าๆเอง ประกอบกับช่วงนี้นอนน้อยติดกันมาหลายวันแล้ว สมองมันก็เลยเกิดอาการเออเร่ออกันบ้างอะไรบ้าง ยังดีที่มีเพื่อนบ้านตัวติดกันอย่างนัทคอยไปรับไปส่งตลอด ไม่งั้นคงจะเหนื่อยยิ่งกว่านี้อีกเป็นแน่

     

    “อื้ม ขอบคุณมากเลยนะที่อุตส่าห์เอามาให้ ถ้าไม่มีไอ้นี่ซินทำงานไม่ทันแน่ๆ” ร่างบางเอียงคอน้อยๆพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานอย่างขอบคุณให้เหมือนอย่างเช่นเคย เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองต้องใจเต้นแรงขึ้นมาทุกครั้งที่ได้เห็นจนต้องเสหลบดวงตากลมแป๋วที่จ้องมองมาที่ตน ก่อนจะทำเป็นบ่นออกมา

     

    “ของสำคัญ ทีหลังก็อย่าลืมสิ” ทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าหวานที่กำลังส่งยิ้มมาให้ก็ยู่หน้าขึ้นมาทันทีอย่างไม่พอใจ

     

    “ก็คนมันลืมอ่ะ” เสียงใสกล่าวขึ้นมาอย่างงอนๆ พร้อมกับทำเป็นสะบัดหน้าไปอีกทาง กิริยาที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำในยามที่นัทพูดอะไรให้ไม่พอใจ ซึ่งคนมองก็เอาแต่อมยิ้มกับท่าทางแสนงอนของคนตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวเบาๆอย่างเอ็นดู ทำให้ร่างบางที่รักผมตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดต้องรีบยกมือขึ้นมาปัดเป็นพัลวัน แต่ก็แพ้มือใหญ่ที่ไม่ยอมหยุดแกล้งเสียที จนซินต้องจิกตาใส่ไปหลายครั้ง ร่างสูงจึงยอมละมือออกจากคนผมยาว

     

     “แล้วจะเสร็จกี่โมง” คนตัวสูงหันมาถามเปลี่ยนเรื่อง

     

    “วันนี้ซินคงไม่กลับบ้านอ่ะ กะว่าจะอยู่ทำทั้งคืน” คนร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ พร้อมกับถามต่อไปว่า

     

    “แล้วบอกป๊ากับม๊ายัง”

     

    “บอกตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว”

     

    “อ่อ งั้นกลับก่อนนะ ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ” เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ร่างสูงก็เอ่ยคำลาขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากจะรบกวนเวลาทำงานของคนตัวเล็ก

     

    “กลับดีๆล่ะ แล้วคืนนี้ไม่ต้องออกไปไหนเลยนะ” พูดน้ำเสียงอ่อน ก่อนจะเปลี่ยนเสียงเข้มเมื่อกล่าวประโยคท้าย ใบหน้าหวานพยายามทำหน้าโหดๆพร้อมกับยกมือขึ้นมาชี้หน้าแบบจับผิด ท่าทางที่เจ้าตัวคงคิดว่ามันคงจะน่ากลัว แต่กลับดูน่ารักน่าชังในสายตาของใครอีกคน จนอดที่จะขำออกมาไม่ได้

     

    “รู้แล้วๆ บ่นจังเลยคนนี้” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะขำๆพร้อมกับหัวเราะออกมา ซินมองใบหน้าหล่อคมที่มีรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาคมจ้องมองมาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ อะไรสักอย่างที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกเขินจนต้องแกล้งเอามือไปผลักหลังคนตัวสูงให้กลับบ้านกลับช่องไปเสียที ก่อนที่ร่างบางจะหันกลับมาทำงานที่ค้างเอาไว้ ยังไม่ทันจะหย่อนตัวนั่งลงบนโต๊ะ เพื่อนสาวที่นั่งนิ่งเงียบตั้งแต่ที่นัทเดินมาหาก็เริ่มเอ่ยปากแซวขึ้นมาทันที

     

