ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่5 สองสหายต่างแดนเข้าเยี่ยมเยียน

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 64


    บทที่5 สองสหายต่างแดนเข้าเยี่ยมเยียน

                แดริลเห็นหญิงสาวเอาแต่ลูบไล้เข็มกลัดจึงได้กล่าวถามขึ้น

                “มีอะไรเหรอ?  เห็นเอาแต้จ้องนกนั่นกับลูบเข็มกลัดไม่หยุดเลย”

                อาเคร่าผินใบหน้ามองไปทางชายหนุ่ม  เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ส่ายหน้า

                “ตอนแรกก็มีอะไรสงสัยนิดหน่อย  แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”

                คำตอบของหล่อนค่อนข้างดึงดูดวามสนใจ

                “ไม่แล้ว?”

                หญิงสาวไหวไหล่พร้อมอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย  “ตอนแรกฉันกำลังสงสัยว่าทำไมทั้ง ๆ ที่ฉันอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้วแต่มันกลับไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลยแม้แต่เงา”

                นิ้วเรียวขาวราวเครื่องกระเบื้องดีดเบา ๆ เข้าที่กรงนกจนส่งเสียงกังวานใส

                “แต่เมื่อพิจารณาจากนิสัยของเจ้านี่  ก็พบว่านั่นสมเหตุสมผลแล้ว”  เธออธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเรียบเฉยและสงบนิ่ง  “เจ้านี่ไม่เพียงมีความคิดฉลาดเฉลียวผิดสิ่งมีชีวิตเช่นมัน  อีกทั้งยังขี้ระแวงนัก  กลิ่นอายของฉันหนักแน่นรุนแรงชนิดที่แม้แต่บรรดาปีศาจจากทวีปอื่นยังพยายามดั้นด้นมาที่นี่เพื่อกินฉัน  อยู่ดี ๆ ของน่าอร่อยผิดปกติเช่นนี้ก็เดินมาเยือนถึงถิ่นของมันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  แน่นอนว่าด้วยนิสัยของเจ้านี่ย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหว”

                แดริลได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ายิ้ม ๆ  ในดวงตาปรากฏแววชมเชย

                “ไม่ใช่แค่เพียงระแวงว่าจะเป็นนกต่อ  แต่โดยส่วนใหญ่แล้วพวกที่มีกลิ่นอายเหนือธรรมดามักแข็งแกร่งมาก  มันจึงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้”  เขาว่าถึงตรงนี้ก็หัวเราะ  “และมันก็คิดถูก  เพราะเธอเก่งเสียจนเรียกว่าสัตว์ประหลาดยังดูเบาไปซะด้วยซ้ำ”

                อาเคร่ากะพริบตาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ  พึมพำอย่างไม่เห็นด้วย

                “ในมิตินี้ฉันไม่ได้เก่งอะไรเลย”  เธอว่าเสียงเบา  “เพดานพลังที่นี่รับพลังของฉันได้ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ  เทียบกับยามปกติแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับทารก”

                “ทารกปีศาจน่ะสิ...”

                อัลพึมพำอย่างอดไม่ได้  ซึ่งก็ได้รับสายตาเฉยชามองกลับมาเป็นคำตอบ

                นิ้วเรียวยังคงลูบไล้เข็มกลัด  ในหัวก็คิดต่อจากเมื่อสักครู่

                เข็มกลัดนี้กักเก็บกลิ่นอายของเธอไปจนเกือบหมด  ทำให้ส่งกลิ่นออกมาอ่อนจางอย่างยิ่ง  มันที่ได้กลิ่นเข้าจึงไม่เพียงนึกอยาก  แต่ในใจก็พลันกระหยิ่มว่ากลิ่นหอมผิดปกติก่อนหน้านี้คงเป็นของปลอมที่ถูกใช้เป็นเรื่องลวง  ที่แท้ผู้ที่มันคิดว่าน่ากลัวยิ่งก็เป็นแค่อาหารกลิ่นหอมน่าทานจานหนึ่ง

                เธอเคาะนิ้วลงบนกรงนกอีกครั้ง  พึมพำเสียงเบา

                “ดีจริง ๆ ที่แกยังไม่นับว่าฉลาด  ไม่อย่างนั้นงานครั้งนี้คงวุ่นวายมากแน่ ๆ”

                แดริลและอัลเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ต่างพากันมุมปากกระตุก  เธอไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้  แต่กลับใช้คำว่าวุ่นวายมาก  นั่นหมายความว่าต่อให้เจ้านี่ไม่โผล่หัวออกมา  หล่อนก็ต้องหาทางจัดการกับมันได้

                ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นพวกมั่นใจในตัวเองอะไรนัก  ออกจะถ่อมตัวอยู่หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ  นั่นหมายความว่าคำที่เธอพูดออกมาจะต้องมีความเป็นไปได้เต็มสิบส่วนว่าจะเกิดขึ้นจริง

                แดริลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

                “เด็กรุ่นใหม่เนี่ยน่ากลัวจังน้า”

