คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 เข็มกลัด
บทที่3 เข็มกลัด
อาเคร่าเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อัญมณีบนเข็มกลัดล้อแสงเป็นประกาย เมื่อถูกล้อมกรอบด้วยสีเงินสว่างของเงินขัดเงาชั้นดีทำให้มันดูแล้วช่างคล้ายคลึงกับดวงตาของเธอเหลือเกิน
สีม่วงดุจอเมทิสต์ชั้นดีกับผิวที่ขาวราวไร้ซึ่งโลหิตหมุนเวียนอยู่ภายใน
ดูไม่ต่างอันใดกับเครื่องประดับอันไร้ซึ่งชีวิตชิ้นหนึ่ง
หากไม่นับเรื่องที่ว่ามีศัตรูมากมายเหลือคณานับ
อาเคร่านั้นนับว่าเป็นสาวใช้ที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง ทั้งงานบ้าน
ทำอาหารหรือแม้แต่ความสามารถในการปกป้องคุ้มครองผู้เป็นนายล้วนไม่เป็นสองรองใคร
จะมีข้อเสียอยู่อีกอย่างก็คือเธอนั้นหน้าตายจนชวนให้คนรู้สึกโมโหจนเกินไปก็เท่านั้น
ความเสียหายที่สามสหายตัวแสบแห่งบ้านแฟนธอมไฮฟ์ทำไว้ถูกเธอเก็บกวาดจนเรียบร้อย
อาเคร่าอาศัยเวลาว่างลอบออกจากคฤหาสน์ไปโดยไม่มีใครรู้ ส่วนสาเหตุที่ออกไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ก็แค่ออกไปหาอะไรกินไม่ก็ไปหา ‘เพื่อน’ ก็เท่านั้น
หญิงสาวยังคงสวมชุดของสาวใช้ บนศีรษะเป็นหมวกปีกกว้างสีดำหน้าตาเรียบ ๆ
ใบหน้าหลบซ่อนอยู่หลังผืนผ้าสีดำให้ความรู้สึกลึกลับ
เธอเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน
ผิวขาวจัดราวกับเครื่องกระเบื้องดึงดูดสายตาของผู้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ที่ดูจะริษยาสีผิวของเธอเป็นอย่างยิ่ง
ยุคสมัยนี้ยังคงมีความเชื่อว่าผิวที่ราวดุจหิมะคือสัญลักษณ์แห่งชนชั้นสูง นั่นทำให้อาเคร่าตกเป็นเป้าสายตาอย่างง่ายดาย
อาเคร่าไม่สนใจสายตารอบข้างนัก เธอยังคงเดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคง จุดหมายปลายทางคือร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ ตรงหัวมุมถนนที่ไม่ค่อยมีใครสัญจรแห่งหนึ่ง
มันไม่ได้อยู่ไกลจากคฤหาสน์แฟนธอมไฮฟ์เท่าไหร่นัก ด้วยความเร็วของเธอ ใช้เวลาเพียงห้าสิบนาทีก็ถึงที่หมายแล้ว
ตรงหน้าของเธอคือร้านเสื้อผ้าเล็ก
ๆ เก่า ๆ แห่งหนึ่ง ป้ายร้านขนาดใหญ่นั้นค่อนข้างจะเลือนรางด้วยอายุของมัน กระจกหน้าร้านมัว ชุดที่ตั้งโชว์เองก็ดูล้าสมัย
ด้วยกระจกที่มัวจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นภายในร้าน มันจึงดูไม่ต่างอะไรกับร้านร้าง ๆ เลยสักนิด
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งหน้าประตูฟังดูเสนาะหูอย่างยิ่ง ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมอง ‘บาร์’ ที่ประดับไฟไว้อย่างสลัว ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ประตูทางด้านหลังปิดลง ภายในจึงยิ่งสลัวยิ่งขึ้น ผนังโดยรอบล้วนปิดทึบ
ประตูที่ควรเป็นกระจกก็กลายเป็นประตูไม้สลักสวยงาม แตกต่างจากภายนอกลิบลับ
อาเคร่าปลดหมวกและผ้าคลุมหน้าออก จ้องมองบาร์เทนเดอร์หนุ่มหลังเคาท์เตอร์บาร์โดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายเองก็คล้ายว่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนมา
เพราะเขานั้นกำลังเตรียมเครื่องดื่มบางอย่างอยู่
แก้วทรงสูงล้อมด้วยทองคำตรงที่จับและฐานวางบรรจุไว้ด้วยของเหลวสีแดงก่ำ ฝ่ามือภายใต้ถุงมือสีขาวบรรจงเทของเหลวดังกล่าวอย่างใจเย็น จนเมื่อเห็นว่าระดับน้ำเพียงพอแล้วจึงหยิบเอากล่องโลหะเล็ก
ๆ ออกมาจากถังน้ำแข็งใต้เคาท์เตอร์บาร์
ของด้านในที่ถูกบรรจุไว้คือลูกตาคู่หนึ่ง
เขานำมันใส่ลงในแก้วอย่างบรรจงแล้วจึงเลื่อนแก้วใบดังกล่าวไปทางอาเคร่าที่หยุดมานั่งลงที่โต๊ะตัวแรกของเคาท์เตอร์บาร์
เธอรับมันมาจิบโดยไม่อิดออด ของเหลวสีแดงนี้คือโลหิตมนุษย์
แม้จะไม่ได้มาจากร่างสด ๆ แต่ก็ถือว่าเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ดี รสชาติจึงยังไม่แย่มากนัก
ชายหนุ่มยิ้มมองดูอีกฝ่ายดื่ม
‘เครื่องดื่ม’ โดยไม่พูดอะไร
รอจนเธอจิบเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของทั้งหมดถึงได้เปิดปากขึ้นในที่สุด
“เข็มกลัดนั่นเหมาะกับเธอมากเลย ชอบรึเปล่า?”