    “แหม หวานกันจังเลยว่ะคู่นี้” ซินหันขวับไปมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างๆกัน  ใบหน้าของหญิงสาวที่จดจ่ออยู่กับโมเดลตรงหน้านั้นแลดูเคร่งเครียด แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มราวกับว่ากำลังล้อเลียนอยู่

     

    “อะไรของมึงวะหญิง”

     

    “อ้าว ก็มึงกับนัทไง หวานกันให้กูอิจฉาตลอดอ่ะ” คราวนี้ หญิงวางมือจากการทำงานก่อนจะหันมาจ้องใบหน้าหวานของเพื่อนสนิทที่บอกได้เลยว่าแทบจะสวยกว่าผู้หญิงเกือบทั้งคณะซะด้วยซ้ำ

     

    “หวานบ้าอะไร ไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย” เสียงใสตอบแบบปัดๆ ในขณะที่มือก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับโมเดลที่ยังไม่เรียบร้อยเสียที แต่พวงแก้มขาวเนียนนั้นกลับมีสีระเรื่อขึ้นมาจางๆ ทำให้คนมองต้องส่งสายตาเป็นเชิงรู้ทันไปให้

     

    “ไม่ได้เป็นแฟนแต่ดูแลกันซะขนาดนี้ กูว่าเป็นผัวเมียแล้วมั้งงงง” หญิงสาวแกล้งรำพึงรำพันกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ แต่คำพูดนั้นแรงจนคนฟังรู้สึกถึงความร้อนที่ฉีดขึ้นมาบนใบหน้า มือเรียวยกขึ้นตีที่ไหล่บางของเพื่อนสนิทแรงๆจนหญิงสาวถึงกับร้องโอดโอย ก่อนจะเปลี่ยนมาทัดปอยผมที่หลุดออกจากปมที่มัดไว้ลวกๆแก้เขิน

     

    หลายครั้งแล้วที่ซินมักจะโดนล้อว่าเป็นแฟนกับนัทที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ด้วยความที่บ้านอยู่ติดกันบวกกับการที่ต่างคนต่างก็เป็นลูกคนเดียวทั้งคู่ก็เลยทำให้สนิทกันตั้งแต่เด็ก เวลาไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด ตอนเด็กๆก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่พอโตขึ้นก็เริ่มโดนล้อว่าเป็นแฟนกันบ้าง หาว่าเป็นคู่เกย์บ้าง จำได้ว่ามื่อก่อนเคยเครียดกับเรื่องนี้มาก พยาพยามปฏิเสธตั้งหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังโดนล้อแบบนี้มาเรื่อยๆ จนพักหลังก็เริ่มจะชิน ยกเว้นเวลาเจอคำพูดอะไรแรงๆ อย่างเช่นที่เพื่อนสาวเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ มันก็ต้องมีรู้สึกกันบ้างอะไรบ้าง

     

     “บ้า เพ้อเจ้อละมึง กูกับนัทไม่ได้เป็นไรกันซะหน่อย” พูดจบก็ก้มหน้าก้อตาทำงานต่อ โดยพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาล้อเลียนที่ถูกส่งมาจากคนที่นั่งข้างกันอย่างไม่ยอมหยุดซะที จนต้องบอกว่าถ้ายังไม่เลิกทำอีกก็จะเอาโมเดลมันไปโยนทิ้งซะ เพื่อนตัวดีเลยกลับไปนั่งทำงานสงบเสงี่ยมตามเดิม

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    แสงไฟจากลานกว้างภายในตึกคณะสถาปัตยกรรมยังคงส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในช่วงกลางคืน แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่เหล่านักศึกษาที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณก็ยังคงนั่งทำโมเดลกันอย่างไม่หยุดไม่หย่อน รวมถึงร่างบางที่ยังคงนั่งทำงานอยู่กับที่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ดวงตาลมโตตรวจตราดูโครงกระดาษที่ประกอบขึ้นมาอย่างเรียบร้อยโดยละเอียดถี่ถ้วน จนเมื่อเห็นว่าโมเดลของตัวเองเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว คนตัวเล็กจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดแขนไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานมาทั้งวัน ก่อนจะรู้สึกถึงเสียงประท้วงที่ดังมาจากท้อง ทำให้นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย

     

     “หญิง ไปหาไรกินกันมั้ยมึง” หันไปชวนเพื่อนสาวที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ข้างๆกันตั้งแต่เช้ายันมืด

     

    “มึงไปก่อนเหอะ ของกูเหลือที่ต้องทำอีกบานตะไทเลยว่ะ”หญิงสาวพูดขึ้นมาโดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับโครงกระดาษที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ ซินมองงานของเพื่อนแล้วก็คิดว่าควรจะปล่อยให้มันนั่งทำงานตรงนี้ต่อไป เพราะถ้าให้มันแวบออกไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนแล้วมันคงจะกลับมาทำไม่ทันแน่ๆ

     

    ดวงตากลมโตเหลือบมองบรรดาเพื่อนๆที่นั่งอยู่แถวนั้น ก็เห็นว่างานของแต่ละคนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เลยไม่กล้าออกปากชวนใครไปหาของกินเป็นเพื่อน หันซ้ายทีขวาทีก็เห็นแต่ใบหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนร่วมคณะ แล้วแบบนี้จะเอายังไงดีล่ะ

     

    เพราะว่ามัวแต่นั่งปั่นโปรเจ็คเพลินจนไม่ได้กินข้าวมื้อเย็นอย่างคนอื่นๆ ตอนนี้ซินก็เลยต้องมานั่งหิวจนไส้จะขาดอยู่คนเดียวแบบนี้ ร้านค้าที่อยู่ใต้คณะก็ปิดแล้ว แถมขนมที่ซื้อมาตุนไว้ก็หมดอีก เหลือเพียงทางเดียวคือต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอกมหาลัย ซึ่งกว่าจะถึงประตูทางออกก็ต้องเดินไปตั้งไกลแถมยังมืดสุดจะบรรยาย มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากข้างทางเท่านั้นที่พอจะให้ความสว่างได้บ้าง ซึ่งพอคิดในอีกแง่หนึ่งก็ดูเหมือนว่าแสงไฟที่มีอยู่เพียงน้อยนิดจะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้มันน่ากลัวมากเข้าไปอีก เหมือนฉากในหนังผีอะไรทำนองนั้น สรุปว่ายังไงซินก็ไม่มีทางที่จะออกไปข้างนอกคนเดียวแน่ๆ แต่จะให้นั่งรอจนกว่าเพื่อนสาวจะทำงานเสร็จก็ดูจะเป็นการทรมานตัวเองเกินไปหน่อย

     

    ตอนนี้ในหัวนึกถึงเพื่อนสนิทร่างสูงขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่ายังไงก็ยังไม่หลับแน่ๆ แต่จะให้โทรเรียกให้มารับไปกินข้าวก็เกรงใจ ไม่อยากจะไปรบกวนอะไรมากมาย เพราะหลายวันมานี้นัทก็ต้องเทียวรับเทียวส่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น แถมยังต้องคอยเอาของสารพัดอย่างที่ลืมไว้ที่บ้านบ้าง ในรถบ้างมาให้ตั้งหลายครั้ง ทำให้อดที่จะรู้สึกเกรงใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าคนร่างสูงนั่นคงจะไม่คิดอะไรอยู่แล้วก็เถอะ แต่ในบางครั้งซินก็ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้อีกคนต้องลำบากหรอกนะ

     

    แต่พอคิดไปคิดมา ร่างบางก็คิดว่านัทน่าจะชินกับการคอยตามใจตัวเองได้แล้วมั้ง เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก เอาเป็นว่าจะลองวอทแอพไปหาคนร่างสูงดูสักทีแล้วกัน

     

    หิวอ่ะพิมพ์ไปเพียงแค่นั้นแล้วกดส่ง ก่อนที่ใบหน้าหวานจะจ้องไปที่หน้าจอไอโฟนอย่างลุ้นๆ ในใจก็คิดว่าถ้าอีกคนไม่

    ตอบอะไรกลับมาก็คงต้องรอจนกว่าไอ้หญิงจะทำงานเสร็จแล้วล่ะ

     

