คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่1 เที่ยวตลาด [1]
บทที่1 เที่ยวตลาด [1]
เพี๊ยะ!
เด็กหญิงถูกตบเข้าที่หน้าจนล้มคว่ำ
แก้มบวมแดงบ่งบอกว่าการกระทำเมื่อครู่ไร้ความปราณีมากเพียงใด
หญิงวัยกลางคนในสภาพเมาหนักถลึงตามองเด็กตัวเล็กบนพื้นอย่างดุร้าย สือทือกระหน่ำทุบตีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวไม่หยุด
เด็กน้อยอายุไม่น่าเกิน
12 ปีพยายามยกมือปัดป้องการทุบตีดังกล่าว แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงร้องใดๆออกมา มีเพียงแต่น้ำตาที่ไหลเป็นสายเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเธอเจ็บปวดและหวาดกลัวมากเพียงใด
หล่อนทุบตีร่างเล็กจ้อยด้วยขาดสารอาหารนั่นราวไม่เห็นว่าเป็นคน
กระชากผมอย่างแรงจนตัวเด็กลอยหวือ ตวาดใส่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่มีแต่แผลทั้งเก่าใหม่ราวคนคุ้มคลั่ง
“แกมันตัวซวย! นังเด็กนรก!”
เสียงสูดหายใจเฮือกใหญ่ทำให้ใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจำต้องเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามอง
“เป็นอะไรไปครับพี่?”
คนถูกเรียกค่อย ๆ หลับตาลง เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นหลายวินาที
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้น้องชายที่อายุห่างกันเพียงไม่กี่เดือน
“พี่ขอลักซ์ดูความทรงจำน่ะจ้ะ และมันก็...ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
คำตอบสั้น ๆ ทำให้ใบหน้าของเด็กชายคลายความสงสัย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม
‘เฮ้ ๆ หยุดแผ่ออร่าดราม่ากันได้แล้วทุกท่าน ก็แค่ความทรงจำห่วย ๆ เองไม่ใช่หรือไง?’
มีเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งร้องประท้วงขึ้นในหัวของอาเรนเซีย
โทนเสียงนั้นต่ำกว่าโทนเสียงของเธอหลายส่วน ภาษาที่ใช้ก็ประหลาด ย่อมไม่มีทางเป็นความนึกคิดของเธอไปได้
แน่ล่ะ ก็ไม่ใช่ยังไงเล่า
สองพี่น้องมองหน้ากัน
อาเรนเซียเผยยิ้มแห้ง ๆ พร้อมทั้งไหวไหล่เบา ๆ
ด้วยท่าทีเหมือนจะบอกว่าเธอเองก็เหนื่อยใจไม่น้อย
เด็กชายนั้นแน่นอนว่าไม่ได้ยินเสียงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวอีกคนของเขา แต่ก็ยังพอจะเดาได้ว่าคนอย่างหล่อนนั้นกำลังพูดสิ่งใดอยู่
เขาหัวเราะเหอ ๆ ด้วยท่าทีเฉยชา
“เจ้ามันตายด้าน ลักซ์”
“หุบปากน่าเจ้าไหม้”
เด็กหญิงที่เคยดูเรียบร้อยพลันเอ่ยสวนเขาเสียงเขียว สองมือกอดอกไว้หลวม ๆ
ยักคิ้วหลิ่วตาดูกวนประสาทจนมุมปากเด็กชายกระตุกไม่หยุด
อา
ยัยนั่นยึดหน้าแสงพี่เขาอีกแล้ว
“ข้าไม่ได้ชื่อเจ้าไหม้” เขาเอ่ยสวนอย่างไม่ยอมแพ้ “แต่เป็น ‘เบ-เริ่น’
ที่แปลว่ายิ่งใหญ่ต่างหาก”
“ก็ออกเสียงเหมือนกันแหละน่า”
อีกฝ่ายไหวไหล่พูดเหมือนไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน ยิ่งทำให้คิ้วของเขากระตุกไม่หยุด อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจยกใหญ่
ก่อนเสียงหัวเราะจะเปลี่ยนกลายเป็นเสียงถอนหายใจในฉับพลัน สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นเหนื่อยใจ
เบิร์นเห็นแล้วก็ได้แต่นึกสงสารพี่สาวบุญธรรมอยู่ลึก ๆ ที่ไม่อาจห้าม ‘ใครอีกคน’ ไม่ให้มายึด
‘หน้าแสง’ โดยพลการได้
เหตุการณ์ดังกล่าวคงทำให้ใครสับสนไม่น้อยว่าเหตุใดเด็กหญิงผู้อ่อนโยนจึงได้กลายเป็นยัยเด็กกวนประสาทภายในเสี้ยววินาทีได้ ใครกันแน่คือ ‘ใครอีกคน’?
