ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 เข็มกลัด

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 64


    บทที่3 เข็มกลัด

                อาเคร่าเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                อัญมณีบนเข็มกลัดล้อแสงเป็นประกาย  เมื่อถูกล้อมกรอบด้วยสีเงินสว่างของเงินขัดเงาชั้นดีทำให้มันดูแล้วช่างคล้ายคลึงกับดวงตาของเธอเหลือเกิน

                สีม่วงดุจอเมทิสต์ชั้นดีกับผิวที่ขาวราวไร้ซึ่งโลหิตหมุนเวียนอยู่ภายใน  ดูไม่ต่างอันใดกับเครื่องประดับอันไร้ซึ่งชีวิตชิ้นหนึ่ง

                หากไม่นับเรื่องที่ว่ามีศัตรูมากมายเหลือคณานับ  อาเคร่านั้นนับว่าเป็นสาวใช้ที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง  ทั้งงานบ้าน  ทำอาหารหรือแม้แต่ความสามารถในการปกป้องคุ้มครองผู้เป็นนายล้วนไม่เป็นสองรองใคร  จะมีข้อเสียอยู่อีกอย่างก็คือเธอนั้นหน้าตายจนชวนให้คนรู้สึกโมโหจนเกินไปก็เท่านั้น

                ความเสียหายที่สามสหายตัวแสบแห่งบ้านแฟนธอมไฮฟ์ทำไว้ถูกเธอเก็บกวาดจนเรียบร้อย

                อาเคร่าอาศัยเวลาว่างลอบออกจากคฤหาสน์ไปโดยไม่มีใครรู้  ส่วนสาเหตุที่ออกไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร  ก็แค่ออกไปหาอะไรกินไม่ก็ไปหา เพื่อนก็เท่านั้น

                หญิงสาวยังคงสวมชุดของสาวใช้  บนศีรษะเป็นหมวกปีกกว้างสีดำหน้าตาเรียบ ๆ   ใบหน้าหลบซ่อนอยู่หลังผืนผ้าสีดำให้ความรู้สึกลึกลับ

                เธอเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน  ผิวขาวจัดราวกับเครื่องกระเบื้องดึงดูดสายตาของผู้เป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะพวกผู้หญิง  ที่ดูจะริษยาสีผิวของเธอเป็นอย่างยิ่ง

                ยุคสมัยนี้ยังคงมีความเชื่อว่าผิวที่ราวดุจหิมะคือสัญลักษณ์แห่งชนชั้นสูง  นั่นทำให้อาเคร่าตกเป็นเป้าสายตาอย่างง่ายดาย

                อาเคร่าไม่สนใจสายตารอบข้างนัก  เธอยังคงเดินต่อไปด้วยฝีเท้ามั่นคง  จุดหมายปลายทางคือร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ ตรงหัวมุมถนนที่ไม่ค่อยมีใครสัญจรแห่งหนึ่ง

                มันไม่ได้อยู่ไกลจากคฤหาสน์แฟนธอมไฮฟ์เท่าไหร่นัก  ด้วยความเร็วของเธอ  ใช้เวลาเพียงห้าสิบนาทีก็ถึงที่หมายแล้ว

                ตรงหน้าของเธอคือร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ เก่า ๆ แห่งหนึ่ง  ป้ายร้านขนาดใหญ่นั้นค่อนข้างจะเลือนรางด้วยอายุของมัน  กระจกหน้าร้านมัว  ชุดที่ตั้งโชว์เองก็ดูล้าสมัย  ด้วยกระจกที่มัวจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นภายในร้าน  มันจึงดูไม่ต่างอะไรกับร้านร้าง ๆ เลยสักนิด

                กรุ๊งกริ๊ง

                เสียงกระดิ่งหน้าประตูฟังดูเสนาะหูอย่างยิ่ง  ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมอง บาร์ที่ประดับไฟไว้อย่างสลัว ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                ประตูทางด้านหลังปิดลง  ภายในจึงยิ่งสลัวยิ่งขึ้น  ผนังโดยรอบล้วนปิดทึบ  ประตูที่ควรเป็นกระจกก็กลายเป็นประตูไม้สลักสวยงาม  แตกต่างจากภายนอกลิบลับ

                อาเคร่าปลดหมวกและผ้าคลุมหน้าออก  จ้องมองบาร์เทนเดอร์หนุ่มหลังเคาท์เตอร์บาร์โดยไม่พูดอะไร  อีกฝ่ายเองก็คล้ายว่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนมา  เพราะเขานั้นกำลังเตรียมเครื่องดื่มบางอย่างอยู่

                แก้วทรงสูงล้อมด้วยทองคำตรงที่จับและฐานวางบรรจุไว้ด้วยของเหลวสีแดงก่ำ  ฝ่ามือภายใต้ถุงมือสีขาวบรรจงเทของเหลวดังกล่าวอย่างใจเย็น  จนเมื่อเห็นว่าระดับน้ำเพียงพอแล้วจึงหยิบเอากล่องโลหะเล็ก ๆ ออกมาจากถังน้ำแข็งใต้เคาท์เตอร์บาร์  ของด้านในที่ถูกบรรจุไว้คือลูกตาคู่หนึ่ง