    แล้ว..หลังจากส่งไปเพียงไม่กี่วินาที อีกฝ่ายหนึ่งก็ตอบกลับมาสั้นๆ

     

    อยากกินก๋วยจั๊บหน้าปากซอย มารับหน่อยดิพิมพ์ตอบกลับไปอย่างลังเล ไม่รู้ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไปรึเปล่านะ

     

    อีก 15 มายืนรอหน้าคณะเลยนะ

     

    ข้อความที่ตอบกลับทำให้คนที่ได้รับต้องแย้มรอยยิ้มกว้างเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกคนหนึ่งไม่ได้มีทีท่าว่าจะรำคาญหรือหงุดหงิดที่วอทแอพไปรบกวนยามดึก มันทำให้รู้ว่า ถึงแม้ซินจะทำตัวเอาแต่ใจตัวเองมากแค่ไหน แต่นัทก็ยังคงยินดีที่จะตามใจกันอยู่เรื่อยไป

     

    จู่ๆ ความรู้สึกดีๆที่มีต่อคนร่างสูงมันก็ล้นเอ่อขึ้นมาในอกจนใบหน้าเรียวสวยไม่อาจจะหุบยิ้มได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงจิกกัดจากคนที่นั่งข้างๆ

     

    “แน่ะๆ มองโทรศัพท์แล้วทำเป็นยิ้มหวาน คุยกับใครอยู่เนี่ย ใช่คนที่อยู่บ้านติดกันป่าววะ” ร่างบางหันขวับไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิท ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ยังเห็นมันนั่งหน้าเครียดอยู่เลย ไหงตอนนี้มันหันมาส่งสายตาวิบวับใส่ เห็นแล้วหมั่นไส้จนอยากจะแกล้งเดินไปเตะโมเดลมันสักทีสองที

     

    “ทำงานต่อไปเลยมึง”

     

    *_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*_*

     

    ในช่วงบ่ายวันจันทร์ ร่างเพรียวบางก้าวออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับบรรดาเพื่อนๆที่ตอนนี้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้าหลังจากผ่านพ้นการส่งโปรเจ็คไปเป็นที่เรียบร้อย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานครื้นเครงดังอยู่ทั่วทั้งบริเวณหน้าห้องเรียน ก่อนจะมีเสียงใครสักคนหนึ่งเอ่ยปากชวนกันไปฉลองที่ร้านเหล้าหน้ามหาลัย

     

    ใบหน้าหวานยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีขณะกำลังคุยเล่นกับเพื่อนสนิทระหว่างเดินไปตามทางเดิน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งหันมาถามว่าจะไปต่อตอนเย็นด้วยกันมั้ย

     

    “โอ๊ย ไม่ต้องชวนมันหรอกมึง ยังไงมันก็ไม่ไป แฟนมันไม่อนุญาต” ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เสียงใสๆของเพื่อนสาวก็หันมาตอบแทนคนร่างบางด้วยน้ำเสียงล้อเลียนปนหมั่นไส้ เรียกเสียงแซวจากเพื่อนๆแถวนั้นได้เป็นอย่างดี

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย” ใบหน้าหวานได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ เมื่อเพื่อนๆยังไม่หยุดแซวเสียที ดวงตากลมโตเลยหัน

    ไปจิกใส่หญิงโทษฐานที่เป็นตัวเปิดประเด็น ก่อนจะเดินแยกตัวออกจากกลุ่มเมื่อมาถึงทางออกของคณะ

     

    “เราไปก่อนนะ”

     

    ซินหันไปโบกมือลาเพื่อนๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นที่ที่มักจะมารอนัทเพื่อกลับบ้านพร้อมกันเสมอ ขาเพรียวยาวก้าวเข้าไปภายในตึกคณะก่อนจะเดินไปกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นห้าอย่างคุ้นเคย เมื่อก้าวออกมาจากลิฟท์ก็เดินตรงไปยังทางที่เป็นที่ตั้งของห้องซ้อมเปียโนที่เรียงรายอยู่นับสิบห้อง ร่างบางเดินผ่านห้องต่างๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องทางขวามือห้องหนึ่ง มือเรียวยกขึ้นหมุนลูกบิดประตู ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในห้องซ้อมขนาดเล็กที่มีเพียงแกรนด์เปียโนสีดำสนิทตั้งอยู่ตรงกลางห้องกับเก้าอี้สองสามตัวสำหรับให้นั่งพัก

