ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรักตามลุ้น กับเรื่องวุ่นๆของเด็กอินเตอร์

    ลำดับตอนที่ #2 : วันแรกขอกการเปิดภาคเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 49


    วันแรกของการเปิดภาคเรียน

                                                                              

                    ฉันตระหนักดีว่าฉันรอวันนี้มานาน  วันที่ฉันจะได้ใส่ชุดนักศึกษาสีขาว  กระโปรงพีทสีดำ  ฉันรอวันนี้มานานแสนนาน  อย่างน้อยก็รอมันมานานเท่ากับเวลา  19 ปีของชีวิตฉันแหล่ะนะ  อ้อจะว่าไปแล้ว  นี่มันบันทึกของฉันนีน่า  ขอแนะนำตัวเองก่อนเลยว่า  ฉันมีนามว่า  ปิยธิดา   แต่ไม่ใช่ป๊อก ปิยธิดาหรอกนะ  แต่จะว่าไปมันก็เกือบๆเหมือนแหล่ะ  ฉันปิ๊ก  ปิยธิดา  ราชนันท์ทุดา  นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ  สาขาวิชาระบบสาระสนเทศน์(ไม่รู้หรอกนะว่าเรียนอะไรบ้าง  รู้แต่ว่าเรียนวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นี่แหล่ะ)หลักสูตรนานาชาติ  คงจะคิดล่ะซิว่าต้องมีฝรั่งหัวดำหัวแดงเดินให้เต็มไปหมดล่ะซิ  เปล่าเลยฉันเจอแต่คนเวียดนาม  เดินกันให้ขวักไขว่  ที่รู้ อ่านะเพราะมีรุ่นพี่เขาบอกมา  ถ้าจะให้มองเองก็ยอมรับว่าดูไม่ออกหรอก  ก็เล่นหน้าตาขอยกับพี่น้องชาวไทยแถบภาคอีสานซะขนาดนั้น  มีคนหนึ่งหน้าตาเหมือนซุปเปอร์สตาร์เมืองไทยคนหนึ่งเลยแหล่ะ    อันแน่ะ  คงคิดกันแล้วล่ะซิ  ว่าต้องเป็นพี่เบิร์ด  หรือว่าพี่ฟิล์ม  ผิด  เขาคือจาพนม  ให้ตายซิจับฉันไปว่ากล่าวสาบานที่ไหนเลยก็ได้นะ  ฉันยืนยันว่าเหมือนจริงๆ  คิดดูซิ ว่าไอความใฝ่ฝันของฉันที่คิดว่าจะได้เข้ามานั่งเรียนไปตามองพลางไปยังเพื่อนนักเรียนชาวต่างชาติไปน่ะหรอ  เป็นอันจบเหตุ   เศร้าจริงๆ  

     

                    นี่....แม่ปิ๊กจะส่องกระจกอยู่อีกนานไหมเนี่ยจะไปมันไหมไอมหาวิทยาลัย เสียงของแม่ตะโกนส่งขึ้นมาจากฉันล่างของบ้าน ในณะที่ฉันกำลังสำรวจความพร้อมของตัวเองอยุ่หน้ากระจกพลางหมุนซ้ายที ขวาที

     

                    ไปจ้าไป......จะลงไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ ฉันตอบรับแม่อย่างทันที พลางนึกในใจว่าแม่ช่างรู้ดีไปกะไรทุกเรื่องเนี่ย ขนาดอยู่ข้างล่างยังรู้ว่าฉันส่องกระจก เอ๊ะ หรือว่าแม่จะมีตาทิพย์ ไม่หรอกมั้ง หรือว่าแม่ติดกล้องวีดีโอไว้ ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ใหญ่ ไม่คิดแล้ว รู้สึกยิ่งคิดยิ่งไร้สาระขึ้นทุกที

     

                    ฉันวิ่งลงมาชั้นล่างพร้อมกับคว้าขนมปังอาหารสำเร็จรูปที่แม่มักจะเตรียมไว้ให้เพราะท่านคงคิดแล้วว่าไม่มีอะไรน่าจะสะดวกไปมากกว่านี้  ก้าวขึ้นรถเก๋งยี่ห้อดัง คู่ไปกับชายหนุ่มร่างงามรูปหนึ่ง  เน้นร่างนะ  เพราะให้ฉันมองยังไงมันก็ไม่หล่อ  ทำไมหรอ  ฉันอิจฉา เขาว่ากันว่าความอิจฉาของคนเรามักจะทำให้การมองเห็นสิ่งต่างๆกลับกัน  ไอที่เขาว่าดี  เราก็จะว่าไม่ดี  ไอที่เขาว่าไม่ดี  เราจะเห็นดีเห็นงามไปกับมันทุกเรื่อง  เรื่องของเรื่องก็คือ  ฉันอิจฉา พ่อแม่เดี๋ยวกันแต่มันเอายีนส์ด้อยที่คนส่วนมากอย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่งแหล่ะที่คิดว่าดีมันเอาไปหมดเลย  ขาวเหมือนแม่  แต่หน้าเหมือนพ่อ  คิดดูซิเพราะฉะนั้นแล้ว  ฉันเลยต้องรับมาเต็มผิวเหมือนพ่อ  แต่หน้าเหมือนแม่  แต่ขอยืนยันว่าฉันไม่ได้ดำนะ  แต่ก็เกือบๆ  ถ้าเปรียบเป็นสีน้ำล่ะก้อ  ฉันก็คงเป็นสีโอวันตินที่ไม่ใส่นม  อืม แต่ใส่น้ำตาลนิดหนึ่งนะ