หญิงสาววางแก้วลง
ยกมือขึ้นลูบเข็มกลัดตรงหน้าอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“...หากใช้มันแบบนี้จะไม่มีเหยื่อมาติดกับเอานะ”
บาร์เทนเดอร์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ดวงตาสีเหลืองทองส่องประกายท่ามกลางความสลัวดูน่าหลงใหล
ผมสีควันบุหรี่ตัดสั้นถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย
ร่างกายกำยำกับผิวสีออกแทนทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างเหลือหลาย ทว่าแม้เขาจะหล่อเหล่าเพียงใด อาเคร่าก็มองไม่ออกอยู่ดี
เขาเติมเลือดลงในแก้ว
ท่าทีดูผ่อนคลาย
“ไม่ต้องห่วง ต่อให้เข็มกลัดนั่นมีพลังมากกว่านี้ก็ทำอะไรกับแรงดึงดูดของเธอไม่ได้หรอก” เขาหรี่ตามองสำรวจหญิงสาว หัวเราะออกมาเบา ๆ “ทั้งระดับพลังที่สูงจนผิดปกติ ทั้งเลือดแสนอร่อย ทั้งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์
ถึงจะเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีทางรอดพ้นจมูกของ ‘มัน’ ได้หรอก”
เห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้นเธอก็ไม่ถามอะไรอีก กระดกดื่มเลือดในแก้วจนหมดแล้วจึงใช้ไม้อันเล็ก
ๆ จิ้มลูกตาทั้งสองลูกเข้าปาก
สีหน้าดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
“ได้ยินแบบนี้ฉันก็เบาใจ” เธอวางแก้วที่ว่างเปล่าลง เมื่อพบว่าหมดเรื่องแล้วจึงลุกขึ้นยืนช้า ๆ “ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่ม รสชาติไม่เลวเลย”
เขายิ้ม โค้งตัวน้อย ๆ อย่างสุภาพ
“ได้ยินแบบนั้นกระผมก็ดีใจ”
หญิงสาวหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยิ้มนิ่ง
พึมพำเสียงเบาพร้อมทั้งหยิบหมวกและผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวม
“การที่ท่านแดริลมาทำตัวสุภาพใส่เนี่ยมันช่าง...น่าขนลุกซะไม่มี”
เจ้าของชื่อแดริลหัวเราะ
นั่นยิ่งทำให้ดวงตาของเขาส่องแสงแวววาวชวนหลงใหลมากขึ้น
“ปากร้ายจังเลยนะเธอเนี่ย แต่เอาเถอะ
ฉันไม่ถือสาเด็กน้อยที่เพิ่งดูโลกได้แค่ไม่กี่สิบปีหรอก”
เธอไม่ได้ตอบอะไร เพียงปรายตามองเล็กน้อยผ่านม่านคลุมหน้าหมือนเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
อาเคร่าเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไร แอริลเองก็มองตามไปอย่างเงียบ ๆ เขาหยิบแก้วที่ว่างเปล่ามาทำความสะอาด ปากยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เธอกลับมาทันเวลาทำอาหารเย็นสำหรับนายน้อยอย่างพอดิบพอดี
เห็นบัลโดกำลังหยิบระเบิดอาหารกระป๋องขึ้นมาก็ทำเอาอันเดธผู้ไร้อารมณ์ยังถึงกับเหงื่อตก
เธอรีบเข้าไปขวางการทำลายล้างของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันที
“ทุกคนไปพักเถอะค่ะ ฉันจะจัดการตรงนี้ให้เอง”
เธอพูดจบก็ทั้งผลักทั้งดันทุกคนออกไปจากห้องครัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงได้กวาดตามองโดยรอบที่วัตถุดิบเสียหายไปแล้วเกินครึ่ง
หญิงสาวยืนนิ่ง ในหัวกำลังคิดทบทวนถึงหนังสืออาหารที่เคยอ่านมา
“ก็ว่าทำไมยังไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นเสียที” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตู เมื่อหันไปจึงพบเข้ากับใบหน้าติดยิ้มของเซบาสเตียน “ที่แท้คุณก็จัดการลงมือไปก่อนแล้วนี่เอง”
เธอมองหน้าเขานิ่ง นานทีเดียวกว่าจะพึมพำขึ้นเสียงเรียบ
“ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ต้องกังวลว่าจะทำเมนูอะไรแล้วสินะคะ”
เขายิ้มรับน้ำเสียงอันราบเรียบของเธอ กวาดบรรดาของที่ถูกเผาจนเกรียมลงทั้งขยะ เริ่มทำการหั่นผักที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างชำนิชำนาญ
เห็นเขาเริ่มทำ เธอก็อดถามไม่ได้
“ให้ฉันช่วยทำมั้ยคะ?”