     

    ร่างบางโยนกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้ตรงมุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆร่างสูงที่กำลังนั่งซ้อมเปียโนอยู่ ร่างสองร่างนั่งเบียดชิดกันบนเก้าอี้ตัวเล็กๆจนสามารถรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่มาจากคนที่นั่งข้างกัน ชวนให้ความง่วงงุนครอบงำขึ้นมาทันที คนตัวเล็กเลยเอียงหัวไปซุกซบกับไหล่หนาก่อนจะปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

     

    “เหนื่อยเหรอ” นัทหันไปถามคนที่กำลังเอาหัวพิงอยู่ที่ไหล่ของตนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วง โดยที่มือยังไม่ละไปจากแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้า

     

    “อือ” ตอบกลับมาเพียงเท่านั้น ก่อนที่คนร่างสูงจะรู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าหล่อคมหันไปมองใบหน้าหวานที่กำลังหลับสนิท ยกปลายนิ้วไปเกลี่ยที่แก้มเนียนใสนั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลงฟังสบาย เพื่อขับกล่อมให้ร่างเล็กหลับฝันดี

     

    ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง ร่างสูงเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงขยับตัวจากคนที่นอนพิงกันอยู่ข้างกาย ดวงตาคมมองคนตัวเล็กที่กำลังขยับเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้าง ก่อนจะเอื้อมไปปิดปากที่กำลังหาวอย่างงัวเงีย

     

     มือใหญ่ละออกจากแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมาลูบผมยาวที่ตอนนี้ฟูจนไม่เป็นทรง พร้อมกับเอ่ยปากถามคนที่เพิ่งตื่นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

     

    “วันนี้เป็นไงบ้าง” ถามถึงโปรเจ็คที่คนตัวเล็กเพิ่งส่งไปเมื่อตอนบ่าย

     

    “ก็เรียบร้อยดี แต่อาจจะมีแก้อะไรนิดๆหน่อยๆแหละมั้ง” ร่างเล็กตอบกลับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ก่อนจะลุกเดินไปหยิบไอโฟนที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย

     

    ขณะที่กำลังรื้อๆค้นๆหาโทรศัพท์ที่น่าจะเก็บไว้ตรงไหนสักแห่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตก็เหลือบไปเห็นกล่องคุกกี้เล็กๆที่

    วางอยู่ข้างๆกระเป๋าของร่างสูง ร่างบางจึงเดินกลับมาพร้อมกับไอโฟนและกล่องขนมที่ผูกริบบิ้นไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆร่างสูงตามเดิม

     

    “ของใครอ่ะ ขอกินนะ” มือเรียวยกขึ้นแกะลวดพลาสติกที่เกี่ยวรัดปากถุงไว้เสียแน่น ขณะที่เอ่ยปากถามนัทออกไปโดยไม่ได้คิดจะสนใจคำตอบอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าคงเป็นของที่แฟนคลับคนใดคนหนึ่งของร่างสูงเอามาให้นั่นแหละ

     

    หลังจากที่นัทเริ่มตั้งวงรับเล่นดนตรีตามร้านอาหารตอนกลางคืนมาได้สักพักหนึ่ง ก็เริ่มมีแฟนคลับทั้งในและนอกมหาลัยคอยติดตามไปเชียร์เวลาที่ไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งบรรดาแฟนคลับของร่างสูงก็ขยันที่จะส่งสารพัดขนมนมเนยมาให้อยู่เรื่อยๆ โดยหารู้ไม่ว่าคนที่กินของเหล่านี้ก็มีแต่ซินทั้งนั้น

     

    “ดาต้าเอามาให้น่ะ”

     

