ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2 เหยื่อล่อคุณภาพดีเกินไป

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 64


    บทที่2 เหยื่อล่อคุณภาพดีเกินไป

                ร่างเพรียวระหงหยุดมองเงาดำขนาดใหญ่ที่กำลังอาละวาดทำลายคฤหาสน์อยู่ด้วยสีหน้าตายสนิท  ดวงตาไม่แม้แต่จะสะท้อนความประหลาดใจหรืออะไรก็ตามแต่ออกมา

                เธอถอนหายใจ  ไหวไหล่น้อย ๆ เหมือนต้องการบอกว่าน่าเบื่อยิ่งนัก

                “ดูเหมือนว่ามิตินี้จะได้รับความนิยมมาก ๆ เลยนะเนี่ย”

                เธอพึมพำ  ลอบนับจำนวนพวกที่ตนได้จัดการไปก่อนหน้านี้อยู่ในใจ  พบว่าเกินครึ่งพันมาไกลโขแล้ว  มาอีกสักระลอกก็คงแตะหนึ่งพันได้ไม่ยาก

                สะบัดมือเบา ๆ  แขนขวาตั้งแต่ข้อศอกพลันเปลี่ยนเป็นใบมีดขนาดใหญ่

                อาเคร่าโคลงศีรษะ  พึมพำเสียงหน่าย

                “งานหลักไม่เดิน  งานเสริมมาเป็นพรวน”  ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย  มองไปทางเจ้าตัวโตอย่างไร้อารมณ์  “อารมณ์ตอนนี้ควรจะเป็น...เบื่อรึเปล่านะ?”

                เธอพึมพำกับตัวเองอย่างไม่แน่ใจนัก

                โฮก!

                มันส่งเสียงคำรามก้อง  พุ่งเข้าใส่ร่างเล็กจ้อยในสายตาของมันอย่างดุร้าย  หญิงสาวไม่ได้ขยับไปไหน  ยังคงยืนมองมันอย่างเรียบเฉย

                ระยะห่างเหลือเพียงไม่มาก  ราวหนึ่งเมตร  ในที่สุดอาเคร่าก็เริ่มขยับกาย

                ฉัวะ!

                เงาดำหยุดชะงักลงเมื่อปลายแหลมของเล็บมันห่างจากใบหน้าอีกฝ่ายเพียงไม่กี่มิลลิเมตร  แขนข้างที่เป็นใบมีดของอาเคร่ายืดยาว  แทงทะลุกลางร่างของเงาดำ  ก่อนจะตวัดแขนตัดร่างของมันออกเป็นสองซีก  เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพลันดังก้อง

                “แฮ่ก...แฮ่ก”

                มันหอบหายใจ  ทั้งร่างสั่นเทาทั้งด้วยเพราะเจ็บปวดและด้วยอารามสับสน  ตรงจุดที่เป็นดวงตาของมันเบิกกว้างสะท้อนอารมณ์มากมาย

                อาเคร่ายกยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่จืดชืดไร้อารมณ์เพราะเธอไม่อาจแต่งเสริมเติม อารมณ์ ลงไปได้  ใบหน้าติดยิ้มนั้นจึงดูน่ากลัวยิ่งในสายตาของเงาดำ

                เธอสะบัดแขนใบมีดให้กลับมาเป็นปกติ  ร่างของมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงอยู่บนพื้น  แม้จะถูกฝ่าเป็นสองซีกแต่กลับคล้ายไม่ได้ขาดออกจากกัน  มันทรุดตัวลง  ร่างกายค่อย ๆ สลายเป็นควันทีละน้อย  บ่งบอกว่าการโจมตีเมื่อสักครู่ทำให้มันบาดเจ็บอย่างรุนแรง

                “ได้...ได้อย่างไร?  ทำไมเจ้าถึง...?”

