คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : SF เทวทัณฑ์ 1
เทวทัณฑ์
Authors : Fomione
ประติมากรรมหินสลักอันงดงามตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ที่คร่ำครึไม่แพ้กัน
กลิ่นอายแห่งมนตร์ขลังชวนขนลุกคล้ายจะเป็นของคู่กันกับพิพิธภัณฑ์ทุกแห่ง
เส้นทางค่อนข้างทุลักทุเลทำให้หมู่บ้านแห่งนี้แทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
กระนั้นก็ยังมีนักท่องเที่ยวฝ่าความลำบากเหล่านั้นเพื่อมาเช็คอินอวดความสตรอง
“แม่คะ
ซาตานมีเยอะมั้ยคะ”
เด็กน้อยชาวญี่ปุ่นวัยห้าขวบถามแม่
เธอลากกระเป๋าเดินทางลายม้าโพนี่ใบเล็กไปด้วยทุกที่
เธอกำลังสนอกสนใจรูปปั้นที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น บนอกถูกดาบเล่มใหญ่มหึมาเสียบทะลุอก
กำลังแยกเขี้ยวหรือไม่ก็กำลังกัดฟันด้วยความเจ็บปวด เขาสวมฮู้ด
ปีกด้านหลังลู่ลงแนบลำตัวคล้ายกับว่าไม่สามารถบังคับให้มันพาโผบินขึ้นท้องฟ้าได้อีกแล้ว
“เยอะมาก
เป็นแสนเป็นล้าน แต่ถ้าลูกทำความดีหนึ่งครั้ง ซาตานจะตายลงไปหนึ่งตัว”
“หนูจะทำความดีเยอะๆ
เลยค่ะ โลกนี้จะได้ไม่มีซาตาน”
“เราไปดูบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ตรงนั้นกันเถอะ
มิเอะจังจะได้อธิษฐานแล้วก็โยนเหรียญไงจ๊ะ”
“หนูอยากดูตรงนี้อีกหน่อย
เดี๋ยวหนูตามไปได้มั้ยคะ”
แม่ของเธอทำหน้ากังวลเล็กน้อย
เห็นลูกสาวยืนจ้องรูปปั้นนั้นอย่างสนอกสนใจจึงไม่อยากปิดกั้นความตื่นตาตื่นใจของลูกจนหมดสนุก
“ได้จ้ะ
แล้วรีบตามมานะ แม่จะรอมิเอะจังอยู่ตรงโน้น”
เธอพยักหน้ารับโดยไม่ละสายตาไปจากรูปปั้น
“แค่ความดีไม่สามารถสังหารซาตานได้หรอกนะมิเอะจัง” แจจุงพูดภาษาญี่ปุ่นกับเด็กน้อย
เธอทำหน้าสิ้นหวังเหมือนว่าเรือโนอาห์ที่เธอโดยสารมานั้นกำลังจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทร
“ซาตานคือทูตสวรรค์ที่เคยเปี่ยมด้วยความงดงามและเป็นที่เคารพ
ซาตานทำให้เกิดสงครามบนสวรรค์จึงร่วงหล่นลงมาเพราะความหยิ่งผยองในตน
ซาตานล่อลวงมนุษย์ไปสู่การโกหกและบาปจึงกลายเป็นผู้มีอำนาจในโลกมนุษย์”
“พี่รู้ได้ยังไงคะ”
“วิกิพีเดีย” แจจุงตอบแต่เด็กน้อยคงไม่รู้จักวิกิพีเดียจึงไม่ขำกับมุกนั้น
เธอยังคงกังวลใจ หากความดีงามฆ่าซาตานไม่ได้แล้วจะมีอะไรที่ฆ่าซาตานได้อีกเล่า
“ไม่ได้เลยหรอคะ”
“ไม่รู้สิ
พี่ไม่เคยฆ่าซาตานด้วยความดี แต่ว่าประติมากรรมชิ้นนี้ไม่ใช่ซาตานนะ” แจจุงชี้ไปยังอักษรภาษาอังกฤษตรงฐานรูปปั้น
GOD OF YOU :
U-Know
U-never Know
“ใครเป็นคนแทงเขาคะ” ช่างเป็นรูปปั้นที่มองแล้วอยากร้องไห้จริงๆ
แต่ถ้าร้องไห้ แม่คงไม่พามาดูอะไรแบบนี้อีก
เธอต้องอยู่ที่เมืองนี้อีกตั้งสามอาทิตย์เพราะแม่บอกว่าต้องมาหาข้อมูลสำหรับงานวิจัย
“พี่เอง” แจจุงคลี่รอยยิ้ม
เป็นยิ้มที่ปราศจากความรู้สึกใดใด
ไม่ใช่รอยยิ้มมีความสุขเหมือนเวลาที่เธอได้ของขวัญวันคริสตร์มาส
ไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยันเหมือนเวลาที่ยูริโอะแย่งตุ๊กตาของเธอได้สำเร็จ
มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธออึดอัดใจเหลือเกิน
“เขาร้องไห้รึเปล่าคะ” เด็กน้อยเริ่มสะอื้น
น้ำตาไหลรินเป็นหยาดหยด เธอรีบเอาฝ่ามือถูหน้ากลัวแม่จะมาเห็น
แจจุงส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้
เธอรับไปและยื่นขึ้นไปสุดแขนเหมือนจะเช็ดน้ำตาให้รูปปั้นที่สูงกว่าตัวเธอเป็นสิบเท่า
“ทำอะไร”
“จะเช็ดน้ำตาให้เขาค่ะ
เขากำลังร้องไห้”
“เขาไม่ได้ร้องไห้”
“เขาร้อง
มิเอะจังรู้ เขากำลังร้องไห้”
เธอคุกเข่าลงเปิดกระเป๋าลาก
ในนั้นมีขนมและตุ๊กตาตัวเล็กๆ บรรจุไว้จนเต็ม
เธอเลือกตุ๊กตาโพนี่ที่ชื่อพิงค์กี้พายขึ้นมาวางไว้ตรงเท้ารูปปั้น “หนูเอาพิงค์กี้พายให้เขานะคะ
น้องเป็นม้าตลก ต้องทำให้เขาอารมณ์ดีได้แน่ๆ”
“เดี๋ยวคนทำความสะอาดก็เอาไปทิ้ง
มิเอะจังเก็บคืนไปเถอะ”
ได้ฟังดังนั้นเธอยิ่งร้องไห้หนัก
เก็บเจ้าม้าสีชมพูกลับไป งอแงกับแจจุงไม่สำเร็จจึงลากกระเป๋าวิ่งไปหาแม่
เอาผ้าเช็ดหน้ากับพิงค์กี้พายยัดใส่มือแม่และชี้ไปยังรูปปั้น
อ้อนวอนให้แม่ทำแทนเธอ แม่ขมวดคิ้วส่ายหน้า มองมายังแจจุงอย่างตำหนิ
“แกล้งมนุษย์เด็กหรือครับนายท่าน
ทำไมไม่เรียกข้าเลย จะแกล้งให้ลงไปร้องชักดิ้นชักงอกับพื้นตอนเห็นปีกของข้า” จุนซูเพิ่งละจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินมาหาร่างบางที่กำลังอารมณ์เสียเพราะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
ช่วงนี้แจจุงฉุนเฉียวง่ายเป็นพิเศษ
คิดทบทวนหลายครั้งว่าจะลาออกจากงานพาร์ทไทม์ตรงนี้ดีมั้ย
จะทำงานแก้เซ็งแต่กลับพบว่าเซ็งกว่าเดิม
ดวงตากลมโตนั้นตวัดมามองจุนซูอย่างเย็นชา
ทำท่าว่าจะเดินหนีเสียงน่าหนวกหูแต่ถูกขวางทางเอาไว้
“นายท่าน
ข้า...”