    ชื่อที่เอ่ยออกมาจากปากของคนร่างสูง ทำให้มือบางที่กำลังจะหยิบคุ๊กกี้เข้าปากนิ่งค้างทันที ซินเก็บขนมใส่ลงในกล่องไว้ตามเดิม ก่อนจะเอาไปวางไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นนู่นเล่นนี่ไปเรื่อย โดยที่สีหน้าในตอนนี้นิ่งเรียบสนิทจนนัทรับรู้ได้ถึงรัศมีความไม่พอใจที่แผ่ออกแบบสุดๆ

     

    “วันเสาร์นี้ไปหัวหินด้วยกันหน่อยดิ” จู่ๆ ร่างสูงก็พูดชวนขึ้นมา

     

    “ไปทำไรอ่ะ” ใบหน้าหวานหันมาถามพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างสงสัย แม้จะยังคงสีหน้ามึนตึงไว้อย่างเห็นได้ชัด

     

    “ไปร้องเพลงให้หน่อย” พอได้ฟังคำตอบ ร่างบางก็ร้องอ๋อขึ้นมาในใจทันที เป็นคำตอบที่ตรงตามที่แอบคิดไว้แล้วไม่ผิด

     

    นอกจากจะรับเล่นตามร้านอาหารทั่วไปแล้ว บางครั้งวงของร่างสูงก็มักจะรับเล่นงานนอกสถานที่ทั้งในกรุงเทพหรือตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งซินก็มักจะขอติดรถถือโอกาสไปเที่ยวฟรีกินฟรีให้นัทเลี้ยงไปในตัว ในช่วงหลังที่นักร้องสาวประจำวงเริ่มจะติดธุระไปไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง ร่างสูงก็จะให้ซินขึ้นร้องเพลงแทน ซึ่งซินเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ต้องมาช่วย เพราะโดยส่วนตัวแล้วก็ชอบร้องเพลงอยู่เหมือนกัน แม้ว่าแนวเพลงที่ชอบร้องออกจะขัดกับแนวทางของวงร่างสูงไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่ายังพอไปกันได้

     

    แต่แทนที่จะตกปากรับคำอย่างว่าง่ายเหมือนปกติ ร่างบางกลับเอ่ยถึงอีกชื่อหนึ่งขึ้นมาแทน      

     

    “ทำไมไม่ชวนดาต้าไปล่ะ” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบติดจะเหวี่ยงๆใส่คนที่นั่งอยู่ข้างกัน

     

    เพราะคนร่างสูงน่าจะรู้ดีว่าซินไม่ค่อยชอบหญิงสาวรุ่นน้องคนนี้สักเท่าไหร่ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกหมั่นไส้เวลาที่น้อง

    ชอบมาทำท่าทางออดอ้อนประจบประแจง แถมยังคอยตามติดเพื่อนสนิทร่างสูงไปทั่ว ดูก็รู้ว่าชอบนัทอยู่แน่ๆ แต่ดูเหมือนคนร่างสูงจะไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังโดนหญิงสาวทอดสะพานอยู่ เลยไม่เคยคิดจะปัดป้องเวลาน้องเข้ามาใกล้เลยสักครั้ง ทิ้งให้ซินได้แอบมองแล้วก็มาหงุดหงิดกับตัวเองเพียงลำพัง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เคืองได้ยังไงล่ะ

     

    ใบหน้าหล่อคมมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี สำหรับนัท ดาต้าก็เป็นรุ่นน้องที่น่ารักนิสัยดีคนหนึ่ง อาจจะดูเป็นคนเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะไปทำอะไรให้ซินไม่พอใจจนถึงขั้นเกลียดขี้หน้าขนาดนั้น เคยพยายามถามร่างบางหลายครั้งแล้วว่าทำไมถึงไม่ชอบรุ่นน้องคนนี้ แต่ก็ไม่มีคำตอบออกมาจากปากของคนร่างเล็กสักที เลยตัดสินใจกับตัวเองว่าจะพยายามกันไม่ให้สองคนนี้ได้พบกันไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม เพราะเจอกันทีไร นัทเป็นต้องโดนเพื่อนสนิทร่างบางเหวี่ยงใส่ทุกที หรือไม่ก็จะเจอกับอาการเงียบกริบไม่ยอมพูดไม่ยอมจา เหมือนอย่างเช่นตอนนี้

     

    “ซิน...”