     

                    ใจคอแกจะสายตั้งแต่วันแรกเลยหรือไง แน่นอนไม่ต้องเดาเลยว่ามันเป็นเสียงของไอ้พี่ชายตัวแสบฉันเอง  ไอ้พี่บิ๊ก

     

                    ไม่สายหรอกน่า  ปิ๊กคำนวณเวลาไว้พอดีแป๊ะ  เชื่อมือเห่อะน่าฉันตอบไปด้วยความระอาอย่างแรง

     

                    จ้า  แม่คนเก่ง  อ้อไม่ใช่สิ่  แม่สายเสมอ พี่บิ๊กยังย้อนฉันอีกครั้ง

                    เอ่อน่า ฉันรับข้อกล่าวหามาโดยง่าย  ไม่ใช่ว่าฉันยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงหรอกนะ  เพียงแต่ฉันไม่อยากจะเถียงกับพี่ตัวแสบมากกว่า  ไม่งั้นมันคงส่งเสียงบ่นเป็นยายแก่ตลอดทาง  เพราะฉันเคยประสบมาแล้ว  เพราะฉะนั้นถ้าหากอยากนอนสบาย(นอนจริงนะ)ฉันอาศัยเวลาช่วงนี้แหล่ะในการพักสมองและสายตา  จำไว้ว่าอย่าเผลอไปเถียงอะไรเด็ดขาดเมื่อก้าวขึ้นรถพี่บิ๊กมาแล้ว

     

                    ขึ้นมาถึงก็หลับเลย  แกเห็นรถฉันเป็นเปลกล่อมแกตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะเนี่ยนี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินตลอดการเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยแห่งใหม่

     

                    จะว่าไปแล้วมหาวิทยาลัยฉันมันก็กว้างเหมือนกันนะเนี่ย  ฉันจะบันทึกเอาไว้แล้วกันว่า  มันเป็นข้อดีข้อหนึ่ง  ของมหาวิทยาลัยที่ฉันอยู่  นอกจากค่าเทอมระดับอินเตอร์ที่ทั้งถูกแสนถูก  มีอย่างที่ไหน  เรียนอินเตอร์  แต่ค่าเทอมเท่ากับมหาวิทยาลัยเอกชนของรัฐที่เรียนภาคธรรมดา

     

                    มหาวิทยาลัยแกมันก็กว้างเหมือนกันนะ  แต่สู่ของฉันไม่ได้ว่ะ นี่เป็นอีกคำพูดที่ฉันได้ยินจากปากพี่บิ๊ก  อ้อใช่สิ่มหาวิทยาลัยฉันมันจะใหญ่ไปสู่กับของพี่ได้อย่างไงล่ะ  ในเมื่อมหาวิทยาลัยของพี่ฉันเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ  มีที่มากพอที่จะให้เช่าทำศูนย์การค้า

     

                    เอ่อ เป็นเสียงห้วนๆที่ออกมาจากปากฉัน เมื่อไหร่จะถึงตึกที่คณะซักทีนะ  ฉันรำคาญมันจะแย่อยู่แล้วไอพี่ขี้อวด

     

                    และแล้วการรอคอยของฉันก็เป็นที่สิ้นสุด  ฉันมาถึงหน้าตึกคณะของฉันซักที  ตึกคณะของฉันมี 10 ชั้น  แต่ละชั้นก็แบ่งตามสาขาวิชา ชั้นบนสุดเป็นห้องประชุม  แน่นอนคณะชั้นอยู่ในชั้นลองลงมานั่นก็คือ  ชั้น 9

     

                    วันนี้แม่บอกว่าแกเลิก 4 โมง  รอแล้วกันเดี๋ยวพี่มารับพี่บิ๊กพูดกึ่งสั่งเล็กน้อย  แต่ด้วยความอคติที่มีต่อพี่ชายฉัน  ฉันว่ามันสั่งฉันชัวร์เลยว่ะ  ฉันไม่อยากจะรอมันนักหรอก

     

                    เออ  จะรอแล้วกัน ฉันตอบรับอย่างงายได้  โดยตรงข้ามกับความคิดลึกๆในใจทำไมหรอ  เพราะฉันไม่อยากเสียตังค์กลับบ้านเองน่ะซิ  ค่าแท็กซี่ก็แพง  ขึ้นรถแม่ก็หลายต่อ ดังนั้นสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือ  ทนและทน และก็ทนจนกว่าจะถึงที่สุด

     

