คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่6 โกหก
บทที่6 โกหก
เสียงตวาดของโซมาเรียกสติของทุกคนได้ทันควัน เซบาสเตียนรีบพุ่งมาแยกคนทั้งคู่ออกจากกันทันที
แม้เขาจะรู้ดีว่าแผลเท่านี้ไม่อาจทำอันตรายหญิงสาวได้ก็ตาม
อัคนีจ้องมองมีหั่นสเต็กที่แทงเสียจนมองเห็นด้ามจับได้เพียงเล็กน้อยด้วยสายตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดไม่อาจกล่าวคำใด
“รีบไปเรียกหมอเร็วเข้า!”
โซมาร้องบอกอย่างแตกตื่น สีหน้าดูร้อนรนอย่างยิ่ง
“ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ”
เธอยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร สีหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้แต่รอยกระเพื่อมไหว ดูไม่คล้ายคนถูกแทงเลยสักนิด
หญิงสาวเลื่อนมือไปจับด้ามมีดที่เหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งนิ้ว กระชากออกมาอย่างแรง
ฉัวะ!
โลหิตไหลทะลักส่งกลิ่นหอมหวานอันน่าประหลาด สีหน้าของเธอไม่แม้แต่จะกระตุก เพียงวาดมือผ่านบาดแผลและรอยเลือด ทุกอย่างพลันกลับกลายเป็นสะอาดสะอ้าน บาดแผลที่เคยเห็นว่าสาหัสจนน่าใจหายเองก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
โซมาและอัคนีถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจจนโง่งม
ต่างเอาแต่อ้าปากเบิกตากว้างมองสาวใช้ตรงหน้าตาไม่กะพริบ
ดวงตาสีอเมทิสต์สบมองไปทางโซมา ค่อย ๆ ค้อมตัวลงอย่างช้า ๆ กลีบปากแดงดุจโลหิตขยับเอ่ยคำพูดออกมาอย่างเฉยชาแช่มช้า
“หวังว่าโชว์เล็ก ๆ
ของดิฉันจะทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกสำราญนะคะ”
คำพูดของเธอทำเอาแขกทั้งสองงงงันจนชะงักอึ้งไป ล้วนจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ถูกทั้งสิ้น
เห็นคนทั้งคู่งงงันจนแทบจะกลายเป็นโง่ไปแล้ว อาเคร่าก็ตัดสินใจเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยสุดจะกล่าว
“ท่านต้องการให้ดิฉันแสดงพลังวิเศษ นี่ก็คือพลังวิเศษของดิฉันค่ะ” คล้ายกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ เธอคว้าเอามีดหั่นสเต็กขึ้นมา แล้วแทงเข้าที่ข้อมือของตัวเองจนทะลุ
โซมามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด จะเป็นลมอยู่รอมร่อ
เธอดึงมีดออก เพียงครู่เดียวบาดแผลและเลือดทั้งหมดก็เลือนหายไปเช่นครั้งก่อน เธอหันไปมองทางเจ้าชายจากต่างแดน
“ดิฉันสามารถรักษาตัวเองได้ค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง” เขาพึมพำอย่างเข้าใจ
แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก มองไปทางอัคนีที่ยืนหน้าเคร่งอยู่ด้านข้าง “แต่เมื่อกี้อัคนี...”
“อา ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ นั่นล้วนเป็นแผนของดิฉันเองค่ะ”
เธอเอ่ยแทรกขึ้นเสียงราบเรียบ
ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอัคนีที่ยังคงมีสีหน้างุนงง หล่อนโค้งให้แก่เขาอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมืออย่างดีนะคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ใบหน้าแตกตื่นงุนงงพลันสงบลง แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะยังคงมีความกังวลอยู่ แต่เขาก็ตอบรับได้อย่างลื่นไหล
“ด้วยความยินดีขอรับ”
โซมามองคนทั้งคู่สลับไปมาอยู่พักหนึ่งก็ปรบมือเข้าหากัน สีหน้าปรากฏแววเข้าใจ
“อะไรกัน ที่แท้ก็ตกลงกันไว้แล้วนี่เอง!” เขาร้องอย่างอัศจรรย์ใจ ก่อนจะมองไปทางอัคนีด้วยดวงตาที่หรี่ลง “แต่...ทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนหรือ?”
“อา...”