“ถ้าทำตัวกลมกลืนไม่เป็น
ฉันจะส่งนายกลับนรก”
“ทำไมซาตานชนชั้นสูงอย่างเราจึงต้องแสร้งทำเป็นเด็กม.ปลาย
โรงเรียนมันน่าเบื่อจะตาย มีแต่พวกปัญญานิ่ม”
“นายก็ดูกลมกลืนกับพวกนั้นนี่”
“นายท่านหาว่าข้าปัญญานิ่มหรือ”
“ปัญญานิ่มตั้งแต่ที่นายขัดคำสั่งเจ้าแห่งซาตานแล้วตามติดฉันเป็นลูกเป็ด”
“ท่านว่าเศษเสี้ยวแห่งซาตานจะเหลือแค่เราหรือเปล่า”
“ที่ถูกก็คือ
ฉันคือเศษเสี้ยวแห่งซาตาน ส่วนนายคือซาตานเข้มข้นขนานแท้ กลับกลอกไว้ใจไม่ได้”
“แต่ข้าก็เป็นซาตานที่จงรักต่อเศษเสี้ยวเล็กๆ
แสนเย็นชาตนนี้ แหม อย่างกับว่าท่านไม่เคยกลับกลอกหลอกลวงจนนายท่านผู้นั้น แอ่ก” จุนซูทำท่าลิ้นจุกปากตาย
สงสัยจะไม่ขำ แจจุงเดินตัวปลิวหนีพ้นจากการก่อกวนของเจ้าซาตานตัวจ้อยไปเรียบร้อย
จุนซูอยู่กับแจจุงตั้งแต่ศึกนองเลือดเมื่อหลายพันปีก่อน
ถึงพันปีมั้ยนะ หรือแค่หลักร้อย หรือปาเข้าไปสองพันแล้ว ตัวเลขมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ
จนขี้เกียจจะนับ ไม่เหมือนแจจุงหรอก จดจำอดีตได้แม่นยำ จดจำจนกระทั่งบัดนี้
ผู้ลงทัณฑ์ซาตานหรือผู้ปกป้องโลกมนุษย์จากซาตาน
เป็นมนุษย์ผู้ซึ่งได้รับพลังจากเทพ ถูกกล่าวขานด้วยชื่อเรียกหลากนาม
จุนซูรู้จักอยู่ไม่กี่พวก ที่จักคุ้นเคยเป็นอย่างดีเห็นจะเป็นพวก ‘แบล็คฮู้ด’
ยูโนว์หรือนายท่านผู้นั้น
เป็นผู้นำของแบล็คฮู้ด แข็งแกร่งจนอดเคลือบแคลงไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาอาจจะเป็นเทพจริงๆ ทว่า
การจัดการต่อซาตานของเขาไร้เมตตาราวกับเป็นเจ้าแห่งซาตานเสียเอง
สุดท้าย...ผู้นำคนแกร่งกลับพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนหวานไร้เดียงสาจอมปลอม
ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นผลพวงจากความหลงใหลไร้การไตร่ตรอง
แจจุงลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเอง
จุนซูยังจำได้ดี ณ ขณะ ดาบเล่มโตปักลงไปกลางอก เชื่องช้าแน่วแน่ ทั้งสองสบตากัน
สายตาแจจุงไร้ซึ่งความรู้สึกใดใด ไร้ซึ่งความรู้สึกผิด ไร้ซึ่งความอาลัยเศร้า
ไร้ซึ่งความยินดีในชัยชนะ อีกฝั่งของสายตา ฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำนั้นปวดร้าวแตกสลายไปพร้อมพลังแห่งจักรวาล
ไม่ว่าใครจะเรียกแบล็คฮู้ดว่า
‘บุตรแห่งพระเจ้า’ ’เผ่าพันธุ์’ ‘องค์กร’ ‘กลุ่มก้อน’ หรือ
‘เจ้าคนพวกนั้น’ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ต่างคนต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
เรื้อรังสะสมมานานก่อนที่แจจุงจะเข้ามาทำให้บาดแผลมันทะลักเสียอีก
ความศรัทธาเจือจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งการมีอยู่ของพวกเขาล่มสลาย
หรือนี่จะเป็นเจตนารมณ์ของซาตานที่ล่อลวงได้แม้กระทั่งผู้ปกป้องโลกมนุษย์
แจจุงถือกำเนิดจากเทพและซาตาน
คือหนึ่งในแผนลวง คือเด็กที่ถูกทำให้เกิดมาเพื่อเป็นนักฆ่า ถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าซาตานนั้นอยู่ระหว่างความดีและความเลว
หน่อเนื้อที่ชั่วร้ายฝ่ายเราต้องเป็นผู้กำจัด
หน่อเนื้อแห่งความดีต่อให้ซาตานร้ายกาจยังไงก็มิอาจโค่นล้มปราการแห่งจิตใจได้
ยูโนว์อยู่ในยุครุ่งโรจน์
แข็งแกร่งไร้จุดอ่อน เจ้าแห่งซาตานเชื่อว่า ‘ความหลงใหล’ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยูโนว์ยังไม่ถูกทดสอบจึงเปลี่ยนแผนให้นักฆ่าอย่างแจจุงเข้าใกล้เพื่อลวงหลอกให้ลุ่มหลง
มอบความปรารถนากามารมณ์ไร้ขอบเขตให้เขาเสพจนปราศจากความเคลือบแคลงใดใด
ยิ่งนานวันนายท่านแห่งแบล็คฮู้ดก็ยิ่งลุ่มหลงสมเจตนารมณ์เจ้าแห่งซาตาน
ไม่มีวินาทีใดที่เขาจะทำผิดต่อแจจุง
อุดมการณ์อันดับหนึ่งพ่ายแพ้ตกอันดับให้กับความรัก
น่าเสียดายที่หมากตัวนี้ไม่อาจตอบแทนความรักนั้นได้
ทำไม่ได้และไม่เคยคิดจะทำแม้สักครั้ง
ในความดีความชอบนั้นมักมีคำว่า
‘แต่’ ต่อท้ายเสมอ
เหล่าซาตานยินดีในความสำเร็จแต่มิอาจมอบรางวัลชิ้นงามให้กับลูกซึ่งมีสายเลือดเทพไหลเวียนในกาย
พวกเขากล่าวอ้างว่าแจจุงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับยูโนว์จึงไม่อาจยอมรับความอัปยศตรงนี้ได้
แล้วใครกันล่ะที่ส่งแจจุงไปทำงานสกปรกตรงนั้น
กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกใช้ก็สายเกินไป
ไม่อาจเป็นเทพ
ไม่อาจเป็นซาตาน
เป็นได้เพียงผู้ทรยศ
แจจุงหายตัวไปหลังจากรับฟังคำตัดสินจากเจ้าแห่งซาตาน
พวกเขาสั่งให้จุนซูตามเก็บกวาดให้สิ้น
ความรู้สึกปวดหนึบตรงอกทำให้จุนซูหงุดหงิดเหลือเกิน ต้องมาฆ่าผู้ที่โตมาด้วยกัน
ฆ่าผู้ที่ตัวเองติดตามทำภารกิจต่างๆ ตามที่เจ้าแห่งซาตานสั่งโดยไม่เคยปฏิเสธ
ช่างมันสิ
จุนซูคิด เขาเป็นซาตานขนานแท้
เหตุใดต้องสนใจลูกครึ่งพันธ์ผู้ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตานอกจากเจ้าแห่งซาตานที่เป็นผู้ให้กำเนิดรึก็ไม่ใช่
หากจะโทษ ต้องโทษที่แจจุงเลือกศรัทธาผิดคน
นานหลายร้อยปีกว่าจุนซูจะพบเบาะแสในสิ่งที่ตามหา
ก้อนหินประหลาดสูงเกือบเท่ายอดสน
มันส่องประกายวิบวับเหมือนเม็ดทรายเนียนละเอียดยามต้องแสงจันทร์
มันตั้งอยู่ผิดที่ผิดวิสัยราวกับว่ามีใครบางคนยกมันมาวางไว้
ใครกันล่ะที่จะสามารถยกหินก้อนยักษ์มาวางได้ จุนซูแวะเวียนมาเรื่อยๆ
เห็นรูปทรงของมันเปลี่ยนไปทุกวัน หรือจะมีหนูยักษ์มาแทะหินเล่น จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า
โลกมนุษย์มีหนังสือนิยายอัศจรรย์พันลึกแต่ไม่ได้มีหนูยักษ์จริงๆ เสียหน่อย
แล้ววันหนึ่งจุนซูก็ได้พบหนุ่มร่างบางผู้มีหน้าตางดงามโดดเด่น
กำลังยืนจ้องมองหินก้อนนั้นอยู่ น่าแปลก
ไม่มีกลิ่นของผู้ที่จุนซูตามหาแต่รูปร่างหน้าตาและการเคลื่อนไหวช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
ทุกๆ
วันเด็กหนุ่มจะสะพายกระเป๋าบรรจุอุปกรณ์แกะสลักมาด้วย ค่อยๆ แกะแซะทีละนิดๆ
อย่างใจเย็น
จุนซูคิดว่ามันโง่เง่าสิ้นดีที่เอาเวลาทั้งวันและทุกวันมาเล็มก้อนหินเล่น
เกือบจะเบื่อหน่ายฉุนเฉียวจนเลิกสนใจไปแล้วหากเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เผลอไถลตกลงมาจากก้อนหินกระแทกพื้น
แทนที่จะพบร่างแหลกละเอียดชวนสังเวชกลับพบกว่าเด็กหนุ่มร้องว่า ‘บ้าเอ้ย’ แล้วก็ปีนขึ้นไปเล็มหินต่อ
จุนซูเฝ้าดูทุกวันจนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นเล็มหินตรงส่วนหัวเสร็จ
มันเป็นหัวของนายท่านแห่งแบล็คฮู้ด!
