คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่6 สู่งานเลี้ยง [3]
บทที่6 สู่งานเลี้ยง [3]
อาเรนเซียต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ขำไปกับเสียงร้องโหยหวนปานวิญญาณโดนน้ำมนตร์ของอีกคนในร่าง
‘เจ้าก็ทนหน่อยซี่’
ลักซ์ได้ยินก็พลันส่งเสียงฮึดฮัด ปรากฏร่างขึ้นทันใดด้วยสีหน้าบูดบึ้งจนดูไม่ได้
“ข้าว่าป่านนี้นางคงอกแตกตายแล้วแน่
ๆ”
เบิร์นที่รู้นิสัยอีกคนในร่างของพี่สาวดีเดินเข้ามากระซิบเสียงเบาอย่างสะใจ
อาเรนเซียจึงพยักหน้ายืนยันคำพูดน้องชาย แล้วเริ่มพากันก้มหน้าหัวเราะคิกคักไม่หยุด
ลักซ์กลอกตา
สองมือเท้าเอวอย่างเซ็งจิต
‘จ้า ๆ หัวเราะกันเข้าไป’
อาเรนเซียฉีกยิ้มแบบสตรีผู้สมบูรณ์แบบออกมา
มองดูแล้วช่างบริสุทธิ์ผุดผ่องจนแทบจะเกิดภาพลวงตาว่าเหนือศีรษะของหล่อนมีวงแหวน กลางหลังก็มีปีกสีขาวราวกับนางฟ้าตัวน้อย ๆ
ลักซ์จงใจกระแทกเสียงถอนหายใจจนเหมือนจะกลายเป็นการตะโกนออกมา
สีหน้ากลับมาเอื่อยเฉื่อยอีกครั้งหนึ่ง สลายร่างจากไปด้วยความเซ็ง
“โอ๊ะ! นั่นใช่เจ้าของวันเกิดรึเปล่า?”
อาเรนเซียกับน้องชายพากันขอตัวออกมานอกวงล้อม
สายตาพลันปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนที่ดูโดดเด่นเป็นอย่างมากจนอาเรนเซียอดจะร้องถามขึ้นไม่ได้
“อ
า ข้าคิดว่าใช่นะครับ” เบิร์นจ้องมองเด็กหนุ่มผู้นั้นพลางพึมพำตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ท่านพ่อบอกว่าเจ้าของวันเกิดเป็นเด็กหนุ่มที่มีเสน่ห์ปานปีศาจความฝัน...ซึ่งเขาก็เข้าข่ายสุด
ๆ เลย...”
เบิร์นนึกเห็นด้วยกับคำพูดของบิดาบุญธรรมเป็นอย่างมาก เพราะขนาดเขาที่ไม่ได้สนใจเรื่องหน้าตาคนอะไรมากมายยังอดชมไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้งดงามจนเหมือนว่าเป็นงานสลักชั้นดีจริง
ๆ
บุรุษในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มดังเช่นเรือนผมยาวรากไทรของเขาคือบุคคลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของสองพี่น้อง เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเย้ายวนหาใดเปรียบ
ร่างกายสมส่วนขับเน้นให้ดูราวกับภาพฝัน ดวงตาสีฟ้าซีดเรียวคมคู่นั้นราวกับว่าจะสามารถพรากวิญญาณของผู้ที่สบมองให้หลุดลอยจากร่างกายไปได้
จะกล่าวว่าอีกฝ่ายนั้นนั้นงดงามหรือหล่อเหลาก็ล้วนเป็นคำที่เหมาะสมทั้งนั้น
ในเมื่ออีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาที่ดีจนใกล้เคียงกับงานศิลปะเช่นนี้เอง
‘โอ้โหแฮะ ก็ว่าทำไมไม่ค่อยมีผู้หญิงมาทัก ไปทางโน้นหมดนี่เอง’
ลักซ์พูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
ไม่วายแอบพึมพำคำหยาบใส่แม่สาวน้อยกลุ่มนั้นคำหนึ่งแล้วเงียบหายไป
แกล้งตายเสียจนอาเรนเซียส่งเสียงเอ็ดไม่ทัน
เด็กหนุ่มที่กำลังยืนสนทนากับพวกสาว
ๆ อย่างออกรสกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดลงบนร่างของสองพี่น้อง
ใบหน้างดงามราวงานศิลปะแย้มยิ้ม
ก่อนเดินฝ่าวงล้อมของสาว ๆ ตรงมาหาคนทั้งคู่
สองพี่น้องลอบมองหน้ากัน
ในดวงตามีแต่แววตั้งคำถามอยู่ภายใน
“ท่านทั้งสองคงเป็นบุตรีและบุตรบุญธรรมแห่งตระกูลเวลด้าสินะครับ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายโค้งตัวทักทายอย่างสุภาพเช่นนั้น ทั้งคู่ก็จำต้องกระทำตอบทั้ง ๆ
ที่ยังงุนงงไม่หาย อาเรนเซียและเบิร์นลอบมองหน้ากันเงียบ ๆ ไม่สามารถเดาได้ว่าทางนั้นต้องการสิ่งใดจึงจงใจตรงมาหาขนาดนี้
“นามของข้าคือแอสทิล
โมนาส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ตระกูลเวลด้าตอบรับคำเชิญของขุนนางตัวน้อย
ๆ อย่างพวกเรา”
“ไม่หรอกค่ะ
ดูจะเป็นการเสียมารยาทเสียอีกที่พวกเรามาโดยไม่ได้หยิบของขวัญใด
ๆ ติดมือมามอบให้เลย”
อาเรนเซียตอบรับยิ้ม
ๆ ตามมารยาท ซึ่งทางนั้นเองก็ดูจะเข้าใจดีและไม่ได้นึกเสียใจใด
ๆ ที่เห็นว่าทางพวกเธอแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้อยากสานไมตรีใด ๆ ไปมากกว่านี้ ทว่ากลับเอื้อมมือมาคว้ามือของเด็กหญิงแล้วประทับจุมพิตแผ่วเบาลงไปเสียเฉย
ๆ
สองเด็กน้อยตัวแข็งทื่อ
ไม่คิดว่าแอสทิลผู้นั้นจะหาญกล้าถึงเพียงนี้
‘สนใจให้ฉันออกไปตั๊นหมอนั่นมะ?’