อัคนีอ้ำอึ้ง ไม่รู้ควรตอบเช่นไร
“เรียนองค์ชาย
ดิฉันและคุณอัคนีเพิ่งได้พบกันที่นี่เป็นครั้งแรกค่ะ ที่ว่าได้ตกลงกันล้วนเกิดขึ้นตอนไฟดับเมื่อสักครู่นี้ค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นเจ้าชายก็พลันเบิกตากว้างทันที
“เอ๊ะ แต่นั่นมันแปปเดียวเองนะ แล้วข้าก็ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยด้วย!”
แม้จะถูกชักถามอย่างหนัก อาเคร่าก็ไม่มีเปลี่ยนสีหน้า ยังคงกล่าวตอบด้วยความใจเย็นจนออกไปทางไร้อารมณ์ความรู้สึก
“ที่ไม่มีเสียงเพราะดิฉันใช้การส่งสัญญาณมือและส่งมีดให้ค่ะ” เธออธิบาย
“คุณอัคนีนั้นฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่ง
การปรับตัวในความมืดจึงดีกว่าคนทั่วไปเช่นเดียวกับดิฉัน ดังนั้นการใช้สัญญาณมือท่ามกล่างความมืดจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นค่ะ”
เห็นหล่อนอธิบายด้วยสีหน้านิ่งเฉย โซมาก็พลันเชื่อสนิทใจ ลืมเลือนความตกใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น
เอาแต่กระโดดล้อมหน้าล้อมหลังหญิงสาวและเอ่ยชมไม่หยุด
ชิเอลและเซบาสเตียนลอบมองหน้ากัน
“หล่อนทำอย่างนั้น?”
เด็กหนุ่มขยับปากถามเสียงเบา
เซบาสเตียนส่ายหน้าทันที
ทั้งคู่มองไปทางหญิงสาวที่มีสีหน้าราวหุ่นกระบอก
มีคนโกหกแฮะ
เรื่องน่ากลัวกลับคลี่คลายได้อย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของสาวใช้หน้าตาย
โซมาที่ดูจะติดอกติดใจสาวใช้หน้าตายผู้นี้เหลือเกินสุดท้ายก็ตัดสินใจขอค้างคืนที่นี่ ทำเอาชิเอลถึงกับกลอกตาไปแล้วสามตลบติด ๆ
กัน สีหน้าท่าทางคล้ายอยากเอาปืนยิงสาวใช้ของตนเสียเหลือเกิน
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าอาเคร่าจะผละตัวออกมาได้ เธอกลับไปที่ครัวเพื่อเตรียมชาและขนมชุดใหม่ให้กับแขกทั้งสองและนายน้อยที่ถูกลากให้อยู่สนทนาต่ออย่างน่าสงสาร
“เอ่อ คือว่า”
เสียงทักดังขึ้นมาจากด้านหลัง อาเคร่าชะงักมือที่กำลังเทน้ำร้อนเอาไว้ หันกลับไปทางประตู มองดูอัคนีที่มีท่าทีลังเลด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“เรื่องเมื่อกี้...ต้องขอประทานโทษจริง
ๆ ขอรับ”
เขากล่าวด้วยท่าทีสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง
เมื่อนึกทบทวนกลับไป พบว่าในตอนที่ไฟดับ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นน่าขนลุกพุ่งเข้าปะทะร่างก่อนสติจะดับวูบ
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ใช้มีดหั่นสเต็กแทงหญิงสาวคนนี้ไปแล้ว
เขาทำร้ายเธอโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด!
“นั่นเพราะคุณถูกฉันควบคุมให้ทำ ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยสักนิดค่ะ” เธอกล่าว
ท่าทียังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดิม
“ดังนั้นไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะขอรับ แต่ยังไงมันก็ต้องรู้สึกเจ็บอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
มีดหั่นสเต็กแม้จะค่อนข้างแหลม
แต่เรื่องความคมอย่างไรก็สู้มีดทำครัวหรือมีดที่ใช้ในการต่อสู้ไม่ได้
การจะแทงมันให้จมลงไปในเนื้อขนาดนั้นย่อมต้องใช้แรงมากกว่าปกติหลายเท่า คิดภาพเนื้อที่ค่อน ๆ ถูกเหล็กทื่อ ๆ
กดจนปริขาดดูก็ได้
นั่นมันต้องทรมานมากเลยไม่ใช่หรือ?
เธอกะพริบตาเบา ๆ ซึ่งมันดูไม่เป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย
เขากำลัง...เห็นใจหรือ?