ไม่ผิดแน่
เด็กหนุ่มคนนี้คือแจจุง เหตุใดถึงได้ปกปิดตัวตนได้มิดชิดเช่นนี้
แจจุงมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยที่ได้พบผู้ติดตามอีกครั้ง
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าจุนซูมาด้วยจุดประสงค์อะไร แจจุงแค่ตอบสั้นๆ ว่า ‘รองานชิ้นนี้เสร็จก่อนนะ’
ถ้าจะยอมให้ฆ่าดีๆ
จะหนีและปกปิดตัวตนทำไมตั้งแต่แรก รู้มั้ยว่าคนที่เหนื่อยที่สุดก็คือจุนซู
ถ้าฆ่าแจจุงไม่ได้ก็กลับโลกซาตานไม่ได้ เขาตามติดและถามทุกวันว่า ‘ทำงานใกล้เสร็จหรือยัง’ ‘ทำไมท่านต้องละเอียดละออขนาดนี้’ ‘ข้าจะฆ่าท่านได้หรือยัง’ ‘เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะแวะมาฆ่าท่านใหม่ก็แล้วกัน’
และแล้วรูปปั้นนั้นก็เสร็จสมบูรณ์
งดงามไร้ที่ติ เป็นประติมากรรมที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างล้ำลึก
แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด รวดร้าว เคียดแค้นแต่ก็แสนรัก
มันเป็นภาพจำสุดท้ายที่แจจุงได้เห็นยูโนว์
จากบัดนั้นจนบัดนี้จุนซูก็ยังไม่ได้ฆ่าแจจุงเสียที
สงสัยภารกิจจะยืดเยื้อกินเวลาหลายพันปีเกินไปกระมัง เจ้าแห่งซาตานถึงได้หมายหัวจุนซูเป็นลำดับที่สอง
มาถึงขั้นนี้แล้วจุนซูจะเลิกบูชาเขาเป็นเจ้าแห่งซาตานแล้วเรียกเขาว่า ‘ไอ้โฉดชั่วฮันเกิง’ ธรรมดาๆ
ก็แล้วกัน ภักดีอย่างบริสุทธิ์ไม่ได้แปลว่าเขาจะนับเราเป็นพวก หมดประโยชน์ก็หมดค่า
.
.
แจจุงเดินเลี่ยงออกไปด้านหลังพิพิธภัณฑ์ที่ตนเป็นผู้ก่อตั้งในอดีตและวนกลับมาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์วัย
18
รูปปั้นของ
‘นายท่านผู้นั้น’ ถูกบรรจงประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเตือนย้ำว่าจะยอมแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีไปไม่ได้จนกว่าความรู้สึกหนักอึ้งที่สลัดไม่หลุดจะเบาบางลง
บางทีมันอาจจะไม่มีวันสลัดหลุดจนกว่ากาลเวลาจะพรากความเป็นนิรันด์ของแจจุงไป
รูปปั้นถูกพบโดยชาวบ้านที่มาหาของป่าไปขายจึงแจ้งให้กับทางการทราบ
หลังจากที่นี่เจริญขึ้นจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้าน
พิพิธภัณฑ์จึงถูกสร้างขึ้นครอบทับรูปปั้นนั้นเพราะไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายมันไปยังเมืองใหญ่ได้
แจจุงอยู่มานาน
ศิลปินผู้สร้างประติมากรรมก็คือแจจุง ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านก็คือแจจุง
ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ก็คือแจจุง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แจจุงก็ออกเดินทางไปยังหลายที่หลากแหล่งและกลับมาที่นี่อีกครั้ง
ร่างบางวาดขาคร่อมเจ้าอินเดียน
สเกาท์ อเมริกันช้อปเปอร์รุ่นเก่าคลาสสิค ในหมู่บ้านเล็กๆ
ไร้ความศิวิไลซ์แห่งนี้คงมีเพียงแจจุงเท่านั้นที่ขี่รถช้อปเปอร์รุ่นนี้
แน่ล่ะว่าคุณแม่ผู้เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นไม่เคยยินยอมให้ลูกชายเพียงคนเดียวขี่เจ้ารถหน้าตาป่าเถื่อนแบบนั้น
แจจุงสวมรอยเป็นลูกชายของคู่สามีภรรยาน่ารักคู่หนึ่ง
พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกของพวกเขาได้ตายไปตั้งแต่ตอนคลอด
แจจุงต้องแปลงเป็นเด็กทารกผมบางเหงือกชมพู
ทนอยู่กับความง่อยเปลี้ยไปอย่างเชื่องช้า
ในบางครั้งอาจเผลอทำบางสิ่งที่เด็กไม่มีวันจะทำได้ อย่างเช่น
สังหารซาตานสักตนในสวนหลังโบสถ์
ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่จะไม่สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดชวนขวัญผวา
พวกเขาแค่ปฏิเสธทุกอย่างและเชื่อว่าลูกรักนั้นปกติดี
“แจจุง
แม่บอกว่าวันนี้ไม่ให้ไปทำงานพาร์ทไทม์ไง
ลืมไปแล้วหรอว่าเราจะพาลูกไปบ้านคุณนายชอง”
“คุณนายชองไหนครับ” แจจุงจิบน้ำชาหอมกรุ่นที่แม่รินมาให้
แกล้งทำเป็นส่งเสียงครางพึงพอใจต่อชาอุ่นๆ ถ้วยนี้
แกล้งทำเป็นเอร็ดอร่อยกับอาหารทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันแม้แต่น้อย
คงมีเพียงกลิ่นที่แจจุงรู้สึกได้ถึงความโอชา
“ภรรยาท่านสารวัตรที่ย้ายมาใหม่เมื่อปีที่แล้วไงจ๊ะ
ลูกชายท่านจะมาเรียนโรงเรียนเดียวกันกับลูกด้วยนะ
คงปรับตัวยากหน่อยเพราะเกิดและโตในเมือง แม่อยากให้ลูกเป็นเพื่อนกับลูกชายท่าน
เหมือนจะชื่อ....พ่อจ๊ะ
สุดหล่อคนนั้นชื่ออะไรนะ”
“ยุนเฮียวมั้ง” พ่อตอบแบบขอไปที
สมาธิทั้งหมดอุทิศให้กับข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ พวกขี้ยาถูกฆ่ารายวัน
ลือกันว่ามีฆาตกรต่อเนื่องหลบอยู่ในหมู่บ้านนี้
พ่อเป็นตำรวจที่มีผลงานโดดเด่นด้านการจับกุมตัวคนร้ายคดีอุกฉกรรจ์
ทายสิว่าทำไมพ่อถึงจับคนร้ายระดับนั้นได้อย่างง่ายดายเหมือนจับผีเสื้อปีกขาด
“แม่ว่าไม่น่าจะใช่นะพ่อ”
“หรือจะเป็นโฮเยียว”
“ไปกันใหญ่แล้วพ่อ
ใครจะบ้าตั้งชื่อลูกประหลาดแบบนั้น” แม่เริ่มหยิกแก้มพ่อที่บังอาจเอาเรื่องงานกลับมาซีเรียสที่บ้าน
ทำแบบนี้ทีไรพ่อจะวางความกังวลใจลงแล้วเริ่มจั๊กจี้เอวแม่
“ผมขอตัวนะครับ
ง่วงนอน” แจจุงไม่ชอบเห็นอะไรแบบนี้
มันเขินแปลกๆ ทำตัวไม่ถูก
“นอนกลางวันจะอ้วนเอานะลูก
ไปเลย ไปบ้านคุณนายชองกับแม่”
“อีกไม่กี่วันก็เปิดเทอม
เดี๋ยวก็ได้เจอกัน ไม่เห็นต้องเสนอตัวไปเป็นเบ๊ให้เค้าเลย”
“เบ๊เบ๊ออะไรกัน” แม่หยิบหนังสือพิมพ์มาม้วนเป็นอาวุธขึ้นข่มขู่ลูกชาย
ตอนเด็กๆ โดนแม่ตีบ่อย
คนอื่นอาจมองว่าแจจุงซนเกินขอบเขตแต่คนในบ้านย่อมรู้ดีว่าความซนที่ว่านั้นนอกจากมันจะเกินขอบเขตแล้วยังเกินมนุษย์อีกด้วย
ใช่ใช่ใช่
ขอยืนยันอีกรอบว่าไม่มีใครหยิบยกประเด็นความผิดปกตินี้ขึ้นมาพูดเลยสักครั้งไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง
พ่อกับแม่เพียงแค่มองหน้า บีบมือแล้วก็กอดกัน
หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกใบนี้
“ขอตัวจริงๆ
ครับแม่ ผมอยากนอนสักงีบแล้วตื่นมาอ่านหนังสือต้อนรับเปิดเทอม
ผมจะเอาเกียรตินิยมทุกชั้นปีตามที่คุณย่าขอไว้ก่อนจะเสีย
แม่จะทำลายความฝันของคุณย่าหรอครับ”