                “ทำร้ายเจ้าได้น่ะหรือ?”  เธอถามพร้อมกับเลิกคิ้วน้อย ๆ  รวบนิ้วทั้งสี่เหลือเพียงนิ้วชี้  ดวงไฟสีดำพลันถูกจุดขึ้นบนปลายนิ้ว  “เพราะนี่ไง”

                ดวงตาของมันเบิกกว้าง  ท่าทีดูไม่อยากจะเชื่อ

                “ผีดิบอย่างเจ้าเนี่ยนะ?  ข้อผิดพลาดของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างเจ้าน่ะหรือ?  น่าขัน!  มีแต่พอพวกนั้นรู้แล้วจะตามมาไล่กำจัดเจ้าน่ะสิไม่ว่า”

                อาเคร่าเพียงไหวไหล่  แม้จะถูกดูแคลนแต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด

                “ก็แล้วแต่จะคิดเถอะ”

                เธอกล่าวอย่างไม่แยแส  ไฟสีดำในมือขยายใหญ่ขึ้น  ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ไหวตัวหลบหนี  เพลิงนรกก็พุ่งเข้าเผาผลาญร่างของมันจนวอด  เสียงโหยหวนดังไปทั่ว

                เมื่อเพลิงนรกดับลง  ที่ตรงนั้นก็เหลือเพียงดวงไฟสีฟ้าซีดดวงเท่ากำปั้นเพียงเท่านั้น  อาเคร่าวาดมือไปบนอากาศ  ช่องว่างสีดำปรากฏขึ้น  เธอเอื้อมมือเข้าไปหยิบกรงนกสีทองออกมาอันหนึ่ง  เขย่ากรงเบา ๆ ให้กรงนกเปิดออก  ลูกไฟพลันถูกดูดเข้าไปกลับกลายเป็นนกตัวหนึ่ง

                ปิดประตูกรง  ยกขึ้นเพ่งมองในระดับสายตา

                เธอใช้นิ้วจิ้มจนกรงสั่นไหว  นกด้านในกลับยังคงยืนนิ่ง  ดวงตาจ้องเขม็งกลับมา  ความหวาดกลัวสะท้อนชัดอยู่ในดวงตาเล็กจิ๋วของมัน

                หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบา ๆ ระหว่างที่จ้องมันอยู่

                “เมื่องานหลักฉันจะโผล่มาบ้างล่ะเนี่ย?”

                ว่าพลางเงยหน้ามองตัวคฤหาสน์ที่พังเสียหาย  เธอดีดนิ้ว  สภาพที่เคยพังเสียหายกลับมาเป็นปกติในพริบตาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

                เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับถือกรงนกเอาไว้ในมือ  ดวงตาหลุบลงเล็กน้อยเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ

                ยกมือข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมาดู  ก่อนจะยื่นนิ้วชี้เข้าปาก  กัดอย่างแรงจนโลหิตไหลทะลักเปรอะเปื้อนริมฝีปากและปลายคางจนแดงฉาน

                ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวของโลหิตหรือรสชาติที่ราวกับเหล็ก  กลับกลายเป็นว่าบริเวณโดยรอบนี้นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวานน่าหลงใหล  รสชาติของโลหิตที่แตะถูกลิ้นนั้นหวานล้ำ  อร่อยยิ่งกว่าอาหารใด ๆ ที่เคยพบเจอมา  มากเสียจนหากมีใครได้ลิ้มรสก็คงลุ่มหลงในมันจนบ้าคลั่งไป

                อาเคร่าเลียแผลเล็กน้อย  โลหิตพลันหยุดไหล  รอยกัดอันเหวอหวะสมานเข้าหากันเหมือนไม่เคยมีบาดแผลใด ๆ เกิดขึ้นมาก่อน

                นกในกรงที่เคยสงบนิ่งเริ่มกระพือปีกพุ่งใส่กรงอย่างบ้าคลั่ง  เธอมองมันอย่างเรียบเฉย  เขย่ากรงเบา ๆ เพื่อให้เจ้านกตัวนั้นสงบลง

                กรรร!