                ไม่มีใครพูดอะไร  เพียงต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปยังที่ของตัวเองก็เท่านั้น

     

     

                อาเคร่ากลับมาถึงคฤหาสน์ในยามที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว  ไม่มีใครใส่ใจกับการที่จู่ ๆ เธอก็หายไปนักเพราะงานในส่วนของเธอนั้นล้วนถูกจัดการจนเสร็จหมดแล้ว

                ภายในคฤหาสน์เห็นไฟจุดสว่างได้จากหน้าต่างหลาย ๆ บาน  หูของเธอได้ยินเสียงชัดเจนแม้จะยังอยู่ด้านนอก  ว่าภายในคฤหาสน์ ณ ขณะนี้มีคนเพิ่มมาอีกสองคน

                ศีรษะเอียงเล็กน้อยแสดงออกถึงความสงสัย  ใครกันนะที่ปรากฏตัวขึ้นในเวลาแบบนี้

                เธอเดินเข้าไปยังคฤหาสน์  สืบเท้าตรงไปยังห้องอันเป็นที่มาของเสียง  หยุดนิ่งอยู่หน้าประตูโดยไม่ได้ก้าวเข้าไป  เพียงจ้องบานไม้เนื้อหนาเขม็ง

                “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน  ขอกอดเจ้าหน่อยไม่ได้รึไง?”

                “ปล่อยฉันนะ!

                “ชิเอล  เจ้าอย่าเย็นชานักสิ”

                เสียงวุ่นวายจากด้านในดังลอดผ่านประตูหนาออกมา  อาเคร่าหลุบตาเงี่ยฟังเสียงฝีเท้า  พบว่าภายในห้องมีกันอยู่สี่คนจึงพอคาดเดาได้แล้วว่าเป็นผู้ใดบ้าง

                ได้ยินเสียงโครมครามเหมือนใครสักคนทุบโต๊ะอย่างแรงก่อนจะตามมาด้วยเสียงที่เปล่งลอดไรฟันออกมาอย่างยากลำบาก

                “น่าปวดหัวชะมัด”

                “งั้นกระผมขอตัวไปนำชามาก่อนนะขอรับ”

                เมื่อได้ยินเสียงพูดของเซบาสเตียนหญิงสาวจึงหมุนตัวเดินออกห่างจากหน้าห้องทันที  แต่ก็ยังไม่ไวพอที่จะหนีไปทันก่อนประตูเปิด  ทำให้เสียงทักเจือยิ้มดังขึ้น

                “อ้าว  กลับมาแล้วเหรอครับ?”

                อาเคร่าจำต้องหยุดฝีเท้า  หันกลับไปผงกหัวทักทายเล็กน้อย

                “ค่ะ”

                “โอ๊ะ  เสียงใครน่ะ?”

                โซมาได้ยินเสียงผู้หญิงไม่คุ้นหูจึงร้องถามด้วยความสงสัย  ชะโงกศีรษะออกมาทางประตู  เห็นเป็นสาวใช้หน้าตาไม่คุ้นก็ยิ่งสนอกสนใจจนต้องหันกลับมองไปทางชิเอล

                “สาวใช้คนใหม่เหรอ?  ใช่คนเดียวกับที่พ่อบ้านเจ้าพูดถึงรึเปล่า?”

                อาเคร่าจ้องใบหน้าส่อประกายอยากรู้อยากเห็นของชายหนุ่มอย่างนิ่งเฉย  ค่อย ๆ ยกชายกระโปรงพร้อมทั้งย่อขาลง

                “ดิฉันอาเคร่า มันเดล ฮาเลริเนีย เดอ. ลีเซเชียน   รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบกับท่านค่ะ  เจ้าชายโซมา”

                “เอ๋?  รู้จักข้าด้วยเหรอเนี่ย?”

                เขาร้องถามอย่างประหลาดใจ  แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยมากจึงไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบ  แต่หันไปวอแวกับชิเอลที่กำลังมีสีหน้าทนทุกข์ทรมานแทน

                “ข้าเชื่อว่าคนที่นายเลือกย่อมไม่ธรรมดาแน่  ดังนั้นสาวใช้คนนี้ก็คงไม่ธรรมดาเหมือนกัน  รีบแนะนำให้ข้ารู้จักให้มากกว่านี้เร็ว ๆ สิ!

                โซมามีท่าทีราวกับเด็ก  ในขณะที่ชิเอลนั้นมีสีหน้าเหมือนกำลังจะตาย

                เขาถลึงตามองไปทางอาเคร่า  เห็นอีกฝ่ายตีหน้ามึนอึนเหมือนทุกทีก็ยิ่งรู้สึกราวว่าในอกมีไฟสุมทรวงอยู่กองใหญ่  ทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง

                “ก็แค่คนประหลาดคนหนึ่ง!

