ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่6 โกหก

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 64


    บทที่6 โกหก

                เสียงตวาดของโซมาเรียกสติของทุกคนได้ทันควัน  เซบาสเตียนรีบพุ่งมาแยกคนทั้งคู่ออกจากกันทันที  แม้เขาจะรู้ดีว่าแผลเท่านี้ไม่อาจทำอันตรายหญิงสาวได้ก็ตาม

                อัคนีจ้องมองมีหั่นสเต็กที่แทงเสียจนมองเห็นด้ามจับได้เพียงเล็กน้อยด้วยสายตาเบิกกว้าง  ใบหน้าซีดเผือดไม่อาจกล่าวคำใด

                “รีบไปเรียกหมอเร็วเข้า!

                โซมาร้องบอกอย่างแตกตื่น  สีหน้าดูร้อนรนอย่างยิ่ง

                “ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ”

                เธอยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร  สีหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้แต่รอยกระเพื่อมไหว  ดูไม่คล้ายคนถูกแทงเลยสักนิด

                หญิงสาวเลื่อนมือไปจับด้ามมีดที่เหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งนิ้ว  กระชากออกมาอย่างแรง

                ฉัวะ!

                โลหิตไหลทะลักส่งกลิ่นหอมหวานอันน่าประหลาด  สีหน้าของเธอไม่แม้แต่จะกระตุก  เพียงวาดมือผ่านบาดแผลและรอยเลือด  ทุกอย่างพลันกลับกลายเป็นสะอาดสะอ้าน  บาดแผลที่เคยเห็นว่าสาหัสจนน่าใจหายเองก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน

                โซมาและอัคนีถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจจนโง่งม  ต่างเอาแต่อ้าปากเบิกตากว้างมองสาวใช้ตรงหน้าตาไม่กะพริบ

                ดวงตาสีอเมทิสต์สบมองไปทางโซมา  ค่อย ๆ ค้อมตัวลงอย่างช้า ๆ  กลีบปากแดงดุจโลหิตขยับเอ่ยคำพูดออกมาอย่างเฉยชาแช่มช้า

                “หวังว่าโชว์เล็ก ๆ ของดิฉันจะทำให้ทั้งสองท่านรู้สึกสำราญนะคะ”

                คำพูดของเธอทำเอาแขกทั้งสองงงงันจนชะงักอึ้งไป  ล้วนจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ถูกทั้งสิ้น

                เห็นคนทั้งคู่งงงันจนแทบจะกลายเป็นโง่ไปแล้ว  อาเคร่าก็ตัดสินใจเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยสุดจะกล่าว

                “ท่านต้องการให้ดิฉันแสดงพลังวิเศษ  นี่ก็คือพลังวิเศษของดิฉันค่ะ”  คล้ายกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ  เธอคว้าเอามีดหั่นสเต็กขึ้นมา  แล้วแทงเข้าที่ข้อมือของตัวเองจนทะลุ

                โซมามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด  จะเป็นลมอยู่รอมร่อ

                เธอดึงมีดออก  เพียงครู่เดียวบาดแผลและเลือดทั้งหมดก็เลือนหายไปเช่นครั้งก่อน  เธอหันไปมองทางเจ้าชายจากต่างแดน

                “ดิฉันสามารถรักษาตัวเองได้ค่ะ”

                “อย่างนี้นี่เอง”  เขาพึมพำอย่างเข้าใจ  แต่เพียงครู่เดียวสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก  มองไปทางอัคนีที่ยืนหน้าเคร่งอยู่ด้านข้าง  “แต่เมื่อกี้อัคนี...”

                “อา  ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ  นั่นล้วนเป็นแผนของดิฉันเองค่ะ”

                เธอเอ่ยแทรกขึ้นเสียงราบเรียบ  ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอัคนีที่ยังคงมีสีหน้างุนงง  หล่อนโค้งให้แก่เขาอย่างนอบน้อม

                “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมืออย่างดีนะคะ”

                เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา  ใบหน้าแตกตื่นงุนงงพลันสงบลง  แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะยังคงมีความกังวลอยู่  แต่เขาก็ตอบรับได้อย่างลื่นไหล

                “ด้วยความยินดีขอรับ”

                โซมามองคนทั้งคู่สลับไปมาอยู่พักหนึ่งก็ปรบมือเข้าหากัน  สีหน้าปรากฏแววเข้าใจ

                “อะไรกัน  ที่แท้ก็ตกลงกันไว้แล้วนี่เอง!  เขาร้องอย่างอัศจรรย์ใจ  ก่อนจะมองไปทางอัคนีด้วยดวงตาที่หรี่ลง  “แต่...ทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนหรือ?”

                “อา...”