อธิบายให้ง่ายก็คือตั้งแต่เด็กที่ชื่อว่าอาเรนเซีย
เวลด้าได้ถือกำเนิด ในร่างกายน้อย ๆ
นั้นก็ได้มีวิญญาณอาศัยอยู่ถึงสองดวง หนึ่งคือวิญญาณของอาเรนเซียเจ้าของร่าง กับอีกหนึ่งคือลักซ์ วิญญาณจากมิติอันไกลโพ้น
ส่วน ‘หน้าแสง’ นั้นคือคำที่สองสาวน้อยร่วมกันบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกร่างกายที่ทั้งคู่ต้องใช้ร่วมกัน
โดยเปรียบว่าการได้ออกมาควบคุมร่างกายนั้นก็เหมือนการได้ออกมายืนอยู่หน้าแสงสว่างหน้าเวทีแสดงละคร
อาเรนเซียชาขึ้นจิบ
เห็นสีหน้าน้องชายบุญธรรมดูบอกบุญไม่รับก็อดจะขอโทษขอโพยแทนตัวตนที่ชื่อว่าลักซ์จอมขี้แกล้งไม่ได้
“ขอโทษนะจ๊ะเบิร์น” เธอว่าอย่างรู้สึกผิด “ลักซ์ก็อย่างนี้แหละ”
เด็กชายช้อนตาสีส้มแกมแดงมองพี่สาวบุญธรรมแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า ถอนหายใจยาว
“ช่างเถอะครับพี่ ข้าไม่ถือโทษโกรธ
‘เด็ก’”
‘แกสิเด็กไอ้เจ้าไหม้เอ๊ย!’
อาเรนเซียพลันเหงื่อตก
‘น่า ๆ
ก็เจ้าแกล้งเบิร์นก่อนไม่ใช่หรือไงกัน?’
เธอส่งเสียงไปเตือนอีกคนในร่างอย่างอ่อนใจ แต่ลักซ์กลับทำเหมือนหูหนวก
ไม่เพียงไม่ฟัง
แต่ยังเอาแต่ร้องท้าตีท้าต่อยกับน้องชายบุญธรรมไม่หยุด กระนั้นกลับไม่ได้แย่งหน้าแสงไปจากอาเรนเซียดังก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้จริงจังอะไร
แม้จะอ่อนอกอ่อนใจจนอยากจะร่ำไห้ ทว่าใบหน้าของเด็กหญิงก็ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ใคร ๆ ที่เคยพบเจอหรือรู้จักเด็กหญิงมักกล่าวว่า อาเรนเซีย เวลด้าเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านความรู้และกิริยามารยาท ท่วงทีสง่างามอ่อนหวานชวนมอง ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก ทว่าใครจะรู้ พอกลับมาบ้านแล้วเธอก็เป็นได้แค่เด็กตัวน้อย ๆ
ที่เถียงลักซ์ไม่เคยชนะ
อีกทั้งยังถูกหยอกล้อบ่อยเสียจนอ่อนอกอ่อนใจไปหมด
ควบคุมตัวเองได้ดี? เหอะ ๆ
พอมาอยู่ต่อหน้าลักซ์ไอ้การควบคุมอารมณ์ได้ดีอะไรนั่นก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ทั้งเพ แล้วเธอก็เชื่อว่าต่อให้เอานักบวชผู้บำเพ็ญมานานปีในศาสนจักรมาคุยกับลักซ์ก็ไม่มีทางคงท่าทีเยือกเย็นไว้ได้
คิดว่าฉายาปีศาจน้อยของลักซ์ได้มาเพราะโชคช่วยรึยังไงกัน? ไม่เลย! นั่นเพราะนิสัยแสบ
ๆ ของอีกฝ่ายล้วน ๆ เลยต่างหาก!
ระหว่างที่กำลังนึกอ่อนอกอ่อนใจ
เสียงของลักซ์พลันดังขึ้น
‘เห็นอาจารย์ซีเรียสบอกว่าช่วงนี้ตลาดของพวกชาวบ้านที่ตั้งอยู่ตรงถนนแรมเบิร์กมีพ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่นมาเยือนไม่น้อย อยากไปมั้ย?’
อาเรนเซียเข้าใจในทันทีว่าลักซ์กำลังเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำให้เธออารมณ์ดี
จึงได้ส่งเสียงตอบรับไปอย่างเต็มใจพร้อมทั้งเอ่ยชวนน้องชายด้วยน้ำเสียงอารมณ์
“ลักซ์บอกว่าตลาดชาวบ้านตรงถนนแรมเบิร์กมีพ่อค้าแม่ค้าจากต่างถิ่นมาตั้งร้านใหม่เยอะเลย เบิร์นอยากไปด้วยกันมั้ยจ๊ะ?”
เด็กชายเห็นว่าบ่ายนี้ตนไม่มีเรียนจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“แน่นอนครับ”
‘ซิสค่อนเอ๊ย...!’