“โอเคจ้ะ
ยอมแล้วพ่อคุณ”
กลางดึกคืนนั้น
แจจุงฝันเห็นนักรบรูปงามคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางความมืด
ร่างบางที่เหมือนแจจุงอย่างกับแฝดยืนอยู่เหนือนักรบผู้นั้น
สองมือดันดาบให้ทะลุลงไปกลางหัวใจของเขาช้าๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
รู้ว่ามันเป็นความฝัน
ครั้นพยายามจะตื่น ร่างแจจุงจะถูกเหวี่ยงไปยังสถานที่เงียบงันเคว้งคว้าง
เบาโหวงเหวง ล่องลอยและหนาวเหน็บ อย่างน้อยในอวกาศก็ยังมีสะเก็ดดวงดาวหรือเนบิวลาล่องลอยกระจัดกระจายไปทั่ว
แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดเลยแม้แต่เสียงสะท้อนหอบหายใจจากความกลัวของแจจุง
สายตาที่ยากจะลืมเลือนของนายท่านผู้นั้นพันธนาการจิตวิญญาณของแจจุงเอาไว้ทั้งๆ
ที่เขาดับสลายไปนานแสนนานแล้ว หรืออาจเป็นแจจุงเองที่ร้อยรัดพันธนาการตัวเองด้วยเชือกที่มีชื่อว่า
‘เทวทัณฑ์’
แบล็คฮู้ดเรียกการกำจัดซาตานของพวกเขาว่า
‘เทวทัณฑ์’
บางสิ่งที่เผชิญมาอย่างยาวนานคงเป็นสิ่งที่นายท่านแห่งแบล็คฮู้ดได้มอบคืนให้กับแจจุง
ถูกลงโทษทุกวันนับพันปีโดยไม่มีใครออกมานิรโทษกรรม
เหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วร่าง
บนอกด้านซ้ายเหมือนกำลังฉีกขาดเหวอะหวะ เจ็บปวดจนต้องสะดุ้งตื่น
แจจุงกอดตัวนอนคุดคู้ ช่างสะใจดีเหลือเกิน
กำลังรู้สึกแบบเดียวกับที่นายท่านผู้นั้นรู้สึกใช่หรือไม่ หากมันใช่
แจจุงยินยอมที่จะซึมซับรับเอาหากมันจะทำให้การดับสลายของเขาสามารถหวนคืน
ทว่า
มันไม่มีทางเป็นไปได้
= = = = = =
ในที่สุดวันเปิดเทอมแสนน่าเบื่อก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
อาจารย์ลีทึกให้เด็กใหม่แนะนำตัวตามทำเนียม
“สวัสดี
ฉันชื่อชองยุนโฮ ย้ายมาจากโซล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
สาวๆ
ไม่อายที่จะส่งเสียงกรี้ดกร้าดในความหล่อเหลาราวเทพบุตรของเด็กใหม่ ยิ่งได้ยินว่าเป็นเด็กในเมืองแล้วก็ยิ่งให้ราคาสูงลิ่ว
แซวจนอาจารย์ต้องเอาแปรงลบกระดานเคาะโต๊ะปังๆ ให้พวกเขาเงียบ
“เธอไปนั่งข้างแจจุงนะ
พ่อแจจุงเป็นตำรวจ ก็น่าจะรู้จักกับเธอมาบ้างแล้วใช่มั้ย”
“ยังครับ” ยุนโฮตอบ
เดินมานั่งข้างแจจุงตามที่อาจารย์บอก กำลังจะเอ่ยทักทายแต่แจจุงหันหน้าหนีไปขอแลกที่กับหัวหน้าห้อง
“เธอเป็นหัวหน้าห้อง
ให้เธอทำหน้าที่ดูแลเด็กใหม่ก็แล้วกัน”
หล่อขนาดนี้แม้แต่หัวหน้าห้องผู้สนใจตำรามากกว่าผู้ชายยังรีบรับปากทันที
ยินดีลุกลี้ลุกลนจนแว่นหลุดจากดั้งลงไปบนพื้น
ยุนโฮยื่นมือไปคว้าแว่นไว้ได้ทันแล้วส่งคืนให้ สาวๆ ในห้องครางอย่างบูชา
ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในไดอารี่ส่วนตัวหัวข้อเรื่อง ‘เจ้าชายกับความน่าประทับใจในวันนี้’
แจจุงนั่งจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
กลุ่มเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังใช้สิทธิพิเศษในการเป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนในการโดดเรียนตั้งแต่วันแรก
พวกนั้นคงคิดจะเล่นอะไรแผลงๆ ในป่านั่นอีกแล้ว
ป่าสีดำทมึนหลังโรงเรียนมีเรื่องเล่ามากมายซึ่งไม่ได้เข้าเค้าความจริงเลยสักเรื่อง
อาจจะมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องที่มีปีศาจหน้าแบนบินอยู่เหนือผืนป่า
หน้าแบนแจจุงเติมเข้าไปเองแหละ หมั่นไส้จุนซูที่พยามเปิดเผยตัวตนเพื่ออวดปีกงดงามของตัวเอง
แจจุงไม่เคยใช้ปีกนานมาก นานจนลืมวิธีบินด้วยปีกไปแล้ว
อาจารย์ลีทึกกล่าวสุนทรพจน์ยืดยาวเพื่อกระตุ้นนักเรียนผู้ขี้เกียจตัวเป็นขนให้มีความกระตือรือร้นสำหรับปีการศึกษาใหม่
เตือนย้ำให้ตระหนักว่านี่เป็นปีสุดท้ายที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
หลังจากรู้ตัวว่าพูดจนตีนกายับไปก็เท่านั้นจึงปล่อยให้พวกเขาแยกย้ายไปเรียนคาบแรก
“แจจุง
นายชื่อแจจุงใช่มั้ย”
เด็กใหม่เดินตามแจจุงมาติดๆ
สลัดทิ้งหัวหน้าห้องไปอย่างไม่ใยดี
“ยุ่ง”
“…” คนอัธยาศัยดีหน้าเสียเล็กน้อยที่ถูกตอบกลับอย่างเย็นชาขนาดนั้น
แจจุงดูหยิ่งและเข้าถึงยาก
หัวหน้าห้องแอบกระซิบแล้วว่าไม่จำเป็นก็อย่าไปวุ่นวายกับแจจุงให้มาก
แจจุงเป็นตัวซวย สนิทมากๆ เดี๋ยวจะตายโดยไม่รู้ตัว
ยุนโฮคิดว่าคำพูดนี้มันดูใส่ร้ายเกินไปหน่อย หน้าสวยๆ ร่างบางๆ
อย่างแจจุงน่ะหรือจะทำให้ใครตายได้ ถ้าทำให้หัวใจวายตายเพราะความน่าหลงใหลก็ว่าไปอย่าง
แจจุงเดินเลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางไปห้องฟิสิกส์
เจ้าพวกนักบอลสมองกลวงนั่นคงอยากตายสินะถึงได้เข้าไปในป่านั่นในช่วงที่มีข่าวฆาตกรโรคจิตออกอาละวาด
“แจจุงจะไปไหน
ไม่ไปเรียนหรอ” ยุนโฮคว้าต้นแขนผอมบางนั้นไว้และถูกปัดออกอย่างรุนแรงราวกับว่าเขาเพิ่งเอาเครื่องช็อตไฟฟ้าจิ้มแขนแจจุง
ร่างบางเซถอยไปติดกำแพง
หายใจหอบหนักหน่วงจนแทบทรงตัวไม่อยู่
กวาดสายตามองหาต้นตอของพลังงานที่แจจุงรู้ว่าไม่ได้เกิดจากไฟฟ้าสถิตย์ทั่วไป
ร่างสูงโปร่งสวมแจ็คเก็ตฮู้ดสีดำปิดบังใบหน้า มันไม่แปลกหรอก ใครๆ ก็สวมเสื้อฮู้ดเต็มไปหมด
สิ่งที่ทำให้แจจุงสะดุดตาคือตราสัญลักษณ์ด้านหลังเสื้อของเขา
สัญลักษณ์ของผู้ลงทัณฑ์ซาตาน
พวกแบล็คฮู้ด! เป็นไปได้ยังไง
พวกเขาล่มสลายไปแล้ว ไม่เคยมีใครพบเขา
ถ้าซาตานตัวที่ถูกสังหารเป็นฝีมือแบล็คฮู้ดแจจุงต้องรู้สิ
หรือว่าพวกเขาจะเปลี่ยนวิธีฆ่าใหม่
“แจจุงเป็นอะไร
ไม่สบายหรอ”
“ไม่! อย่ามาจับตัวฉัน” เสียงตวาดดึงดูดความสนใจนักเรียนแถวนั้นให้หยุดและยืดคอมามอง
แบล็คฮู้ดคนนั้นหายไปในสายธารนักเรียนแล้ว
“ให้ฉันพาไปห้องพยาบาลเถอะแจจุง”
“ไม่” สื่อสารชัดทั้งสีหน้าและน้ำเสียง
ยุนโฮไม่สน ดึงแขนแจจุงมาพาดบ่า
“อย่าทำเก่งสิ
จะขะย้อกขะแย้กอยู่ตรงนี้ทั้งวันหรือไง”
“ขะย้อกขะแย้ก
ฉันชอบคำนี้” จุนซูโผล่มาจากไหนไม่รู้
ยิ้มหน้าตาระรื่นทักทายเด็กใหม่ ช่วยประคองแจจุงอีกข้าง “นายท่านไหวมั้ยเนี่ย
อยู่ๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมา”
“นายท่าน?”