                อัคนีอ้ำอึ้ง  ไม่รู้ควรตอบเช่นไร

                “เรียนองค์ชาย  ดิฉันและคุณอัคนีเพิ่งได้พบกันที่นี่เป็นครั้งแรกค่ะ  ที่ว่าได้ตกลงกันล้วนเกิดขึ้นตอนไฟดับเมื่อสักครู่นี้ค่ะ”

                ได้ยินเช่นนั้นเจ้าชายก็พลันเบิกตากว้างทันที

                “เอ๊ะ  แต่นั่นมันแปปเดียวเองนะ  แล้วข้าก็ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยด้วย!

                แม้จะถูกชักถามอย่างหนัก  อาเคร่าก็ไม่มีเปลี่ยนสีหน้า  ยังคงกล่าวตอบด้วยความใจเย็นจนออกไปทางไร้อารมณ์ความรู้สึก

                “ที่ไม่มีเสียงเพราะดิฉันใช้การส่งสัญญาณมือและส่งมีดให้ค่ะ”  เธออธิบาย  “คุณอัคนีนั้นฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่ง  การปรับตัวในความมืดจึงดีกว่าคนทั่วไปเช่นเดียวกับดิฉัน  ดังนั้นการใช้สัญญาณมือท่ามกล่างความมืดจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นค่ะ”

                เห็นหล่อนอธิบายด้วยสีหน้านิ่งเฉย  โซมาก็พลันเชื่อสนิทใจ  ลืมเลือนความตกใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น  เอาแต่กระโดดล้อมหน้าล้อมหลังหญิงสาวและเอ่ยชมไม่หยุด

                ชิเอลและเซบาสเตียนลอบมองหน้ากัน

                “หล่อนทำอย่างนั้น?”

                เด็กหนุ่มขยับปากถามเสียงเบา

                เซบาสเตียนส่ายหน้าทันที

                ทั้งคู่มองไปทางหญิงสาวที่มีสีหน้าราวหุ่นกระบอก

                มีคนโกหกแฮะ

                เรื่องน่ากลัวกลับคลี่คลายได้อย่างง่ายดายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของสาวใช้หน้าตาย  โซมาที่ดูจะติดอกติดใจสาวใช้หน้าตายผู้นี้เหลือเกินสุดท้ายก็ตัดสินใจขอค้างคืนที่นี่  ทำเอาชิเอลถึงกับกลอกตาไปแล้วสามตลบติด ๆ กัน  สีหน้าท่าทางคล้ายอยากเอาปืนยิงสาวใช้ของตนเสียเหลือเกิน

                ใช้เวลานานทีเดียวกว่าอาเคร่าจะผละตัวออกมาได้  เธอกลับไปที่ครัวเพื่อเตรียมชาและขนมชุดใหม่ให้กับแขกทั้งสองและนายน้อยที่ถูกลากให้อยู่สนทนาต่ออย่างน่าสงสาร

                “เอ่อ  คือว่า”

                เสียงทักดังขึ้นมาจากด้านหลัง  อาเคร่าชะงักมือที่กำลังเทน้ำร้อนเอาไว้  หันกลับไปทางประตู  มองดูอัคนีที่มีท่าทีลังเลด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน

                “เรื่องเมื่อกี้...ต้องขอประทานโทษจริง ๆ ขอรับ”

                เขากล่าวด้วยท่าทีสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง

                เมื่อนึกทบทวนกลับไป  พบว่าในตอนที่ไฟดับ  จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นน่าขนลุกพุ่งเข้าปะทะร่างก่อนสติจะดับวูบ  เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ใช้มีดหั่นสเต็กแทงหญิงสาวคนนี้ไปแล้ว

                เขาทำร้ายเธอโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด!

                “นั่นเพราะคุณถูกฉันควบคุมให้ทำ  ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยสักนิดค่ะ”  เธอกล่าว  ท่าทียังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดิม  “ดังนั้นไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ”

                “ถึงอย่างนั้นก็เถอะขอรับ  แต่ยังไงมันก็ต้องรู้สึกเจ็บอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

                มีดหั่นสเต็กแม้จะค่อนข้างแหลม  แต่เรื่องความคมอย่างไรก็สู้มีดทำครัวหรือมีดที่ใช้ในการต่อสู้ไม่ได้  การจะแทงมันให้จมลงไปในเนื้อขนาดนั้นย่อมต้องใช้แรงมากกว่าปกติหลายเท่า  คิดภาพเนื้อที่ค่อน ๆ ถูกเหล็กทื่อ ๆ กดจนปริขาดดูก็ได้  นั่นมันต้องทรมานมากเลยไม่ใช่หรือ?

                เธอกะพริบตาเบา ๆ   ซึ่งมันดูไม่เป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย

                เขากำลัง...เห็นใจหรือ?