แว่วเสียงนินทาทำเอาเด็กหญิงยิ้มอ่อนออกมาอย่างเหนื่อยใจ
‘เจ้าจะไม่ทะเลาะกับเขาสักวันได้หรือไม่...?’
อีกฝ่ายครางอืมอย่างครุ่นคิด
‘ยากอ่ะ โทษที’
อาเรนเซีย ‘...’
เธอผิดเองที่ไปถามคนอย่างลักซ์...
สองพี่น้องแยกย้ายกันกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างทางอาเรนเซียได้ให้พ่อบ้านคนหนึ่งนำเรื่องนี้ไปรายงานแก่บิดามารดา แน่นอนว่าทั้งสองตกลงอย่างว่าง่าย
เพียงย้ำให้ระมัดระวังและเที่ยวให้สนุกก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
สาวน้อยถูกสาวใช้ทั้งแปดคนรุมล้อมอยู่พักใหญ่
คราแรกพวกหล่อนจะจับคุณหนูแต่งชุดสีชมพูอ่อนที่น่ารักสดใส แต่กลับถูกอาเรนเซียยกมือห้าม แล้วชี้ไปทางชุดสีน้ำเงินเข้มแทน
“วันนี้ลักซ์เองก็อยากเดินตลาด
อย่าให้นางหมดอารมณ์เลย”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็เอาชุดสีชมพูไปเก็บอย่างเชื่อฟัง ด้วยทราบดีว่าคุณหนูลักซ์
คุณหนูอีกคนในร่างของคุณหนูอาเรนเซียนั้นนิสัยออกจะผิดเด็กผู้หญิงไปสักหน่อย
เมื่อสาวใช้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคนที่ออกไปเที่ยวไม่ได้มีแค่คุณหนูอาเรนเซีย
จึงเปลี่ยนเครื่องประดับทั้งหมดเป็นอีกชุดทันที
อาเรนเซียมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาค่อย ๆ เหม่อลอย
การมีอยู่ของลักซ์ถูกเก็บเป็นความลับที่รู้กันอยู่เพียงในคฤหาสน์และพระราชวังบางส่วนเท่านั้น ลักซ์จึงต้องใช้ชีวิตกึ่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ
อยู่บ้าง
เธอไม่อาจออกไปพูดกับคนแปลกหน้าได้ว่าเธอชื่อว่าลักซ์ ไม่อาจแสดงตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าคนไม่รู้จัก ไม่อาจออกงานสังคมในชื่อของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ลักซ์เหมือนจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่นั่นก็เป็นแค่ความเหมือนเท่านั้น นอกจากชีวิตในยามค่ำคืนแล้ว พอต้องออกไปข้างนอกในยามกลางวัน ลักซ์ก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในเงาเท่านั้น
พอคิดไปถึงตรงนั้น
อาเรนเซียก็เกิดหดหู่แทนอีกคนในร่างขึ้นมาจนหน้าม่อยคอตกราวกับลูกหมาน้อยถูกทิ้ง น่าสงสารจนเหล่าสาวใช้แทบใจสลาย
‘เฮ้ ๆ สรุปจะไปมั้ยกวางน้อย
ฉันเบื่อจะรอแล้วนะ’
ลักซ์ส่งเสียงคร่ำครวญขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศภายนอกนั้นดูแปลก
ๆ ทำให้อาเรนเซียหลุดจากภวังค์ทันใด สีหน้าปรากฏแววเขินอายจาง ๆ
‘ไปแล้ว ๆ ...’
เธอพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินลงไปชั้นล่างก็พบกับน้องชายที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ทั้งคู่พากันเดินไปยังหน้าประตูคฤหาสน์อย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมื่อเดินมาถึงก็พบว่าได้มีรถม้ามาจอดรออยู่ก่อนแล้ว โดยผู้ที่จัดเตรียมนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็นพ่อบ้านหนุ่มน้อยที่เธอเพิ่งสั่งให้เขาไปรายงานพ่อและแม่เรื่องที่เธอจะออกไปเที่ยวเล่นนั่นเอง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่ความอ่อนโยน
มองดูแล้วชวนให้คนรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง เขาโค้งตัวทำความเคารพนายท่านตัวน้อยทั้งสองคน
“กระผมและองครักษ์จำนวนหนึ่งจะตามไปเป็นคนคอยอารักขาให้เองครับ” เขาเอ่ย
“แล้วก็ นายหญิงบอกว่าไม่อาจกลับมาสายเกินไปนัก
เพราะว่าคืนนี้ยังมีงานวันเกิดที่ต้องไปร่วมอีกงาน”
อาเรนเซียพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจนะจ๊ะ แลนช์”
พ่อบ้านนามว่าแลนช์ยิ้มรับ
พยุงนายทั้งสองขึ้นไปบนรถม้า
ก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งข้างสารถี
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ความคิดเห็น