                เขานำมันใส่ลงในแก้วอย่างบรรจงแล้วจึงเลื่อนแก้วใบดังกล่าวไปทางอาเคร่าที่หยุดมานั่งลงที่โต๊ะตัวแรกของเคาท์เตอร์บาร์

                เธอรับมันมาจิบโดยไม่อิดออด  ของเหลวสีแดงนี้คือโลหิตมนุษย์ แม้จะไม่ได้มาจากร่างสด ๆ แต่ก็ถือว่าเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ดี  รสชาติจึงยังไม่แย่มากนัก

                ชายหนุ่มยิ้มมองดูอีกฝ่ายดื่ม เครื่องดื่มโดยไม่พูดอะไร  รอจนเธอจิบเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของทั้งหมดถึงได้เปิดปากขึ้นในที่สุด

                “เข็มกลัดนั่นเหมาะกับเธอมากเลย  ชอบรึเปล่า?”

                หญิงสาววางแก้วลง  ยกมือขึ้นลูบเข็มกลัดตรงหน้าอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                “...หากใช้มันแบบนี้จะไม่มีเหยื่อมาติดกับเอานะ”

                บาร์เทนเดอร์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม  ดวงตาสีเหลืองทองส่องประกายท่ามกลางความสลัวดูน่าหลงใหล  ผมสีควันบุหรี่ตัดสั้นถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย  ร่างกายกำยำกับผิวสีออกแทนทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างเหลือหลาย  ทว่าแม้เขาจะหล่อเหล่าเพียงใด  อาเคร่าก็มองไม่ออกอยู่ดี

                เขาเติมเลือดลงในแก้ว  ท่าทีดูผ่อนคลาย

                “ไม่ต้องห่วง  ต่อให้เข็มกลัดนั่นมีพลังมากกว่านี้ก็ทำอะไรกับแรงดึงดูดของเธอไม่ได้หรอก”  เขาหรี่ตามองสำรวจหญิงสาว  หัวเราะออกมาเบา ๆ  “ทั้งระดับพลังที่สูงจนผิดปกติ  ทั้งเลือดแสนอร่อย  ทั้งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์  ถึงจะเล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีทางรอดพ้นจมูกของ มัน ได้หรอก”

                เห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้นเธอก็ไม่ถามอะไรอีก  กระดกดื่มเลือดในแก้วจนหมดแล้วจึงใช้ไม้อันเล็ก ๆ จิ้มลูกตาทั้งสองลูกเข้าปาก  สีหน้าดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

                “ได้ยินแบบนี้ฉันก็เบาใจ”  เธอวางแก้วที่ว่างเปล่าลง  เมื่อพบว่าหมดเรื่องแล้วจึงลุกขึ้นยืนช้า ๆ  “ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่ม  รสชาติไม่เลวเลย”

                เขายิ้ม  โค้งตัวน้อย ๆ อย่างสุภาพ

                “ได้ยินแบบนั้นกระผมก็ดีใจ”

                หญิงสาวหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยิ้มนิ่ง  พึมพำเสียงเบาพร้อมทั้งหยิบหมวกและผ้าคลุมหน้าขึ้นมาสวม

                “การที่ท่านแดริลมาทำตัวสุภาพใส่เนี่ยมันช่าง...น่าขนลุกซะไม่มี”

                เจ้าของชื่อแดริลหัวเราะ  นั่นยิ่งทำให้ดวงตาของเขาส่องแสงแวววาวชวนหลงใหลมากขึ้น

                “ปากร้ายจังเลยนะเธอเนี่ย  แต่เอาเถอะ  ฉันไม่ถือสาเด็กน้อยที่เพิ่งดูโลกได้แค่ไม่กี่สิบปีหรอก”

                เธอไม่ได้ตอบอะไร  เพียงปรายตามองเล็กน้อยผ่านม่านคลุมหน้าหมือนเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ

                อาเคร่าเดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไร  แอริลเองก็มองตามไปอย่างเงียบ ๆ  เขาหยิบแก้วที่ว่างเปล่ามาทำความสะอาด  ปากยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

               

     

                เธอกลับมาทันเวลาทำอาหารเย็นสำหรับนายน้อยอย่างพอดิบพอดี

                เห็นบัลโดกำลังหยิบระเบิดอาหารกระป๋องขึ้นมาก็ทำเอาอันเดธผู้ไร้อารมณ์ยังถึงกับเหงื่อตก  เธอรีบเข้าไปขวางการทำลายล้างของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันที

                “ทุกคนไปพักเถอะค่ะ  ฉันจะจัดการตรงนี้ให้เอง”