                อาเคร่าเอียงคอเล็กน้อย  น่าจนใจที่เธอแทบจะไร้อารมณ์ความรู้สึก  จึงไม่ค่อยจะเข้าใจท่าทีของเขานัก  ถึงกระนั้นก็ยังตอบออกไปเพื่อให้เขาสบายใจ

                “ไม่เจ็บเลยสักนิดค่ะ”

                อัคนีมองใบหน้าเรียบเฉยนั้นอย่างสงสัย

                เธอจึงกล่าวสืบไป  “ตัวของฉันนั้นไร้ความรู้สึก  ดังนั้นจึงไม่เจ็บเลยสักนิดค่ะ”

                หญิงสาวกล่าวกับเขาอีกหลายประโยคกว่าจะทำให้ความกังวลของเขาคลายตัวลงได้  ซึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกที่หล่อนรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด

                อัคนีเมื่อวางใจก็กลับมายิ้มแย้มอย่างสุขุมดังเดิม  เขาช่วยเธอยกขนมหวานและชาไปเสิร์ฟให้แก่นายท่านทั้งสอง  ดูสนิทสนมกันอยู่เล็กน้อย

                “ที่นี่ให้อัคนีกับเซบาสเตียนอยู่ก็พอ  เธอก็กลับไปพักเถอะ”

                ชิเอลเห็นเจ้าหล่อนยังคงเอาแต่ยืนนิ่งเป็นตอไม้คอยรับใช้อยู่ไม่ไกลก็ออกปากพร้อมโบกมือไล่อย่างเย็นชา  อาเคร่าเห็นดังนั้นก็จากไปอย่างว่าง่ายเชื่อฟัง

                ระหว่างเดิน  เธออดจะยกมือลูบตำแหน่งที่ถูกแทงเมื่อสักครู่ไม่ได้  กลิ่นอายอันคุ้นเคยยังคงติดค้างอยู่จาง ๆ

                เจ้านี่มันแค้นฝังหุ่นซะจริง  ไม่ทันไรก็กลับมาลอบกัดเสียแล้ว

                น่าเสียดายที่เมื่อครู่เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เล็กจ้อยเสียจนเพียงเวลาผ่านไปครู่เดียวก็สลายไปในอากาศ  เธอจึงไม่อาจจับมันได้

                เจ็บตัวฟรีซะแล้วสิ

                พึมพำในใจพร้อมโคลงศีรษะ  ฝีเท้าค่อย ๆ ช้าลงจนหยุดนิ่ง

                ดวงตาสีม่วงหลุบต่ำ  ใบหน้าเรียบเฉยดูราวกับตุ๊กตาไม่มีผิด

                เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง  รับรู้ได้ถึงความสงบที่กำลังพังทลาย  เพราะดูเหมือนว่าเลือดของเธอจะทำให้ปีศาจในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรนี้รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเธอซะแล้ว

                หล่อนอดจะถอนหายใจไม่ได้  มองดูเงาร่างนับไม่ถ้วนที่กำลังตรงมาทั้งจากบนพื้นและบนฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย  กระโดดนอกหน้าต่างเพื่อไปเผชิญหน้ากับพวกมัน

                อาเคร่าเลือกที่จะจบทุกอย่างอย่างรวดเร็วด้วยเวทมนตร์เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนแขกทั้งสอง  ทำให้ปีศาจนับร้อยตายตกในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

                “หิวซะแล้วสิ”

                เสียงลมพัดหวีดหวิว  ท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีม่วงดำปรากฏดาวพราวระยับ  เธอมองไปบนท้องฟ้าสีน้ำหมึกด้วยท่าทีเหม่อลอย  ก่อนที่ร่างกายจะเลือนหายไป

     

     

                แดริลเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในร้านเป็นหญิงสาวในชุดสาวใช้ก็ได้ระบายยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

                “ว่าไงครับคุณลูกค้า?  ต้องการสิ่งใดบอกผมได้เลยนะครับ”

                อาเคร่ามองคนที่เหมือนว่ากำลังแสร้งสวมบทเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วยสีหน้าเฉยชาสุดประมาณ

                “หิว”

                เธอกล่าวเสียงเรียบ  นั่งลงที่เคาท์เตอร์บาร์ทันใด

                เขาหัวเราะเบา ๆ  หมุนตัวเตรียมจะไปนำอาหารมาให้  แต่เมื่อจมูกได้กลิ่นบางอย่างก็จำต้องชะงักและหันกลับมามอง

                เขาเชยคางหล่อนขึ้นให้สบตากับตน

                “โดนมันโจมตีอีกแล้วเหรอ?”

                “อืม”  เธอตอบโดยไม่ปิดบัง  “หิว”

                เขาส่ายหน้าพร้อมหัวเราะ  เดินเข้าหลังร้านไปโดยไม่พูดอะไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×