    แล้วฉันก็เดินขึ้นมาบนตึกโยการใช้ลิฟท์ที่ทางมหาวิทยาลัยมีไว้บริการเหล่านักศึกษา  อีกอย่างตอนก่อนจะขึ้นมาบนตึกนะ  ฉันเห็นซุ้มขายของอยู่ซุ้มหนึ่งด้วยแหล่ะ เป็นสุ้มแป๊บซี่น่ะ มีขนมหลากหลายชนิดมาก เพราะฉะนั้น  ฉันคงสบายใจได้แล้วว่า ชีวิตฉันตลอด 4 ปีของการอยู่ที่นี่  จะฝาท้องกับที่แห่งใดได้บ้าง

     

    จะว่าไปแล้วข้อดีของการมีสถานที่ศึกษาที่เล็กอย่างงี้น่ะหรอ  มันก็อบอุ่นดีนะ  แต่ถ้ามันจะใหญ่กว่านี้ซักนิดจะดีมากเลยแหล่ะ

    ฉันต้องเรียนอยู่ในห้องเอ  หรือที่เขาเรียกกันว่าห้องคิงในสมัยม.ปลายอ่ะนะ  ฉันว่ามันเป็นการเรียนที่น่าเบื่อมากเลยแหล่ะ  ก็ดูซิมองไปทางไหน  ก็มีแต่คนตั้งหน้าตั้งตาเรียนทั้งนั้นเลย  ไอความที่ฉันมันเป็นประเภทไม่ค่อยอยากจะเรียนซักเท่าไหร่  มันเลยทำให้ฉันรู้สึกรำคาญมากเลยที่ต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ 

     

    แต่ฉันก็พอมีเพื่อนอยู่บ้าง  ตอนนี้ที่มีๆแล้วเรียกว่าพอจะน่าสนิทกันมากขึ้นหน่อยก็มี  แพร  ฟังชื่อเพื่อนฉันคนนี้แล้วเป็นงัย  ฟังดูหวานไหม  แต่เปล่าเลยตัวตนของเธอช่างตรงข้ามกับชื่อเธอทีเดียว  เธอโกรกผมข้างหน้าด้วยสีทอง แพรเป็นผู้หญิงตัวเล็ก  แต่ไว้ผมยาวมาก  เธอเจาะจมูกแล้วใส่ห่วงที่เป็นจิวสีดำไว้  แถมเมื่อได้คุยกัน ฉันยังรู้มาอีกว่าเธอเจาะเหงือกด้วย  สำหรับฉันมันน่ากลัวมากเลย  แค่เจาะหูข้างละสองรู ฉันยังเจ็บแล้วเจ็บอีก

     

                    แล้วก็มีพี่ออล์ย ที่ต้องเรียกพี่เพราะว่านับถือเธอ เธอพึ่งย้ายมาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร  ด้วยเหตุผลที่ว่าเรียนหนัก  และเดินทางไกล  จากการฟังสิ่งที่เธอเล่ามา  ฉันก็เห็นด้วยกับเธอเหมือนกันนะ  ดีแล้วแหล่ะที่เธอตัดสินใจมาเรียนที่นี่

     

                    ต่อไปก็เป็นหนึ่งกับเฟริสต์  สองคนนี้เขาเป็นคู่กัน  ไอที่เขาเรียกทั่งไปว่าแฟนน่ะ  ฉันว่าเขาเหมาะสมกันดีแหล่ะ  หนึ่งก็หล่อ  เฟริสท์ก็สวย  ช่างน่าอิจฉาจังเลย  ทำไมฉันไม่มีแฟนกับเขาบ้างนะเนี่ย

     

                    ในตอนที่ฉันกำลังเขียนเรื่องราวต่างๆอยู่ตอนนี้อ่ะนะ  ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมา  แล้วมองตรงไปยังห้องนั่งเล่นรวมของคณะ  สิ่งแรกที่ฉันพบเลยก็คือ  ฉันเห็นผู้ชายอยู่คนหนึ่ง  หน้าตาจัดได้ว่าดูดีอยุ่ทีเดียว  ผิวขาว  สูงพอประมาณ  ผมซอยสั้นรับกับใบหน้า  จะว่าไปแล้วฉันว่าเขาผมสั้นที่สุดในคณะเลยนะ  ถ้าไม่นับไอยุ่งเพื่อนห้องซีที่ตัดสกินเหดเพราะต้องเรียน ล.ด. ฉันรู้จักนายนี่ได้อย่างไงเรื่องมันยาวมากเลยล่ะ  ไว้จะเราให้ฟังแล้วกันนะ แต่อะไรก็ไม่สำคัญไปเท่ากับว่าเขาโดนใจดวงน้อยๆของฉันเหลือเกิน  ฉันต้องรู้ให้ได้เลยว่าเขาเป็นใคร  เรียนปีอะไร  สาขาอะไร  คอยดูนะ  เพราะฉันเชื่อว่ามันคงเป็นบุพเพที่ทำให้เขากับฉันต้องมาเจอกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×