น้ำเสียงยะเยือกผสมยียวนดังขึ้น
อาเรนเซียสะดุ้ง จับเค้าความเกลียดชังระคนขยะแขยงจากสุรเสียงนั้นได้อย่างชัดเจนจนเธอยังอดขนลุกเกรียวไม่ได้
‘มะ ไม่เป็นไร’
ลักซ์ไม่ได้ยื้อแย่งหน้าแสงกับเธอ
เพียงสำทับว่าให้ระวังตัวแล้วเงียบไป
อาเรนเซียรีบยื้อมือกลับ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แอสทิลได้อุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“สี่ธาตุ...มากถึงเพียงนั้น?”
เสียงที่เด็กหนุ่มพึมพำออกมานั้นทำเอาดรุณีน้อยถึงกับสะดุ้ง
ชายผู้นี้สามารถตรวจสอบเวทธาตุของผู้อื่นได้เพียงแค่สัมผัส?
ความสามารถระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น
ๆ เลยสักนิด แม้แต่ผู้เป็นเลิศในการตรวจเวทธาตุที่บิดาเธอพามายังตรวจสอบได้ไม่เร็วเท่านี้เลยด้วยซ้ำ!
เมื่อแอสทิลกะพริบตา
ความตกใจก็ได้เลือนหายไปสิ้น เขายกยิ้มน่ามองส่งมาให้เล็กน้อย
“ช่างเป็นพลังที่น่าอิจฉายิ่ง” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “มันทำให้ข้าอยากได้เจ้าจริง ๆ คุณหนูตัวน้อย”
แม้ใบหน้าจะยังยิ้ม
แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับฟังดูน่ากลัวเล็ก
ๆ เนื้อความในประโยคเองก็ชวนคิดไปได้หลายแบบจนอาเรนเซียไม่รู้ควรตอบอะไรออกไปดี
‘ทนดูไม่ไหวละ!’
น้ำเสียงสั้นห้วนดังขึ้น
ก่อนที่การควบคุมจะถูกยึดไปในเสี้ยววินาที
ลักซ์ระบายยิ้มอันอ่อนหวานออกมา
เบิร์นขมวดคิ้ว รับรู้ได้ถึงไอเย็นเยียบจากร่างของผู้เป็นพี่สาว
ทว่าครั้งนี้เขากลับยินดีเล็กน้อยที่ยัยจอมมารผู้นี้ออกโรง
เด็กชายเพียงยืนทำทีเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
สีหน้ายังประดับยิ้มเล็กน้อยเหมือนไม่ได้มีบรรยากาศมาคุใด
ๆ ในวงสนทนาของทั้งสามคน
“อยากได้ข้า?
เจ้าหวังสูงไปแล้ว”
เสียงอ่อนหวานกล่าวไม่ดังไม่เบา
ใบหน้าพริ้มเพราอันเคยสงบนิ่งค่อย ๆ หรี่ตาลง
หยักยิ้มยั่วเย้า ยกมือใต้ถุงมือสีดำตาข่ายขึ้นป้องปากอย่างมีจริต
“เป็นเพียงลูกขุนนางขั้นสองแท้
ๆ”
ใบหน้าของแอสทิลแข็งกร้าวขึ้นในบัดดลที่ได้ยินสุ้มเสียงหยามเหยียดนั้น
“ไม่ว่าเจ้าจะสื่อความหมายเป็น
‘แบบนั้น’ หรือ ‘แบบนั้น’
ข้าก็ต้องพูดว่า เสียใจด้วย เจ้ามันหวังสูงเกินไป”
ลักซ์เดินเข้าไปใกล้
ป้องปากกระซิบเสียงเย็น
ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่หลงเหลือรอยยิ้มใด
ๆ อี ก ทว่าก็ไม่ได้ดูกริ้วโกรธมากนัก ออกจะมากไปทางความประหลาดใจเสียมากกว่า
เหตุใดนางถึงได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนละคนกลับเมื่อครู่กัน?
ลักซ์พลันคลายสีหน้ายั่วเย้ากลายเป็นอ่อนหวานอย่างฉับพลัน
ก้าวถอยหลังทิ้งระยะห่าง ถอยสายบัวด้วยท่าทีชดช้อย
“ข้าคงทำได้แต่ให้คำอวยพรเล็ก
ๆ น้อย ๆ ขอให้การสอบเข้าโรงเรียนเป็นไปอย่างราบรื่นนะคะ”
ความคิดเห็น