“ฉันเป็นทาสแจจุงน่ะ
ใครบ้างไม่อยากเป็นทาสแจจุง จริงมั้ย”
ยุนโฮพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่จุนซูมองว่ามันดูทึ่มขัดหูขัดตา
นึกว่าจะดูมาดขึงขังแบบลูกนายตำรวจมากกว่านี้ อย่าเอาไปเทียบกับแจจุงเชียว
แจจุงยังไงก็คือแจจุง จะผ่านมากี่พันปีก็ยังคงเป็นแจจุง
เป็นคนสวยที่เก่งเรื่องการฆ่าซาตานระบายความคับแค้นในใจ
ถ้าแจจุงโง่กว่านี้อาจบุกไปฆ่าเจ้าแห่งซาตานโทษฐานที่หลอกใช้แล้วก็ได้
“แต่นายเป็นทาสแจจุงไม่ได้หรอกนะ
ตำแหน่งทาสเต็มแล้ว ตกลงนายชื่ออะไร แม่แจจุงบอกชื่อยุนเฮียวแต่พ่อบอกชื่อโฮเยียว
ไหนว่าไปกินข้าวด้วยกันมาแล้วทำไมพ่อกับแม่ยังสับสนกันอยู่ ครอบครัวสายจี้จริงๆ
ยกเว้นคนลูกนะ อันนี้สายขี้เกียจ ขี้เกียจแสดงสีหน้า ฮี้ย่ะฮ่าๆๆ”
คนลูกสายขี้เกียจที่ว่าส่งสายตาคมกริบยิ่งกว่าดาบมาฟาดหน้าคนปากมาก
จุนซูก็แค่ก้มหัวขอโทษเล็กน้อยแล้วขำคิกๆ อย่างหยุดไม่ได้
“ฉันชื่อยุนโฮ” ยุนโฮชี้ที่ป้ายชื่อนักเรียนบนอกเสื้อ
“ก็น่ารักดีนะ
พ่อกับแม่แจจุงตกลงกันไม่ได้ก็เลยเรียกฉันว่าสุดหล่อแทน”
“ฟังดูดีกว่าของฉันอีก
พ่อกับแม่แจจุงเรียกฉันว่า ‘หนูจ๋าลูก’ ทุกคำ”
“ก็น่ารักดี”
“น่ารักไม่สู้นายหรอกมั้ง” จุนซูมองเหยียดไปยังกระเป๋าเป้ของยุนโฮ
มันมีชื่อปักอยู่ ขวดน้ำเก็บความร้อนเสียบอยู่ตรงด้านข้าง
มีชื่อเขียนไว้ด้วยปากกาเขียนซีดี อันนี้จุนซูหมดศรัทธาแล้วจริงๆ
อย่างกับเด็กอนุบาล
“หุบปาก” แจจุงตวัดหางตามองคนทั้งคู่ที่คุยกันข้ามหัวแจจุงไปมาโดยไม่พาขยับเขยื้อนไปไหนเสียที
ไม่เคยหวังอะไรกับจุนซูเลย ผลุบๆ โผล่ๆ แล้วแต่อารมณ์ ยิ่งจุนซูอยู่นานยิ่งเหมือนเด็กลงไปทุกที
เหลือก็แต่ลงไปชักดิ้นชักงอตอนถูกขัดใจนั่นแหละ
“ให้แจจุงขี่หลังฉันไปน่าจะเร็วกว่านะ
แบบนี้ดูทุลักทะเลยังไงไม่รู้”
ยุนโฮพูด
“ดีเลย
ฝากหน่อยแล้วกัน ฉันว่าจะไปตามเพื่อนนักบอลสักหน่อย” จุนซูส่งสายตามีความนัยไปให้ผู้เป็นนายท่าน
คนที่ถูกฝากฝังแบกแจจุงขึ้นหลังอย่างง่ายดาย
เขาแข็งแรงมากๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
.
.
“เพื่อนผมหน้ามืดครับอาจารย์” ยุนโฮวางแจจุงลงบนเตียงในห้องพยาบาลเบาๆ
“แต่ไม่มีอาการหอบแล้ว
หัวใจก็เต้นเป็นปกติ”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าเต้นปกติ” อาจารย์ยูชอนถาม
หยิบสเตโทสโคปขึ้นมาฟังเสียงปอดและหัวใจ
“ก็ตอนที่แบกแจจุงมา
หลังของผมได้ยิน ผมนับไปด้วยครับเจ็ดสิบห้าครั้งต่อนาที”
“แยกประสาทเก่งจริงชองยุนโฮ”
“อาจารย์รู้ชื่อผมได้ยังไงครับ
อ่อ ป้ายชื่อบนอกสินะครับ”
เขายิ้มกว้างอวดฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ
“พ่อเธอป่าวประกาศไปทั่วแหละว่าเธอจะมาเรียนที่นี่” อาจารย์กดไหล่แจจุงไม่ให้ลุกขึ้นมา
ดื้อจริงๆ เลย “โรงเรียนเล็กๆ
กับเด็กโง่ๆ แต่ยังไงก็ต้อนรับเธอนะ หวังว่าที่นี่จะเป็นความทรงจำที่ดีของเธอ
ตอนที่เธอโตแล้ว”
“แน่นอนครับอาจารย์”
“ไหนดูซิ
คนป่วยของเราเป็นอะไร”
อาจารย์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคนที่นอนเป็นศพไร้อารมณ์อยู่บนเตียง
“โรคเดิม
แค่เป็นถี่ขึ้น” รูปประโยคห้วนสั้นแต่พอออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นกลับฟังดูหวานติดเย็นชานิดๆ
อาจารย์ยูชอนตัดขาดความเป็นเทพมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แจจุงไม่เคยถาม เขาก็ไม่เคยถามเช่นกันว่าแจจุงมาอยู่ที่นี่ทำไม
ไม่เคยถามว่าทำไมแจจุงกับซาตานที่ชื่อจุนซูถึงได้ทำตัวเหมือนพวกแบล็คฮู้ด
ล่าและฆ่าซาตาน
การที่ยูชอนละทิ้งปกปิดตัวตนเดิมก็คงเป็นเพราะความรัก
เขารักกับมนุษย์และมีลูกด้วยกันสามคน
ไม่ว่าโลกไหนก็มีเรื่องน่าเสียดายมากมายเหลือเกิน ลูกๆ ของยูชอนถูกซาตานฆ่าตายทีละคน
ภรรยาอันเป็นที่รักกล่าวโทษว่าเป็นเพราะยูชอนดึงดูดพวกมันมา
เธอคิดว่าเขาจะปกป้องลูกๆ ได้แต่ไม่เลย เขาไม่เคยอยู่ตอนที่ลูกๆ มีภัย
แล้วเธอก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา
อย่าถามว่าแจจุงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
ต้องถามจุนซูต่างหากว่าไปรีดเอาความจริงจากอาจารย์มาได้ยังไง
“ไว้ฉันจะลองหาดูว่าเกิดจากอะไร” ยูชอนให้สัญญา
“ไม่ต้องหรอกครับ
เรื่องของผม ผมจัดการเองได้ แต่ถ้าอาจารย์อยากชดเชยความผิดที่ฝังอยู่ในใจ
ก็ลองมาทำงานอดิเรกแบบผมสิ”
“จัดการชดเชยความผิดในใจของตัวเองให้ได้ก่อนค่อยมาสอนฉันนะเด็กน้อย”
แจจุงพ่นลมหายใจออกจากปอดช้าๆ
ยกมือมาก่ายหน้าผาก อาจารย์ชอบทำเป็นรู้ดีอยู่เรื่อย
“อาจารย์ครับ ผมว่า...” ยุนโฮมีท่าทีวิตกกังวล
แทบจะแย่งสเตโทสโคปมาตรวจร่างกายแจจุงเสียเอง
“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก
เชื่อสิ อีกสักพัก หลังจากเธอเรียนคาบแรกเสร็จ แจจุงจะหายเป็นปกติและไล่เตะปากเจ้าพวกนักบอลได้แล้ว”
“โหดจัง”
“คนสวยๆ
มักโหดแบบนี้แหละ ภรรยาอาจารย์ก็เป็น” อาจารย์พูดพร้อมกับขยิบตาให้
ยุนโฮยิ้มเขินๆ
ก่อนจะหันไปพูดกับคนสวยที่ว่า “ถ้านายโอเคขึ้นแล้วโทรหาฉันก็ได้นะ
จะได้เดินไปเรียนพร้อมกัน”
พูดจบก็โค้งลาอาจารย์เดินออกไปนอกห้องก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาใหม่
“ลืมว่านายยังไม่มีเบอร์ฉัน
บอกเบอร์นายมาสิ เดี๋ยวฉันจะโทรเข้าไปแล้วนายก็เมมเบอร์ไว้นะ”
“ให้เบอร์เพื่อนไปสิแจจุง
เธอจะมีเพื่อนแค่จุนซูคนเดียวไม่ได้นะ” ยูชอนพูด
เห็นเขาแอบขยิบตาให้ยุนโฮอีกแล้ว แจจุงหงุดหงิดมาก จำเป็นต้องแลกเบอร์โทรอย่างเลี่ยงไม่ได้
คราวนี้ในโทรศัพท์แจจุงก็มีไอ้ตัวน่ารำคาญเป็นรายชื่อที่ 2 รองจากจุนซู
หลังจากยุนโฮไปไกลลิบแล้วจริงๆ
ยูชอนจึงเริ่มพูดเรื่องสำคัญ
“คิดว่าอาการของเธอคงเป็นเพราะพลังเธอมากขึ้นตามกาลเวลา
เมื่อมันมากขึ้นแต่เธอกดมันไว้แล้วใช้มันน้อยมากๆ
พลังเทพกับซาตานมันก็เกิดอยากจะแย่งชิงความเป็นหนึ่ง
เธอไม่เคยฝึกควบคุมพลังเพื่อให้มันบาลานซ์กัน
ดังนั้นอาจารย์ว่าเธอต้องเลือกเอาสักทางก่อนที่มันทั้งคู่จะทำลายเธอ”
“ผมพยามแล้ว”
“เธอควบคุมไม่ได้เพราะเธอไม่เคยฝึก
ที่สำคัญ มันเป็นเพราะหัวใจของเธอ”
“ไม่เห็นเกี่ยว”
ยูชอนถอนหายใจ