                เสียงคำรามแปลก ๆ ดังมาจากที่ไกล ๆ  หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย  สัมผัสได้ถึงปีศาจจำนวนมากที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้

                เธอถอนหายใจเบา ๆ

                “...ทำงานไปด้วยเป็นเหยื่อล่อไปด้วยนี่ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ”

                โยนกรงนกเข้าไปในรอยแยกสีดำ  ยืนประสานมือไว้ที่หน้าท้องอย่างสงบนิ่งรอการมาเยือนของเหล่าปีศาจอีกระลอกด้วยท่าทีใจเย็น

     

     

                “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะนายน้อย”  หญิงสาวเอ่ยรายงานทันทีที่ก้าวมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชิเอล  สะบัดมือไปมาจนมีนาฬิกาพกเรือนหนึ่งปรากฏขึ้น  “สี่นาทีห้าสิบสองวินาที  ไม่เกินสิบนาทีแน่นอนค่ะ”

                ชิเอลมองใบหน้าตายด้านนั้นด้วยหางตา  หัวคิ้วกระตุกอย่างช่วยไม่ได้

                เขาไม่ได้สนใจว่าทำไมสาวเจ้านี่ถึงพกนาฬิกาอันเป็นเครื่องประดับที่นิยมกันในหมู่บุรุษ  แต่กลับสงสัยว่าเจ้าหล่อนเสกมันขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างไรเสียมากกว่า

                เด็กชายส่ายหน้า  ถอนหายใจอย่างปลงตก

                ขนาดคฤหาสน์ทั้งหลังหล่อนยังเสกขึ้นมาได้  กะอีแค่นาฬิกาเรือนเดียวมันจะไปยากอะไร

                ชิเอลรู้สึกคร้านจะมองหน้ามึน ๆ ของหล่อนต่อจึงโบกมือไล่  หญิงสาวก้มหัวรับคำ  ก้าวเดินจากไปโดยไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า

                เขามองตาม  อดรำพึงขึ้นไม่ได้

                “...หรือว่าจะเป็นผี?”

     

     

                คำพึมพำนั่นไม่อาจลอยมาเข้าหูเจ้าตัวได้  เพราะเมื่อทันทีที่ได้ก้าวออกมาจากห้องของผู้เป็นนาย  หญิงสาวก็ได้ทำการกระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสองลงไปยังพื้นเบื้องล่างแล้วนั่นเอง

                สองมือจับกระโปรงไว้ไม่ให้ถูกลมพัดจนเปิด  ร่อนลงสู่พื้นได้อย่างงดงาม

                หญิงสาวกวาดดวงตาสีอเมทิสต์มองโดยรอบ  สายลมพัดพาให้ใบไม้ขยับ  แม้ไม่เห็นใครสักคน  แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าแถวนี้มีคนอื่นนอกจากเธอ

                หมับ

                เอวขอเธอถูกคว้าเอาไว้พร้อมกับลมที่ถูกเป่าเข้าที่หลังหู  อาเคร่ายังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง  เธอหมุนตัวกลับไปมอง  ดวงตาต่างสีพลันสบประสานกันนิ่งงัน

                คนที่กำลังกอดเอวเธอไว้จนร่างกายแนบชิดกันนั้นเป็นบุรุษที่มีร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่ง  ผิวขาวซีด  เส้นผมสีดำดุจหมึกปลอยยาวสยายจนถึงเอว  ใบหน้าคมคายหล่อเหลาอย่างยิ่ง  เพียงแต่ดวงตาค่อนข้างจะพิกลเล็กน้อย  เมื่อตาขาวของเขาดันเป็นสีดำสนิท  แม้แต่นัยน์ตาสีเขียวเองก็เป็นประกายอย่างผิดธรรมชาติ  เขี้ยวในปากยาวแหลม

                หญิงสาวกะพริบตาปริบ

                “ไง”

                เธอทักเขาเสียงเนือย  อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย  แยกเขี้ยวใส่ใบหน้าตายด้านของหญิงสาวอย่างหงุดหงิด  เลื่อนมือไปจับหน้ากากกันแก๊สสีดำที่คล้องอยู่รอบคอมาสวมกลับเข้าไปดังเดิม

                “เธอไม่รู้จักคำว่าตกใจเลยรึไง?”

                อาเคร่าปรายตามองคนถาม  สีหน้าเหมือนต้องการจะถามว่า โง่รึเปล่า?