อาเคร่าเอียงคอเล็กน้อย น่าจนใจที่เธอแทบจะไร้อารมณ์ความรู้สึก จึงไม่ค่อยจะเข้าใจท่าทีของเขานัก ถึงกระนั้นก็ยังตอบออกไปเพื่อให้เขาสบายใจ
“ไม่เจ็บเลยสักนิดค่ะ”
อัคนีมองใบหน้าเรียบเฉยนั้นอย่างสงสัย
เธอจึงกล่าวสืบไป “ตัวของฉันนั้นไร้ความรู้สึก ดังนั้นจึงไม่เจ็บเลยสักนิดค่ะ”
หญิงสาวกล่าวกับเขาอีกหลายประโยคกว่าจะทำให้ความกังวลของเขาคลายตัวลงได้
ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกที่หล่อนรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด
อัคนีเมื่อวางใจก็กลับมายิ้มแย้มอย่างสุขุมดังเดิม
เขาช่วยเธอยกขนมหวานและชาไปเสิร์ฟให้แก่นายท่านทั้งสอง ดูสนิทสนมกันอยู่เล็กน้อย
“ที่นี่ให้อัคนีกับเซบาสเตียนอยู่ก็พอ เธอก็กลับไปพักเถอะ”
ชิเอลเห็นเจ้าหล่อนยังคงเอาแต่ยืนนิ่งเป็นตอไม้คอยรับใช้อยู่ไม่ไกลก็ออกปากพร้อมโบกมือไล่อย่างเย็นชา อาเคร่าเห็นดังนั้นก็จากไปอย่างว่าง่ายเชื่อฟัง
ระหว่างเดิน
เธออดจะยกมือลูบตำแหน่งที่ถูกแทงเมื่อสักครู่ไม่ได้ กลิ่นอายอันคุ้นเคยยังคงติดค้างอยู่จาง ๆ
เจ้านี่มันแค้นฝังหุ่นซะจริง ไม่ทันไรก็กลับมาลอบกัดเสียแล้ว
น่าเสียดายที่เมื่อครู่เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เล็กจ้อยเสียจนเพียงเวลาผ่านไปครู่เดียวก็สลายไปในอากาศ เธอจึงไม่อาจจับมันได้
เจ็บตัวฟรีซะแล้วสิ
พึมพำในใจพร้อมโคลงศีรษะ ฝีเท้าค่อย ๆ ช้าลงจนหยุดนิ่ง
ดวงตาสีม่วงหลุบต่ำ ใบหน้าเรียบเฉยดูราวกับตุ๊กตาไม่มีผิด
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง รับรู้ได้ถึงความสงบที่กำลังพังทลาย
เพราะดูเหมือนว่าเลือดของเธอจะทำให้ปีศาจในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรนี้รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเธอซะแล้ว
หล่อนอดจะถอนหายใจไม่ได้ มองดูเงาร่างนับไม่ถ้วนที่กำลังตรงมาทั้งจากบนพื้นและบนฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระโดดนอกหน้าต่างเพื่อไปเผชิญหน้ากับพวกมัน
อาเคร่าเลือกที่จะจบทุกอย่างอย่างรวดเร็วด้วยเวทมนตร์เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนแขกทั้งสอง ทำให้ปีศาจนับร้อยตายตกในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
“หิวซะแล้วสิ”
เสียงลมพัดหวีดหวิว
ท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีม่วงดำปรากฏดาวพราวระยับ เธอมองไปบนท้องฟ้าสีน้ำหมึกด้วยท่าทีเหม่อลอย ก่อนที่ร่างกายจะเลือนหายไป
แดริลเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในร้านเป็นหญิงสาวในชุดสาวใช้ก็ได้ระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ว่าไงครับคุณลูกค้า? ต้องการสิ่งใดบอกผมได้เลยนะครับ”
อาเคร่ามองคนที่เหมือนว่ากำลังแสร้งสวมบทเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วยสีหน้าเฉยชาสุดประมาณ
“หิว”
เธอกล่าวเสียงเรียบ นั่งลงที่เคาท์เตอร์บาร์ทันใด
เขาหัวเราะเบา ๆ หมุนตัวเตรียมจะไปนำอาหารมาให้ แต่เมื่อจมูกได้กลิ่นบางอย่างก็จำต้องชะงักและหันกลับมามอง
เขาเชยคางหล่อนขึ้นให้สบตากับตน
“โดนมันโจมตีอีกแล้วเหรอ?”
“อืม” เธอตอบโดยไม่ปิดบัง “หิว”
เขาส่ายหน้าพร้อมหัวเราะ เดินเข้าหลังร้านไปโดยไม่พูดอะไร
ความคิดเห็น