    “ซินเซียร์...” หันไปเรียกคนที่ยังทำเป็นนั่งกดโทรศัพท์ยุกยิกๆ โดยที่ไม่คิดจะสนใจกันบ้างเลย

     

    “ก็รู้อยู่ว่านัทไม่ได้คิดอะไรกับน้องเค้า”

     

    “เรื่องของนัท มาบอกซินทำไม” ตอบกลับมาเสียงเรียบ

     

    “ก็อยากให้รู้ จะได้ไม่เข้าใจผิด” เสียงทุ้มเอ่ยบอกด้วยเสียงอ่อน อยากให้คนตัวเล็กหันมาฟังกันดีๆ ไม่อยากจะให้เข้าใจผิดเหมือนอย่างตอนนี้เลย

     

    “เข้าใจผิดอะไร เราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ นัทจะไปรักใครชอบใครก็เรื่องของนัทดิ ไม่ได้เกี่ยวกับซินซะหน่อย” ร่างบางพูดด้วยน้ำเสียงเชิดใส่คนที่นั่งอยู่ข้างกัน ขณะที่มือก็ยังไม่ละไปจากโทรศัพท์ในมือ

     

    “ซินก็รู้ว่านัท...” พูดออกมาเพียงแค่นั้น ก่อนที่คนร่างสูงจะนิ่งค้างไปเมื่อได้สบกับดวงตาคู่หวานที่จับจ้องมาที่ตน เมื่อได้เห็นใบหน้าเรียวสวยที่เงยหน้าขึ้นมาฟังสิ่งที่กำลังจะพูด คำพูดที่เตรียมเอาไว้ในสมองก็ดูเหมือนจะถูกลบทิ้งไปเสียอย่างนั้น จู่ๆลำคอก็แห้งผากขึ้นมาจนไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกมาได้เลยสักนิด

     

    ทั้งๆที่อยากจะพูด อยากจะบอกทุกความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจมานานแสนนานให้คนตรงหน้าได้รับรู้ แต่พอถึงเวลาจริงๆมันกลับพูดไม่ออกขึ้นมาซะอย่างนั้น คนร่างสูงจึงได้แต่ส่งเสียงอึกอักในลำคอ พร้อมกับทำสีหน้าที่แสดงถึงความประหม่าออกมาอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะพูดออกมาได้อย่างที่ใจคิด

     

    ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ มือใหญ่จึงยกขึ้นวางนาบอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด ใบหน้าหล่อคมหันมาส่งรอยยิ้มบางๆให้คนร่างบางที่ยังคงทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างๆ ก่อนจะเริ่มบรรเลงอินโทรเพลงรักที่ฟังคุ้นหู

     

    “อ่านปากของฉันนะ ว่า...” เพียงแค่ได้ยินประโยคแรก ร่างบางที่กำลังทำหน้ามุ่ยอยู่ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง ดวงตากลมโตช้อนมองไปที่ใบหน้าหล่อคมของคนร่างสูง เพราะอยากรู้ว่าที่เล่นเพลงนี้ต้องการจะสื่ออะไรกัน แล้วใบหน้าหวานก็ต้องก้มหน้างุดๆลงกับพื้นเมื่อได้เห็นแววตาที่ทำให้รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก

     

    “อยากจะพูดอีกครั้ง ว่า...”

     

    “และจะเป็นอย่างนี้ กับเธอไม่ว่านานสักเท่าไหร่”

     

    มือใหญ่หยุดเพลงไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบงำคนสองคน ใบหน้าหล่อคมมองคนร่างเล็กที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ข้างๆกัน คิดว่าอีกคนน่าจะเข้าใจความหมายที่พยายามจะส่งผ่านทางเพลงไปให้ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบแบบนี้จะรู้สึกเหมือนกันรึเปล่า นัทได้แต่นั่งมองคนที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับเอ่ยปากทำลายความเงียบ

     