ช่างเป็นเด็กที่ดื้อด้านเสียจริง บางที ลึกๆ แล้วไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่
หัวใจแจจุงอาจแหลกสลายไปตั้งตอนที่ได้ลงมือฆ่านายท่านแห่งแบล็คฮู้ด
อย่าถามว่ายูชอนรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
ต้องไปถามจุนซูว่ากล้าแลกความลับนี้เพื่อล้วงความลับเขาได้ยังไง
“เด็กหนุ่มคนนั้น
เขาดูชอบเธอมากๆ เลยนะ คงจะดีถ้าเธอลองเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ อีกครั้ง ในเมืองนี้”
“บอกแต่คนอื่น”
“เราสามารถเริ่มใหม่ได้โดยไม่ทิ้งสิ่งเก่าไป”
“สิ่งใหม่จะรู้สึกยังไงหากเรายังเก็บสิ่งเก่าไว้ในใจไม่เคยลืม”
“ถ้าเธอทำให้สิ่งใหม่รู้สึกว่าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครก็จะไม่มีปัญหา
เว้นเสียแต่ว่าเธอจะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่มีอะไรแทนที่สิ่งเก่าได้”
“อาจารย์น่าจะไปสอนปรัชญานะครับ” แจจุงประชด
“ใครๆ
ก็ดูชอบผมมากๆ กันทั้งนั้น”
มนตร์เสน่ห์ที่เป็นพลังจำเพาะของแจจุง
พลังนี้นี่เองที่ทำให้เจ้าแห่งซาตานเชื่อมั่นว่าสามารถเป็นบททดสอบที่ผู้นำแห่งแบล็คฮู้ดจะไม่สามารถข้ามพ้นไปได้
“เธอลืมนับแม่เชียร์ลีดเดอร์สีเหลือง
หัวหน้าห้องของเธอ
ภารโรงที่ต้องคอยเก็บกวาดเศษซากที่เธอกับจุนซูทำเละแล้วก็อาจารย์วิชาปรัชญาไปนะ”
“ลืมนับอาจารย์ยูชอน
จุนซู ยัยโบอากับแก๊งของเธอ แล้วก็ตำรวจจราจรด้วย”
“เธอก็เกินไป
จงใจซิ่งให้ตำรวจไล่ตาม อย่าลืมสิ พ่อเธอก็เป็นตำรวจนะ เห็นใจเขาหน่อยสิ”
ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอคนที่เกลียดชังหรือหลงใหลเราเสมอ
บางคนใช้เหตุผลในการตัดสินความรู้สึกต่อผู้คน บางคนก็แค่เกลียดเฉยๆ ใครจะทำไม
แล้วนายท่านผู้นั้นล่ะ
รักเพราะมนต์เสน่ห์จำเพาะของแจจุงหรือรักเฉยๆ โดยไร้เหตุผล
แจจุงถอนมนต์เสน่ห์จำเพาะไปตอนที่อยู่ในปราสาทขาวนั้นได้หนึ่งเดือน
แล้วทำไมนายท่านผู้นั้นถึงยังได้หลงใหลแจจุงโดยไม่ลดลงแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งนานวันยิ่งสัมผัสได้ว่ามันมากขึ้น มากจนล้น ล้นจนแจจุงรู้สึกกลัว กลัวใจตัวเอง
แจจุงสร้างเกราะหนาหลายชั้น
ไม่ต้องการรับสิ่งใดก็ตามจากยูโนว์
สิ่งที่แจจุงตอบแทนให้ได้คือความเกลียดชังเท่านั้น แจจุงถูกฝังมาด้วยคำนี้
มันจะพังลงเพียงเวลาชั่วไตรมาสไม่ได้
เกลียด...หรือไม่
รัก...หรือไม่
สิ่งที่ตรึงแจจุงไว้กับตัวตนของเขาคือความรู้สึกผิดเพียงอย่างเดียวจริงน่ะหรือ
= = = =
แจจุงตั้งใจว่าจะกลับไปเรียนในคาบถัดไป
แต่พอเห็นยุนโฮนั่งฟังอาจารย์สอนอย่างตั้งอกตั้งใจก็เปลี่ยนใจ
เสี้ยวหน้าของเขามีความคล้ายคลึงกับนายท่านผู้นั้นเป็นอย่างมาก ตอนที่เขาเอาปลายปากกามานวดระหว่างคิ้วทำให้ภาพนายท่านผู้นั้นซ้อนทับขึ้นมา
ยูโนว์มักนั่งอยู่ริมหน้าต่างอ่านตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แจจุงเคยบอกเขาว่า ‘เครียดแล้วคิ้วชนกันไม่น่ามองเลยนะนายท่านของข้า
ทำแบบนี้สิ’ แล้วก็จับนิ้วชี้ของเขามานวดระหว่างคิ้วตัวเอง
หลังจากนั้นยูโนว์ก็ติดทำแบบนี้บ่อยๆ
ดาดฟ้าของตึก
A คือสถานที่ที่แจจุงกับจุนซูมักมาหลบมุม
ขี้เกียจกินอาหารของพวกมนุษย์ มันเสียเวลาโดยใช่เหตุ
ไม่มีใครสงสัยหรอกว่าพวกเขาหายไปไหนตอนพักเที่ยง
แค่คิดว่าทั้งสองเป็นผู้ดีเกินไปจึงไม่ยอมกินอาหารคุณภาพระดับสามดาวของโรงเรียน
จุนซูตามนักบอลเข้าไปในป่า
พวกนั้นไปกระโดดน้ำตกประลองความกล้ากันเหมือนเดิม
มันเป็นธรรมเนียมในกลุ่มแก๊งซุปเปอร์จูเนียร์ของพวกเขาที่จะทำเรื่องโง่ๆ
แบบนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าใครแข็งแกร่งและได้ไปต่อในปีการศึกษาใหม่นี้
“เจ้ายุนโฮนั่นเอาแต่โทรมาถามข้าว่านายท่านไปไหนทำไมไม่รับโทรศัพท์หรือว่าจะกลับบ้านไปแล้ว
บอกว่าจะโทรถามแม่ของนายท่านก็ไม่กล้า เผื่อว่านายท่านแค่โดดเรียน
เดี๋ยวกลับบ้านไปจะโดนแม่ดุ ข้าไม่น่าให้เบอร์โทรกับเจ้านั่นเลยจริงๆ น่ารำคาญ”
“น่ารำคาญรองจากนายก็แล้วกัน” แจจุงตอบ
นั่งเหยียดขาพิงกำแพงตรงขอบตึก เสียบหูฟังกับเครื่องเล่นเทปคลาสเซ็ท
มันยังคงทำงานได้ดี แจจุงเรียนรู้วิธีการซ่อมมันให้ใช้งานได้อยู่เสมอ
ปัญหาคือหาซื้อเทปเพลงเก่าๆ ยากมาก
ต้องประมูลจากอินเตอร์เน็ตมาในราคาที่ไม่สามารถให้แม่รู้เป็นอันขาด
“พูดถึงก็มาเลยเว้ย” จุนซูเดินไปสูบบุหรี่หนีการยิงคำถามสามล้านคำในหนึ่งนาทีของยุนโฮ
ที่ชอบสูบบุหรี่ก็เพราะกลิ่นนิโคตินของมนุษย์โลกดูดแล้วมันกระปรี้กระเปร่าดี
อาจารย์ยูชอนบอก จุนซูก็แค่เห็นด้วยแล้วลองทำตาม แต่ทำตามให้เขาเห็นไม่ได้นะ โดนดุ! สับสนเหมือนกันว่าเขาเป็นอาจารย์หรือพ่อบังเกิดเกล้ากันแน่
ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาเป็นเทพแต่จุนซูเป็นซาตานขนานแท้ล่ะก็
คงอดคิดไม่ได้ว่าเป็นพ่อลูกที่พลัดพรากกันมาหลายพันปี
“ทงแฮบอกว่าเห็นนายเดินมาทางตึกนี้ก็เลยขึ้นมาตามหาทีละชั้น
ดีใจที่เจอนายเสียที”
เขาหันไปเห็นจุนซูที่ปีนขึ้นไปนั่งบนกำแพงขอบตึก “ทำไมเขาสูบบุหรี่ในโรงเรียนล่ะ”
ทำไมเขาสูบบุหรี่ในโรงเรียนล่ะ!? ให้ตาย
โรงเรียนไหนบ้างไม่มีนักเรียนแอบไปสูบบุหรี่ แจจุงไม่ได้ตอบอะไร
ง่วนกับการเสียบเทปลงไปในเครื่องเล่น
“มันยังใช้งานได้อยู่หรอ
น่าประทับใจ” ยุนโฮลูบไปบนเครื่องเล่นในมือแจจุง
มือของเขาจำเป็นต้องสัมผัสโดนมือแจจุงอย่างช่วยไม่ได้
คนที่มักเย่อหยิ่งเข้าถึงยากไม่ได้สะบัดหนีเหมือนตอนแรกที่สัมผัสโดนกัน
ทั้งคู่สบตากันเพียงเสี้ยววินาทีอันล้ำลึก แค่มีสิ่งหนึ่งที่ชอบเหมือนกัน
รู้จักกันหนึ่งวันก็แน่นแฟ่นขึ้นเหมือนหนึ่งปี
“ฉันก็ชอบสะสมนะ
แต่เล่นไม่ได้เลยสักเครื่อง ตอนไปซื้อเจ้าของร้านก็เทสต์ให้ดูนะ
พอกลับมาบ้านใช้ไม่ได้เฉยเลย”
“นายซื้อที่ไหน” แจจุงสนอกสนใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
นับว่ายุนโฮมาถูกทางอย่างบังเอิญ
“ร้านแถวโรงเรียนเก่าน่ะ
แต่ว่าปิดปรับปรุงเป็นปีแล้ว คุณปู่เจ้าของร้านป่วย ไม่รู้จะกลับมาเปิดร้านอีกหรือเปล่า
น่าเสียดายสุดๆ ฉันชอบคุณปู่เจ้าของร้านมากๆ เลยนะ ยอมให้ฉันเลือกเทปได้ทั้งวัน
ให้เลือกฟังก่อนค่อยซื้อก็ได้ด้วยนะ”
“เอามาด้วยมั้ย”
“หืม?”