ด้วยความที่เป็นพ่อบ้านผู้สมบูรณ์แบบ
เธอจึงมั่นใจว่าเขาคงปฏิเสธและหาทางไล่เธอให้ออกจากห้องครัวไปแน่ ไม่คาดว่าเขาจะหันมายิ้มให้พร้อมทั้งผงกศีรษะเบา
ๆ
“หากได้ก็จะขอบพระคุณเป็นอย่างมากเลยครับ”
“...”
เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปหาเขา มองดูของที่วางเรียงรายอยู่เต็ม
“จะให้ฉันช่วยอะไรคะ?”
“หั่นเนื้อพวกนั้นเป็นลูกเต๋าเท่า
ๆ กันครับ”
เธอรับคำอย่างว่าง่าย
นำเนื้อมาหั่นตกแต่งจนกลายเป็นสีเหลี่ยมแล้วเริ่มหั่นแบ่งเป็นลูกเต๋าขนาดเท่า
ๆ กัน นอกจากเสียงมีดกระทบเขียงแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก
“รู้สึกว่าจะออกไปข้างนอกมาสินะครับ?”
มือที่กำลังหั่นเนื้อชะงักไป
อาเคร่าเงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเคียง สีหน้ายังเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
“อะไรคะ?
หรือว่าเดี๋ยวนี้ที่นี่มีกฎห้ามออกไปนอกฤหาสน์ซะแล้ว?”
เซบาสเตียนยิ้มพร้อมทั้งส่ายหน้า
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ
เพียงนายน้อยเห็นเข้าเลยสงสัยก็เท่านั้นว่าคุณไปที่ไหนมาตั้งนานสองนานแบบนี้”
เธอไม่รู้ว่าเขาถามด้วยเจตนาอะไรจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง
ในดวงตาที่หลุบมองไปยังมีดในมือนั้นยากจะคาดเดาว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
“...ก็แค่ไปหาเพื่อนน่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ นั่นทำให้ระหว่างทั้งคู่กลับมาเงียบเหมือนเดิม
เธออยู่ช่วยเขาจนอาหารมากมายถูกทำจนเสร็จ
เมื่อเรียงขึ้นรถเข็นจนครบแล้วเซบาสเตียนจึงเข็นออกจากห้องไป แต่ก่อนที่จะออกไปก็ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้พร้อมทั้งเอ่ย
“ตอนนี้คงไม่มีงานอะไรอีกแล้ว ไปพักสักหน่อยเถอะครับ”
เธอมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกดุจเดิม รอจนแผ่นหลังนั้นหายลับไปแล้วค่อยเดินออกจากห้องครัวไปโดยไม่พูดอะไร
ฝีเท้าไร้เสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงไปทางห้องพักของตนเอง ท่วงทีสงบนิ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธออาจเป็นเพียงรูปปั้นมากกว่ามนุษย์คนหนึ่ง
ยกมือขึ้นลูบเบา
ๆ ที่เข็มกลัด ดวงตาหรี่มองไปด้านหน้า
“...ดูเหมือนว่าที่แดริลพูดคงจะจริงสินะ” นิ้วมือข้างที่แตะอยู่บนเข็มกลัดพลันขยายใหญ่และแหลมคม ดวงตาหรี่ลงคล้ายนักล่า
“ว่าต่อให้เข็มกลัดคุณภาพดีกว่านี้ก็ไม่พ้นจมูกของแก”
เงาตะคุ่มตรงหน้าแสยะยิ้ม
พุ่งเข้าใส่เธอพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนน่าสะพรึง
ความคิดเห็น