                เขาพูดเสียงสั้นห้วนเพื่อตัดรำคาญ  โซมาเห็นว่าไม่อาจตื๊อถามจากเด็กหนุ่มได้จึงพลันเปลี่ยนเป้าหมาย  เพียงครู่เดียวก็กระโดดมาอยู่เบื้องหน้าสาวใช้ที่เขาไม่เคยคุ้นแล้ว

                อาเคร่าสาวเท้าถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างใจเย็นเพื่อหลบไม่ให้คนที่กำลังตื่นเต้นเกินเหตุพุ่งชนตนจนล้มคว่ำไปเสียเอง

                “ชื่อของเจ้ายาวมาก  ฉันควรเรียกเจ้าว่าอะไรดีล่ะ?”

                เขาถาม  ท่าทีราวกับเด็กคนหนึ่ง

                เธอก้มหัวเล็กน้อย  ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง

                “เรียกดิฉันว่าอาเคร่าก็พอค่ะ”

                “เป็นชื่อที่แปลกมาก  นั่นเป็นภาษาอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

                ดวงตาสีอเมทิสต์หลุบลงเหมือนกำลังใช้ความคิด  เงียบอยู่ครู่จึงค่อย ๆ เปิดปากกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแช่มช้าบางเบา

                “เป็นภาษาโบราณของชนเผ่า ๆ หนึ่งน่ะค่ะ”...และชนเผ่าที่ว่านั่นก็เรียกว่าปีศาจ

                แน่นอนว่าเธอไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกไป  ด้วยรู้ว่าหากเอ่ยออกไปไม่ถูกมองว่าเป็นคนบ้าก็คงถูกหวาดกลัวและถูกจับไปเผาแน่

                โซมาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้  มองไปทางเซบาสเตียน  ถูมือไปมาดูตื่นเต้น

                “ได้ยินเซบาสเตียนบอกว่าเจ้าเก่งกาจมาก  อีกทั้งยังมีพลังพิเศษด้วย  นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงเขาแค่ล้อเล่นกันแน่?”

                อาเคร่าได้ยินคำถามก็พลันชะงัก  มองไปทางชายหนุ่มที่ถูกกล่าวอ้างถึง

                ดวงตาต่างสีสบประสาน  เขาส่งยิ้มให้เธอ  กล่าวสนับสนุนคำพูดของโซมา

                “กระผมไม่ได้โกหกนะขอรับ  เธอคนนี้มีพลังพิเศษจริง ๆ”

                อาเคร่า  “...”

                เธอมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกับเธอกันแน่

                ...แกล้งกันหรือ?  ไม่คิดบ้างหรือว่าหากคนธรรมดารับรู้ถึงเรื่องมหัศจรรย์แล้วนั้นอาจตกใจจนตายได้  หรือว่าอันที่จริงแล้วอยากเห็นคนตกใจจนตายกันแน่?

                หญิงสาวลอบโยกโคลงศีรษะ  หางตาเห็นเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแววขอโทษขอโพยของอัคนี  เมื่อเหม่อลอยไปครู่หนึ่งจึงได้ตัดสินใจกล่าวขึ้น

                “...ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็จะแสดงให้ดูค่ะ”

                “?”

                ทั้งชิเอลและเซบาสเตียนล้วนประหลาดใจจนต้องหันมามอง  พวกเขาไม่คาดคิดสักนิดว่าเจ้าหล่อนจะรับปาก  เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังมองไปทางอัคนีที่กำลังทำท่ายกมือไหว้ขอโทษ  สองนายบ่าวก็พากันหันไปสบตากันเอง  แลกเปลี่ยนความคิดในจิตใจเงียบ ๆ

                เธอยกมือขึ้น  จรดปลายนิ้วเข้าหากัน  เสียงดีดนิ้วดังกังวาลไปทั่ว

                พรึ่บ!

                ไฟทั้งคฤหาสน์พลันดับลง  ทุกคนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย  สายตาต่างไม่อาจปรับให้เข้ากับความมืดอันฉับพลันนี้ได้ด้วยกันทั้งสิ้น

                อาเคร่ากวาดตามองทุกคนท่ามกลางความมืด  จังหวะนั้นพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย  เสียงฝีเท้าอันเบากริบพุ่งตรงมา  เพียงครู่เดียวร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพร้อมมีดในมือ

                เธอยกมือขึ้นเตรียมจู่โจมผู้ไม่ประสงค์ดี  แต่ทันทีที่สายตาสามารถมองฝ่าความมืดได้อย่างชัดเจนแล้วก็ต้องชะงักค้าง

                ดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นไม่ได้มองเธอ  ทว่ามีดในมือกลับแทงเข้าที่ท้องของหล่อนอย่างแม่นยำ  อีกทั้งยังกดย้ำจนแม้แต่ด้ามจับกว่าครึ่งก็ทะลุไปอยู่ในท้องของเธอ

                ในตอนนั้นเองที่ไฟก็ได้ติดขึ้นมา

                ทุกคนล้วนถูกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตกตะลึง  ก่อนจะเป็นโซมาที่ตวาดขึ้น

                “อัคนี!  ทำอะไรของเจ้า!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×