“ของสะสมนาย”
“เก็บไว้ที่บ้านหลังเก่า
คุณแม่บอกว่ามันลำบากที่จะขนมาทั้งหมดในครั้งเดียว ฉันก็เลยเก็บไว้ที่นั่นก่อน” พอเห็นแจจุงเปลี่ยนสีหน้าเหมือนว่าไม่ต้องการจะสนทนากับยุนโฮอีกต่อไปจึงรีบยื่นข้อเสนอเพื่อให้ความแน่นแฟ้นหนึ่งวันเหมือนหนึ่งปีนั้นยังคงอยู่
“คุณน้ากับน้าเขยอยู่ที่บ้านนั้น
เดี๋ยวฉันให้พวกเขาส่งมาให้ก็ได้นะถ้านายอยากดู”
“อยากดู
ฉันอยากดู”
“……..”
“อะไร?” แจจุงถาม
อยู่ๆ ยุนโฮก็เงียบไปเสียเฉยๆ เขินอีกแล้วหรอ มีอะไรให้เขิน
“เมื่อกี้นายยิ้ม
ฉันเพิ่งเห็นนายยิ้ม ดีกว่าหน้าบึ้งอีกนะ”
“แล้วไง”
“ก็ไม่แล้วไงหรอก
แค่รู้สึกดีเวลาเห็นนายยิ้ม”
“แต่ไปรษณีย์ไม่ส่งตามบ้านนะ
ต้องไปรับที่ร้านขายของชำของคุณลุงคิม”
“ร้านไหน” ยุนโฮงงไปหมด
รู้สึกตกใจมากที่ไปรษณีย์จะไม่มาส่งของให้
“เป็นร้านขายของชำร้านใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน
อ่อแล้วก็คลื่นไวไฟที่นี่ไม่ค่อยมีด้วย ถ้าจะเล่นต้องไปที่ตึกของอาจารย์ใหญ่
ตรงหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน ตรงสถานีตำรวจ จริงๆ ก็หลายจุดอยู่นะ ไว้เดี๋ยวจะพาไป”
ยุนโฮยิ้มเขินอีกแล้ว
แจจุงทบทวนสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่ว่ามันมีคำไหนชวนเขินบ้าง ไม่มีเลยสักคำ
“ฉันจะรอนายพาทัวร์นะ
ชอบฟังเสียงนายพูดจัง ฟังสบายเหมือนคุณแม่เล่านิทานให้ฟังตอนเด็กๆ” เป็นคำเฉลยที่น่าตบสักเปรี้ยง
แจจุงสงสัยเหลือเกินว่าหมอนี่เคยมีแฟนหรือเปล่า
ยุนโฮลูบไล้เครื่องเล่นนั้นอย่างหลงใหล
คงจะชอบมากจริงๆ “นี่ซ่อมเองหรอ”
“อืม”
“ถ้างั้น...ซ่อมพวกนั้นให้ฉันได้มั้ย
เดี๋ยวฉันจะให้นายเลือกเทปเพลงได้ตามใจชอบเลย ฉันมีหลายร้อยม้วน”
“ถ้าฉันเลือกหมดเลยล่ะ”
“อ่า….” ยุนโฮลังเล
กว่าจะค้นหาอันที่ชอบแต่ละอัน ต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน สะสมมาตั้งแต่จำความได้
มีเทปคลาสเซ็ทมากกว่าของเล่นของเด็กผู้ชายทั้งชั้นเรียนรวมกันเสียอีก
“อย่าพูดอะไรที่ทำไม่ได้จริง”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องพูดครับก็ได้”
“แจจุง
ตานายเป็นสีเทาอมฟ้า สวยจังเลย ใส่คอนแท็คเลนส์หรอ” ปลายนิ้วของเขาแตะปลายคางแจจุงให้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เห็นสีตาของแจจุงชัดๆ
เหล่าเทพและพวกแบล็คฮู้ดจะมีดวงตาสีฟ้าใส
ส่วนซาตานจะเป็นสีดำไร้ตาขาว แจจุงเป็นลูกผสมจึงได้ตาสีนี้มา ใครๆ
ก็บอกว่ามันสวยแต่หารู้ไม่ว่าต้นกำเนิดของมันน่าเศร้าเพียงใด
“อ้ะ” แจจุงยื่นหูฟังให้ข้างนึง
เขายิ้มกว้างดีใจจนตาเป็นขีด
แจจุงกดปุ่มเพลย์
ยุนโฮพูดขึ้นมาทันทีที่โน้ตตัวแรกดังออกมาจากหูฟัง
“ฉันรู้จักเพลงนี้
Escape ของ
Rupert Holmes ตอนฉันไปซื้อ
คุณปู่เจ้าของร้านบอกว่ามีคนมาซื้อไปแล้ว ไม่ต่อราคาด้วย
คงจะเอาไปขายประมูลเพราะมันหายากมากๆ แต่ในยูทูปมีเต็มเลยนะ ก็เลยต้องโหลดมาฟังแทน
ยังไงมันก็ไม่เหมือนฟังจากเทปคลาสเซ็ทโดยตรง”
“เงียบ
ฉันจะฟังเพลง”
เขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
ฟังเงียบๆ โดยไม่ปริปากสักคำแม้จะตื่นเต้นกับเพลงในอัลบัมแค่ไหน
ไม่นานช่วงเวลาแห่งท่วงทำนองก็หมดลง
ต้องไปเรียนคาบบ่ายแล้ว แจจุงพันสายหูฟังกับตัวเครื่องเล่นแล้วยัดมันลงกระเป๋า
“ฉันชอบวิชาปรัชญานะ” ยุนโฮพูด
“ฉันไม่ชอบ” แจจุงพาขาเรียวเดินจากไปโดยไม่เอ่ยแม้แต่คำว่า
‘ไปกันเถอะ’
อดีนารีนแห่งความสุขถูกเผามอดไหม้ไปในพริบตา
จุนซูกระโดดลงมายืน
ใช้มือข้างที่คีบบุหรี่อยู่ตบบ่ายุนโฮแล้วพูด
“ไม่ได้จะตัดกำลังใจนะ
แต่นายท่านรักใครไม่ได้อีกแล้ว นายคงต้องกินแห้วว่ะพวก”
“แจจุงมีแฟนแล้วหรอ”
“อธิบายไม่ถูกเลยว๊า
แบบว่า คนสำคัญของแจจุงม่องเท่งร่างสลายกลายเป็นฝุ่นไปนานแล้ว
ต่อให้นายเหมือนเขาแค่ไหนก็แทนที่เขาไม่ได้”
“ไหนบอกไม่ได้จะตัดกำลังใจไง
นายไม่เหลือพื้นที่ให้ฉันได้หวังอะไรเลย”
“นายก็อาจจะได้ขึ้นเตียงกับนายท่าน
แต่นายก็จะถูกทิ้งอยู่ดี ยอมมั้ยล่ะ เป็นของเล่นฆ่าเวลาให้นายท่าน”
“ดูเหมือนแจจุงจะไม่อยากคุยกับฉันเลยด้วยซ้ำ” ยุนโฮชอบแจจุงตั้งแต่แรกเห็นแต่ไม่ได้คิดไปถึงเรื่องลามกอะไรแบบที่จุนซูนำเสนอ
มาเกริ่นนำแบบนี้ก็แย่น่ะสิ
“โอ๊ย
แค่ช่วงนี้อารมณ์ไม่ดีหรอกน่า ไม่เคยได้ยินพวกตัวท็อปพูดกันหรอ
พวกนั้นเรียกนายท่านว่า แจจุงแซ่บ”
ยุนโฮส่ายหัว
เขาเพิ่งมาเรียนวันแรก ไม่รู้จักตัวท็อป ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
รู้แค่ว่าชอบที่นี่ ชอบแจจุง
ไม่มีอะไรซับซ้อน
“โง่หลาย
โง่หลายๆ” จุนซูส่ายหัว
เมื่อครู่เขาแอบเหลือบมองอยู่ นายท่านก็คงพอใจเจ้านี่อยู่แหละ
ไม่งั้นคงไม่เปิดโอกาสให้แต๊ะอั๋งผ่านเครื่องเล่นเทปหรอก อันนี้ก็เนียนพอตัว
แต่ไอ้ตอนที่เชยคางนี่โจ่งแจ้งเหลือเกิน เด็กในเมืองนี่มันร้ายนะ
อาจแกล้งทำเป็นไม่ประสีประสาก็ได้ อย่างไรก็ตาม
ต่อให้แบดบอยมาจากไหนก็ร้ายไม่สู้นายท่านหรอก
“นายไม่เหมาะกับบุหรี่เลยนะจุนซู”
“แล้วเหมาะกับอะไร
อมยิ้มสีพาสเทลหรอ ฉันอยู่มานาน อย่าซ่านะไอ้น้อง” พูดจบก็รีบเดินตามนายท่านของตนไป
ยุนโฮไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำซ่าตอนไหน