                เธอพูดจบก็ทั้งผลักทั้งดันทุกคนออกไปจากห้องครัว  เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วจึงได้กวาดตามองโดยรอบที่วัตถุดิบเสียหายไปแล้วเกินครึ่ง

                หญิงสาวยืนนิ่ง  ในหัวกำลังคิดทบทวนถึงหนังสืออาหารที่เคยอ่านมา

                “ก็ว่าทำไมยังไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นเสียที”  เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตู  เมื่อหันไปจึงพบเข้ากับใบหน้าติดยิ้มของเซบาสเตียน  “ที่แท้คุณก็จัดการลงมือไปก่อนแล้วนี่เอง”

                เธอมองหน้าเขานิ่ง  นานทีเดียวกว่าจะพึมพำขึ้นเสียงเรียบ

                “ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ต้องกังวลว่าจะทำเมนูอะไรแล้วสินะคะ”

                เขายิ้มรับน้ำเสียงอันราบเรียบของเธอ  กวาดบรรดาของที่ถูกเผาจนเกรียมลงทั้งขยะ  เริ่มทำการหั่นผักที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างชำนิชำนาญ

                เห็นเขาเริ่มทำ  เธอก็อดถามไม่ได้

                “ให้ฉันช่วยทำมั้ยคะ?”

                ด้วยความที่เป็นพ่อบ้านผู้สมบูรณ์แบบ  เธอจึงมั่นใจว่าเขาคงปฏิเสธและหาทางไล่เธอให้ออกจากห้องครัวไปแน่  ไม่คาดว่าเขาจะหันมายิ้มให้พร้อมทั้งผงกศีรษะเบา ๆ

                “หากได้ก็จะขอบพระคุณเป็นอย่างมากเลยครับ”

                “...”

                เธอไม่ได้พูดอะไร  เพียงเดินไปหาเขา  มองดูของที่วางเรียงรายอยู่เต็ม

                “จะให้ฉันช่วยอะไรคะ?”

                “หั่นเนื้อพวกนั้นเป็นลูกเต๋าเท่า ๆ กันครับ”

                เธอรับคำอย่างว่าง่าย  นำเนื้อมาหั่นตกแต่งจนกลายเป็นสีเหลี่ยมแล้วเริ่มหั่นแบ่งเป็นลูกเต๋าขนาดเท่า ๆ กัน  นอกจากเสียงมีดกระทบเขียงแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก

                “รู้สึกว่าจะออกไปข้างนอกมาสินะครับ?”

                มือที่กำลังหั่นเนื้อชะงักไป  อาเคร่าเงยหน้ามองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเคียง  สีหน้ายังเรียบเฉยไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

                “อะไรคะ?  หรือว่าเดี๋ยวนี้ที่นี่มีกฎห้ามออกไปนอกฤหาสน์ซะแล้ว?”

                เซบาสเตียนยิ้มพร้อมทั้งส่ายหน้า

                “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ  เพียงนายน้อยเห็นเข้าเลยสงสัยก็เท่านั้นว่าคุณไปที่ไหนมาตั้งนานสองนานแบบนี้”

                เธอไม่รู้ว่าเขาถามด้วยเจตนาอะไรจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง  ในดวงตาที่หลุบมองไปยังมีดในมือนั้นยากจะคาดเดาว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่

                “...ก็แค่ไปหาเพื่อนน่ะค่ะ”

                “อย่างนี้นี่เอง”

                เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ  นั่นทำให้ระหว่างทั้งคู่กลับมาเงียบเหมือนเดิม

                เธออยู่ช่วยเขาจนอาหารมากมายถูกทำจนเสร็จ  เมื่อเรียงขึ้นรถเข็นจนครบแล้วเซบาสเตียนจึงเข็นออกจากห้องไป  แต่ก่อนที่จะออกไปก็ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้พร้อมทั้งเอ่ย

                “ตอนนี้คงไม่มีงานอะไรอีกแล้ว  ไปพักสักหน่อยเถอะครับ”

                เธอมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกดุจเดิม  รอจนแผ่นหลังนั้นหายลับไปแล้วค่อยเดินออกจากห้องครัวไปโดยไม่พูดอะไร

                ฝีเท้าไร้เสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงไปทางห้องพักของตนเอง  ท่วงทีสงบนิ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธออาจเป็นเพียงรูปปั้นมากกว่ามนุษย์คนหนึ่ง

                ยกมือขึ้นลูบเบา ๆ ที่เข็มกลัด  ดวงตาหรี่มองไปด้านหน้า

                “...ดูเหมือนว่าที่แดริลพูดคงจะจริงสินะ”  นิ้วมือข้างที่แตะอยู่บนเข็มกลัดพลันขยายใหญ่และแหลมคม  ดวงตาหรี่ลงคล้ายนักล่า  “ว่าต่อให้เข็มกลัดคุณภาพดีกว่านี้ก็ไม่พ้นจมูกของแก”

                เงาตะคุ่มตรงหน้าแสยะยิ้ม  พุ่งเข้าใส่เธอพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนน่าสะพรึง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×