                “นายจะให้ฉันเอาอารมณ์ที่ไหนไปตกใจไม่ทราบ?”

                เขาเลิกคิ้ว  ดวงตาหรี่โค้งอย่างน่าโมโห  ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนหน้ากากกันแก๊สที่สวมอยู่แตะถูกข้างแก้มของเธอเบา ๆ

                “นั่นสิ  อารมณ์เธอโดนริบไปหมดแล้วนี่นะ”

                ทั้งคู่มองหน้ากันราวต้องการจะเล่นสงครามประสาท  แม้ฝ่ายหนึ่งจะมีสีหน้านิ่งเพียงใดก็ไม่อาจปิดบังไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างได้

                “อยากตาย?”

                “ม่ายอ่ะ”

                เขาตอบอย่างมั่นใจ  อาเคร่าจึงเสหน้าไปอีกทาง  แสดงชัดว่าไม่อยากสนทนาต่อ

                “เอาล่ะ  มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า”

                อัลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาลงไปอย่างชัดเจน  ชายหนุ่มล้วงหยิบบางอย่างแล้วโยนใส่คนตรงหน้าโดยไม่มีสัญญาณใด ๆ เตือนล่วงหน้า  อาเคร่าจึงยกมือขึ้นรับเอาไว้ตามสัญชาตญาณ  พบว่ามันคือเข็มกลัดที่ทำจากอัญมณีสีม่วงล้อมกรอบด้วยเงินดูสวยงามเรียบง่ายอันหนึ่ง

                “เบื้องบนเห็นว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่พวกที่ไม่เกี่ยวข้องก็วิ่งแจ้นมาให้เธอตบกลับนรกเกินพันตัวแล้ว  เบื้องบนเกรงว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปงานอาจไม่เดินเลยบอกให้ฉันเอาสิ่งนี้มาให้”

                อาเคร่าเลิกคิ้วสูง  เอ่ยถามออกไปเสียงราบเรียบ

                “ก็เข้าใจนะว่าอยากให้พวกที่ไม่เกี่ยวข้องเลิกมายุ่งกับฉัน  แต่...เข็มกลัดสะกดวิญญาณ?  แบบนี้ กลิ่น จะเหลือเหรอ?”

                “เบื้องบนเขาพิจารณามาดีแล้วน่า  อีกอย่าง  หากยังปล่อยให้ยัยเหยื่อล่อที่ทำหน้าที่ดีเกินควรอย่างเธอเดินไปไหนมาไหนโดยไม่สวมเข็มกลัด  นรกคงต้องพากันทำโอทีกันแบบ 24 ชั่วโมงแน่  แค่ปีศาจหลงมิติพันกว่าตัวที่เธอส่งลงไปกับเจ้าวิญญาณหลบหนีอีกสาม-สี่ร้อยตัวนั่นก็ทำเอาหัวหมุนกันมากพอแล้ว”

                อาเคร่ารับฟัง  พยักหน้าเบา ๆ

                “อาฮะ”

                อัลกลอกตา  รู้สึกอยากต่อยหน้าคนตรงหน้าขึ้นมาตงิด ๆ

                อาเคร่าไม่สนใจ  เธอเปิดช่องว่างมิติขึ้นมาแล้วล้วงเอากรงนกมาส่งให้ชายหนุ่ม  ทำเอาใบหน้าหล่อเหลานั้นบิดเบ้ด้วยความเซ็ง

                “ยังจะมีอีกเหรอ?”

                “ถ้านายไม่เอาเข็มกลัดนี่มาให้ก็คงมีอีกเรื่อย ๆ”

                เขาถอนหายใจ  ด้วยกลัวว่างานจะงอกเพิ่มไปกว่านี้  จึงยึดเอาเข็มกลัดดังกล่าวมาถือไว้  แล้วติดมันลงบนอกเสื้อด้านซ้ายให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองเสียเลย

                “ที่นี้ก็คงโฟกัสกับภารกิจหลักได้แล้ว  หวังว่าหลังจากนี้ฉันจะไม่ต้องมารับกรงนกพวกนี้จากเธออีก”

                ว่าจบเขาก็หมุนตัวเดินหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×