คุณแม่บอกไว้เสมอว่าให้สุภาพกับทุกคนแล้วเราจะได้รับสิ่งนั้นกลับมา เฮ้อ
เขาไม่เคยรู้สึกปรับตัวยากขนาดนี้มาก่อนเลย
= = = =
เย็นวันเสาร์ยุนโฮถูกแม่เชิญมาที่บ้านเพื่อนทานดินเนอร์
คงกลัวว่าแจจุงจะเย็นชากับยุนโฮเกินไปจนสองบ้านเข้าหน้ากันไม่ติด
แม่ปลื้มอกปลื้มใจที่ยุนโฮกินเก่งเหลือเกินและบ่นว่าแจจุงกินน้อยเหมือนแมวดมก็เลยตัวแค่นี้
ส่วนพ่อถูกจำกัดแคลอรีจึงทำหน้าเหมือนเคี้ยวกระดาษชำระตอนต้องกินอาหารคลีน
พอมียุนโฮมาบ้านแล้วกินเหมือนว่ามันเป็นอาหารอันโอชะที่สุดในโลกแม่จึงอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
เชิญชวนให้ยุนโฮมาทานข้าวเย็นด้วยทุกมื้อหากสะดวก ไม่พอแค่นั้นยังเสนอให้แจจุงเป็นไกด์พายุนโฮเที่ยวในวันพรุ่งนี้
‘ทำไมแม่ไม่ไปสู่ขอเขามาเป็นลูกเลยล่ะครับ’ แจจุงประชด
แม่จึงประชดกลับว่า
‘ลูกเขยอ่าได้
ใช่มั้ยสุดหล่อ’ หันไปถามสุดหล่อที่เริ่มเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
ไม่รู้ว่าจะเลือกข้างแม่หรือเลือกข้างแจจุงดี
‘ได้มั้ยล่ะครับ’ คำถามตีวงกว้างที่ไม่เจาะจงว่าถามใครกันแน่
พ่อที่นั่งอมทุกข์อยู่กับบร็อคโครี่ต้มถึงกับขำพรวด
นึกว่ายุนโฮมันเล่นมุกหรือไง
ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมาก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่จะยังขำออกหรือเปล่า
สถานที่แรกที่แจจุงพาทัวร์คือพิพิธภัณฑ์แต่เพราะฝนตกหนักจึงทำให้ติดแหง็กอยู่ที่นี่กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
“ที่นี่ฝนตกแทบจะตลอดเวลาเลยเนอะ” ยุนโฮชวนคุยเรื่อยๆ
ถ่ายรูปเพลินจนลืมสังเกตว่าแจจุงไม่ได้เดินตามมาด้วย
หลังคาบริเวณรูปปั้น GOD OF YOU มีรอยรั่ว
น้ำฝนไหลหยาดหยดลงมาใส่ประติมากรรมชิ้นเอก นักท่องเที่ยวคนหนึ่งชี้ชวนให้เพื่อนดู
“ดูสิ
เหมือนเขากำลังร้องไห้จริงๆ”
มีคนหนึ่งกดซูมไปยังใบหน้าของรูปปั้นและบันทึกภาพวิดีโอไว้
“สมจริงเว่อร์อ่ะ
ฉันจะอัพในทวิตแล้วใส่แค้ปชั่นว่า เทพผู้หลั่งน้ำตา”
“โทษครับ
ขอทางหน่อย” พนักงานลากรั้วกั้นมาวางรอบรูปปั้นเพื่อกันนักท่องเที่ยวออกไป
พนักงานอีกสองคนช่วยกันเข็นบันไดนั่งร้านออกมาเพื่อจะปีนขึ้นไปอุดรอยรั่ว
เทพผู้หลั่งน้ำตา…..
แจจุงจ้องมองใบหน้านั้น เอ่ยเพียงแผ่วเบาในใจ
หัวใจท่านสลายเพียงครั้งเดียว แต่ข้านั้นใจสลายซ้ำๆ นับไม่ถ้วน
ทันใดนั้นพลังไร้รูปลักษณ์ก็พุ่งฉิวมาสัมผัสฝ่ามือ แจจุงหันไปยังต้นทาง
ชายร่างสูงโปร่งสวมฮู้ดคนเดิมปรากฎตัวให้เห็น
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้น แจจุงจำเขาได้ น้องชายแท้ๆ
ของนายท่านผู้นั้น น้องชายผู้ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจคิมแจจุงแต่มิอาจกล่อมพี่ชายได้
“แม็ก!” แจจุงตะโกนเรียก
วิ่งตามเขาออกไปด้านนอก
“แจจุง
จะไปไหน ข้างนอกฝนตกหนักนะ”
ยุนโฮรีบเก็บมือถือลงกระเป๋าเป้
ฝากมันไว้กับเจ้าหน้าที่ด้านหน้าแล้ววิ่งตามแจจุงออกไปอีกคน
แม็กหายไปกับม่านหมอกสีขาวของสายฝน
แจจุงเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังกำวัตถุบางอย่างอยู่ พลังที่พุ่งสัมผัสฝ่ามือเมื่อครู่คงเป็นเจ้าสิ่งนี้
ล็อกเก็ตทรงแปดเหลี่ยม มีอัญมณีสีน้ำเงินประดับอยู่ตรงฝาหน้า
ด้านหลังสลักอักษรอ่อนช้อยวิจิตรว่า Always
แจจุงประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือเพื่อมอบให้นายท่านผู้นั้น
เขาดีใจมากและใส่รูปแจจุงลงไป ตอนนี้ไม่มีรูปแจจุงอยู่ในนั้น
มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ ถูกพับและยัดไว้
มืออันสั่นเทาคลี่มันออก สายฝนไม่สามารถละลายหมึกได้เลย
ทันทีที่อ่านจบกระดาษแผ่นนั้นก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
เสียงร้องไห้และเสียงฝนที่กระหน่ำฟาดฟันลงมาผสานกันเป็นเสียงกรีดร้องของฝูงสัตว์ตัวเล็กๆ
ที่กำลังจะตาย แจจุงกำรอบล็อกเก็ตที่เปิดอ้าไว้ คมของมันบาดลึกเข้าไปในผิวเนื้อ
ยุนโฮเพิ่งมาถึงตัวแจจุง พยายามแกะมือแจจุงออกจากล็อกเก็ตนั้น
“แจจุง
ได้โปรด ทำแบบนี้นายจะเจ็บนะ”
ร่างบางซุกตัวเข้าหาแผงอกแข็งแรง ที่พึ่งสุดท้ายตรงหน้า
หากไม่เกาะกุมหรือโอบกอดใครสักคนเอาไว้แจจุงต้องแย่แน่ๆ
“ปล่อยมือนะแจจุง
เอามาให้ฉัน” เขาแกะมันออกจากมือแจจุงได้สำเร็จ
ทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสถูกอัญมณี
พลังมหาศาลก็เหวี่ยงร่างเขาลงกระแทกพื้น ดึงร่างแจจุงให้ล้มลงไปด้วย
ร่างยุนโฮแน่นิ่ง
“ยุนโฮ” แจจุงลองเรียก
ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยับไหว
สายฝนที่ซัดลงมาไม่ยั้งราวกับกำลังเทกระหน่ำความทรงจำลงไปในตัวเขา
ริมฝีปากของเขายกยิ้มผิดแผก เปลือกตาเปิดขึ้นช้าๆ
เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใสอันคุ้นเคย
ข้อความนั้นเป็นของจริง....
ข้อความที่เผาไหม้ทุกความเย็นชาจอมปลอมของแจจุงให้กลายเป็นผุยผง
ลายมือที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
ข้อความที่ส่งผ่านถึงแจจุงโดยตรงด้วยลายมือของนายท่านผู้นั้น
เปิดเผยบางสิ่งในหัวใจที่แจจุงเคยปฏิเสธมันอย่างหนักแน่นมาตลอด
‘เร้นกายใต้เปลือกปลอม
ดำดิ่งนรกานต์แล้วหวนคืน’
= ปฐมบท
=
ความคิดเห็น