    “ไอ้ ... นี่มันคืออะไรอ่ะ” ไม่พูดเปล่า นิ้วเรียวยังเอื้อมไปกดโน้ตทั้งสองตัวบนแป้นคีย์บอร์ดพร้อมกับหันมาทำหน้าตาสงสัยได้อย่างน่ารักน่าชังเป็นที่สุด จนคนมองได้แต่นึกหมั่นเขี้ยวอยู่ในใจ ด้วยนึกรู้ว่าคงจะโดนร่างบางแกล้งเข้าให้แล้ว

     

    “ก็ ... อ่ะ” มือใหญ่กดลงไปบนโน้ตตัวเดียวกับที่คนตัวเล็กกดไว้สักครู่ พร้อมกับมองจ้องไปที่ใบหน้าหวานด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง พยายามจะสื่อความหมายของสิ่งที่อยู่ภายในใจให้คนตรงหน้าได้รับรู้ แต่คนตัวเล็กกลับลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้คนร่างสูงต้องทำหน้าตาเหรอหราอย่างไปต่อไม่ถูก จนร่างบางได้แต่แอบขำอยู่ในใจ

     

    “...อะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เสียงหวานเอ่ยอย่างนั้น ก่อนที่จะทำเป็นหันหน้าหนีไปอีกทางโดยที่พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้

     

    “ก็ ... รักกัน มั้ง” พูดอ้อมแอ้มออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ

     

    “กันไหน กัน เดอะสตาร์?? ทำเฉไฉออกไปนอกเรื่องซะอย่างนั้น ทำเอาคนฟังต้องแอบส่ายหน้าอย่างระอาใจ

     

    “กวนจังเลยนะคนเรา” แอบบ่นอย่างเซ็งๆเมื่อโดนคนเอาแต่ใจตัวเองกวนซะจนบรรยากาศโรแมนติคที่สร้างมาหายไปหมดเลย ทำเอาคนฟังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก

     

    “เมื่อกี้ยังเล่นไม่จบเลย เล่นต่อดิ” พูดพร้อมกับพยักเพยิดเป็นเชิงให้คนร่างสูงบรรเลงต่อ ซึ่งนัทก็จรดนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด

    อย่างชำนาญพร้อมกับร้องท่อนต่อไปแต่โดยดี

     

    “ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะรักใคร ไม่ต้องห่วงว่าฉันเปลี่ยนหัวใจ”

     

    “ฉันจะเป็นอย่างนี้ จะ..”

     

    แทนที่จะกดโน้ตตามปกติ มือใหญ่กลับรวบเอวบางของซินเข้ามาแนบชิดจนแทบจะซ้อนตักกัน ดวงตาคมที่ทอดมองมานั้นมีแววของความอบอุ่นอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยประกายอะไรบางอย่างที่ทำให้คนถูกจ้องรู้สึกถึงความร้อนผ่าวทั่วทั้งใบหน้า ก่อนที่คนร่างสูงจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เปลือกตาบางค่อยๆปิดลงพร้อมกับสัมผัสที่แผ่วเบาจากริมฝีปากหนาที่ทาบทับอยู่บนเรียวปากบาง ความหอมหวานที่ได้รับจากร่างบางทำเอาร่างสูงเฝ้าวนเวียนเคล้นคลึงที่กลีบปากบางนั้นอย่างหลงไหล ก่อนที่นัทจะเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมาช้าๆเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงประท้วงจากคนร่างเล็ก

     

    นัทมองใบหน้าแดงระเรื่อที่ตอนนี้กำลังซุกอยู่ที่อกกว้างด้วยสีหน้าขัดเขินจัดก็ต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างเอ็นดู ในอกยังรับรู้ได้ถึงจังหวะของหัวใจที่ยังคงเต้นระรัวซึ่งก็คงไม่ต่างจากของใครอีกคนสักเท่าไหร่ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูเล็กอย่างแผ่วเบา ด้วยประโยคที่เรียกรอยยิ้มหวานให้ฉายชัดบนใบหน้าเรียวสวยของใครอีกคน

     

    “รู้รึยัง ว่านัทรักใคร”

     

     

    จะย้ำด้วยคำคำนี้

     

    ว่า....รักเธอ.....

     

    ตลอดไป

     

     

     

     

    End

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×